Skip to main content
sharethis

เรียบเรียงจาก "ตามอู๊ดกลับบ้าน" ของมยุรี เก่งเกตุ


โดย จารุวัฒน์ เกยูรวรรณ
โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย



"ถึงเขาจะเป็นเพียงผู้ใช้แรงงาน เขาไม่ใช่บุคคลสำคัญระดับชาติ แต่เขาสำคัญที่สุดในครอบครัว"


 



"แรกๆ ก็ได้ลงไปทำในอุโมงค์ใต้ดิน ที่จะเป็นเส้นทางเดินรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่วน OT เขาให้เฝ้ายาม โดยคนหนึ่งเฝ้าด้านบน อีกคนลงไปเฝ้าด้านล่าง คิดดูค่ะว่าน่าเป็นห่วงขนาดไหน ดิฉันยังกลัวแทนเขาเลย มีแต่พ่อที่โทรคุยแล้วบอกว่าให้กำดินขึ้นมาแล้วอธิฐานว่าให้แม่พระธรณีปกปักรักษาลูกด้วยเถิด"


 



"อู๊ดทำงานก่อสร้างดังกล่าวด้วยดีตลอดมา มีการโทรศัพท์กลับบ้านอย่างสม่ำเสมอ และไม่มีความผิดปกติใดจนวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ทางบ้านได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนชาวไทยว่าเขาป่วยหนัก มีอาการอ่อนเพลียเหม่อลอย ไม่ยอมพูดจากับใคร ไม่กินข้าวไม่ดื่มน้ำ เพื่อนๆ ต้องช่วยกันดูแล ป้อนข้าวป้อนน้ำ จนล่ามได้พาไปหาหมอ 2 ครั้ง แต่อาการยังไม่ดีมาก หลังจากทางบ้านได้รับโทรศัพท์ ก็แจ้งให้ล่ามช่วยดำเนินการประสานกับนายจ้างให้เขาลาป่วยกลับมารักษาที่ประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะกลับได้ประมาณวันที่ 11 ธันวาคม แต่เมื่อเย็นวันที่ 10 ธันวาคม เขาก็ได้หายตัวไป"


 


000


 



ประสิทธิ์ สมอินทร์ (อู๊ด) หายตัวไปตั้งแต่ 10 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา


จากเรื่องราวที่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นกับคนงานไทยที่ต้องออกไปแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้นในต่างแดนเป็นกลุ่มบุคคลที่สำคัญสำหรับสร้างความมั่งคั่งให้กับสังคมและเป็นกลุ่มที่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากรัฐเพียงเพราะเขาเป็นแรงงานมิใช่นายทุน


 


ประสิทธิ์ สมอินทร์ หรือ "อู๊ด" เขาคือใคร? และหายไปใหน? ต่อไปนี้คือคำบอกเล่าของ มยุรี เก่งเกตุ ผู้เป็นพี่สาวของอู๊ด

อู๊ด เป็นบุตรชายคนเล็กของครอบครัว สมอินทร์ จากพี่น้องทั้งหมดสามคน มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ อ.ศรรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู พี่สาวคนโตเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะเทคนิคการแพทย์ ม.หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ส่วนพี่ชายคนรองทำงานเป็นวิศวกร อยู่ที่นิคมอมตะนคร

ด้วยการที่ไม่ชอบเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก อู๊ด จึงจบการศึกษาเพียง ม.6 จาก กศน.
"อู๊ดเป็นน้องคนเล็กของครอบครัว เขามีปัญหาด้านการเรียนมาตั้งแต่มัธยมเลยเรียนน้อยที่สุด จบ ม.6 จาก ก.ศ.น. ด้วยความที่ไม่ชอบค้าขายทั้งๆ ที่บ้านที่ศรีบุญเรืองสามารถค้าขายหรือเปิดร้านค้าอะไรได้ เขาก็ไม่อยากทำ เขาถนัดในแนวช่างเชื่อมมากกว่าและได้ไปเรียนที่ศูนย์ฝึกวิชาชีพมาด้วย เขาเคยทำงานก่อสร้างในเมืองไทยด้วยกับบริษัทอิตาเลี่ยนไทย แต่เนื่องจากงานค่อนข้างเสี่ยงพ่อแม่เป็นห่วง เลยลาออกไปทำงานโรงงานในนิคมอมตะนครกับพี่ชาย"


