Skip to main content
sharethis

 

กกต.นัดถกคดี "นอมินี" 11 มี.ค.

 

เว็บไซต์คมชัดลึก -นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึง ความคืบหน้าของสำนวนคำร้องของ นายวีระ สมความคิด กรณีพรรคพลังประชาชน และ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค เป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย ว่า ขณะนี้คณะอนุกรรมการสอบสวนของ กกต. ที่มี นายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน พิจารณาสรุปสำนวน และส่งให้กับ กกต.พิจารณาแล้ว

 

 

         

 

 

"คาดว่าจะนำเข้าสู่ที่ประชุม กกต. ได้ ในวันอังคารนี้ (11 มี.ค.) ส่วนจะลงมติได้เลยหรือไม่ จะต้องขึ้นอยู่กับรายละเอียดและข้อเท็จจริง ซึ่งจะต้องเชิญคณะอนุกรรมการสอบสวนเข้าร่วมชี้แจง ขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาพยานหลักฐานประกอบอย่างรอบคอบ ทั้งจากพยานบุคคลและพยานวัตถุที่เป็นวีซีดี การปราศรัยช่วยผู้สมัครของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการใช้รูปภาพอดีตนายกรัฐมนตรีมาช่วยในการหาเสียง" นายประพันธ์ กล่าว

 

 

         

 

 

อย่างไรก็ตาม นายประพันธ์ เชื่อว่า การพิจารณาจะไม่ส่งผลต่อการตีความวินิจฉัยความหมายของคำว่านอมินี ที่ไม่มีการบัญญัติไว้ในกฎหมาย เพราะสามารถใช้พยานหลักฐานมาพิสูจน์ประกอบกันให้เกิดความชัดเจนได้

 

 

         

 

 

ส่วนผลการสรุปสำนวนการให้ใบแดงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กรณีการทุจริตการเลือกตั้งที่ จ.เชียงราย ซึ่งจะต้องยื่นให้ศาลฎีกาวินิจฉัยนั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า อยู่ในระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ในการจัดทำสรุปเป็นสำนวน และเชื่อว่าจะสามารถจัดทำ พร้อมกับนำเข้าสู่ที่ประชุม กกต.ในสัปดานี้เช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

"ไทยพีบีเอส" ร่วมสถาบันอิศรารายงานข่าวไฟใต้รอบด้าน

 

 

เว็บไซต์มติชน-นายเทพชัย หย่อง กรรมการนโยบาย (ชั่วคราว) องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กล่าวระหว่างการประชุมสัมมนาเพื่อร่วมรับรู้และเฝ้าระวัง 'ไทยพีบีเอส ทีวีสาธารณะของประชาชน' ซึ่งจัดขึ้นโดยคณะวิทยาการสื่อสาร ม.อ.ปัตตานี สถาบันพัฒนาสื่อภาคประชาชน และเครือข่ายองค์กรชุมชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า  การนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมา เป็นการรายงานข่าวในมิติของข่าวอาชญากรรมเพียงด้านเดียว โดยขาดมิติด้านอื่นที่จะสร้างความเข้าใจในพื้นที่ จนเกิดปรากฏการคนชายแดนภาคใต้ไม่ยอมรับสื่อมวลชนไทย แต่ยอมรับสื่อประเทศเพื่อนบ้าน

 

 

 

 

 

นายเทพชัย กล่าวว่า สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสจะเป็นความหวังหนึ่งที่จะนำเสนอข่าวสารให้รอบด้านของชายแดนภาคใต้มากขึ้น โดยไทยพีบีเอสจะร่วมมือกับโต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา ซึ่งตั้งอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ รายงานข่าวสารให้รอบด้านจากพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่ได้รับรู้ความเป็นจริง  นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะใช้ภาษามลายูถ่ายทอดเฉพาะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้อีกด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

แรงงานหญิงยื่นข้อเรียกร้องวันสตรีสากล

 

 

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ -ที่บริเวณหน้าอาคารสหประชาชาติ ได้มีองค์กรสตรี 45 องค์กร อาทิเช่น กลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เครือข่ายสลัม 4 ภาค เป็นต้น มีจำนวนประมาณ 300 คน ได้ชุมนุมรวมตัวกันเรียกร้องสิทธิของสตรีที่ใช้แรงงาน เนื่องใน "วันสตรีสากล" 8 มี.ค.ของทุกปี พร้อมเคลื่อนขบวนยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลที่ทำเนียบ

