Skip to main content
sharethis

การเมือง


 


"วสันต์-จรัญ-สุพจน์-เฉลิมพล" มาตามโผนั่งตุลาการศาล รธน.


เว็บไซต์คมชัดลึก - (25มีค.) การประชุมคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน เพื่อลงมติเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จากผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ และผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์อื่นอีก 2 คน โดยใช้วิธีการลงคะแนนแบบเปิดเผย ปรากฏว่ากรรมการสรรหาสามารถเลือกผู้สมัครในสาขานิติศาสตร์ได้ในรอบแรกทั้ง 2 คน คือ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้ 4 คะแนน นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรมได้ 3 คะแนน ส่วนสาขารัฐศาสตร์ต้องลงคะแนนถึง 3 รอบ โดยนายสุพจน์ ไข่มุกด์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอซอร์ สาธารณรัฐโปแลนด์ อดีต ส.ส.ร.ได้รับเลือกในรอบแรกด้วยคะแนน 4 เสียง ขณะที่นายเฉลิมพล เอกอุรุ อดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับเลือกในรอบที่ 3 ด้วยคะแนน 3 เสียง


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกรรมการสรรหาฯที่ร่วมประชุมเพื่อคัดเลือกในครั้งนี้อีก 3 คน ประกอบด้วย นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยผู้ที่ได้รับเลือกต้องมีคะแนน 2 ใน 3 ของกรรมการสรรหาฯที่มีอยู่ คือ 3 เสียง ขึ้นไป เป็นที่น่าสังเกตว่า การลงคะแนนสาขานิติศาสตร์แม้จะเพียงรอบเดียว คะแนนที่นายจรัญได้เพียง 3 คะแนนนั้นน้อยกว่านายวสันต์ที่ได้เต็ม 4 คะแนน เนื่องนายวิรัช ได้ลงให้นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ


 


นายวิรัช ให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงคะแนนว่า จะส่งรายชื่อผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้แก่ประธานวุฒิสภาภายในวันนี้เพื่อให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบต่อไป ในส่วนที่ประชุมใหญ่จากศาลฎีกาที่จะต้องเลือกตุลาการฯอีก 3 คนได้นัดประชุมเพื่อเลือกในวันที่ 4 เม.ย.นี้ ซึ่งจะดำเนินการให้เร็วที่สุด



 


อภิรักษ์ขอลากิจครั้งที่ 2


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - วันนี้ (25มี.ค.) นายสุทธิสรรค์ ศิวพิทักษ์ ผู้ช่วยเลขานุการ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เตรียมทำหนังสือถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอขยายเวลาลากิจไปอีก 15 วัน หลังจากครบกำหนดที่ได้รับการอนุมัติใบลา ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ เนื่องจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ยังไม่ส่งหนังสือให้เข้าชี้แจงข้อกล่าวหา หลังนายอภิรักษ์ ได้ทำหนังสือไม่คัดค้านรายชื่อคณะกรรมการไต่สวนกลับไปแล้ว โดยนายอภิรักษ์ จะกลับมาทำหน้าที่ตามปกติในวันที่ 17 เม.ย.นี้ หลังครบกำหนดลากิจครั้งที่ 2 ในวันที่ 12เม.ย. ทั้งนี้ ในการยุติบทบาทที่ผ่านมานั้น เพื่อใช้เวลาเตรียมเอกสารเข้าชี้แจงข้อกล่าวหากับ คตส. ซึ่งขณะนี้ได้รวบรวมเอกสารใกล้แล้วเสร็จ และมั่นใจว่ามีข้อมูลพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์


 


นายสุทธิสรรค์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหารือคัดเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ในวันที่ 29 มี.ค.นี้ จะกระทบตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ของนายอภิรักษ์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับมติที่ประชุม แต่หากมีผลกระทบจริงก็คงไม่เกี่ยวกับคดีรถดับเพลิง



 


"ส.ส.ร." ผนึกขวาง แก้รธน. ยันไม่ใช่จงอางหวงไข่ แต่ต้องไม่ใช่แก้ตามอำเภอใจโจร


เว็บไซต์แนว - วันนี้ (25มี.ค.) อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในนามชมรม ส.ส.ร.50 ประมาณ 20 คน อาทิ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายคมสัน โพธิ์คง นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นายปกรณ์ ปรียากร นายมานิจ สุขสมจิตร ได้นัดประชุมเป็นกรณีพิเศษ เพื่อหารือถึงกรณีที่พรรคพลังประชาชนจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.237 ว่าด้วยการยุบพรรคการเมือง โดยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นการแก้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของรัฐธรรมนูญที่ต้องการสร้างความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรมให้กับการเลือกตั้ง


