พิณผกา งามสม
ไม่แปลกที่การเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซียจะไม่เป็นข่าวใหญ่หรือถูกรายงานต่อเนื่องแบบการเลือกตั้งของสหรัฐ นั่นเป็นเรื่องเข้าใจได้ในเมื่อกูรูทั้งหลายต่างก็รู้อยู่แก่ใจไม่ต้องวิเคราะห์คาดเดาอะไรให้มาก เพราะถึงอย่างไร แนวร่วมของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล (Barisan Nasional - BN) ที่นำโดยพรรคอัมโน (United Malays National Organisation, UMNO) ที่ปกครองประเทศแบบหนังไม่ยอมเปลี่ยนม้วนจะต้องกวาดที่นั่งในสภาในระดับเพียงพอแก่การเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพอีกสมัย (ปี 2004 พรรค UMNO และพรรคแนวร่วมในรัฐบาลกวาดไป 199 ที่นั่ง จาก 219 ที่นั่ง ในสภาผู้แทนราษฎร หรือ 93 เปอร์เซ็นต์) และมาเลเซียปีนี้ก็จะยังคงเป็นมาเลเซียที่ใช้นายกรัฐมนตรีเพียง 5 คนภายในเวลา 51 ปี นับจากประกาศอิสรภาพในปี 1957
การยุบสภาแบบไม่มีลางบอกเหตุนั้นถือเป็นการเล่นบนความได้เปรียบของพรรคอัมโน ซึ่งได้กระทำมาเป็นปกติ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่พรรคฝ่ายค้านแทบจะตั้งตัวไม่ติดกันเลยทีเดียวในการเลือกตั้งทุกครั้ง และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดการรวมตัวกันกว่า 40 องค์กรทั้งพรรคฝ่ายค้าน องค์กรแรงงานและองค์กรพัฒนาเอกชน ในนามของ BERSIH เพื่อเรียกร้องการเลือกตั้งที่เสรี (Free) และเป็นธรรม (Fair) โดยมีการเดินขบวนครั้งใหญ่ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว โดยมีผู้เข้าร่วมเรียกร้องกว่า 40,000 คน
เหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงโดยปราศจากความรุนแรง ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในมาเลเซีย ซึ่งส่วนมากจบลงโดยความรุนแรงและแกนนำของการเคลื่อนไหวมักถูกจับกุมและปล่อยตัวในเวลาต่อมา กระทั่งเป็นเรื่องที่ไม่ต้องตกใจหากนักกิจกรรมทางสังคมของมาเลเซียคนใดคนหนึ่งจะบอกกับคุณว่า เขาถูกจับกุมคุมขังมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง
คำถามว่า ทำไมพันธมิตรทางการเมืองในนาม BERSIH จึงต้องออกมาเรียกร้องทั้งๆ ที่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่า การเลือกตั้งจะถูกจัดให้มีขึ้นเมื่อไหร่ คำตอบที่ได้ ก็คือสิ่งเดียวกับคำถามนั่นเอง.... ก็เพราะที่ผ่านมา ประชาชนคนมาเลย์และพรรคฝ่ายค้าน เผลอๆ รวมถึง ส.ส. ในพรรครัฐบาลเองก็ไม่รู้ว่า การเลือกตั้งจะถูกจัดขึ้นเมื่อไหร่ พวกเขารู้ว่ารัฐบาลมาเลเซียมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดที่รอจนครบวาระแล้วจึงประกาศให้มีการเลือกตั้ง และไม่มีรัฐบาลใดประกาศยุบสภาโดยมีเหตุอันคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เช่นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแบบเข้มข้นถึงลูกถึงคน กระทั่งรัฐบาลทำงานต่อไปไม่รอดแบบที่คนไทยมีประสบการณ์บ่อยๆ
คนมาเลเซียคุ้นเคยกับการยุบสภาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และเมื่อใดก็ตามที่มีการประกาศยุบสภา วันเลือกตั้งก็จะถูกประกาศตามมาอย่างกระชั้นชิด เช่นเดียวกับครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย นายบาดาวี ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ และกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 8 มีนาคม.... 3 สัปดาห์เท่านั้นสำหรับการเตรียมตัวฟาดฟันกันในสนามการเมืองครั้งสำคัญ การเป็นผู้กำหนดจังหวะเปิดเกม คือแต้มต่อที่สำคัญประการหนึ่งที่พรรคอัมโนใช้เอาชนะคู่แข่งทางการเมือง แต่มันย่อมไม่ใช่เพียงแค่นี้
ฝันใหญ่ นโยบายระยะยาว จุดแข็งของรัฐบาลอัมโน