 

 

         

 

 

นางเพลินพิศ ศรีศิริ ในฐานะประธานกลุ่มบูรณาการสตรี กล่าวว่า ปัญหาสำคัญที่ต้องการให้รัฐบาลช่วย คือการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กที่แม่ต้องไปใช้แรงงานไม่มีเวลาดูแล ซึ่งรัฐบาลช่วยเหลือเปิดศูนย์ขึ้นมาให้พี่เลี้ยงที่มาดูแลก็ทำงานแบบราชการเปิดศูนย์เวลา 07.00 น. ปิดศูนย์เวลา 16.00 น. ส่วนแม่ที่ใช้แรงงานเข้าทำงานเช้า เลิกงานเวลา 18.00 น. ดังนั้น จึงเป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด

 

 

         

 

 

นอกจากนี้ ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือเกี่ยวกับประกันสังคม เพิ่มการคุ้มครองให้กับผู้ประกันตนหรือคู่สมรส เมื่อมีครรภ์และหลังคลอดอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งขยายการคุ้มครองด้านการรักษาพยาบาล ให้กับครอบครัวของผู้ประกันตน ได้แก่ คู่สมรสและบุตร รวมทั้งการปรับค่าจ้างของสตรีที่ต้องการให้เพียงพอต่อการดำรงชีพในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยควรใช้อัตราเดียวกันทั่วประเทศ ที่สำคัญควรมีการปรับโครงสร้างระบบการประกันการมีงานทำ ช่วยเหลือแรงงานที่ถูกเลิกจ้างและว่างงาน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรออกกฎหมายการคุ้มครองสิทธิผู้ใช้แรงงานต้องครอบคลุมแรงงานนอกระบบและแรงงานข้ามชาติ

 

 

         

 

 

"พวกเราสตรีทุกคนขอยืนยันว่า จะมาชุมนุมกันเป็นประจำทุกปีในวันสตรีสากล ผู้หญิงทุกคนในสังคมควรออกมาแสดงพลัง มารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องสิทธิในเรื่องต่างๆ เช่น กฎหมายคุ้มครองเจริญพันธุ์ ควรให้สตรีมีสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย ในการตัดสินใจจะตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งครรภ์ ไม่เช่นนั้น ถ้ามาจำกัดกำหนดข้อห้ามจะทำให้สังคมเกิดปัญหาขึ้นได้ นอกจากนี้เรื่องของการทำซีแอลยารัฐก็ไม่ควรไปยกเลิก เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงยาได้ ส่วนยาต้านเอชไอวีเพื่อลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกในหญิงข้ามชาติติดเชื้อที่ตั้งครรภ์ทุกคน เขาไม่ควรที่จะเสียค่าใช้จ่าย ไม่ว่าหญิงคนนั้นจะมีบัตรหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้รัฐควรจะคุ้มครองสิทธิแรงงานอย่างเท่าเทียมกันทุกคน"  ประธานกลุ่มบูรณาการสตรี กล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

"สุริยะใส" สวน "นพดล" ใครกันแน่เป็นปัญหาประเทศ จี้เร่งปลดภาพลักษณ์ทนายแก้ต่างแม้ว หวั่นกระทบภาพลักษณ์ประเทศ ยันพันธมิตรฯ เคลื่อนไหวยึดสันติ

 

 

เว็บไซต์แนวหน้า - นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กำลังสับสนระหว่างบทบาททนายแก้ต่างระบอบทักษิณกับบทบาทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ แกล้งลืมไปว่าวิกฤติ เรื้อรังของประเทศเกิดจากคนๆ เดียว คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  ที่พยายามทุกวิถีทางที่จะแทรกแซงและแทรกซึมกระบวนการยุติธรรม สังคมไทยติดหล่มและสูญเสียโอกาสมา 2-3 ปี เพราะคนๆ เดียว อยากถามว่าใครกันแน่เป็นปัญหาประเทศ  และวันนี้ผู้คนในสังคมก็เริ่มกังขากับบทบาทของรัฐบาลนอมินีที่กำลังใช้อำนาจเพื่อคนๆ เดียว โดยเฉพาะการโยกย้ายข้าราชการประจำและการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

 

 

         

 

 

"อยากฝากถึงคุณนพดลว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่ผ่านมาและในวันข้างหน้าเราจะยึดมั่นแนวทางสันติวิถี อยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ซึ่งที่ผ่านมานายนพดล ก็รู้ดีว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ไม่เคยสร้างความรุนแรงหรือใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ต่างกับการเคลื่อนไหวของแนวร่วมต่อต้านเผด็จการ หรือ นปก." นายสุริยะใส กล่าว

 

 

         

 

 

ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วนที่นายนพดล ปัทมะในฐาน รมว.ต่างประเทศต้องเอาใจใส่และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศคือการสร้างความมั่นใจให้ประชาคมโลกเห็นว่า รมว.ต่างประเทศของไทย ไม่ใช่ทนายคอยแก้ต่างให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังถูกดำเนินคดี

 

 

         

 

 

นายสุริยะใส กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ นั้น ได้ระมัดระวังตลอดในเรื่องการยั่วยุท้าทายจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย จะสังเกตเห็นว่าเราพยายามจะไม่ตอบโต้บรรดาลิ่วล้อ พตท.ทักษิณ ชนวัตร เพราะจุดยืนของเราคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องขึ้นศาลพิสูจน์ความผิดในกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ถูกแทรกแซงเท่านั้น และเราจะคัดค้านทุกรูแบบไม่ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอ้างประชาธิปไตยแต่เพียงรูปแบบ แต่เนื้อหาเลวร้ายไม่ต่างจากเผด็จการ

 

 

 

 

 

 

 

 

พม.เร่งสางปมขัดแย้ง "พอช." รุนแรงถึงขั้นตั้งเวทีโจมตีกัน

 

 

เว็บไซต์มติชน -นายสุธา ชันแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) กับเครือข่ายภาคประชาชนบางส่วน จนทำให้เครือข่ายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คว่ำบาตรกิจกรรมต่างๆ ที่ทำร่วมกับ พอช.ไว้ก่อน จนกว่าจะจัดการปัญหาภายในเสร็จว่า ได้สั่งการให้รักษาการปลัด พม.รวบรวมข้อมูลปัญหาต่างๆ ใน พอช.แล้ว ล่าสุด น.ส.สมสุข บุญญะบัญชา ผู้อำนวยการ พอช. ได้มาพบและชี้แจงข้อเท็จจริงบางประการ ซึ่งในความร่วมมือกับเครือข่ายคนทำงานภาคเอกชนนั้น จะดำเนินการตามกรอบกฎหมายที่ระบุไว้ แต่ขณะนี้เครือข่ายภาคเอกชนอาจรู้สึกว่า พม.ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือเท่าที่ควร เนื่องจากเครือข่ายภาคเอกชนทำงานกันไปได้เร็วกว่าอำนาจหน้าที่ที่ พม.มีอยู่ ดังนั้น จึงต้องสร้างความเข้าใจกัน ซึ่งอาจจัดประชุมร่วมกัน

 

 

 

 

 

ข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ พอช. 8 คน ได้ประชุมหารือสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใน พอช. และมีมติทำข้อเสนอไปถึง น.ส.สมสุขให้โยกย้ายเจ้าหน้าที่บางคนให้พ้นจากความรับผิดชอบพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากเป็นผู้ก่อปัญหาให้เกิดความแตกแยก น.ส.สมสุขเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว และจะส่งผู้ช่วยผู้อำนวยการบางรายไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ภาคใต้อีกครั้ง

 

 

 

 

 

ข่าวแจ้งด้วยว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่บางคนได้ระดมผู้ใกล้ชิดเปิดปราศรัยบริเวณลานในสำนักงาน พอช. อ้างว่าเป็นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยกล่าวโจมตีคนที่ไม่เห็นด้วยกับ พอช. รวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์สื่อมวลชน พร้อมกับออกแถลงการณ์โดยใช้ชื่อว่าพันธมิตรกอบกู้ พอช.

