Skip to main content
sharethis

ชื่อบทความเดิม : จดหมายจากทิเบต


 


"สุขทวี สุวรรณชัยรบ"


 



พระทิเบต ในกรุงกาฏมาณฑุ ประเทศเนปาล ออกมาประท้วงรัฐบาลจีนเมื่อ 14 มี.ค.
(ที่มา: AFP/Prakash Mathema)


 


"สุขทวี สุวรรณชัยรบ" อาจารย์ประจำวิชาสันติภาพและการแก้ไขข้อขัดแย้ง มหาวิทยาลัยอเมริกานา ประเทศนิคารากัว ผู้เคยทำงานให้กับกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลพลัดถิ่นธิเบต เมืองธรรมศาลา ประเทศอินเดีย เขียน "จดหมายจากทิเบต" ส่งตรงมายัง "ประชาไท" โดยชี้ให้เห็นว่า สื่อปัจจุบันนำเสนอข่าวทิเบตเพียงเพื่ออรรถรส ในระดับปรากฏการณ์เท่านั้น และย้ำว่า องค์ดาไลลามะ รัฐบาลพลัดถิ่นทิเบต และประชาชนทิเบตส่วนใหญ่นั้นสนับสนุนการเจรจากับจีนเพื่อเรียกร้องรูปแบบเขตปกครองตนเองทิเบต (Greater Autonomy) มิใช่เรียกร้องการแยกประเทศ แนวคิดการเจรจานี้เรียกว่า นโยบายทางสายกลางแห่งรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบต (The Middle Way Policy)


 


0000


 


เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา การที่รัฐบาลจีนปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงในทิเบตอย่างรุนแรงโดยไม่แยแสต่อความกังวลของสังคมโลก ทำให้สำนักข่าวหลายสถานีได้ภาพมาฉายเป็นข่าวให้ผู้คนทั่วโลกได้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกลุ่มนักรณรงค์เคลื่อนไหวเรื่องทิเบตได้มีโอกาสปลุกประเด็นปัญหาทิเบตขึ้นมาเป็นกระแสได้อีกครั้ง หลังจากที่เงียบหายไม่มีใครสนใจอยู่หลายปี นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่ายินดีและน่าเป็นห่วงในขณะเดียวกัน น่ายินดีคือผู้คนหันมาสนใจปัญหาอีกครั้ง แต่น่าเป็นห่วงคือสิ่งที่นำผู้คนหันมามองปัญหาคือความรุนแรงและการใช้กำลัง


 


ย้อนกลับไปกว่ายี่สิบปีที่แล้ว เมื่อองค์ดาไลลามะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี พ.ศ.2532 ชาวโลกต่างยกย่องวิธีการของท่านว่าเป็นการใช้หลักอหิงสาและเมตตา แม้แต่กับศัตรูผู้กดขี่ แต่ในปัจจุบันหลังจากเหตุการณ์สิบเอ็ดกันยายน ข่าวและความสนใจในประเด็นด้านสันติภาพและความขัดแย้งในโลกถูกจำกัดลงให้เหลือเพียงประเด็นปัญหาการก่อการร้ายและความรุนแรงภายในประเทศ สื่อปัจจุบันได้กลายเป็นเพียงสื่อที่เสนอข่าวเพื่ออรรถรส (Sensational Media) ยิ่งประเด็นข่าวที่จะนำมาออกอากาศมีภาพหรือคำพูดที่สร้างผลกระทบต่อโสตประสาทรุนแรงมากเท่าใด ยิ่งถือว่าน่าสนใจมากเท่านั้น เช่นภาพสงคราม การนองเลือด ภาพการระเบิด หรือคำสบถของผู้นำบางประเทศ เป็นต้น การดูข่าวในปัจจุบันจึงไม่ต่างอะไรกับการรับชมความบันเทิงดาดๆ เช่นการเชียร์บอล ดูเกมส์โชว์หรือฟังสรยุทธ์


 


การดูข่าวชาวทิเบตประท้วงจึงเหลือเพียงการสังเกตการณ์หรืออย่างมากก็คอยลุ้นเชียร์ อย่างแย่ คือ เบื่อเอือมกับปัญหาความวุ่นวาย