คอร์รัปชั่นและการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติเป็นประเด็นหลักที่รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคอัมโนถูกโจมตีมาอย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายค้านหรือนักกิจกรรมทางสังคม โดยใช้ความรุนแรงและละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่นกรณีที่ปฏิบัติต่อนายอันวาร์ อิบราฮิม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผู้เคยเป็นทายาททางการเมืองของมหาเธร์ เหล่านี้เป็นจุดอ่อนของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคอัมโน
แต่จุดอ่อนนี้ ยังดำเนินต่อไปภายใต้จุดแข็งของพรรค นั่นคือแนวทางการพัฒนาประเทศที่ชัดเจน และวางแผนระยะยาวนับแต่วาระแรกที่พรรคอัมโนได้ทำหน้าที่บริหารประเทศกันเลยทีเดียว
การมองไปข้างหน้าของพรรคอัมโน ได้สร้างความฝันใหญ่ๆ เช่นการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้แนวนโยบายใหม่ New Economic Policy (NEP) ที่ประกาศตั้งแต่ปี 1971 รวมถึงพร้อมจะก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2020 อันที่จริงนี่เป็นเป้าหมายของอาเซียน แต่มาเลเซียพยายามอย่างจริงจังที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น
อย่างไรก็ตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของมาเลเซีย แม้ในการประชุมล่าสุดของพรรคอัมโนในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วจะกล่าวว่า มุ่งให้เกิดความเท่าเทียมกันของชนเชื้อชาติต่างๆ ในมาเลเซีย (เชื้อชาติมาเลย์เป็นเชื้อชาติของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ คือประมาณ 40% ที่เหลืออีกกว่า 33% เป็นชาวจีน อีก 10% เป็นชาวอินเดีย อีก 10% ที่เหลือเป็นชนพื้นเมืองบนเกาะบอร์เนียว ประมาณ อีก 5%เป็นชาวไทย และชนชาติอื่นๆ อีก 2%) แต่ก็มีรายงานออกมาว่า การอภิปรายของสมาชิกพรรคอัมโนเองนั้นมีเนื้อหากีดกันเชื้อชาติ เหตุการณ์ที่สนับสนุนข้อวิพากษ์วิจารณ์นี้เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อประชาชนชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียราว 300 คนก็ออกมาเดินขบวนอีกครั้งหลังจากที่พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวหลายครั้งเมื่อปีที่แล้ว และรวมถึงการถูกกระทำ ก่อนจากเจ้าหน้าที่ด้วย เช่นกรณีการเผารถยนต์ หรือเข้าจับกุมแกนนำนักเคลื่อนไหวเชื้อสายอินเดียโดยปราศจากข้อหาขณะที่เขาเดินทางไปทำงานตามปกติ
การชุมนุมครั้งนั้นจบลงด้วยความรุนแรงเช่นเคยโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังสลายการชุมนุม รวมทั้งมีการใช้แก๊สน้ำตาและปืนแรงดันน้ำด้วย รวมถึงจับกุมผู้เข้าร่วมการชุมนุมกว่า 20 ราย จาก 300 ราย
ผู้ชุมนุมชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียเคยเดินขบวนประท้วงรัฐบาลหลายครั้งในปี 2550 ที่ผ่านมา เพื่อต่อต้านการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการศึกษา ซึ่งผู้ชุมนุมกล่าวว่า เป็นการกีดกันทางเชื้อชาติ เนื่องจากรัฐมักเปิดโอกาสให้แก่ประชาชนที่มีเชื้อสายมลายูและจีนได้รับสวัสดิการและความช่วยเหลือด้านต่างๆ มากกว่าสิ่งที่รัฐหยิบยื่นให้ประชาชนเชื้อสายอินเดียและเชื้อสายอื่นๆ
นี่ไม่ใช่การกล่าวหากันลอยๆ แต่เป็นแนวทางที่ผูกพันอยู่กับพรรคอัมโนมาตั้งแต่แรกตั้ง และติดพันอย่างดึงออกจากกันไม่ได้จากการประกาศอิสรภาพและสถาปนาประเทศมาเลเซีย ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ เชื้อชาติมาเลย์จะต้องมีส่วนในการถือครองกิจการพานิชย์ต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ภายใต้นโยบาย ภูมิบุตร (Sun of Soil) ที่รัฐบาลมาเลเซียรับรองสถานะที่พิเศษกว่าของชนชาติมาเลย์ ปัญหานี่ไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาภายในพรรคอัมโนที่สร้างความร้าวฉานภายในพรรคตั้งแต่ยุคก่อตั้งเป็นต้นมา หากแต่เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่ดำเนินไปพร้อมๆ กับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของมาเลเซีย
อีกหนึ่งความฝันของมาเลเซียคือการเป็นศูนย์กลางการพัฒนาด้านมัลติมีเดียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้โปรเจกต์ Multimedia Super Corridor (MSC) ซึ่งถูกปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่องโดยการสร้างCyberjaya ที่ไม่เป็นเพียงเมืองไอทีแต่ยังรวมถึงการสร้างมหาวิทยาลัยด้านไอทีด้วย ทำให้เทคโนโลยีด้านไอทีของมาเลเซียก้าวตามหลังเพียงสิงคโปร์เท่านั้นในบรรดาประเทศอาเซียน ตัวเลขคนเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในมาเลเซียปี 2007 คือ 14,904,000 ล้านคนจากจำนวนประชากรทั้งสิ้น 28,294,120 นั่นคือกว่าครึ่งของคนมาเลย์เข้าถึงอินเตอร์เน็ต
พร้อมๆ ไปกับความก้าวหน้าขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งของการพัฒาไอที คอร์รัปชั่นก็ดำเนินควบคู่กันไปเหมือนขาซ้ายกับขาขวา รายชื่อผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตและ ผู้ได้รับดำเนินการสัมปทานดาวเทียม ไม่มีหลุดโผไปจากเครือข่ายใกล้ชิดกับนักการเมืองในพรรครัฐบาล และรวมถึงหลายกรณีที่ดำเนินการภายใต้บริษัทเพื่อการลงทุนของพรรคอัมโนเอง (UMNO Investment Company)
อีกยาวนานที่ฝ่ายค้านยังคงต้องเป็นฝ่ายค้าน
ไม่ใช่ว่าคนมาเลเซียไม่มีความรับรู้ใดๆ เลยเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลในการบริหารประเทศ เพราะในช่วงปีที่ผ่านมาคะแนนความนิยมของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันก็ตกลงอย่างมากจากความสามารถในการรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาคอร์รัปชั่น รวมถึงสื่อทางเลือกยังรายงานแนวโน้มที่คนมาเลย์เชื้อสายอินเดียจะไปเทคะแนนให้กับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน อันเนื่องมากจากปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่ 'ภูมิบุตร' โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนมาเลย์เชื้อสายอินเดียที่ถูกปฏิบัติเสมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง
และขณะที่กระแสหลักของมาเลเซียถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากรัฐบาล ทั้งการเซ็นเซอร์และการเข้าถือครองหุ้นส่วนในสื่อกระแสหลักรายใหญ่ๆ แต่สื่อทางเลือกของมาเลเซียก็มีบทบาทโดดเด่นในการนำเสนอข่าวสารเพื่อคัดง้างกับรัฐบาล และรวมถึงนักกิจกรรมทางสังคมและนักการเมืองฝ่ายค้านที่หลั่งไหลเข้าไปใช้พื้นที่ในโลกไซเบอร์เพื่อทดแทนข้อจำกัดในพื้นที่จริง ที่รัฐบาลมีทั้งข้อได้เปรียบและไม่อายที่จะใช้ข้อได้เปรียบทุกประการที่มี รวมถึงอำนาจรัฐและความรุนแรง
แม้ว่าโลกไซเบอร์ที่กลายมาเป็นพื้นที่ต่อสู้ของฝ่ายค้านในมาเลเซีย จะเป็นเหมือนหนามยอกอกที่งอกงามขึ้นจากนโยบายพัฒนาไอทีอันได้ผลสัมฤทธิ์สูงเองนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้บอกว่า การเมืองของมาเลเซียจะเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้.... เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือแนวร่วมและแนวทาง