 

 

 

 

 

 

 

 

ฮือต้านเด้ง "รองผู้การบุรีรัมย์" มือชงใบแดง พปช.-คดีพ่อชัย

 

 

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - สมัชชาประชาชนภาคอีสาน จ.บุรีรัมย์ พร้อมตัวแทนเครือข่าย 22 องค์กร ได้เข้ายื่นแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ต่อ พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ (ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์) เพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้กับ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.ต.ต.สมหมาย เอง และเป็นฝ่ายสืบสวนสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด (กกต.จังหวัด) บุรีรัมย์

 

 

         

 

 

แถลงการณ์ระบุว่า พ.ต.อ.สังวรณ์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรมมาโดยตลอด แต่กลับถูกคำสั่งย้ายจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ให้ไปช่วยราชการที่ จ.ศรีสะเกษ โดยไม่ได้รับความเป็นธรรม เชื่อว่าการออกคำสั่งย้ายครั้งนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เพราะ พ.ต.อ.สังวรณ์ ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงอำนาจอิทธิพลของนักการเมือง ฉะนั้นการสั่งย้ายน่าจะเกี่ยวข้องกับคดีที่ พ.ต.อ.สังวรณ์ รับผิดชอบ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองชื่อดังในจังหวัด จนเป็นสาเหตุให้ถูกกลั่นแกล้งย้ายออกนอกพื้นที่ 

 

 

         

 

 

นางสำเนียง สุภัณพจน์ ประธานสมัชชาประชาชนภาคอีสาน จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า ขอให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ทบทวนและยุติคำสั่งย้ายดังกล่าว และขอความเป็นธรรมให้กับ พ.ต.อ.สังวรณ์ ด้วย เพราะคำสั่งย้ายอาจจะส่งผลกระทบด้านกำลังใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรมอีกหลายคน

 

 

         

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.สมหมาย ได้รับหนังสือของสมัชชาประชาชนภาคอีสานและองค์กรเครือข่ายเอาไว้ แต่ไม่ได้พูดจาหรือแสดงท่าทีตอบรับหรือปฏิเสธข้อเรียกร้อง

 

 

 

 

 

 

 

 

"มาร์ค" เตือน "ไชยา" อย่าใช้อำนาจบีบปรับย้ายขรก.

 

 

เว็บไซต์สยามรัฐ - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงสาธารณะสุข ที่หลายฝ่ายไม่เห็นด้วยเพราะขาดความเป็นธรรมว่า อยากให้ นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณะสุข หันหน้าปรับความเข้าใจกับข้าราชการ และทบทวนการใช้อำนาจที่อาจเป็นการบีบบังคับข้าราชการจนเกินไป เนื่องจากที่ผ่านมาสังคมจับตาดูการปรับย้ายข้าราชการทั้งในกรมสอบสวนคดีพิเศษ และกระทรวงสาธารณะสุขอยู่ ที่สำคัญอาจเป็นชนวนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา ซึ่งจะส่งผลให้บรรยากาศการทำงานระหว่างข้าราชการกับฝ่ายการเมืองเกิดปัญหาในการบริหารงานแก้ไขความเดือนร้อนให้กับประชาชน

 

 

          

 

 

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาก็มีทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านและเห็นด้วยกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงสาธารณะสุข ทางที่ดีที่สุด รัฐมนตรีกับข้าราชการควรปรับความเข้าใจกัน เพื่อลดบรรยากาศการเผชิญหน้าที่จะมีความรุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนในบ้านเมืองไม่ต้องการเห็น

 

 

 

 

 

 

 

 

สั่งห้ามพระต่อเน็ตเข้ากุฏิหากพบแจ้งจับสึก

 

 