 


เหตุการณ์การประท้วงและการปราบปรามในทิเบตเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีพระสงฆ์และประชาชนเสียชีวิตเกือบมากกว่าหนึ่งร้อย สื่อนานาชาติและสื่อไทยโหมโรงอย่างพร้อมเพรียงจนเป็นข่าวต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถเสนอประเด็นปัญหาเชิงลึกได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันเอาเลย ระดับของปัญหาในเชิงโครงสร้างและนโยบายถูกลดทอนเหลือเพียงแค่ความน่าสนใจในประเด็นการต่อสู้กับอำนาจรัฐและการปราบปรามที่รุนแรง การเสนอข่าวในรูปแบบนี้มีประสิทธิภาพสูงในการดึงดูดความสนใจและเร้าอารมณ์ผู้รับสาร แต่ไม่สามารถชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่ผู้ชมสามารถมีส่วนร่วมในการคิดแก้ปัญหา อันจะสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงแนวคิดของตัวบุคคลผู้รับสารหรือโครงสร้างแห่งปัญหาได้เลย ปัญหาเรื่องทิเบตจึงอาจจะน่าสนใจสำหรับผู้ชม แต่ไม่มีใครมองเห็นว่าตัวปัญหาที่แท้จริงคืออะไร และทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างไร เป็นที่น่าเสียดายว่า หลายคน "รู้เรื่อง" แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย


 


หลายปีที่ผ่านมา หนุ่มสาวทิเบตที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงโดยเร็ว พวกเขาใช้ยุทธวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างจากองค์ดาไลลามะ เช่นการเดินขบวนประท้วง การยั่วยุตำรวจ การเผาธงชาติจีน หรือการอดอาหารจนตาย เพื่อเรียกร้องให้ประชาคมโลกหันมาสนใจประเด็นปัญหาเรื่องทิเบตอีกครั้ง แต่นี่ก็เป็นอีกความพยายามที่ตกอยู่ในหลุมพรางของสื่อที่มักง่าย สื่อเหล่านี้ไม่เคยออกแรงขยับตัวเพื่อเรียนรู้ประเด็นปัญหาอันซับซ้อนและลึกซึ้ง มีเพียงเหตุการณ์และประเด็นที่ก่อให้เกิดอารมณ์ร่วมอย่างสูงเท่านั้นที่พวกเขาสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อโทรทัศน์ บ่อยครั้งที่พวกเขาละทิ้งประเด็นสำคัญด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า "ไม่มีภาพ"


 


สังคมปัจจุบันรับรู้ข่าวสารได้ในเพียงแค่ "ระดับปรากฏการณ์" จากสื่อกระแสหลักเหล่านี้ หลายคนบอกว่านี่คือปัญหางูกินหาง หากประชาชนไม่พัฒนาวัฒนธรรมการรับฟังข่าวสาร สื่อก็ไม่พัฒนา และในทางเดียวกัน เมื่อสื่อไม่ปรับปรุงวัฒนธรรมการเสนอข่าว คุณภาพของสังคมก็ย่ำอยู่กับที่ไม่เดินหน้าไปไหน แต่ข้าพเจ้ามองว่ามุมมองเช่นนี้ไร้สาระ สังคมมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา สื่อก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับว่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือชั่วลง ความคิดริเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงให้มีสิ่งที่ดีกว่าให้เกิดขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับตัวเราทั้งสิ้น


 


แนวคิดที่กลัวว่า เมื่อเสนอข่าวหนักแล้วประชาชนจะรับฟังน้อยลงนั้น เป็นความคิดของนักข่าวที่ไม่เอาไหนเสียเลย เขาตั้งโจทย์ผิดตั้งแต่แรก เมื่อเอาปริมาณเรทติ้งเป็นตัวตั้ง ความตั้งใจที่จะเสนอข่าวที่มีสาระก็เป็นประเด็นรอง แต่หากสื่อคิดใหม่ โดยเอาประเด็นปัญหาและสาระที่สำคัญเป็นปัจจัยหลัก แม้เนื้อเรื่องและภาพจะไม่หวือหวา แต่ก็ต้องมุ่งมั่นนำเสนอต่อประชาชนให้ได้เนื่องด้วยความรับผิดชอบ เมื่อมีมุมมองเช่นนี้ ประเด็นเรื่องเรทติ้งจะกลายเป็นความท้าทายให้มีการพัฒนาปรับปรุงกลวิธีการนำเสนอข่าวให้มีประสิทธิภาพ เพราะการนำเสนอเรื่องราวที่สำคัญให้ลึกซึ้งและรอบด้านเป็นสิ่งจำเป็นหลัก วิธีการคิดเช่นนี้จะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และก่อประโยชน์แก่สังคมโดยรวม