แนวร่วมพรรคฝ่ายค้านหรือที่รวมตัวกันเป็นแนวร่วมทางเลือกของมาเลเซียนั้นยังไม่สามารถต่อกันติดและเชื่อมประสานกันอย่างกลมกลืน ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับแนวร่วมแห่งชาติมาเลเซียที่ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลอยู่ พรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็งและยืนยาวอย่างปาส ซึ่งยึดครองพื้นที่ในรัฐกลันตัน และตรังกานู มีแนวทางที่ชัดเจนในตัวเอง นั่นคือ การดำเนินนโยบายตามแนวทางของศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด ในขณะที่พรรคการเมืองน้องใหม่อย่างเกออาดิลัน แม้จะได้รับการยอมรับอย่างสูงจากนักกิจกรรมทางสังคมเพราะเป็นการรวมตัวจากนักกิจกรรมระดับหัวกะทิ ทว่าในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วกลับได้ที่นั่งเพียง 1 ที่นั่งจากหัวหน้าพรรค ดร. วัน อาซีซาร์ ภรรยาของอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำพรรคคนปัจจุบัน
แนวทางหลักแนวร่วมทางการเมืองเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับประชาชาติมาเลย์ เน้นไปที่การตรวจสอบ เปิดประเด็นการคอร์รัปชั่น และการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก แนวร่วมทางเลือกใหม่ของมาเลเซียจึงทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านที่ดีมาโดยตลอด
แม้ว่านักการเมืองฝ่ายค้านและนักกิจกรรมทางสังคมจะอธิบายว่า คนมาเลเซียต้องการข้อมูลที่ดีกว่านี้และต้องมีความรับรู้ทางการเมืองที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อที่เขาจะได้หลุดพ้นจากนักการเมืองคอร์รัปชั่นและนโยบายเลือกปฏิบัติต่อชาติพันธุ์ภายใต้การนำของพรรคอัมโนและพรรคแนวร่วม ทว่าขณะที่พรรครัฐบาลได้รับเสียงท่วมท้นจากประชาชนซึ่งวางใจให้ดำเนินการบริหารประเทศมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อหันไปมองสภาชิกสภาแห่งรัฐที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ประชาชนกลับเทคะแนนเสียงให้กับพรรคฝ่ายค้าน
คาดว่าโมเดลทางการเมืองของมาเลเซียจะยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ ตราบเท่าที่ฝ่ายรัฐบาลยังคงสามารถนำเสนอนโยบายและแสดงให้เห็นว่า สามารถบริหารประเทศต่อไปอย่างราบรื่น ขณะที่แนวร่วมของพรรคฝ่ายค้าน ก็ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขัน...นั่นอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับประชาชนชาวมาเลเซีย ประชาชนของประเทศจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียงประเทศเดียวที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่มีความอยู่ดีกินดี และกล้าประกาศว่า พวกเขากำลังก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2020
000
ข้อมูลอ้างอิง
Lewis,Glen, "Virtual Thailand: the Media and culture politics in
S.K. Shome, Anthony, "Malay Political Leadership", Routledge Curzon,
ยุบสภาและการเลือกตั้งในมาเลเซีย 2008
รายงานข่าวการเลือกตั้งในมาเลเซีย 2551
รายงาน : มองการเมืองมาเลย์ จับนักกิจกรรมการเมืองแล้ว 16 คน "ตัดไม้ข่มนาม" ก่อนเลือกตั้งปีหน้า
เลือกตั้งรัฐบาลใหม่ในมาเลย์ "น่าเป็นห่วง" สะเทือนถึงไทย ทั้งความมั่นคงและเศรษฐกิจภาคใต้
เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับการเลือกตั้งมาเลเซีย ตามที่รัฐบาลมาเลเซีย ได้ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551 และได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในวันที่ 8 มีนาคม 2551 ซึ่งสำนักงานแรงงานในมาเลเซีย (สนร.มาเลเซีย) ได้รายงานสถานการณ์ทางการเมืองและสถานการณ์การเลือกตั้งให้ทราบแล้วนั้น เพื่อให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งของชาวมาเลเซียมากยิ่งขึ้น สนร.มาเลเซียจึงขอเรียนข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้ 1. การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร รวม 222 ที่นั่ง และสภาแห่งรัฐต่างๆ 12 รัฐ รวม 505 ที่นั่ง (ยกเว้นสภาแห่งรัฐซาราวักซึ่งมีการเลือกตั้งแยกต่างหาก) ทั้งนี้ จำนวนที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้ง ครั้งที่ 11 ในปี 2547 จำนวน 3 ที่นั่งในรัฐซาราวักเนื่องจากมีการแบ่งเขตเลือกตั้งในรัฐซาราวักใหม่ ระบบการเลือกตั้งของ มซ. เป็นแบบเขตๆ ละ 1 คน (Frist-Past-the-post) 2. มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 10,922,139 คน เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งในปี 2547 ประมาณ 6 แสนคน โดยในปี 2547 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 10.28 ล้านคน และในปี 2547 มีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 73.90 ตามรัฐธรรมนูญแห่งรัฐสหพันธรัฐฯ ผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งใน มซ. ต้องมีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป 3. มีพรรคการเมืองส่งผู้แทนรับเลือกตั้ง รวม 22 พรรค แบ่งเป็นพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (Barisan Nasional -BN) 14 พรรค และพรรคฝ่ายค้าน 8 พรรค และมีผู้ลงสมัครอิสระสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 37 คน และสมาชิกสภาแห่งรัฐ 66 คน 4. เขตเลือกตั้งส่วนใหญ่จะมีผู้สมัคร 2 คน เป็นผู้แทนจากแนวร่วมแห่งชาติ 1 คน และจากพรรคฝ่ายค้าน 1 คน แข่งกันแบบ one-to-one fight ยกเว้นในบางเขตเลือกตั้งที่อาจมีผู้สมัครเกินกว่า 2 คน ทั้งนี้ ในวันที่ 24 ก.พ. 2551 ซึ่งเปิดรับสมัครผู้รับเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 7 เขต มีผู้สมัครในแต่ละเขตเพียงคนเดียวจาก BN เท่านั้น (ในรัฐซาราวัก 4 เขต รัฐซาบาห์ 2 เขต และรัฐยะโฮร์ 1 เขต) และเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งรัฐอีก 3 เขต ก็มีผู้สมัครเพียงคนเดียวซึ่งเป็นผู้แทนจาก BN 2 เขต (ในเขตรัฐซาบาห์ 1 เขต และรัฐสลังงอร์ 1 เขต) และจากพรรคฝ่ายค้าน PAS 1 เขต (ในรัฐกลันตัน) และต่อมาเมื่อวันที่ 26 ก.พ 2551 ผู้สมัครอิสระในเขตเลือกตั้ง ส.ส. เขตหนึ่งในรัฐซาบาห์ก็ประกาศถอนตัว ทำให้เลือกผู้สมัครจาก BN เพียงคนเดียวในเขตเลือกตั้งทั้งสอง ดังนั้น ในชั้นนี้ ถึงแม้จะยังไม่มีการเลือกตั้ง BN มีคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรแล้วรวม 8 เสียง และในสภาผู้แทนราษฎรแห่งรัฐ BN มีคะแนนเสียงแล้ว 3 เสียง และพรรค PAS 1 เสียง 5. การเลือกตั้งครั้งนี้ คาดว่า BN จะมีชัยชนะอีกครั้งแต่อาจไม่ได้คะแนนเสียงมากเท่ากับการเลือกตั้ง ครั้งที่ 11 ในปี 2547 ได้คะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรถึงร้อยละ 93 (198 ที่นั่งจาก 219 ที่นั่ง ซึ่งภายหลังชนะ การเลือกตั้งซ่อมในรัฐตรังกานูและได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอีก 1 เสียงเป็น 199 ที่นั่ง) ทั้งนี้ จากสถิติผลการเลือกตั้งในปี 2574 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคฝ่ายค้านได้คะแนนเสียงในรัฐเคดาห์ กลันตัน ปีนัง เปรัค ซาราวัก และกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในขณะที่ในการเลือกตั้งสมาชิกแห่งรัฐ พรรคฝ่ายค้านได้คะแนนเสียงในทุกรัฐ แต่รัฐกลันตันเป็นรัฐเดียวที่พรรคฝ่ายค้าน (พรรค PAS) ได้คะแนนเสียงมากกว่าแนวร่วมแห่งชาติในสภาแห่งรัฐ |
