ศาลสั่งจำคุก 3 ปี "ประชัย" หมดสิทธิ์เป็นนายกฯ และรมต.

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบังลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) โดยนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และนายชัยณรงค์ แต้ไพสิฐพงษ์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ, นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.ทีพีไอฯ, บริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร กรรมการบริหาร และนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร กรรมการบริหาร บจก.สเติร์นฯ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์ หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในหลักทรัพย์ เผยแพร่ข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหลักทรัพย์ก่อนวันที่หนังสือ ชี้ชวนจะมีผลบังคับใช้ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ใดจะมีราคาสูงขึ้น หรือลดลง (ปั่นหุ้น) และร่วมกันกระทำการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้รับผิดชอบในการดำเนินกิจการของ บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ม.77 และ 239 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

 

ศาลวิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยทั้ง 4 ร่วมกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 77, 239, 280, 296 และประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยกระทำความผิดเป็นความผิดหลายกรรมต่างวาระ ให้ลงโทษเรียงกระทงตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 91 โดยในความผิดฐานเผยแพร่ข้อมูลและร่างหนังสือเสนอชี้ชวนการเสนอขายหลักทรัพย์ก่อนวันที่หนังสือชี้ชวนจะมีผลบังคับใช้ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลัก ทรัพย์จะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง (ปั่นหุ้น) ให้ปรับจำเลยที่ 1 และ 3 คนละ 3 แสนบาท พิพากษา และให้จำคุกจำเลยที่ 2 กับ 4 คนละ 1 ปี ส่วนในความผิดฐานร่วมกันกระทำการใดๆอันเป็นการช่วยเหลือในการดำเนินกิจการ ของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ พิพากษาให้ปรับจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นจำนวนเงินคนละ 6,900 ล้านบาท และจำคุกจำเลยที่ 2 และ4 คนละ 2 ปี รวมปรับจำเลยที่ 1 และ 3 คนละ 6,900 ล้าน 3 แสนบาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 และ 4 คนละ 3 ปี ศาลเห็นว่าการกระทำความผิดของจำเลย ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่มีเหตุรอลงอาญา

 

นายประชัย เปิดเผยภายหลังฟังคำพิพากษาว่า ตนเองยังคงเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และจะต้องยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีต่อไป ส่วนผลของคำพิพากษาจะมีผลกระทบต่อคะแนนเสียงของพรรคทางการเมืองหรือไม่นั้น นายประชัย กล่าวว่า เพราะเขาลงมาเล่นการเมืองถึงทำให้ต้องมาทนรับความกดดันและแรงเสียดทานขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้นายประชัยกำลังอยู่ในขั้นตอนเพื่อยื่นขอประกันตัวต่อศาล

 

เว็บไซต์ผู้จัดการรายงานว่า หลังผลการตัดสินออกมานายประชัยถึงกับมีน้ำตาคลอ แต่ไม่ถึงกับน้ำตาไหลออกมา

 

คดีนี้ฟ้องโจทก์ระบุว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15-16 ธ.ค.2546 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อ สำนักงานงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีสาระสำคัญในแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวนดังกล่าวเกี่ยวกับ เสนอขายหุ้นต่อประชาชนจำนวน 300,000 หุ้น และแสดงฐานะการเงินของบริษัทและผลการดำเนินงานของบริษัท ทีพีไอ จำกัด (มหาชน) ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้เผลแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการเสนอขายหลักทรัพย์ ก่อนวันที่แสดงรายการข้อมูล และร่างหนังสือ สาระสำคัญว่าหุ้นที่เหมาะสม อยู่ที่ 89 บาทต่อหุ้น และการเงินสูงกว่าในหนังสือชี้ชวน 23,370 ล้านบาท ซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลที่ได้แสดงในร่างหนังสือ และไม่ได้ทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ตามวันเวลาดังกล่าว ส่วน จำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจและรับผิดชอบในการดำเนินกิจการได้เผยแพร่ข่าว เป็นสาระสำคัญ มูลค่าองค์กรของบริษัท มีมูลค่าอยู่ที่ 91,387 ล้านบาท และมีมูลค่าที่เหมาะสม 89 บาทต่อหุ้น เกินกว่าความเป็นจริง ในการเผยแพร่ข่าว และจำเลยที่ 3-4 ได้ร่วมกันสนับสุนนโดยการช่วยเหลือในการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีที่ นายประชัย และพี่น้องตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ถูกกล่าวหาว่าไซฟอนเงินกรณีจ่ายเงินกว่า 900 ล้านเพื่อเช่าตึกทีพีไอนั้น เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้มีคำพิพากษายกฟ้อง

 

ด้านประพันธ์ นัยโกวิท กกต. กล่าวถึงกรณีที่ศาลให้ประกันตัวนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตยว่า ถือว่านายประชัยยังไม่ขาดคุณสมบัติรับสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้รัฐธรรมนูญ มาตรา 102(4) คุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งจะสิ้นสุดเมื่อต้องคำพิพากษา โดยถูกจำคุก กักขัง ซึ่งหากไม่ถูกจำคุก กักขังเพราะศาลให้ประกันตัวก็สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ต่อไป และระหว่างที่มีการต่อสู้ทางคดี ได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส. ก็สามารถดำรงตำแหน่งได้ต่อไป ตราบจนกว่าผลของคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งในกระบวนการต่อสู้ทางคดีสามารถต่อสู้อุทธรณ์ได้ถึงชั้นฎีกา ที่ผลคดีจะถึงที่สุดให้รับโทษจำคุก

 

อย่างไรก็ตามนายประพันธ์ ระบุว่า นายประชัย จะเป็นได้เพียง ส.ส.เท่านั้น หากได้รับการเลือกตั้ง แต่ไม่มีสิทธิที่จะได้เป็นรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา182 (3) กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม ที่บุคคลต้องคำพิพากษาให้จำคุก กักขัง ทั้งที่ให้รับโทษและรอลงอาญา ก็ถือเป็นบุคคลต้องห้ามในการเป็นรัฐมนตรี

 

ภายหลังที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุก นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร แล้ว ต่อมา ทั้งสอง ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เพื่อขอประกันตัว ต่อศาล โดยนายประชัย ยื่นหลักทรัพย์เป็นพันธบัตรเป็นมูลค่า 1 ล้านบาท โดยนายเชียรช่วง ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 3 แสนบาท ซึ่งขณะนี้คำร้อง ขอประกันตัวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

 

ทั้งนี้นายประชัย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ในส่วนของคดีจะยื่นอุทธรณ์ สู้คดีต่อไป ส่วนจะมีผลกระทบต่อการลงเล่นการเมืองหรือไม่ นายประชัย กล่าวว่า นี่ก็เป็นผลมาจากการลงเล่นการเมืองที่มีแรงเสียดทานกดดันให้ตนต้องเป็นเช่นนี้

 

 

 

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์, คมชัดลึก

หมายเหตุ : เพิ่มเติมข้อมูล เมื่อ 03/12/07, 22.22 น.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท