ปาริฉัตร มังคละและศิริลักษณ์ สายบัว: เรียบเรียง
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมบริการวิชาการ (Uniserv) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการจัดเวทีภาคประชาชนเหนือ โดยกลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ กลุ่มนักศึกษาปริญญาโทเพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ องค์กรประชาชนภาคเหนือ และมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยในช่วงบ่าย มีการอภิปรายถึงประเด็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กับการพิจารณากฎหมายสำคัญๆ หลายฉบับอย่างเร่งด่วน จนถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งองค์กรภาคประชาชนได้รวมตัวกันชุมนุมกดดันเพื่อให้ สนช.ยุติการร่าง พ.ร.บ.และให้ยุติบทบาทดังกล่าว
และนี่คือเหตุผลของเครือข่ายภาคประชาชน ภาคเหนือ ว่าทำไมถึงต้องออกมาคัดค้าน สนช.และต่อต้าน ร่าง พ.ร.บ.ฉบับคณะรัฐประหาร โดยเฉพาะกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและเกี่ยวข้องกับภาคประชาชนโดยตรง อาทิ ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, ร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ, ร่าง พ.ร.บ.สภาการเกษตรแห่งชาติ, ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน, ร่างพ.ร.บ.สัญชาติ, ร่าง พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ เป็นต้น
o o o o
นาย
"ถ้าหากกฎหมายนี้ออกมา น้ำทุกหยด ก็จะถูกตีมูลค่าเป็นตัวเงินทั้งหมด ชาวบ้านก็จะลำบาก น้ำก็จะถูกขึ้นราคา เหมือนราคาน้ำมัน" ตัวแทนเครือข่ายน้ำ กล่าว
นาย
"ซึ่งดูแล้ว สนช.เองก็คงจะไม่มีความเข้าใจในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตหรือทรัพยากรของชุมชนได้อย่างถ่องแท้สักเท่าไหร่ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งต่อไปอีกแน่นอน"
ด้านนาย
"และมาถึงตอนนี้ สนช.ก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลชุดก่อนเลย มีความต้องการที่จะทำลายสื่อวิทยุ พยายามเอาวิทยุหรือสื่อโทรทัศน์เข้าไปอยู่ภายใต้การดูแลของทหารและราชการ ซึ่งล้วนแต่หวังผลประโยชน์ทั้งสิ้น วิทยุชุมชนจึงกลายเป็นเป้าที่ขัดผลประโยชน์ของกลุ่มนายทุนหรือราชการ กลุ่มเหล่านี้จึงมีความพยายามให้วิทยุชุมชนต้องมีการโฆษณาคั่นรายการด้วย เพราะนี้เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ได้ผลประโยชน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ววิทยุชุมชนไม่มีโฆษณาก็สามารถอยู่ได้เช่นกัน เพราะ คลื่นความถี่เป็นของส่วนรวม เราควรที่จะมีการจัดระดับในการใช้คลื่นความถี่ เราจึงไม่เห็นด้วยกับการที่ สนช.เสนอ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ และต้องหยุด พ.ร.บ.นี้ไว้ก่อน และ สนช.ต้องยุติบทบาทหน้าที่ทันที เมื่อมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 แล้วก็ค่อยๆเริ่มต้นพิจารณากฎหมายตัวนี้เสียใหม่ในรัฐบาลชุดต่อไป" ตัวแทนเครือข่ายสื่อภาคประชาชน ภาคเหนือ กล่าวย้ำ
ในขณะที่ นางสาว
"ทางกลุ่มเครือข่ายแรงงานข้ามชาติ จึงมีความพยายามที่อยากให้ยกเลิกประกาศกฎหมายตัวนี้ เพราะอย่าลืมว่า ประเทศไทยก็ยังมีความต้องการแรงงานกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ทำอย่างไรถึงจะช่วยลดปัญหาและอยู่ร่วมกันในสังคมไทยได้ ดังนั้น การจะออกกฎหมายจะต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของความเป็นคนให้มากยิ่งขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นแรงงานไทยที่ไปทำงานในต่างแดนก็อาจจะถูกกระทำไม่ต่างอะไรกับแรงงานข้ามชาติในไทย ที่ถูกภาครัฐกระทำโดยใช้กฎหมายเป็นตัวทำลาย"
นาย
นายธนา กล่าวต่อว่า กฎหมายที่สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรที่ไม่ต่างกับกฎหมายความมั่นคง คือ กฎหมายการปฏิรูปที่ดิน เพราะไม่ได้พูดถึงเกษตรกรเลย ปกป้องแต่สถาบันของตนเอง ผลประโยชน์ของกลุ่มตนเองเท่านั้น เช่น มีการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ แต่กลับมีความพยายามเตะถ่วงไม่ออกกฎหมายที่จะเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้าน เช่น พ.ร.บ.ป่าชุมชน หรือปฏิเสธการเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า เพราะฉะนั้น เราจะทำอย่างไรถึงจะขยายเครือข่าย ขยายความคิดและเกาะกลุ่ม เพื่อสร้างพลังให้แข็งแกร่ง เพื่อต่อรองกับอำนาจรัฐที่ไม่สนใจดูแลทุกข์สุขของประชาชน