 


นายมานิจ กล่าวว่า ขณะนี้ที่พูดกันคือส.ส.ร.เป็นพวก "จงอางหวงไข่" ไม่ยอมให้ใครมาแก้รัฐธรรมนูญ ต้องบอกว่ารัฐธรรมนูญแก้ได้ เราจึงมีบทบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขเอาไว้ แต่การแก้ต้องไม่ใช่การแก้ตามใจ ถ้าจะแก้ตามใจชอบของโจร กฎหมายอาญาทั้งหลายทั้งปวง เรื่องการปล้นฆ่า ชิงทรัพย์ ต้องยกเลิกให้หมดเพราะโจรไม่ชอบแน่นอน รัฐธรรมนูญต้องไม่แก้ตามความพอใจของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง


 


จากนั้นชมรมฯได้ออกแถลงการณ์ มีเนื้อหาว่า หลังจากที่มีข้อเสนออย่างเข้มแข็งให้แก้รัฐธรรมนูญม.237 พร้อมทั้งมีการประนามรัฐธรรมนูญว่าร่างขึ้นด้วยเจตนาทำร้ายและล้มล้างกลุ่มการเมืองบางฝ่ายทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชน ส.ส.ร.จึงขอชี้แจงว่า 1.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านการลงประชามติ เท่ากับว่าผ่านความเห็นชอบของประชาชนไทยอย่างถูกต้องชอบธรรม 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นสามารถทำได้และในประวัติศาสตร์ก็เคยทำมาตลอดในระบอบการเมืองที่กำหนดขึ้นอย่างเป็นที่ยอมรับกัน เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นเหตุเป็นผลที่รวมและปรับปรุงแก้ไข เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้ 3.การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องขึ้นอยู่กับว่าสายอมรับเหตุผลของการแก้ไขนั้นแค่ไหน หาใช่แก้ไขเพื่อประโยชน์เฉพาะเหตุ เฉพาะกลุ่ม ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือเพื่อขอหลีกเลี่ยงกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ในขณะที่สาธารณชนไทยจะหลีกเลี่ยงกระบวนการยุติธรรมไม่ได้


 


4.เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 50 นั้นไม่มีเจตนาที่จะทำลายหรือทำร้ายเฉพาะกลุ่มหรือสถาบันการเมืองใด หากแต่มีเจตนารมณ์สำคัญที่จะช่วยการเมืองของประเทศไทยคืนสภาพพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพและ สร้างความเข้มแข็งให้แก่การพัฒนาประเทศชาติและประชาชนต่อไป และมุ่งเน้นแก้ไขข้อบกพร่องของอดีต ที่มีการนำความผิดทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้งและบิดพลิ้วเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาแล้ว


 


5. ส.ส.ร.50 ตระหนักในปฏิกิริยาและข้อโต้แย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงต้องชี้แจงเจตนารมณ์ที่แท้จริง การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตีความ เพื่อประโยชน์ของฝ่ายใดๆ ก็ตาม แต่ฝ่ายเดียวจะเท่ากับเป็นความพยายามบิดพลิ้วเจตนารมณ์แท้จริงของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ดังที่เป็นข่าววิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้


 


นายเจิมศักดิ์ กล่าวว่า ส.ส.ร.ไม่เป็นห่วงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขเพื่อตัวเอง หลังจากนี้ส.ส.ร.จะมีการประชุมกันทุกวันอังคาร ที่รัฐสภา โดยจะระดมอดีต ส.ส.ร.และอดีตกรรมาธิการทั่วประเทศมาประชุมร่วมกัน เพื่อเกาะติด ตรวจสอบแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลว่ามีความชอบธรรมและเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติหรือผลประโยชน์ส่วนตัว



 


 


เศรษฐกิจ


 


ครม.อนุมัติงบ "เอสเอ็มแอล" 1.8 หมื่นล้าน


เว็บไซต์เดลินิวส์ - วันนี้ (25 มี.ค.) นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (25 มี.ค.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานราก ในโครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยวงเงินงบประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนโครงการพักชำระหนี้เกษตรกร และโครงการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ครม.ได้ทัน


 