เรียนน้อย เงินเดือนน้อย ทำงานหนัก คือสภาพชีวิตทั่วไปของคนไทยส่วนใหญ่การตัดสินใจเดินทางเพื่อชีวิตใหม่จึงเริ่มขึ้น
"จุดที่ทำให้เขาต้องไปทำงานเมืองนอกก็คือ มีญาติไปทำงานที่ไต้หวันและได้เงินเดือนค่อนข้างจะดี เป็นงานโรงงานเหมือนทำในไทย ความเป็นอยู่ก็ไม่ลำบากมาก เขาเลยอยากลองไปบ้างเผื่อจะได้เก็บเงินซักก้อน อายุก็ยังน้อยครอบครัวก็ไม่มีเลยตัดสินใจได้ง่าย ครั้งแรกที่ไปก็ผ่านเอเย่นเสียเงินไป 140,000 บาท ไปทำแรกๆ ก็ดีเป็นโรงงานประกอบชิ้นส่วนอะไรซักอย่าง เงินเดือนดี เพราะมีโอทีเยอะด้วย เขาส่งเงินให้แม่เก็บได้เดือนละ สองหมื่นห้าพันขึ้นไป แต่อยู่ได้ประมาณ 1 ปี โรงงานก็ยุบ เลยถูกส่งไปอยู่ที่อื่นเงินเดือนน้อยมาก ส่งกลับบ้านไม่ถึงหมื่น เขาเลยอยากกลับมาก่อน"

อู๊ดกลับมาอยู่บ้านได้ไม่กี่เดือน แต่ภาระกิจที่ตั้งใจใว้แต่แรกยังไม่ประสบความสำเร็จ การเดินทางรอบใหม่เพื่อเก็บเงินเพิ่มจึงเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ถูกคัดค้านจากคนรอบข้าง "พ่อแม่ไม่อยากให้ไป เพราะกลัวถูกหลอกเหมือนกับหลานที่ไปแล้วได้งานไม่ดีอย่างที่บริษัทอ้าง รอบนี้น้องชายต้องจ่ายให้บริษัทนายหน้าตั้ง 150,000 บาท โดยตัวแทนอ้างว่าเป็นงานดี เงินเดือนดี ไม่ได้ทำงานหนัก เขาจะให้ไปขับรถเจาะดิน(ประมาณนี้แหละ) น้องชายก็เลยขอไป ทั้งที่ดิฉันคัดค้านมากแทบจะทะเลาะกัน เพราะไม่เห็นด้วยกับการที่ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากให้นายหน้า มันเหมือนการทำนาบนหลังคนชัดๆ"


 


"ถ้ารัฐบาลส่งจ่ายแค่ 4 หมื่นเอง แต่ต้องสอบแข่งขัน เขาก็รอไม่ไหว สุดท้ายก็เลยตามใจเพราะเงินของเขาเอง เขาหลงเชื่อคำพูดนายหน้าด้วย พอไปทำจริงๆ แรกๆ ก็ได้ลงไปทำในอุโมงค์ใต้ดิน ที่จะเป็นเส้นทางเดินรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่วน OT เขาให้เฝ้ายาม โดยคนหนึ่งเฝ้าด้านบน อีกคนลงไปเฝ้าด้านล่าง คิดดูค่ะว่าน่าเป็นห่วงขนาดไหน ดิฉันยังกลัวแทนเขาเลย มีแต่พ่อที่โทรคุยแล้วบอกว่าให้กำดินขึ้นมาแล้วอธิฐานว่าให้แม่พระธรณีปกปักรักษาลูกด้วยเถิด เขาทำอย่างนี้อยู่ประมาณ 4 เดือน ก็ได้ขึ้นมาทำหน้าที่อ๊อกซ์กับเชื่อม ซึ่งเขาก็ชอบมากกว่าการเฝ้ายาม (เขาเคยเล่าว่ามักจะให้คนใหม่เฝ้า) ส่วนเรื่องเงินนั้นที่นายหน้าบอกว่าได้ประมาณสี่หมื่น ก็ไม่ถึงแถมหักค่าต่างๆเป็นหมื่น เหลือไว้ใช้ ห้าพัน ที่เหลือส่งกลับบ้าน ประมาณเดือนละหมื่นกว่าๆ บางเดือนก็หมื่นห้าบางเดือนก็เกือบสองหมื่น และเงินที่หักส่วนหนึ่งก็เป็นค่าล่าม (บริษัทเอเย่นต์ที่นั่น)"