พรรคการเมืองในมาเลเซีย ก. พรรครัฐบาล พรรครัฐบาล นำโดยพรรค UMNO (United Malays National Organization) เป็นพรรคการเมืองหลักที่เป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติ (Barisan Nasional) ซึ่งประกอบด้วยพรรคการเมืองสำคัญ ได้แก่พรรคสมาคมชาวจีนมาเลเซีย MCA (Malaysian Chinese Association) , พรรคสภาอินเดียมาเลเซีย MIC (Malaysian Indian Congress) , พรรคเอกภาพภูมิบุตรอนุรักษนิยม Gerakan, PPBB (Parti Pesaka Bumiputera Bersatu) , พรรคแห่งชาติซาราวัก SNP (Sarawak National Party ) พรรคเอกภาพประชาชนซาราวัก พรรคซาบาห์ก้าวหน้า พรรคองค์การเอกภาพปกสกโมโมกุนคาดาซันและพรรคเสรีประชาธิปไตย สำหรับพรรคอัมโน UMNO นั้นก่อตั้งเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 โดยมี ดาโต๊ะฮูเซ็น ออน เป็นประธาน หลังจากตั้งพรรคได้ซักระยะหนึ่ง ก็มีการเสนอให้คนชาติพันธุ์อื่น เช่น คนเชื้อสายจีนและเชื้อสายอินเดีย เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคประเภทที่ 1 เหมือนคนเชื้อสายมลายูด้วย จึงมีการคัดค้านกันอย่างหนัก พวกสมาชิกเดิมต้องการให้อัมโนเป็นพรรคของพวกที่มีชาติพันธุ์มลายูบริสุทธิ์เท่านั้น จึงกดดันกันมากถึงขนาดคนที่เป็นประธานของพรรคอัมโนคนแรก คือ ดาโต๊ะ ออน ก็ยังอยู่พรรคนี้ไม่ได้ ต้องลาออกไปตั้งพรรคเอกราชสำหรับมลายู โดยให้พรรคใหม่นี่เป็นที่รวมของคนทุกชาติพันธุ์ แต่พรรคเอกราชสำหรับมลายูก็ไปไม่รอด แพ้เลือกตั้งในครั้งแรก พรรคอัมโน UMNO มีแนวนโยบายบริหารประเทศเน้นชาตินิยมแต่ไม่รุนแรง สนับสนุนชาวมาเลย์ให้มีสิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ แนวนโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศหลัก ๆ สรุปได้ดังนี้ 1. ดำเนินนโยบายอย่างเป็นอิสระไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยเฉพาะประเทศตะวันตก 2. พยายามเข้าไปมีบทบาทนำในอาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะกลุ่มประเทศมุสลิม เพื่อเป็นพลังต่อรองกับประเทศตะวันตกในเวทีระหว่างประเทศ 3. พัฒนาการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยโดยไม่ยึดติดกับรูปแบบของประเทศตะวันตก มีแนวดำเนินการของตนเองและให้ความสำคัญต่อเรื่องความมั่นคงภายในประเทศเป็นสำคัญ หลังจาก ตุน ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด (บรรดาศักดิ์ของมาเลเซีย ในระดับชาติ พระราชาธิบดีทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้คนมาเลเซียหรือคนต่างชาติที่ทำความดีความชอบให้ดังนี้ อันดับ 1 ตุนหรือตวน , อันดับ 2 ดาโต๊ะ , อันดับ 3 ตัน ศรี) ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31ตุลาคม 2546 ดาโต๊ะ ซรี อับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2546 ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2547 มาเลเซียจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป (หลังการยุบสภาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2547) ซึ่งผลปรากฏว่า พรรค UMNO และกลุ่มพรรคแนวร่วมแห่งชาติ Barison Nasional (BN) ชนะการเลือกตั้ง วันที่ 13-19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 พรรค UMNO ได้จัดการประชุมสมัชชาพรรคสมัยสามัญประจำปี 2549 โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะหัวหน้าพรรค UMNO ได้รายงานผลงานและความพยายามของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรค UMNO ว่า 1) ได้ปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้แก่ประชาชน อาทิ การนำเสนอมาตรการในแผนพัฒนามาเลเซีย ฉบับที่ 9 2) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการส่งเสริมการศึกษา 3) ย้ำความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจโดยการสร้างแหล่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ และการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม 4) ส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของภาคราชการ 5) รัฐบาลได้เปิดกว้างรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นทั้งจาก ส.