"พวกเราต้องขยายความคิดเผยแพร่สื่อต่างๆ เช่น สื่อวิทยุชุมชน หรือมีการจัดเวที สร้างพลังให้มันใหญ่ขึ้นมาให้ได้ เพราะตราบใดที่กฎหมายที่รัฐบาลยุค คมช.ไม่ได้รับการแก้ไข การอยู่ดีมีสุขคงเป็นไปได้ยาก เราต้องฟันฝ่าและรวมตัวเพื่อผลักดันให้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยกว่านี้ให้เกิดขึ้นในอนาคตโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นสุดท้ายแล้วอำนาจการตัดสินใจก็จะไม่ได้อยู่ในมือประชาชนอย่างแท้จริงสักที" ตัวแทนเครือข่ายที่ดิน กล่าวทิ้งท้าย
ในขณะที่นาย
"แต่นี่เป็นการผลักภาระให้กับประชาชน เพราะเมื่อมหาวิทยาลัยออกนอกระบบแล้ว แม้จะมีการออกมาบอกว่าจะไม่ขึ้นค่าเทอมแน่นอน แต่ค่าสาธารณูปโภคก็คงต้องสูงขึ้น ทำให้ค่าครองชีพของนักศึกษาต้องเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย เป็นการตัดโอกาสผู้ที่มีรายได้น้อย เนื่องจากต้นทุนทางการศึกษานั้นสูงขึ้น เป็นการปิดโอกาสลูกหลาน แรงงาน เกษตกร ประชาชนที่เป็นชนชั้นล่างของสังคม ในการเข้ารับการศึกษา รวมถึงหลักสูตรบางหลักสูตรอาจจะต้องถูกปิดตัวลง เพราะไม่ได้ทำรายได้ให้กับมหาวิทยาลัย เช่น ศิลปวัฒนธรรม ปรัชญา จากการที่มหาวิทยาลัยผลิตนักศึกษาเพื่อรับใช้ชุมชน สังคม ก็จะกลายเป็นผลิตนักศึกษาเพื่อบริษัทใดบริษัทหนึ่ง อาจจะทำให้นักศึกษาขาดจิตสำนึกในการรับใช้ชุมชน สังคม" ตัวแทนนักศึกษา มช. กล่าว
ตัวแทนนักศึกษา มช. กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา การที่จะนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้น มหาวิทยาลัยก็ปิดเงียบ นักศึกษา 90% ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไม่รู้เรื่องมหาวิทยาลัยออกนอกระบบเลย
ด้าน ดร.
ดร.อรรถจักร์ กล่าวต่อว่า การเมืองในวันนี้ มันขัดแย้งกับความสัมพันธ์ทางอำนาจ และถูกทำให้เลวร้ายลงหลังรัฐประหาร เกิดภาวะซ้ำเติมโดยรัฐประหาร ทำให้ความสัมพันธ์ทางอำนาจบิดเบี้ยวมากขึ้น การออกกฎหมายต่างๆเกิดขึ้นบนความไม่เข้าใจ ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเลย แต่กลับซ้ำเติมให้หนักขึ้น พ.ร.บ.ความมั่นคงก็มีแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น เช่น การเกิดอคติเกี่ยวกับแรงงานชาติพันธุ์ แรงงานต่างด้าว ชนเผ่าต่างๆ แรงงานนอกระบบที่เป็นแรงงงานที่หล่อเลี้ยงประเทศไทย ซึ่งจริงๆ แล้วจะต้องได้รับการดูแลจากประเทศไทยเท่าเทียม ควรได้รับสิทธิความเป็นพลเมืองของประเทศอย่างเต็มเปี่ยม รวมทั้งแรงงานในระบบก็ต้องได้รับการพิทักษ์ เพื่อให้พลเมืองไทยอยู่รอดภายใต้เงื่อนไขของเสรีนิยมให้ได้
"แต่ว่าการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ สนช. ทำอยู่นี้ จะผลักประเทศตกเหวในทุกรูปแบบ รวมทั้งการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจที่มีเทวดา 8 คนกำกับ ยิ่งจะทำให้พังพินาศ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมด เราจำเป็นต้องชี้ให้สังคมไทยเห็นว่าความเปลี่ยนแปลงนี้ เราต้องมีการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจกันใหม่
ดร.อรรถจักร์ ยังได้พูดถึงการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ด้วยว่า จะทำอย่างไรให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเครื่องมือของประชาชน จะต้องสร้างญัตติสาธารณะให้มีพลัง เพื่อให้พรรคการเมืองเห็น เพราะทุกวันนี้การเลือกตั้งเป็นเพียงเครื่องมือของการต่อสู้ของชนชั้นนำเท่านั้น
"ดังนั้น พรรคใดอยากได้เสียงเราต้องประกาศว่า จะร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมไม่น้อยกว่ารัฐธรรมนูญปี 40 เพื่อพวกเราจะได้มีส่วนในการกำกับความสัมพันธ์ทางอำนาจ ต้องยกเลิก พ.ร.บ.ความมั่นคงทั้งหมด ต้องเรียกร้องให้พรรคการเมืองเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย ซึ่งการรวมกลุ่มจะทำให้เรามองเห็นซึ่งกันและกัน สามารถกดดันพรรคการเมือง กดดันราชการได้"
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)