เว็บไซต์คมชัดลึก -นายปานชัย บวรรัตนปราณ ผู้ว่าฯ ขอนแก่น กล่าวว่า มีคำสั่งด่วนแจ้งไปยังสำนักพระพุทธศาสนาทุกอำเภอใน จ.ขอนแก่น ให้แจ้งไปยังเจ้าอาวาสทุกวัดในจังหวัด ตรวจสอบพฤติกรรมของพระลูกวัดทุกรูปเกี่ยวกับการปฏิบัติกิจของสงฆ์ หลังมีพระเล่นไฮไฟว์ชักชวนผู้หญิงมาในกุฏิ สร้างความเสื่อมเสียแก่พุทธศาสนาอย่างมาก โดยมีคำสั่งห้ามพระนำคอมพิวเตอร์ที่ต่ออินเทอร์เน็ตเข้าไปติดตั้งภายในกุฏิ จะมีได้เฉพาะห้องสวดมนต์หรือศาลาวัดเท่านั้น ซึ่งจังหวัดจะส่งเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมฯ และตำรวจเข้าไปตรวจสอบ พร้อมกับการจัดระเบียบ หากพบว่ามีวัดใดฝ่าฝืนจะสอบถามเจ้าอาวาสก่อน จากนั้นจะส่งเรื่องไปยังสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเอาผิดวินัยสงฆ์อาจถึงขั้นจับสึกได้ทันที

 

 

         

 

 

นายปานชัย กล่าวอีกว่า ในช่วงปิดภาคเรียนที่ 2 ประจำปี หรือช่วงปิดเรียนภาคฤดูร้อนที่ใกล้จะถึงนี้ วัดหลายแห่งจัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ซึ่งแน่นอนว่าเด็กยุคใหม่มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์สูง หากพระพี่เลี้ยงดูแลไม่ทั่วถึง สามเณรอาจรวมตัวกันประกอบกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม ยิ่งถ้ามีคอมพิวเตอร์ต่ออินเทอร์เน็ตติดตั้งไว้ในกุฏิ ก็อาจจะทำให้พระ-เณรใช้เล่นไฮไฟว์จีบสาวได้ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดี ไม่เหมาะสม

 

 

         

 

 

อย่างไรก็ตาม ขอสั่งกำชับไปยังเจ้าอาวาสทุกวัดให้ดูแลพระลูกวัดให้ดี ถ้าวัดไหนมีพระนำคอมพิวเตอร์ที่ต่ออินเทอร์เน็ตเข้าไปในกุฏิให้เคลื่อนย้ายออกไปติดตั้งที่อื่น และทุกๆ สัปดาห์จังหวัดจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบทุกวัด เพื่อควบคุมการกระทำกิจของสงฆ์มิให้มีความประพฤติที่ไม่เหมาะสม ขอเน้นย้ำให้เจ้าอาวาสหรือพระพี่เลี้ยงควบคุมพระลูกวัดให้ดี

 

 

         

 

 

ในขณะที่พระครูสิริสารวุฒิคุณ เจ้าคณะตำบลบึงเนียม อ.เมือง จ.ขอนแก่น กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวที่ผู้ว่าฯ ขอนแก่นสั่งมายังเจ้าคณะจังหวัดห้ามพระทั่วจังหวัดขอนแก่นนำอินเทอร์เน็ตเข้าไปกุฏิ ในเรื่องนี้แล้วแต่เจ้าคณะจังหวัดจะมีคำสั่งมา พระทุกวัดยินดีปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว และเป็นเรื่องที่ดี ที่ทุกวัดจะมีการจัดสถานที่ให้พระใช้อินเทอร์เน็ตและให้มีพระพี่เลี้ยงควบคุมดูแลอย่างเคร่งครัด ขณะนี้ยังไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้าคณะจังหวัดแต่อย่างใด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตร.เร่งดำเนินคดี ปิดเว็บไซต์ "เจ้านางกำมะลอ" อ้างเบื้องสูงพระราชทานชื่อหาประโยชน์

 

 

เว็บไซต์มติชน - ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.ฝป.10 บก.ป.เปิดเผยความคืบหน้าคดีของนางษณอนงค์ วันเกิด หรือ อาจารย์เจ้านางษณอนงค์ เครือคำแสนหวี  ที่มีการเปิดเว็บไซต์อ้างเป็นเชื้อพระวงศ์ประเทศเพื่อนบ้าน โดยได้รับพระราชทานชื่อ จนทำให้มีคนหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก ว่าคดีนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการตรวจสอบหาพยานหลักฐาน ไปจนถึงหาตัวผู้เสียหายที่เคยหลงเชื่อในตัวของผู้ต้องหา  จนถึงขั้นบริจาคทรัพย์สินให้ผู้ต้องหาด้วยความสำคัญผิด แต่นางษณอนงค์ กลับนำเงินไปใช้ในเรื่องที่ผิดวัตถุประสงค์ของผู้ที่บริจาค 