ส. และจากประชาชน 6) ใช้แนวทางทางการทูตและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และย้ำว่าชาวมุสลิมควรปรองดองกัน 7) ส่งเสริมความสมานฉันท์ของคนในชาติ 8) ย้ำหลักการอิสลามสายกลาง ด้วยนโยบาย Islam Hadhari ที่ประชุมพรรค UMNO ยืนยันให้การสนับสนุนหัวหน้าพรรค แต่หลีกเลี่ยงการกล่าวโจมตี ตุน ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าพรรค UMNO ที่ในระยะหลังมีความคิดขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน (ตุน ดร.มหาธีร์ฯ มิได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ เพราะอยู่ในช่วงพักรักษาตัวจากโรคหัวใจ) แม้พรรค UMNO จะสนับสนุนคนเชื้อสายมาเลย์ แต่พรรคก็ต้องระมัดระวังในการรักษาความสมดุลระหว่างคนเชื้อชาติอื่น ๆ ในมาเลเซียด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ ในการอภิปรายระหว่างการประชุมครั้งนี้ สมาชิกบางกลุ่มได้กล่าวโจมตีสิทธิของคนเชื้อชาติอื่น ๆ ข. พรรคฝ่ายค้าน นายอันวาร์ อิบราฮิม สำหรับพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญ คือ พรรค PAS (Parti Islam Se-Malaysia) พรรคกิจประชาธิปไตย DAP (Democratic Action Party) เป็นพรรคตัวแทนของคนมาเลเซียที่เป็นคนจีน พรรค PRM และ พรรคเกออาดิลัน (People's Justice Party , KeADILan) ทั้ง 4 พรรค เป็นพันธมิตรกัน โดยใช้ชื่อว่า Barisan Alternatif หรือ กลุ่มพันธมิตรทางเลือก สำหรับพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย (Parti Islam Se-Malaysia) หรือพรรคปาส เป็นพรรคการเมืองในมาเลเซียที่นิยมแนวทางทางศาสนาอิสลาม พยายามต่อสู้เพื่อผลักดันให้นำหลักนิติศาสตร์อิสลามเป็นรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศ พรรคนี้ประสบความสำเร็จในการทำให้สภานิติบัญญัติของรัฐกลันตัน ผ่านกฎหมายที่มีตามหลักนิติศาสตร์อิสลามได้ใน พ.ศ. 2536 จุดกำเนิดของพรรคเริ่มจากการตั้งพรรคอิสลามมาลายาทั้งมวลเมื่อ พ.ศ. 2494 ซึ่งเป็นพรรคที่ยึดมั่นในหลักการศาสนาและมีอิทธิพลทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ พรรคปาสเข้าเคยเป็นพันธมิตรกับกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติ (Barisan Nasional) เมื่อ พ.ศ. 2516 แต่ถูกขับออกมาเมื่อ พ.ศ. 2520 หลังจากนั้นพรรคมีการเปลี่ยนผู้นำ เน้นนโยบายฟื้นฟูศาสนาอิสลามและจัดตั้งรัฐอิสลาม และกลายเป็นคู่แข่งทางการเมืองของพรรคอัมโน ที่เป็นพรรครัฐบาล ในขณะที่พรรคเกออาดิลัน (People's Justice Party , KeADILan) เป็นพรรคที่รวมกัน สองพรรคคือ พรรค Keadilan Nasional และ พรรค Rakyat Malaysia (PRM) . พรรคนี้มีขึ้นเมื่อปี 1998 อันเนื่องมาจากต้องการปฏิรูประบบการเมืองการปกครองและเรียกร้องความยุติธรรมให้สังคมมาเลเซีย ที่อยู่ภายใต้การปกครองอย่างยาวนานของพรรคอัมโนและเกิดขึ้นหลังจากนายอันวาร์ อิบราฮิม ถูกตัดสิ้นจำคุกจากรัฐบาลตุน ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียขณะนั้น ซึ่งแรกเริ่มนั้นมีนางวันวันอาซีซะฮ์ ภรรยานายอันวาร์ อิบราฮิม เป็นหัวหน้าพรรคซึ่งเป็น ส.ส. หนึ่งเดียวของพรรคที่ชนะเลือกตั้งในปี 2004 ปี 2007 หลังจากนายอันวาร์พ้นผิดท่านก็ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้นำพรรคต่อ ที่มา: ยุบสภาและการเลือกตั้งในมาเลเซีย 2008
|
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)