แต่เขาหายตัวไปโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2550 "อู๊ดเดินทางไปทำงานก่อสร้างที่ประเทศไต้หวัน โดยผ่านพิธีการที่ถูกต้องตามกฏหมาย ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 กับบริษัท CTCI ตลอดเวลาที่อยู่ไต้หวัน อู๊ดทำงานก่อสร้างดังกล่าวด้วยดีตลอดมา มีการโทรศัพท์กลับบ้านอย่างสม่ำเสมอ และไม่มีความผิดปกติใดจนวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ทางบ้านได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนชาวไทยว่าเขาป่วยหนัก มีอาการอ่อนเพลียเหม่อลอย ไม่ยอมพูดจากับใคร ไม่กินข้าวไม่ดื่มน้ำ เพื่อนๆต้องช่วยกันดูแล ป้อนข้าวป้อนน้ำ จนล่ามได้พาไปหาหมอ 2 ครั้ง แต่อาการยังไม่ดีมาก หลังจากทางบ้านได้รับโทรศัพท์ ก็แจ้งให้ล่ามช่วยดำเนินการประสานกับนายจ้างให้เขาลาป่วยกลับมารักษาที่ประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะกลับได้ประมาณวันที่ 11 ธันวาคม แต่เมื่อเย็นวันที่ 10 ธันวาคม เขาก็ได้หายตัวไป คาดว่าจะเดินออกมาจาก camp ที่พักโดย ลำพัง ซึ่งคนที่พบเขาล่าสุดคือล่าม (camp boss) ชื่อ เทิดพงษ์ เจอเขาลงมาจากชั้น 2 ขณะนั้นล่ามกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ได้ถามเขาว่าจะไปไหน ลงมาเล่นได้ แล้วล่ามก็คุยโทรศัพท์ต่อ จากนั้นประมาณ 15 นาที ไปดูที่ห้องก็ไม่เจอเขาแล้ว จึงไปเรียกคนช่วยกันตามหา 2 คน แต่ไม่เจอ เมื่อเพื่อนๆคนไทยเลิกงานแล้ว ได้ช่วยกันออกตามหาเขาหลายชั่วโมงแต่ยังไม่พบและล่ามได้แจ้งตำรวจแล้ว ขณะนี้ยังไม่พบตัวเขาเลย"