 

 

 

 

 

พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า ภายในสัปดาห์หน้าก็จะมีการหารือกับผู้บังคับบัญชาและพนักงานสอบสวนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนเว็บไซต์ดังกล่าวนั้นในขณะนี้ก็ยังเปิดอยู่ ซึ่งตามกฎหมายนั้นการจะปิดเว็บไซต์ใดนั้น ก็ต้องพบว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายหรือไม่  ซึ่งขณะนี้เราก็พบว่ามีการกระทำความผิดกฎหมายจริง  ก็จะได้ดำเนินการนำผลทางคดีไปประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอทำการปิดเว็บไซต์แห่งนี้ต่อไป  ก็ขอให้ประชาชนทั่วไปอย่าไปหลงเชื่อ และขอให้ผู้ที่เคยสนับสนุนพิจารณาดูด้วยว่าจะยังคงให้ความช่วยเหลือต่อไปหรือไม่

 

 

 

 

 

การเข้ารับทราบข้อกล่าวหาของนางษณอนงค์และนายชยุตม์ครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2550 เจ้าหน้าที่สำนักงานราชเลขาธิการ เข้าแจ้งกับ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ว่ามีกลุ่มบุคคลจัดทำเว็บไซต์ www.ajarnann.com ที่มีข้อความระบุว่า ''อาจารย์เจ้านางษณอนงค์ เครือคำแสนหวี เป็นเชื้อพระวงศ์มาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งชื่อได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว''  เมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบว่าเป็นชื่อพระราชทานแต่อย่างใด ทั้งนี้ เป็นการแอบอ้างทำให้เกิดความเสียหาย ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดว่าเป็นผู้มีชาติตระกูลอาจนำไปสู่การแสวงหาประโยชน์อันมิชอบได้

 

 

 

 

 

ต่อมา พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์สั่งการให้ พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.ฝป.10 บก.ป. เข้าตรวจสอบหากลุ่มบุคคลที่แอบอ้างดังกล่าว จนทราบว่านางษณอนงค์ และนายชยุตม์ เป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ดังกล่าวจึงออกหมายเรียกมาสอบสวน อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่จึงปล่อยตัวชั่วคราวพร้อมนัดมาสอบปากคำอีกครั้งในวันที่ 28 มีนาคม      

 

 

 

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ www.ajarnann.com  อ้างประวัติส่วนตัวของนางษณอนงค์ไว้ว่าเป็นบุตรีของเจ้าแม่สุวพันธ์ เผ่าเจริญ นามสกุลเดิม ไตรทิพย์คำ เป็นเชื้อเครือสืบจาก เจ้าฟ้าไทใหญ่ เมืองแสนหวี และเจ้าฟ้าไทใหญ่เมืองนาย สำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะอักษรศาสตร์ วิชาเอกภาษาอังกฤษ วิชาโทภูมิศาสตร์ผังเมือง เป็นผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านวิชาโหราศาสตร์ตั้งแต่อายุเพียง 8 ขวบ ประกอบกับพื้นฐานที่เป็นผู้สนใจในเรื่องราวของประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ของชนชาติต่างๆ ทำให้ได้มาศึกษาอย่างลึกซึ้งในหลักวิชาโบราณว่าด้วยการวิเคราะห์ชัยภูมิ ฮวงจุ้ยสายทิเบต นิกายหมวกดำ เมื่ออายุ 26 ปี และเป็นเพียงผู้เดียวที่ใช้หลักวิชาโหราศาสตร์และฮวงจุ้ยพิชัยสงครามควบคู่กันในการวิเคราะห์ทำเลทางธุรกิจ เพื่อเป็นการส่งเสริมดวงชะตา ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ หรือก่อให้เกิดความผาสุกในการดำเนินชีวิตและในการให้คำปรึกษาอย่างเชี่ยวชาญ จนได้รับการยกย่องและเชื่อถือจากบุคคลในวงการ มีนายทหาร นายตำรวจ และดารานักแสดงจำนวนมาก ศรัทธาในตัวนางษณอนงค์ และสมัครตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมากด้วย และในเว็บยังปรากฏบริษัทดังๆ เป็นผู้สนับสนุน