มิ่งขวัญขนสินค้าเกษตรแลกเพชร


เดลินิวส์ - นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ เปิดแถลงข่าวร่วมกับเอกอัครราชทูตนามิเบีย ประจำประเทศไทย สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ ว่า รัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับนามิเบีย ที่จะพัฒนาและขยายการค้าอุตสาหกรรมอัญมณีและเพชรพลอยร่วมกัน ในฐานะหุ้นส่วนธุรกิจเชิงยุทธศาสตร์และเป็นการเปิดศักราชใหม่แห่งความร่วมมือระหว่างกัน เพราะรัฐบาลนามิเบียได้เปิดให้เอกชนไทยสามารถเข้าไปซื้อเพชรดิบมาเจียระไนในไทย หรือเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานเจียระไนเพชรในนามิเบีย หรืออาจเข้าไปร่วมลงทุนทำเหมืองเพชรในนามิเบีย จากเดิมที่เอกชนไทยต้องซื้อเพชรดิบผ่านบริษัท เดอ เบียร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับสัมปทานแต่เพียงรายเดียว ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศได้ถึง 250,000 ล้านบาทในปี 51 นี้ จากเดิมที่อุตสาหกรรม อัญมณีและเครื่องประดับสามารถสร้างรายได้ปีละ 185,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางอัญมณี เพชร พลอยและหินสีต่าง ๆ ของโลกโดยเร็วที่สุด


 


อย่างไรก็ตามความร่วมมือนี้จะทำในรูปแบบของบาร์เตอร์เทรด คือ จ่ายค่าซื้อวัตถุดิบหรือเพชรดิบ ด้วยสินค้าเกษตรแทนเงิน เช่น ข้าว น้ำตาล อาหารทะเล เป็นต้น ซึ่งจะทำให้เกษตรกรสามารถขายสินค้าได้ง่ายขึ้น เพราะรัฐบาลนามิเบีย ต้องการสินค้าเกษตรเหล่านี้อยู่แล้ว ทั้งนี้จะนำหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องไปสำรวจและเจรจากับรัฐบาลนามิเบียอย่างเป็นทางการ เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนไทยสามารถทำการค้าโดยไม่ต้องผ่านคนกลางและผลักดันให้อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยไปสู่เป้าหมายโดยเร็วที่สุด และเตรียมเปิดตลาดกับประเทศอื่นอีก 6 ประเทศ เช่นสาธารณ รัฐคองโก ออสเตรเลีย สาธารณรัฐแองโกลา แอลจีเรีย เป็นต้น เช่นเดียวกับนามิเบียต่อไป ซึ่งล่าสุดได้เจรจากับออสเตรเลีย เพื่อขอซื้อเพชรดิบ ไพลิน และโอปอล ด้วย


 


นอกจากนี้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการจะเปิดฝึก อบรมการเจียระไนพลอยให้ได้ปีละ 800 คน ส่วนกระทรวงศึกษาธิการจะกำหนดให้สถาบันการศึกษาระดับอาชีวะเปิดสอนวิชาเจียระไนเพชรพลอย ในระดับ ปวช.และ ปวส.ขณะที่มีสถาบันการศึกษา 4 แห่งได้เปิดสอนวิชาการออกแบบอัญมณี ในระดับปริญญาตรีแล้ว 4 แห่ง รวมทั้งมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมของอังกฤษ ได้เปิดรับนักศึกษาจากสาขาวิชาการออกแบบอัญมณีเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขาการออกแบบการดีไซน์ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอัญมณีให้ได้


 


ทั้งนี้รัฐบาลจะประสานงานไปยังสถาบันการเงินทุกแห่ง เช่นธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เพื่อให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าไป ลงทุนในนามิเบียหรือที่อื่นเพื่อประกอบธุรกิจ เกี่ยวกับอัญมณีเป็นกรณีพิเศษและใช้วัตถุดิบจากประเทศเหล่านั้นค้ำประกันแทนหลักทรัพย์อื่น และจะให้ชื่อของสถาบันที่สนับสนุนสินเชื่อว่า "ธนาคารเพชร"


 


ด้านนายวิชัย อัศรัสกร นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีชื่อเสียงเรื่องการเจียระไนเพชรพลอยอยู่แล้ว หากสามารถซื้อวัตถุดิบได้โดยตรงจากนามิเบียก็จะช่วยทำให้ต้นทุนลดลงอย่างน้อย 30%


 


เร่งรัดใช้สิทธิ FTA และกองทุนช่วยเหลือ


เดลินิวส์ - นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ไทยได้ทำความตกลงเขตการค้าเสรีไปแล้วกับหลายประเทศ ทำให้การส่งออกของไทยมีการขยายตัวมากขึ้น แม้การส่งออกของไทยจะมีการขยายตัวสูงขึ้นก็ตาม แต่ผู้ประกอบการยังมีการขอใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีไม่มากเท่าที่ควร โดยในปี 2550 มีอัตราการใช้สิทธิเฉลี่ยเพียง 27% เท่านั้น จึงขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเร่งใช้สิทธิให้มากกว่าเดิม เนื่องจากยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ได้สิทธิลดภาษี อาทิ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิต ภัณฑ์ยาง พรม และอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น


