Skip to main content
sharethis


 


วานนี้ (28 ม.ค.) ที่ศาลปกครองกลาง กรุงเทพฯ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นำโดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล กับพวกรวม 5 คน ยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองออกหมายบังคดีให้ คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้ถูกฟ้องที่ 1-4 ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่ให้แบ่งแยกทรัพย์สินของ ปตท. ในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้แล้วเสร็จก่อนการจัดตั้งคณะกรรมการประกอบกิจการพลังงาน เพราะผู้ถูกฟ้องทั้งสี่ยังไม่ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ครบถ้วน จึงขอให้ศาลปกครองสูงสุดไต่สวนและออกหมายเรียกผู้ฟ้องคดีทั้งสี่มาให้ถ้อยคำ และออกหมายบังคับคดีและกำหนดวิธีการบังคับคดี ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่แสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและมูลค่าทรัพย์สินทุกรายการที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และดำเนินการโอนคืนกระทรวงการคลัง


 


ทั้งนี้คำร้องที่ยื่นต่อศาลฯ ระบุว่า คดีนี้ ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ ร่วมกันกระทำการแบ่งแยกทรัพย์สิน ในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดิน เพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจ และสิทธิ ในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐ ออกจากอำนาจและสิทธิของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ทั้งนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ซึ่งตามกฎหมายระบุให้มีการตั้งคณะกรรมการฯในกำหนด 120 วัน


 


ต่อมา เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการประกอบกิจการพลังงาน ตามพระราชบัญญัติประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 จำนวน 7 คน ทำให้ครบเงื่อนเวลาที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกฟ้องคดียังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ครบถ้วน


 


กล่าวคือ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่เพียงแต่กระทำการแยกทรัพย์สิน ที่ดินและสิทธิในการใช้ที่ดิน ท่อส่งก๊าซธรรมชาติและอุปกรณ์ คือ ที่ดินที่ได้มาโดยการใช้อำนาจเวนคืนจำนวน 32 ไร่ ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยองและสิทธิเหนือที่ดิน รวมทั้งระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ที่อยู่ในที่ดินดังกล่าว และท่อในโครงการบางปะกง-วังน้อย โครงการชายแดนไทยพม่า-ราชบุรี โครงการราชบุรี -วังน้อย มูลค่า 15,139 ล้านบาท จากมูลค่าที่แท้จริงที่สูงกว่าหลายเท่าตัว


 


ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ยื่นคำร้องต่อศาลฯ ว่า ยังมีทรัพย์สินของผู้ถูกฟ้องคดีที่สี่ ที่ต้องโอนคืนกระทรวงการคลังอีกเป็นจำนวนมาก โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่พยายามปิดปัง บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมทำบัญชีแบ่งแยก ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งห้าได้ตรวจพบเบื้องต้นมีรายการดังต่อไปนี้


 


หนึ่ง ระบบท่อทั้งหมด ซึ่งมีความยาวทั้งสิ้น 3,523 กม. แบ่งเป็น ระบบท่อบนบกความยาว 3,384 กม. ระบบท่อส่งก๊าซในทะเลยาว 1,369 กม. ระบบท่อจัดจำหน่ายยาว 770 กม.


 


สอง ระบบท่อที่กำลังดำเนินการก่อสร้างตามแผนแม่บทฉบับที่ 3 ซึ่งใช้งบลงทุนของรัฐ จำนวน 157,102 ล้านบาท ได้แก่ หน่วยเพิ่มความดันที่กาญจนบุรี ลงทุน 2,888 ล้านบาท หน่วยเพิ่มความดันสำรองที่ราชบุรี ลงทุน 529 ล้านบาท ท่อไทรน้อย-โรงไฟฟ้าพระนครใต้-พระนครเหนือ ลงทุน 10,323 ล้านบาท ท่อในทะเล-บนบก อาทิตย์-PRP-ระยอง-บางประกง 57,922 ล้านบาท


 


ท่อบนบก วังน้อย-แก่งคอย 6,249 ล้านบาท หน่วยเพิ่มความดันบนบก-ในทะเล 11,968 ล้านบาท ท่อในทะเล-JDA-อาทิตย์ เงินลงทุน 11,884 ล้านบาท หน่วยเพิ่มความดันบนบกกลางทาง 4,917 ล้านบาท ท่อบนบกระยอง-บางประกง-วังน้อย-Compressor ลงทุน 21,209 ล้านบาท ท่อในทะเล KP 361 -ราชบุรี ลงทุน 23,907 ล้านบาท ท่อในทะเลไปทับสะแก ลงทุน 5,306 ล้านบาท


 


สาม ระบบท่อของโครงการไทยมาเลเซีย ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนไทย-มาเลเซียในสัดส่วน 50: 50 มูลค่าทรัพย์สินส่วนที่อยู่ในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 15,062 ล้านบาท ได้แก่ ท่อจากแปลง A 18 ในเจดีเอ ถึงอำเภอจะนะยาว 227 กิโลเมตร ท่อจากอำเภอจะนะ-ชายแดนรัฐเคดาห์ 98 กิโลเมตร รวมความยาวทั้งสิ้น 325 กิโลเมตร โรงแยกก๊าซหน่วยที่ 1 และ 2 ที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา


 


สี่ โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1(ระยอง, พ.ศ. 2528) โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 2 (ระยอง, พ.ศ.2531) โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 3 (ระยอง, พ.ศ.2536) โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่4 (นครศรีธรรมราช, พ.ศ. 2536) คลังก๊าซแอลพีจี 6 แห่ง ตั้งแต่ปี 2526-2530 คลังสำรองผลิตภัณฑ์เขาบ่อย่า คลังปิโตรเลียม 7 แห่ง คลังน้ำมัน 3 แห่ง คลังก๊าซ 1 แห่ง ท่าเทียบเรือ 7 แห่ง เป็นต้น


 


คณะรัฐมนตรี ยังได้มีมติเห็นชอบการร่วมลงนามระหว่าง ปตท.และ ปิโตรนาส ตามโครงการร่วมทุนไทยมาเลเซีย ซึ่งการลงนามให้มีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 28 มกราคม 2551 โดยที่ยังไม่ได้มีการแบ่งแยกทรัพย์สินส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ ปตท. ใช้อำนาจรัฐโอนไปของตนเองโดยมิชอบ ตามคำพิพากษา ออกให้เสร็จสิ้นก่อนการเซ็นสัญญา รวมทั้งยังอนุญาตให้ ปตท.ร่วมทุนและแสวงหาผลประโยชน์จากธุรกิจที่ต่อเนื่องดังกล่าวได้อีกด้วย ทั้งที่ ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาแล้วว่า ปตท.มิใช่องคาพยพของรัฐอีกต่อไป


 


ดังนั้น การทำธุรกิจของบริษัทเอกชนกับกลุ่มทุนต่างชาติ โดยนำเอาทรัพย์สินของรัฐไปร่วมลงทุนโดยฝ่าฝืนคำพิพากษา ย่อมทำให้ประชาชนไทยและรัฐไทยสูญเสียผลประโยชน์ของชาติ ที่ควรจะได้รับจากสาธารณสมบัติของแผ่นดินเหล่านี้ เป็นการแสดงพฤติกรรมที่หลีกเลี่ยงกฎหมายและเอาเปรียบประชาชนผู้จำเป็นต้องบริโภคพลังงานที่ผูกขาดโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่สี่เป็นอย่างยิ่ง


 


คำร้อง ระบุอีกว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ยังมิได้ตรวจสอบความถูกต้องของรายการทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติและโอนคืนให้แก่กระทรวงการคลังโดยครบถ้วนก่อนการจัดตั้งคณะกรรมการประกอบกิจการพลังงาน แต่กลับเร่งรัดเสนอชื่อแต่งตั้งคณะกรรมการฯเพื่อปิดคดียืนยันว่าได้แบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเสร็จสิ้นเพียงเท่าที่ได้จัดทำใน 3 โครงการดังกล่าวแล้ว การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่จึงไม่ชอบด้วยคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด


 


ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าจึงขอศาลปกครองสูงสุด ได้โปรดไต่สวนและออกหมายเรียกผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่มาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับทรัพย์สินและสิทธิของผู้ถูกฟ้องคดีที่สี่ ในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่จะต้องโอนคืนให้กระทรวงการคลัง และออกหมายบังคับคดี กำหนดวิธีการบังคับคดี ที่จะต้องดำเนินการดังต่อไปนี้


 


1) ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่แสดงรายการบัญชีทรัพย์สิน และมูลค่าทรัพย์สินทุกรายการที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่จะโอนคืนกระทรวงการคลังตามคำพิพากษา โดยรวมเอาท่อส่งก๊าซธรรมชาติและอุปกรณ์ที่ประกอบกันเป็นระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเลตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าตรวจสอบพบดังรายการข้างต้น โอนคืนให้กระทรวง การคลังด้วย


 


2) ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่แสดงกระบวนการ วิธีคิดคำนวณราคาในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินส่งให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบและให้ความเห็นชอบก่อนจึงถือเป็นราคาประเมินที่ศาลจะบังคับใช้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา


 


3) ให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระค่าเช่าให้กระทรวงการคลัง จากการใช้ทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ นับแต่วันที่เข้าใช้ทรัพย์ จนถึงวันที่ศาลมีคำพิพากษาและนับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษาจนกว่าจะทำสัญญาเช่ากับกระทรวงการคลังแล้วเสร็จ โดยให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้คิดคำนวณกำหนดอัตราค่าเช่า


 


ทางผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ยังขอเข้าร่วมรับฟัง ซักถามและให้ถ้อยคำ พยานหลักฐานเพื่อประโยชน์ในการบังคับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ครบถ้วน และเป็นธรรมต่อผู้บริโภคอันเป็นการปกปักรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะด้วย หากปรากฏว่าศาลมีข้อขัดข้องไม่อาจดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือจำเป็นต้องกำหนดวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา ขอให้ศาลใช้อำนาจออกคำสั่งเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องดังกล่าวตามความจำเป็นและสมควรแก่กรณีเพื่อประโยชน์ต่อแผ่นดิน


 



โดยศาลรับคำร้องไว้พิจารณาพิจารณาเพื่อมีคำสั่ง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net