 


สำหรับประเด็นปัญหาทิเบต ข้าพเจ้ามีความเป็นห่วงว่า หากสื่อกระแสหลักยังคงมีรูปแบบการหาและนำเสนอข่าวดังเช่นที่เป็นอยู่ กลุ่มผู้เรียกร้องอิสรภาพและสังคมทิเบตจะไม่สามารถยึดมั่นกับการต่อสู้แบบอหิงสาและเมตตาได้อีกต่อไป


 


เมื่อสองปีที่แล้วข้าพเจ้าทำงานอยู่กับกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบตแห่งองค์ดาไลลามะในเมืองธรรมศาลา ประเทศอินเดีย[1] แน่นอนว่าประเด็นเรื่องการต่อสู้เพื่ออิสรภาพนั้นเป็นหัวข้อหลักในการพูดคุยของคนที่นี่ แม้สังคมของพวกเขาจะได้ใช้ชีวิตเป็นผู้ลี้ภัยมาเกือบห้าสิบปีแล้วก็ตาม เท่าที่พบเห็นโดยทั่วไปชาวทิเบตส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นในวิถีพุทธศาสนามหายานที่เน้นหลักปฏิจจสมุปบาท ซึ่งช่วยให้พวกเขามีความอดทนในการเรียกร้องอิสรภาพแบบอหิงสา


 


แต่ก็มีหลายคนเริ่มเป็นห่วงถึงวันที่ไม่มีองค์ดาไลลามะ บ้างก็ว่าเวลาเหลือน้อยเต็มที ต้องหาทางออกในการลงมือทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง หนุ่มสาวทิเบตโดยเฉพาะกลุ่มที่โตและได้รับการศึกษาสมัยใหม่ในอินเดียและตะวันตก พวกเขาเริ่มที่จะเรียนรู้ว่าเมตตาและอหิงสานั้น "ไม่เป็นข่าว" แต่การเดินขบวน เผาธง ปีนสถานทูต และด่ารัฐบาลจีนนั้น "เป็นข่าว" กลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านี้รวมตัวกันเดินขบวนประท้วงและต่อต้านรัฐบาลจีนในทุกสถานการณ์และรูปแบบเท่าที่จะทำได้


 


องค์ดาไลลามะ รัฐบาลพลัดถิ่นทิเบต และประชาชนทิเบตส่วนใหญ่นั้นสนับสนุนการเจรจากับจีนเพื่อเรียกร้องรูปแบบเขตปกครองตนเองทิเบต (Greater Autonomy) มิใช่เรียกร้องการแยกประเทศ แนวคิดการเจรจานี้เรียกว่า นโยบายทางสายกลางแห่งรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบต (The Middle Way Policy) โดยองค์ดาไลลามะมองว่าสิ่งที่สำคัญและเร่งด่วนยิ่งกว่าการมีประเทศอิสระนั้น คือการที่ชาวทิเบตได้มีโอกาสอนุรักษ์วิถีชีวิต วัฒนธรรม ศาสนา และสิ่งแวดล้อมในทิเบต


 


ห้าสิบปีที่ผ่านมาภายใต้การปกครองของจีน วิถีชีวิต สภาพบ้านเมือง และธรรมชาติสิ่งแวดล้อมในทิเบตถูกทำลายลงไปมาก สิ่งที่องค์ดาไลลามะเป็นห่วงและต้องการมากยิ่งกว่าการได้ประเทศคืน คือการได้ปกป้องทิเบตจากการถูกคุกคามทำลายธรรมชาติและลิดรอนสิทธิในการมีชีวิตและความเชื่อแบบทิเบต