 


รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สินค้าเกษตรแปรรูปของไทยจะได้รับประโยชน์จากการเปิดการค้าเสรีมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ซึ่งหากมีสินค้าบางรายการได้รับผลกระทบและจำเป็นต้องมีการปรับตัว ก็สามารถยื่นโครงการขอรับความช่วยเหลือจากกระทรวงพาณิชย์ได้ซึ่งขณะนี้กระทรวงพาณิชย์มีกองทุนเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า โดยในปี 2550-2551 มีงบประมาณรวม 140 ล้านบาท และได้พิจารณาให้ความช่วยเหลือไปแล้ว อาทิ โครงการในการพัฒนาและขยายตลาดผลิตภัณฑ์โคเนื้อ


 


รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันไทยกับอาเซียนร่วมเจรจาการค้าเสรีกับหลายประเทศ และคาดว่าจะสามารถลงนามได้ในปี 2551 ได้แก่ อาเซียน-ญี่ปุ่น อาเซียน-เกาหลี อาเซียน-อินเดีย และ อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ นอกจากนี้ยังมีกรอบความตกลง FTA อื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการเจรจา อาทิ อาเซียน-อียู ซึ่งหากความตกลงมีผลบังคับใช้แล้วจะช่วยให้ผู้ประกอบการและสินค้าไทยมีแต้มต่อเหนือกว่าประเทศอื่นและสามารถแข่งขันได้ในตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศคู่ค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย


 


 


คุณภาพชีวิต


 


ครม.เห็นชอบ MOU เตรียมลงนามซื้อขายไฟฟ้า 6 ประเทศลุ่มน้ำโขง


จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 มี.ค.ครม.มีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจแนวทางการดำเนินงานตามข้อตกลงด้านการปฏิบัติการเพื่อการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Memorandum of Understanding on the Road Map for Implementing the Greater Mekong Sub-region Cross Border Power Trading) พร้อมทั้งอนุมัติให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ สามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สารัตถะของความร่วมมือได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการลงนามกับกลุ่มประเทศสมาชิก GMS


 


นอกจากนี้ยังอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพื่อให้สามารถลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Summit) ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 30-31 มีนาคม 2551 ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งจะมีผู้แทนระดับสูงจากหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านพลังงานของ 6 ประเทศเข้าร่วม ประกอบด้วย ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สหภาพพม่า สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม


 


สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ต.ค.2545 และ 12 ก.ค.2548 เห็นชอบที่ทุกประเทศในกลุ่ม Greater Mekong Subregion : GMS จะต้องร่วมมือในเรื่อง Road Map ของการซื้อขายไฟฟ้าในระดับภูมิภาค โดยมีกรอบระยะเวลากำหนดไว้โดยจะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจอีกฉบับ คือ MOU on the Road Map for Regional Power Trade for Implementing the Greater Mekong Cross Border Power Trading (MOU-2) เพื่อให้แน่ใจว่าแผนปฏิบัติการสำหรับการซื้อขายไฟฟ้าสามารถดำเนินการได้ตามแผนงานที่กำหนดไว้ในระยะที่ 1 (ช่วงปี 2551-2555) และมีความพร้อมที่จะก้าวไปสู่ระยะที่ 2 สำหรับการซื้อขายไฟฟ้าในกลุ่มประเทศ GMS ได้


 


ทั้งนี้การศึกษาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการจัดทำข้อตกลงด้านเทคนิคในการซื้อขายไฟฟ้า เพื่อให้การจัดตั้งตลาดซื้อขายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงเครือข่ายระบบไฟฟ้า รวมทั้งการซื้อขายไฟฟ้าของไทยกับประเทศใน อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ตามเป้าหมายที่ผู้นำของประเทศในกลุ่ม GMS มอบหมายไว้


 