 

6 ก.ค.2564 กองบรรณาธิการข่าวประชาไทได้รับแจ้งจากบุกคคลที่ระบุชื่อว่า ศจีเพ็ญ ชินพงสานนท์ ซึ่งอ้างว่าเป็นบุตรสาวของ ษณอนงค์ คำแสนหวี โดยยืนยันว่ากรณีนี้อัยการไม่สั่งฟ้องโดยให้เหตุผลว่าไม่มีมูล             

 

 

 

 

 

วิจัยพบ4อำเภอเชียงใหม่รับสารมลพิษ 4 ชนิด

 

 

เว็บไซต์คมชัดลึก- รศ.ดร.นพ.พงศ์เทพ  วิวรรธนะเดช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  เปิดเผยว่า ผลจากการวิจัยของ "โครงการจัดตั้งศูนย์ประสานและเตือนภัยคุณภาพอากาศภาคเหนือ" ที่ได้ศึกษาด้วยการสัมภาษณ์อาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้อง กับสารมลพิษทางอากาศ ครอบคลุม 4 ระบบ คือ ระบบทางเดินหายใจ หัวใจ ผิวหนังและตา จำนวนรวม 19 อาการ ของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นประชาชนทั่วไป อาศัยอยู่ในทุกๆ ตำบลของ 4 อำเภอ คือ อำเภอเมืองเชียงใหม่ แม่ริม สารภี และเมืองลำพูน ทุกวันตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 เมษายน 2551 วันละ 100 ตัวอย่าง (อำเภอละ 25 ตัวอย่าง) รวมทั้งสิ้น 12,000 ตัวอย่าง ร่วมกับการบันทึกคุณภาพอากาศ ได้แก่ ความเข้มข้นของฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน และก๊าซพิษ ได้แก่ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจน ไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และโอโซน และข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาทุกวันควบคู่กันไป

 

 

         

 

 

โดยผลการศึกษาจากการวิเคราะห์ข้อมูลในช่วงวันที่ 1-31 มกราคม 2551 พบความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนกับอาการในระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ แสบคอ เสียงแหบ หายใจลำบาก  ไอแห้งๆ อาการในระบบหัวใจ ได้แก่ ชีพจร (หัวใจ) เต้นเร็ว และระบบตา ได้แก่ ตาแดง มองภาพไม่ค่อยชัด น้ำตาไหล แสบหรือคันตา โดยสามารถทำนายได้ว่าระดับฝุ่นที่สูงจะมีผลกระทบต่อสุขภาพในอีก 1-4 วันถัดมา และ ทุกๆ 1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีอาการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.12-0.76

 

 

         

 

 

"การศึกษาครั้งนี้พบว่า สารมลพิษ 4 ชนิด ได้แก่ ฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน คาร์บอนมอนอกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์และโอโซน มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่ในอำเภอเมืองเชียงใหม่และแม่ริม ในขณะที่ประชาชนในอำเภอสารภีได้รับผลกระทบจากสารมลพิษ 3 ชนิดคือ ฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และโอโซน และประชาชนในอำเภอเมืองลำพูนได้รับผลกระทบจากสารมลพิษ 1 ชนิด คือ คาร์บอนมอนอกไซด์"

 

 

         

 

 

รศ.ดร.นพ.พงศ์เทพ  กล่าวตอนท้ายว่า ความสำคัญของข้อค้นพบนี้ยืนยันว่า คุณภาพอากาศที่เลวลงส่งผลต่อสุขภาพได้จริง ดังนั้นมาตรการการรณรงค์เรื่องคุณภาพอากาศจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างเข้มงวด เพราะมิฉะนั้นแล้วกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ดังเช่น กลุ่มผู้ป่วยโรคปอดและหัวใจ เด็ก และผู้สูงอายุจะได้รับผลกระทบทางลบต่อสุขภาพ ซึ่งย่อมมีผลต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจทั้งต่อตัวผู้ป่วย ครอบครัวและของประเทศชาติโดยรวม

 

 

 

 

 

 

 

 

เลือกตั้งมาเลย์ป่วน ตร.ปะทะผู้สนับสนุนฝ่ายค้าน

 