เมื่อน้องชายคนเล็กของครอบครัวหายตัวไปในต่างประเทศ ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดและกังวลใจมากที่สุดก็คือครอบครัว ครอบครัวที่ไม่เคยคาดคิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น "ดิฉันไปแจ้งที่สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงแรงงาน ซึ่งเขาก็รับเรื่องและ Fax ไปให้สำนักงานแรงงานไทยในไต้หวัน ซึ่งอยู่ในไทเป และดิฉันก็ได้ขอหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อที่สำนักงานในไทเปไว้ และได้โทรไปติดตามเรื่องหลายครั้งแล้ว การทำงานของเขาก็คือโทรไปสอบถามกับล่าม เมื่อล่ามแจ้งตำรวจแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เลยไม่ได้แจ้งอีก และได้ประกาศออกทางวิทยุคนไทยให้แล้ว และต่อมาดิฉันได้ขอสายคุยกับหัวหน้าสำนักงาน เพราะอยากให้ท่านเร่งให้ตำรวจช่วยค้นหามากกว่านี้เพราะเขาหายไปได้ 5 วันแล้ว ได้รับคำตอบคือ ท่านบอกว่าอย่าคิดในแง่ร้าย เขาอาจจะมีปัญหาส่วนตัวก็ได้ เช่นติดการพนันติดเหล้า ติดยาเสพติด หรือติดผู้หญิง จึงหลบหนีไปหา แต่ดิฉันได้ยืนยันท่านว่า ดิฉันถามเพื่อนๆ เขาแล้ว เขารับรองได้ว่าไม่มีเรื่องพวกนี้แน่นอน เขาอาจจะกินเหล้า สูบบุหรี่ แต่เขาไม่ได้กินบ่อย ส่วนเรื่องการพนันนั้นตัดออกไปได้เลย เพราะพวกเขาทำงานแผนกเดียวกัน พักห้องเดียวกัน ส่วนใหญ่จะไปไหนก็ไปด้วยกัน ดิฉันก็เชื่อว่าน้องชายไม่ได้ตั้งใจหลบหนี รู้จักนิสัยเขาดี เขาไม่ใช่คนกล้าขนาดนั้น และเขาก็พอใจในงานที่ทำอยู่ จึงไม่น่าหนี"


 


"หัวหน้าท่านช่วยได้แค่ ให้ดิฉันไปให้รายละเอียดน้องชายกับผู้จัดรายการวิทยุอีกครั้งเท่านั้นเอง ทั้งๆก่อนหน้านี้ก็บอกว่าออกอากาศให้แล้ว แล้วยังต้องถามอีก เมื่อคุยกับหัวหน้าแล้วทำให้ดิฉันท้อแท้ใจเป็นอย่างยิ่ง ดิฉันเข้าใจว่าพวกเขาจะช่วยเหลือคนงานไทยได้มากกว่านั้น แต่ก็แค่ช่วยติดตามเท่านั้นเอง แม้แต่ข้อมูลต่างๆเขาก็ไม่เคยโทรถามเพื่อนแรงงานไทยเลยไม่เคยลงไปดูที่เกิดเหตุอะไรเลย"


"นอกจากนั้นดิฉันก็ได้โทรไปขอคำปรึกษากับศูนย์คุ้มครองและดูแลผลประโยชน์ของคนไทยในต่างแดน กรมการกงสุล เขาก็โอนสายให้พนักงานที่รับผิดชอบไต้หวัน ดิฉันได้คำตอบว่าถ้าไปยื่นที่แรงงานแล้ว ไม่จำเป็นต้องมายื่นที่นั่นอีก เพราะสองหน่วยงานประสานกันอยู่แล้ว พอดิฉันขอคำแนะนำเพราะห่วงน้องชายมาก ควรจะทำยังงัยถึงจะมีการค้นหาอย่างจริงจัง เขาก็ตอบว่าคุณควรจะใจเย็นและรอดีกว่า เขาแจ้งตำรวจแล้ว ให้ตำรวจดำเนินการดีที่สุด"


 


"ดิฉันก็ได้ส่งเรื่องร้องทุกข์ไปทางอินเตอร์เน็ตแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. และได้โทรถามความคืบหน้า ในวันที่ 17 ธ.ค. ได้รับคำตอบว่าส่งไปสำนักงานแรงงานในไต้หวันแล้ว ยังไม่ได้รับการตอบกลับ นอกจากนั้นก็ได้ส่งเมล์ไปเองที่สำนักงานที่ไต้หวันด้วย และวันที่ 17 ธ.ค. ได้พาคุณพ่อคุณแม่ไปติดต่อขอความช่วยเหลือจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้รับการช่วยเหลือ จากท่านรองผู้กำกับ ตำรวจสากลกองการต่างประเทศ แต่ท่านก็บอกว่า ที่ไต้หวันไม่มีสำนักงานตำรวจสากลที่ท่านสามารถประสานงานได้ แต่ท่านก็ได้ทำหนังสือส่งไปให้ ท่านบอกว่าท่านช่วยได้แค่นี้จริงๆ ดิฉันก็ซาบซึ้งในการทำงานช่วยเหลือของท่านที่ทำให้ทันที และไม่ส่งเรื่องต่อให้คนอื่นรับผิดชอบ"