สภาอุตฯ ปิ๊งไอเดีย แนะใช้ "อาร์เอฟไอดี" แก้ปัญหาภาคใต้


เว็บไซต์สยามธุรกิจ - นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวระหว่างแถลงข่าวจัดงาน "ไทย แลนด์ อาร์ เอฟไอดี ฟอรัม 2008" ปีที่ 2 ว่า ตนมีแนวคิดที่จะนำเทคโนโลยี Radio Frequency Identification: RFID (อาร์ เอฟไอดี) ซึ่งเป็นระบบการระบุเอกลักษณ์ ด้วยคลื่นวิทยุ มาฝัง ไว้ในบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อป้องกันความปลอดภัยในพื้นที่หน่วยงานราชการ และ พื้นที่ที่มีความเสี่ยง ซึ่งเมื่อประชาชนพกบัตรประชาชนฝังชิปอาร์เอฟไอดีเดินผ่าน เครื่องอ่าน ข้อมูลจะปรากฏบนหน้าจอว่า ชื่อ-นามสกุลอะไร อยู่ที่ไหน สามารถระบุตัวตนได้ทันที และถ้าบุคคลใดไม่มีข้อมูลแสดงที่เครื่องอ่าน เจ้าหน้าที่ ก็สามารถรู้ได้ทันทีเช่นกัน และสามารถเฝ้าระวังได้


 


อย่างไรก็ตาม ตนจะนำแนวความคิดนี้ไปเสนอต่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้นัดวันเข้าพบ เบื้องต้นยังไม่ ระบุงบประมาณในการดำเนินงาน โดยแนวคิดนี้ ต้องใช้ชิปและเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดีที่ไว ต้อง การรับ-ส่งข้อมูล ซึ่งจะช่วยกรองบุคคลที่ไม่ประสงค์ดีได้ และช่วยให้พื้นที่ 3 จังหวัดชาย แดนภาคใต้มีความปลอดภัยมากขึ้น


 



รัฐเล็งดัดหลังพ่อค้าปุ๋ยโก่งราคา ขู่นำเข้าเองร่วม 1 ล้านตัน


ผู้จัดการรายวัน- นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สั่งให้กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังร่วมกันแก้ไขปัญหาปุ๋ยมีราคาแพง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกร โดยขอให้กระทรวงพาณิชย์ไปตรวจสอบว่ามีการกักตุนปุ๋ย หรือมีการปรับราคาปุ๋ยสูงเกินจริงหรือไม่ เพราะปุ๋ยอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุม และให้มีการหารือกับผู้นำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศให้จำหน่ายปุ๋ยในราคาที่เหมาะสมกับต้นทุน


 


นอกจากนี้ หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาการกักตุนหรือราคาแพงเกินจริงได้ ให้รัฐมนตรีทั้ง 3 กระทรวงมีการหารือกันเพื่อให้รัฐบาลเป็นผู้นำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศเอง คือ ปุ๋ยสูตร 16-20-0 สูตร 15-15-15 และสูตร 16-0-0 รวมกันกว่า 1 ล้านตัน โดยให้มีราคาต่ำกว่าตลาดร้อยละ 35-40 ซึ่งขณะนี้ราคาปุ๋ยเฉลี่ยแต่ละประเภทอยู่ที่ประมาณ 18,000-20,000 บาท/ตัน


 


"แนวทางทั้งหมด ถ้าได้ข้อสรุปจะเสนอครม.พิจารณาอีกครั้งในสัปดาห์หน้า ซึ่งเชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาปุ๋ยมีราคาแพงได้แน่"นายสมศักดิ์กล่าว


 


นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบสต๊อกปุ๋ยเคมีของผู้นำเข้า ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายแล้ว หลังจากที่ได้มีการออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ให้มีการแจ้งปริมาณสต๊อก สถานที่เก็บ


 


ดัน 12 โรงเรียน ม.ปลายนำร่องออกนอกระบบ


เดลินิวส์ - ดร.สมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยผลการประชุม กพฐ.เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างแผนยุทธศาสตร์การยกระดับคุณภาพการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. 2552-2555 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอ โดยแผนดังกล่าวเน้นการสร้างหลักประกันคุณภาพ และมาตรฐานการศึกษาของเยาวชน เพื่อเสริมรากฐานเด็กไทยให้เข้มแข็งเต็มตามศักยภาพ และความต้องการ ตลอดจนสร้างโอกาสและขยายบริการการศึกษาระดับ ม.ปลาย อย่างมีคุณภาพ พร้อมก้าวสู่มาตรฐานสากล โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 5,138.97 ล้านบาท


 


รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า แผนนี้จะดำเนินงานใน 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1.มุ่งเน้นสัมฤทธิผลของผู้เรียนให้การจัดการศึกษาม.ปลายมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาระดับชาติและก้าวสู่การแข่งขันระดับสากล ซึ่งได้กำหนดตัวชี้วัดไว้ว่าอัตราการเรียนต่อชั้น ม.ปลายในปี 2555 ต้องเพิ่มขึ้นร้อยละ 95 และมีอัตราการออกกลางคันไม่เกินร้อยละ 0.5 คะแนนเฉลี่ยแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) เพิ่มขึ้น มีสัดส่วนโรงเรียนอยู่ในเกณฑ์ปรับปรุงลดลง ตลอดจนมีจำนวนของนักเรียนที่ได้รับรางวัลหรือผ่านการประเมินความรู้ ทักษะ และความสามารถในระดับชาติและระดับนานาชาติเพิ่มขึ้น รวมถึงการให้โรงเรียน ม.ปลาย 200 แห่งได้มาตรฐานสากล


 


2.เพิ่มศักยภาพผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ โดยการส่งเสริม พัฒนาและต่อยอดผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ 3.พัฒนาการบริหารจัดการในรูปแบบโรงเรียนในกำกับของรัฐเพื่อเพิ่มความคล่องตัวแก่โรงเรียนในการบริหารจัดการพัฒนาคุณภาพผู้ เรียน ซึ่งจะมีการนำร่องรูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนในกำกับของรัฐใน 4 ภูมิภาค ภูมิภาคละ 2 โรงเรียน และโรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร 4 โรงเรียนรวม 12 แห่ง ในปีการศึกษา 2552 โดยได้กำหนดตัวชี้วัดว่า ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนในโรงเรียนนำร่องจะสูงขึ้น และมีผลการประเมินจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) อยู่ในระดับดีมาก และ 4. ประกันการจัดสรรทรัพยากรและสนับสนุนวิชาการ เพื่อให้โรงเรียนมีความพร้อมในด้านทรัพยากรที่เอื้อต่อการบริหารจัดการและยกระดับคุณภาพการศึกษา ซึ่งโรงเรียนในระดับ ม.ปลาย 2,648 แห่งจะได้รับการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม


 


 


ต่างประเทศ


 


"ยูซุฟ ราซา กิลานี" นายกฯ ใหม่ปากีสถาน


เว็บไซต์สยามรัฐ - 25 มี.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ปากีสถานได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว ภายหลังจากนายยูซุฟ ราซา กิลานี กระทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อหน้าประธานาธิบดีเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ที่ทำเนียบประธานาธิบดี ในกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของประเทศ เมื่อวันอังคารนี้ ท่ามกลางผู้ร่วมงานที่ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกพรรคประชาชนปากีสถานหรือพีพีพี พรรคการเมืองต้นสังกัดของเขา รวมทั้งนายจอห์น เนโกรพอนเต รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศสหรัฐฯ และนายริชาร์ด บาวเชอร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เดินทางมาร่วมพิธีสาบานตนครั้งนี้ด้วย ในฐานะทูตพิเศษของสหรัฐฯ


 


รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากนายกิลานี เสร็จสิ้นคำกล่าวสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง บรรดาสมาชิกพรรคพีพีพี ได้ตะโกนสรรเสริญนางเบนาซีร์ บุตโต อดีตหัวหน้าพรรคผู้ล่วงลับจนเสียงกึกก้องไปทั่วบริเวณ


 


ทางด้าน สองรัฐมนตรีช่วยกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่เดินทางมาร่วมพิธีครั้งนี้ด้วย ก็เตรียมพบปะแกนนำรัฐบาลผสมชุดใหม่ของปากีสถาน ที่นำโดยพรรคพีพีพี เพื่อหารือเรื่องการร่วมมือกันระหว่างสหรัฐฯ กับปากีสถาน ในการต่อต้านการก่อการร้าย จากการที่กลุ่มก่อการร้ายอัล-เคด้าและกลุ่มตาลิบัน ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ตามบริเวณพรมแดนปากีสถาน-อัฟกานิสถาน


 


สำหรับนายกิลานี นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของปากีสถาน เป็นหนึ่งในแกนนำบริหารพรรคพีพีพี และเป็นที่ปรึกษาอาวุโสคนสำคัญของนางบุตโต เคยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ช่วงที่ พล.อ.มูชาร์ราฟ ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อปี 2542


 