 

เว็บไซต์คมชัดลึก -สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การเลือกตั้งทั่วไปในมาเลเซียซึ่งมีขึ้นเมื่อวันเสาร์ (8 มี.ค.) ได้กลายเป็นการจลาจลย่อยๆ ผู้เห็นเหตุการณ์และเจ้าหน้าที่พรรคฝ่ายค้านเผยว่า ตำรวจในรัฐตรังกานูทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ได้ยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้สนับสนุนฝ่ายค้านที่ขว้างปาก้อนหินเข้าใส่รถโดยสารขนาดใหญ่ 2 คัน ที่ฝ่ายค้านเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลใช้ขนคนไปเวียนเทียนเลือกตั้ง

 

 

         

 

 

เหตุวุ่นวายดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อผู้สนับสนุนพรรคแพน มาเลเซีย อิสลามิก หรือพรรคปาส ได้หยุดรถบัส 2 คันที่สงสัยว่ากลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลขนคนไปเวียนเทียนลงคะแนน นายอูมาร์ อับดุลเลาะห์ เจ้าหน้าที่ของพรรคปาสเผยว่า ได้เกิดการปะทะกันขึ้นเล็กน้อย และตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาฉีดเข้าใส่คนของพรรค ซึ่งสอดคล้องกับคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์อีกหลายคนที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเพราะกลัวว่าจะมีปัญหากับทางการ

 

 

         

 

 

ด้านนายมูซา ฮัสซัน ผู้บัญชาการตำรวจยอมรับว่าตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาจริง เพื่อสลายผู้สนับสนุนพรรคอิสลามที่แข็งกร้าวและได้จับกุมผู้ต้องหา 20 คนที่ปาก้อนหินใส่ตำรวจ และพยายามขวางรถบัสหลายคนที่กำลังนำผู้มีสิทธิออกเสียงไปใช้สิทธิออกเสียง อีกทั้งยังพยายามยึดบัตรประชาชนหลายสิบใบของผู้มีสิทธิออกเสียงที่นั่งอยู่ในรถบัสนั้น จนเกิดการโต้เถียงกันยกใหญ่ จากนั้นผู้สนับสนุนพรรคปาสได้ปาก้อนหินใส่รถตำรวจจนสุดจะอดกลั้นได้ ต้องยิงแก๊สน้ำตาเพื่อควบคุมสถานการณ์ นายมูซายืนยันด้วยว่า รถบัสนี้ไม่ได้ขนคนไปเวียนเทียนเลือกตั้งตามที่กล่าวหา และการปะทะครั้งนี้ไม่มีผู้บาดเจ็บใดๆ

 

 

         

 

 

อย่างไรก็ดี ผู้สนับสนุนพรรคปาสโต้ว่า นายโมฮัมหมัด โคลิล อับดุล ฮาดี บุตรชายของนายอับดุล ฮาดี อาหวัง ประธานพรรคปาส ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าจนเลือดโชกระหว่างเกิดเหตุวุ่นวาย จนต้องนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล

 

 

         

 

 

ก่อนหน้านี้ นายอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี นายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นระหว่างพาภริยาไปลงคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งในเมืองเคปาลา บาตาส ทางเหนือของเกาะปีนัง ว่ากระบวนการเลือกตั้งทั่วประเทศกำลังดำเนินไปด้วยความราบรื่น ไม่มีการโกงเลือกตั้งตามข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน และหวังว่าประชาชนจะพากันไปใช้สิทธิ

 

 

         

 

 

นายบาดาวียังคุยด้วยว่า สถานการณ์ความมั่นคงอยู่ภายใต้การควบคุมทั่วประเทศ ขณะที่ผู้มีสิทธิออกเสียงทั่วประเทศเกือบ 11 ล้านคน ได้ทยอยไปใช้สิทธิเพื่อเลือกผู้แทนราษฎร 222 ที่นั่ง และผู้แทนสภาใน 12 รัฐอีก 505 ที่นั่ง ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยเต็มที่ โดยได้มีการเสริมกำลังตำรวจและทหารหลายพันคนเข้าประจำการตามหน่วยเลือกตั้งเกือบ 8,000 แห่งทั่วประเทศ

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net