 


แม้ว่าสิทธิในการเรียกร้องอิสรภาพเป็นประเทศอิสระนั้นเป็นของชาวทิเบตและองค์ดาไลลามะอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมองจากมุมมองหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นใด แต่องค์ดาไลลามะและชาวทิเบตส่วนใหญ่ ก็เลือกที่จะรักษาสิ่งที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วนยิ่งกว่าการมีประเทศเป็นของตนเอง รูปแบบเขตปกครองตนเองที่องค์ดาไลลามะเรียกร้องนั้น คือการที่จีนอนุญาตให้ทิเบตมีรูปแบบการดำรงชีวิตวัฒนธรรมและความเชื่อของตนเอง โดยไม่ต้องขึ้นกับแนวคิดคอมมิวนิสต์ทุนนิยมเสรีจากรัฐบาลจีน ทิเบตต้องการเป็นเขตปลอดทหารและอาวุธ รวมถึงการทดลองนิวเคลียร์ องค์ดาไลลามะต้องการให้ทิเบตมีรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย และมีคณะรัฐมนตรีที่ทำงานบริหารเขตปกครองตนเอง ในประเด็นด้านสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรม แต่ยินดีมอบอำนาจในการกำหนดนโยบายด้านการต่างประเทศและการตัดสินใจส่วนกลางอื่นๆ ให้กับรัฐบาลจีน โดยถือว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน


 


ข้าพเจ้าขอจบท้ายจดหมายด้วยการชวนเชิญให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจประเด็นปัญหาจีน-ทิเบต ติดต่อขอข้อมูลเรื่องการร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม INEB (International Network of Engaged Buddhists) ซึ่งกำลังหารือกับชาวทิเบตในประเทศไทยและคนไทยที่ห่วงใยกับประเด็นจีน-ทิเบต เพื่อจัดกิจกรรมร่วมกันในเร็วๆนี้ ในรูปแบบการเสวนา การแสดงภาพยนตร์สารคดี และอาจมีการเดินขบวนหรือยื่นจดหมายส่งข้อเรียกร้อง ฯลฯ


 


นอกจากงานในประเทศ INEB ยังทำงานกับกลุ่มคนทิเบตลี้ภัยในอินเดียและนักกิจกรรมชาวพุทธทั่วโลก ขอเชิญมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้แลกเปลี่ยนและการแสดงพลังแห่งอหิงสาด้วยใจ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวทิเบต เรียกร้องด้วยความจริงและความเห็นใจ แม้แต่ต่อรัฐบาลจีนซึ่งได้ทำร้ายชาวทิเบตมานานหลายทศวรรษ เรียกร้องด้วยความนิ่งและความมุ่งมั่นโดยไม่ต้องพึ่งพาความรุนแรงหรือความเกลียดชังเป็นพลังขับ แต่ใช้ความรักความเข้าใจและความหวังดีแสดงออกให้ประทับใจมวลชนด้วยความงาม เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้สื่อมวลชนได้เข้าใจว่า กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องไม่ได้ทำเป็นแค่การเดินขบวนสร้างสีสันหรือกิจกรรมหวือหวารุนแรง เพื่อให้นักข่าวได้ภาพไปทำข่าว แต่เรียกร้องด้วยใจและสื่อความต้องการแห่งสันติภาพไปยังมนุษย์ทุกคนด้วยความจริงใจ


                                               


0000


 


[1] ข้าพเจ้าใช้เวลาประมาณสามเดือนกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบตในธรรมศาลาผลิตสารคดีเรื่อง ทางสายกลางแห่งทิเบต (The Tibetans" Middle Way) เป็นสารคดียาวสามสิบนาทีเกี่ยวกับการนำแนวคิดพุทธศาสนามาใช้เป็นนโยบายในประเด็นปัญหาจีน-ทิเบต และนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบต นอกจากนั้น ยังได้เขียนบทความวิชาการเกี่ยวกับแนวคิดนโยบายทางสายกลางแบบพุทธของรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบต เปรียบเทียบกับรูปแบบแนวคิดการแก้ไขข้อขัดแย้งแบบตะวันตกที่สอนกันตามมหาวิทยาลัย 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net