Skip to main content
sharethis





การเมือง


พปช.ลุยแก้รธน.-มิ.ย.ลงมติวาระ2-3


โลกวันนี้ - นายชัย ชิดชอบ ประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า พรรคพลังประชาชนได้ตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว มีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองเลขาธิการพรรค เป็นประธาน โดยจะนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาเป็นหลักพิจารณาแก้ไขทั้งฉบับ และจะเร่งดำเนินการแก้ไขให้เร็วที่สุด เมื่อคณะอนุกรรมการมีข้อสรุปอย่างไรจะต้องส่งให้วิปรัฐบาลพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง


 


นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รองประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า พรรคพลังประชาชนมีมติเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยจะไม่นำเข้าหารือในวิปรัฐบาลอีกแล้ว แต่จะเดินหน้ายกร่างใหม่ โดยใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นหลัก และแก้ไขตั้งแต่หมวด 3-15 คาดว่าจะสามารถยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ภายในเดือน เม.ย. นี้ และจะสามารถพิจารณาในวาระแรกได้ก่อนปิดสมัยประชุมสภา คือก่อนวันที่ 19 พ.ค.


 


สำหรับการพิจารณาวาระที่ 2 คาดว่าจะพิจารณาในสมัยประชุมวิสามัญ และเชื่อว่าวาระ 2 น่าจะเสร็จประมาณเดือน มิ.ย. โดยจะพิจารณาในวาระ 2 และวาระ 3 พร้อมกัน อย่างไรก็ตาม การยกร่างรัฐธรรมนูญหากเสร็จไม่ทันคงต้องรอเปิดสมัยสามัญนิติบัญญัติที่จะเริ่มในเดือน ส.ค.


 


สว.ล่าชื่อเสนอญัตติเตรียมถอนถอน  ไชยา ชี้หากไม่เคลียร์พร้อมเคลื่อนไหวต่อไม่หยุด


แนวหน้า - นายประสาร มฤคพิทักทักษ์ ส.ว.สรรหากล่าวว่า ขณะนี้ได้มีส.ว.จำนวนหนึ่งกำลังเตรียมการในเคลื่อนไหวเพื่อล่าชื่อปลดนายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพราะหลังจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) มีมติออกมาให้เขาพ้นจากตำแหน่งเขามีท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะไม่ลาออก ซึ่งเบื้องตนเรารวมชื่อเพื่อนได้เกือบครบแล้ว แต่ในวันนี้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่านายไชยาได้แจ้งความประสงค์ในการขอลาออกเองแล้วซึ่งญัตตินี้คงต้องรอดูความชัดเจนของนายไชยาและนายสมัครในวันพรุ่งนี้(10 เม.ย.) ซึ่งหากความชัดเจนของทั้งสองคนออกมาในแนวทางที่ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน ส.ว. กลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหวต่อไปเพราะรัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจของเราได้ให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหาร



 


สมัครตีข่าวบีบไชยาไขก๊อกเลขาฯยันลูกพี่ไม่คิดทิ้งเก้าอี้


ผู้จัดการรายวัน - นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าว วานนี้ (9 เม.ย.) ถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข (รมว.สธ.) ต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากกระทำการขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 269 เพราะไม่แจ้งภริยาถือหุ้นเงิน 5 % ตามที่กฎหมาย กำหนดว่า ตนเข้าใจว่า นายไชยาจะลาออก เนื่องจากนายไชยาแสดงเจตจำนงมาแล้วว่า จะลาออก มีใครทุกข์ร้อนอะไรหรือ ขั้นตอนยังอีกนาน ซึ่งตอนนี้ก็รอหนังสือลาออกอยู่ ผู้สื่อข่าวถามว่า จะยับยั้งการลาออกหรือไม่ นายสมัครไม่ตอบ


 


อย่างไรก็ตาม นายสมัคร ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงใบลาออกจากตำแหน่ง ของนายไชยาว่า ต้องให้ ป.ป.ช.ส่งหนังสือมาถึงตนก่อน เมื่ออ่านเรียบร้อยแล้วจึงจะแจ้งให้นายไชยาทำหนังสือมาให้ตน ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน เมื่อถามว่า นายไชยา ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่ต้องๆ เมื่อถามว่า จะมีปัญหาอะไรหรือไม่หากนายไชยาต้องเซ็นหนังสือเอกสารต่างๆ ระหว่างนี้ นายสมัคร กล่าวว่า ทำได้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีอะไร เพราะยังไม่มีคำสั่งจากศาล


 


นายสุพจน์ ฤชุพันธุ์ เลขานุการ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร ระบุว่า นายไชยา แสดงเจตจำนงค์ที่จะลาออกจากตำแหน่ง รมว.สาธารณสุขว่า เท่าที่ได้มีการหารือกับนายไชยาล่าสุด เชื่อว่านายไชยาจะยังไม่ลาออกจากตำแหน่ง เพราะหากลาออกเท่ากับว่ากระบวนการต่างๆ ที่ต้องส่งไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญจะสิ้นสุดโดยทันที


 


แม้วยื้อคตส.แก้เกม ตัดพยาน เร่งปิดคดี


ไทยโพสต์ - นายแก้วสรร อติโพธิ  กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ  (คตส.) ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการไต่สวนคดี  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  บริหารราชการแผ่นดินโดยเอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง แถลงว่า  เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา  คตส.มีมติปิดสำนวนไต่สวนคดี  พ.ต.ท.ทักษิณได้ทรัพย์สินมาโดยมิสมควร โดยคณะอนุกรรมการฯ  มีมติไม่เห็นควรสืบพยานหลักฐานกว่า  100   รายการ รวมทั้งพยานบุคคลอีกกว่า  300  ปาก  และพยานเอกสารอีกหลายรายการ   ตามที่  พ.ต.ท.ทักษิณร้องขอสอบเพิ่มเติม เนื่องจากพยานดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับหลักฐาน และทุกปากล้วนไม่ใช่พยานที่จะหักล้างข้อกล่าวหาของ  คตส.ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัท และเป็น  ส.ส.และ  ส.ว.



 


กรรมการ  คตส.กล่าวว่า  ขณะนี้ได้มีมติตามอำนาจในกฎหมายสั่งการให้เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ส่งพยานหลักฐานในครอบครองทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของบริษัทวินมาร์ค ของ  พ.ต.ท.ทักษิณ  และครอบครัวให้แก่อนุกรรมการฯ ภายในวันที่ 10 เม.ย.นี้  โดยอนุกรรมการฯ  จะสามารถศึกษาสำนวนและสรุปผลรายงานไต่สวนเสนอต่อ  คตส.ภายในกลางเดือน  พ.ค.นี้



 


บอร์ดใหม่ อสมท ยังมืด  เพ็ญ ท้าตรวจสอบเอ็นบีที


ผู้จัดการรายวัน - นางวิลาสิณี อดุลยานนท์ (พิพิธกุล) คณะกรรมการสรรหากรรมการหรือ บอร์ด บมจ.อสมท เปิดเผยว่า การสรรหารายชื่อคณะกรรมการอสมท ที่ว่างลงในขณะนี้จำนวน 9 ตำแหน่ง จะมีที่มาได้จาก 3 ทางคือ 1.รายชื่อที่มาจากการเสนอของกระทรวงการคลัง ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 2. การเสนอโดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแล และ 3. การเสนอโดยคณะกรรมการสรรหาบอร์ด อสมท โดยขั้นตอนนั้น เมื่อได้รายชื่อที่เสนอมาแล้ว ก็จะเสนอเข้าสู่บอร์ดอสมทเพื่อรับรอง และนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น อสมท ในวันที่ 24 เมษายนนี้ เพื่ออนุมัติ


 


อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา เมื่อมีตำแหน่งที่ว่างลงเท่าใดก็จะมีการเสนอมาตามจำนวนที่เท่ากันนั้น แต่ในครั้งนี้มีแนวคิดกันว่า อาจจะมีการเสนอรายชื่อเข้ามามากกว่าตำแหน่งที่ว่างลง แล้วให้ทางที่ประชุมผู้ถือหุ้นโหวตคะแนนกัน


 