จีนไม่หวั่นเดินหน้าวิ่งคบเพลิงโอลิมปิก 2008


เดลินิวส์ /เว็บไซต์สยามรัฐ/เว็บไซต์มติชน - ทางการจีนให้คำมั่นดำเนินมาตรการรักษาความมั่นคงอย่างเข้มงวด เพื่อเป็นหลักประกันว่า การวิ่งคบเพลิงโอลิมปิก ซึ่งพิธีจุดคบเพลิงเริ่มขึ้นแล้วในเมืองโอลิมเปียของกรีซเมื่อวันจันทร์ ก่อนที่ไฟมหกรรมกีฬาโลกจะถูกนำไปยังประเทศจีนเจ้าภาพครั้งล่าสุดในวันที่ 31 มี.ค. จะไม่ถูกขัดขวางโดยกลุ่มผู้ประท้วงที่สนับสนุนองค์ดาไล ลามะ ผู้นำพลัดถิ่นของทิเบต สำหรับโปรแกรมการวิ่งคบเพลิงนั้น จะต้องผ่านประเทศต่างๆ ถึง 20 ชาติ รวมทั้งเขตปกครองตนเองทิเบตของจีนด้วย ก่อนที่โอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 8 ส.ค.นี้ ขณะที่กลุ่มชาวทิเบตพลัดถิ่น ประกาศจะชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้คณะกรรม การโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ยกเลิกการวิ่งคบเพลิงผ่านทิเบต


 


ด้านสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กลุ่มผู้สนับสนุนองค์ดาไล ลามะ เตรียมก่อกวนการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิก ทำให้รัฐบาลจีนต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อให้มหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่จังไม่มีการระบุว่าทางการจีนจะใช้มาตรการจัดการในเรื่องนี้เช่นไร ขณะเดียวกันสำนักข่าวซินหัวยังกล่าวโจมตีนางแนนซี เปโลซี ประธานสภาคองเกรสสหรัฐที่ออกมาวิจารณ์กรณีทิเบต และว่า นางเปโลซีให้การปกป้องพวกวางเพลิง, ปล้นสะดมและฆ่าคนตาย หลังจากที่ประธานรัฐสภาสหรัฐ เดินทางเข้าพบองค์ดาไล ลามะ และวิจารณ์จีนที่ปราบปรามผู้คนในทิเบต


 


ขณะที่นายฌากส์ ร็อกก์ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคสากล (ไอโอซี) เปิดเผยว่า การเลือกจีนเป็นเจ้าภาพโอลิมปิคเกมส์ 2008 ในเดือนสิงหาคมนี้ ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แม้ว่าจะมีกระแสต่อต้านและการประท้วงจากกลุ่มต่างๆ อยู่เป็นระยะๆ ก็ตาม เพื่อให้การแข่งขันช่วยกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในจีน และเพื่อคงไว้ซึ่งอุดมการณ์แห่งการแข่งขันโอลิมปิคเกมส์ ก่อนหน้าจะลงมติดังกล่าว ไอโอซีได้ศึกษาเรื่องปัญหาสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจังแล้ว ส่วนปัญหาระหว่างจีนกับทิเบต ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ เนื่องด้วยไอโอซีไม่ใช่องค์กรทางการเมือง จึงไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของจีนได้


 


ทั้งนี้ประธานไอโอซี เปิดเผยว่า เขาไม่เห็นสัญญาณของนานาชาติที่สนับสนุนให้มีการคว่ำบาตรกีฬาโอลิมปิกที่ปักกิ่ง ภายหลังรัฐบาลจีนส่งกำลังเข้าปราบปรามผู้ประท้วงในทิเบต และที่เมืองธรรมศาลาในอินเดีย นายซัมฮอง รินโปเจ นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบตกล่าวยืนยันว่า มีผู้เสียชีวิตราว 130 ศพ จากการปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรงของเจ้าหน้าที่จีนในทิเบต และว่า ตัวเลขดังกล่าวมาจากแหล่งข่าวของเราในทิเบต ซึ่งตรงข้ามกับรายงานของจีนที่ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตแค่ 18 ศพ


 


ด้านนายแบร์นาร์ด เคาช์เนอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส กล่าวว่า จีนไร้ความอดกลั้นต่อกรณีการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมชาวทิเบต อย่างไรก็ตาม ทางการฝรั่งเศสไม่มีความประสงค์ที่จะไม่ร่วมหรือบอยคอตการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งจะเป็นเจ้าภาพกลางปีนี้ ขณะที่ กระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ได้สนับสนุนการสลายการชุมนุม โดยระบุว่า เพื่อป้องกันเหตุจลาจล และต่อต้านการใช้เรื่องนี้บอยคอตโอลิมปิกที่จีนเป็นเจ้าภาพ


 


กลุ่มส.ส.รัฐบาลมาเลฯ เฮโลซบฝ่ายค้าน


เดลินิวส์ - นายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า เขากำลังเดินหน้าไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ หลังจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาปรากฏว่า พรรคบาริซาน พันธมิตรในพรรคองค์การเอก ภาพแห่งชาติมาเลย์ (อัมโน) ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องสูญเสียที่นั่งเป็นจำนวนมากให้แก่ฝ่ายค้าน นายอันวาร์บอกว่า ฝ่ายค้านจะได้ส.ส.เพิ่มขึ้นอีกราว 15 ถึง 16 คน ที่มาจากพรรคบาริซาน รวมทั้งในกลุ่มอัมโน ซึ่งต้องการเข้าร่วมกับพรรคคีดิลัน