ในเมื่อการติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐในฐานะคนไทยที่น้องชายหายตัวไปในต่างประเทศ จะมีอยู่คำตอบเดียวคือ
"รอ" แต่การรอคอยโดยไม่มีจุดหมายไม่ใช่ทางเลือกครอบครัว การแสวงหาที่พึ่งใหม่จึงเริ่มขึ้น "วันที่ 18 ธันวาคม ดิฉันได้โทรปรึกษาศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ สังกัดมูลนิธิกระจกเงา ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ให้ส่งรายละเอียดไปให้ โดยดิฉัน ได้ส่งไปทางเมล์ และในวันถัดมาก็ได้รับการติดต่อจากหัวหน้าศูนย์ฯ ในการขอข้อมูลเพิ่มเติม และได้ขอเวลาหาข้อมูลว่าควรจะดำเนินการอะไรได้ต่อไป โดยประสานงานไปตามหน่วยงานหรือมูลนิธิอื่นๆ และหลังจากนั้นก็ได้คำอธิบายว่าจากการสอบถามผู้มีประสบการณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทราบว่า key man ที่สำคัญในเรื่องนี้คือ หัวหน้าศูนย์แรงงานไทยในไทเป เพราะถ้าเขาจริงจังกับกรณีนี้ติดตามให้อย่างใกล้ชิด เราก็จะได้ความคืบหน้าเร็วที่สุด เลยแนะนำให้ โทรไปบอกล่าม ขอใบแจ้งความจากสถานีตำรวจ เปรียบเสมือนว่าล่ามเป็นตัวแทนญาติ หรือผู้ปกครอง เข้าไปขอความช่วยเหลือตัวแทนภาครัฐของไทย ส่วนทางมูลนิธิจะประสานไปยังเออัครราชทูตฝ่ายแรงงาน ประจำไต้หวัน"


 


"ดิฉันเคยโทรคุยกับเพื่อนคนไทยของอู๊ดในแคมป์เขาเล่าว่า ล่ามสั่งห้ามคนไทยที่รู้เห็นเหตุการณ์ที่อู๊ดหายตัวไปพูดเรื่องนี้ และเพื่อนเสียใจมากต่อเหตุการณ์ที่อู๊ดหายเนื่องจากก่อนที่อู๊ดจะหายไปในตอนเย็นวันที่ 10 ธ.ค. อู๊ดได้เดินออกจากแคมป์ไปครั้งหนึ่งแล้วในตอนเช้าแต่เพื่อนๆ ที่จะไปทำงานเห็นพอดีเลยวิ่งไปดึงกลับมา แล้วเพื่อนก็ได้ฝากอู๊ดให้ล่ามและกำชับว่าดูให้ดีๆนะคนป่วยเดินได้ไกลแล้วจะออกจากแคมป์แล้ว ผมฝากดูน้องผมหน่อย และเมื่อเขามาทราบว่าน้องหายไปอีกและช่วยกันหาแล้วไม่เจอเขาเสียใจมากกินเหล้าจนเมา ต่อว่าล่ามรุนแรงจนเกือบจะชกต่อยกัน หลังจากวันนั้นเขาถูกหัวหน้างานเรียกพบ และตักเตือนว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก จะถูกส่งกลับไทย"


 


ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาได้โทรไปคุยกับเพื่อนๆ อู๊ดที่ไทเป แม่จึงขอร้องให้ น้าแก้วพาเพื่อนๆ ออกตามหาให้ด้วย ซึ่งพวกเขาก็เต็มใจออกไปตามหากัน 2 วันที่หยุด ก่อนออกตามหาเขาก็ได้เซ่นไหว้เจ้าที่กันก่อน น้าแก้วชวนเพื่อนคนไทยได้วันแรก สิบกว่าคน วันที่สองที่ไปคือวันที่ 1 ม.ค.51 ไปกันสามสิบคนได้ ไปหาตามภูเขาใกล้ๆ โดยล่ามเอารถกระบะไปส่ง ระหว่างที่ออกหาพวกเขาก็นำป้ายประกาศที่มีรูปอู๊ดติดอยู่ด้วยไปติดตามทางเดินที่เขาผ่านกัน นับว่าเราได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนคนไทยเป็นอย่างดีมาก"