 


ด้านรัฐบาลมาเลย์นำโดยนายกรัฐ มนตรีอับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ซึ่งอาจสูญเสียอำนาจ หากมี ส.ส.ถึง 30 คน ย้ายไปสังกัดพรรคฝ่ายค้าน กล่าวหาพรรคฝ่ายค้านใช้เงินดูดส.ส.เข้าพรรค พร้อมขู่จะออกกฎหมายฉบับใหม่เพื่อสกัดการแปรพักตร์ของสมาชิก


 


แต่นายชัมซุล อิสคานดาร์ โมฮัมหมัด อาคิน แกนนำพรรคคีดิลันของนายอันวาร์ กล่าวโต้ว่า ส.ส.เหล่านี้ย้ายมาสังกัดพรรคฝ่ายค้าน เพราะพวกเขาสิ้นศรัทธาต่อความเป็นผู้นำของนายกฯ บาดาวี ไม่ใช่เรื่องเงินอย่างที่มีการกล่าวหา


 


ขณะเดียวกัน พรรครัฐบาลมาเลเซีย พยายามดิ้นรนอย่างหนัก เพื่อแก้ปัญหาขัดแย้ง ระหว่างนายกฯ บาดาวีกับสมเด็จพระราชาธิบดี จากกรณีการแต่งตั้งมุขมนตรี โดยนายกฯมาเลย์ ต้องการให้ไอดริส จูโซห์ ดำรงตำแหน่งมุขมนตรีแห่งรัฐตรังกานู แต่สุลต่านแห่งตรังกานู ซึ่งคือ ไมซาน ไซนัล อาบิดิน สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ปัจจุบัน แต่งตั้งนายอาเหม็ด ซาอิด เป็นมุขมนตรี


 


ยอดตายทหารอเมริกันในอิรักทะลุ 4,000 นาย


เดลินิวส์ - จากข้อมูลของเว็บไซต์ www. icasualties.org เว็บไซต์อิสระ ระบุว่า ยอดการสูญเสียทหารสหรัฐในอิรัก นับตั้งแต่สหรัฐส่งกองกำลังบุกอิรัก เมื่อเดือน มี.ค. 2546 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 4,000 นายแล้ว และบาดเจ็บมากกว่า 29,000 นาย โดยการเปิดเผยตัวเลขนี้ มีขึ้นหลังกองทัพสหรัฐต้องสูญเสียทหารไปอีก 4 นายจากการถูกสุ่มโจมตีด้วยระเบิดข้างถนนระหว่างการลาดตระเวนในกรุงแบกแดดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ การโจมตีดังกล่าวยังทำให้ทหารอเมริกันได้รับบาดเจ็บอีก 1 นายด้วย


 


เว็บไซต์ดังกล่าวระบุว่า อย่างน้อยร้อยละ 97 ของผู้เสียชีวิต เกิดขึ้นหลังจากประธานา ธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศยุติ "การต่อสู้ครั้งใหญ่" ในอิรักเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2546 ขณะที่กองทัพกลายเป็นเป็นเหยื่อระหว่างกองกำลังฝ่ายต่อต้านอเมริกา และความขัดแย้ง ทางเชื้อชาติศาสนาที่รุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่การ โค่นอำนาจซัดดัม แม้ว่าจะสูญเสียมากอย่างไร ในช่วงก่อนวาระครบรอบ 5 ปีสงครามในอิรัก แต่ผู้นำสหรัฐออกมาปกป้องการตัดสินใจบุก อิรักของตน พร้อมให้คำมั่นว่า จะไม่ยอม ถอยหลัง เพราะเขาให้คำมั่นสัญญาว่า ทหารอเมริกาจะชนะแม้ว่าจะสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินก็ตาม


 


ขณะที่รองประธานาธิบดีดิก เชนีย์ ของสหรัฐ กล่าวว่า เขาเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทุกคนในอิรัก ภายหลังจากที่ยอดทหารอเมริกันเสียชีวิตในสงครามอิรักตลอด 5 ปีที่ผ่านมามีจำนวนถึง 4,000 คนแล้ว โดยนายเชนีย์ กล่าวที่อิสราเอลเป็นแห่งสุดท้ายในการเยือนภูมิภาคตะวันออกกลาง แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิตทหารจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของประชาชน แต่เหตุการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net