"ครอบครัวได้คุยกันว่าเราจะรอฟังข่าวจากไต้หวัน จนถึงวันหยุดปีใหม่ ถ้ายังไม่ได้ตัวเขาเราจะไปไต้หวันกันเอง โดยดิฉันกับน้อง(อ๊อด) จะไปเองโดยจะศึกษาข้อมูลก่อน เช่น 1.ถ้าไปจะขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้างเพื่อมาทำหน้าที่ล่ามให้เรา (เรามีค่าจ้างที่จำกัด) 2.จะไปในลักษณะไหน เช่นจะเดินเพื่อแจกใบปลิวรูป และเบอร์โทรติดต่อ หรือเราจะหาทางเพื่อให้ได้ออกตามสื่อ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์ 3.พวกเราจะไปกันอย่างประหยัด เนื่องจากเราต้องการเก็บเงินไว้ เผื่อว่าทำทุกหนทางยังไม่เจอ เราจะใช้เงินที่เหลือเพื่อจ้างนักสืบ หรือ ลงโฆษณา พร้อมให้รางวัลคนที่แจ้งด้วย"


 


"คุณพ่อบอกว่าอู๊ดมีเงินที่ส่งมาประมาณ 1 แสนบาท ก็เหลือไว้ซัก /สองหมื่น เพื่อทำบุญ ที่เหลือจะใช้ติดตามเขาได้เลย ดิฉันกับอ๊อดนั้นไม่ต้องการใช้เงินเขา ก็จะออกค่าใช้จ่ายในการไปไต้หวันกันเอง แต่ถ้าจำเป็นเราจะใช้เงินของเขา เพื่อให้เป็นรางวัลคนแจ้ง เพราะเราต้องการคนมามากกว่าต้องการเก็บเงินเขาไว้โดยที่เขาอาจไม่มีโอกาสใช้มัน"


 


"เงินที่จ่ายไปแม้ไม่คุ้มค่าอะไร แต่เราจะลองทำ มันเป็นการชี้ให้เห็นว่าเรารอความหวังจากใครไม่ได้แล้ว เราต้องลงมือทำเอง และดิฉันเชื่อว่าต้องมีคนสนใจการกระทำของเราอย่างแน่นอน แม้จะไม่ประสบความสำเร็จแต่เราจะทำเพื่อเขา เราจะทำให้ทุกคนรู้ว่าชีวิตเขาสำคัญ ถึงเขาจะเป็นเพียงผู้ใช้แรงงาน เขาไม่ใช่บุคคลสำคัญระดับชาติ แต่เขาสำคัญที่สุดในครอบครัว โดยเฉพาะต่อชีวิตต่อจิตใจของพ่อแม่ของเขา และเป็นตัวอย่างให้แรงงานไทยได้เห็นว่า พวกเขาควรจะได้รับการเอาใจใส่เหมือนๆกับคนที่นั่นเหมือนกัน"


 


000


 


ข้อมูลเพิ่มเติม
ชื่อ นายประสิทธิ์ สมอินทร์ (อู๊ด)
บัตรประชาชนเลขที่ 3 4113 00170 795
หมายเลข passport X622919
ที่อยู่ เลขที่ 169 Chung-kang south road, Tai-san shian,Taipei county, Taiwan R.O.C.
ประสิทธิ์เดินทางไปทำงานก่อสร้างที่ประเทศไต้หวัน โดยผ่านพิธีการที่ถูกต้องตามกฏหมาย ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 กับบริษัท CTCI


 


ติดตาม "ตามอู๊ดกลับบ้าน" โดย มยุรี เก่งเกตุ พี่สาวของอู๊ดได้ที่ http://helpprasit.blogspot.com/


  

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net