ขณะที่นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการไปร่วมพิธีฉลองครบรอบ 31 ปีของ อสมท เมื่อวานนี้ว่า มีหลายคนที่เสนอตัวเข้ามาหาผมเสนอตัวเป็นบอร์ดอสมท แต่ผมได้ตอบกลับไปว่า ปัจจุบันนี้อสมทไม่ได้เป็นรูปแบบเดิมๆอีกต่อไปแล้วที่ว่า รัฐมนตรีฯจะเป็นผู้เสนอเข้าไปแล้วแต่งตั้งได้เลย เพราะอสมทเวลานี้เป็นบริษัทมหาชนแล้ว มีคณะกรรมการสรรหาโดยตรง โดยมี นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และรองประธานกรรมการปฎิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ บมจ.อสมท เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาฯ ซึ่งจะเป็นผู้สรรหาผู้ที่มีคุณสมบัติและทรงคุณวุฒิเข้ามาดำรงตำแหน่ง


 


นายจักรภพ ยังได้กล่าวถึงกรณีช่องเอ็นบีทีที่มีหลายฝ่ายรวมทั้ง นายอลงกรณ์ พลบุตรท พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะฝ่ายค้าน ตั้งข้อสังเกตุถึงความไม่โปร่งใสในการดำเนินการโดยเฉพาะเรื่องของการเปิดให้บริษัท ดิจิตอล มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด เป็นผู้บริหารงานด้านข่าวและการโฆษณา โดยให้ผลตอบแทนกับกรมประชาสัมพันธ์เพียง 40 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ซึ่งจะทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ ด้วยว่า


 


" ผมดีใจที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจรวมทั้งนายอลงกรณ์ด้วยที่เข้ามาดูแลและตรวจสอบตรงนี้ เพราะไม่มีอะไรที่จะทำให้ชื่อของเอ็นบีทีเราสว่างไสวมากไปกว่าการที่มีฝ่ายค้านมาตรวจสอบ ซึ่งขอให้ตรวจสอบต่อเนื่องด้วย และขอให้เสนอแนะอะไรที่ยังขาดไปด้วย ผมมองว่าไม่ว่าจะเป็น อสมท หรือ ช่องเอ็นบีที หรือกรมประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่เป็นสมบัติส่วนตัวของใคร คนที่มาบริหารก็มาชั่วคราวทั้งสิ้น ผมรอมานานแล้วที่จะมีการตรวจสอบในระบบรัฐสภา"


      






เศรษฐกิจ


โรงไฟฟ้าชีวมวล 177MW วิกฤต แกลบราคาพุ่งขอ กฟผ. ลดปั่นไฟ


ประชาชาติธุรกิจ - โรงไฟฟ้าชีวมวล 20 โรง รวมกำลังผลิตติดตั้ง 177 เมกะวัตต์ วิกฤต หลัง "แกลบ" ขาดตลาด ราคาพุ่งไปกว่าตันละ 1,000 บาท เหตุพ่อค้ากักตุนสต๊อกข้าวเปลือกไม่ยอมส่งโรงสี ส่งผลต้นทุนผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถปรับขึ้นค่าไฟกับ กฟผ.ได้ เพราะสัญญารับซื้อไฟฟ้า SPP ค้ำคออยู่ จนบางโรงเริ่มลดกำลังผลิตไฟฟ้าลงครึ่งหนึ่ง หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายเตรียมหยุดผลิตไฟฟ้าถาวร ยอมเสียค่าปรับแทน



 


จากการที่ข้าวทุกชนิดปรับราคาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ได้ส่งผลให้ "แกลบ" มีราคาแพงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ล่าสุดจากเดิมที่ซื้อขายกันอยู่ตันละไม่เกิน 400 บาท ปรากฏราคาแกลบขณะนี้ได้พุ่งขึ้นไปถึงตันละ 1,000-1,200 บาท ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิงทันที



 


พิษซับไพรม เงินกู้นอก ป่วน ธอส.-เอสเอ็มอีแบงก์-ทรู ขาดทุนอ่วม


ประชาชาติธุรกิจ - วิกฤตซับไพรมลาม ทำแบงก์รัฐ-เอกชนไทยที่กู้เงินนอกป่วน ขาดทุนสวอปต้องจ่ายค่าปรับอ่วม ชี้สาเหตุมาจากสถานการณ์ดอกเบี้ยกลับขา เฟดลดดอกเบี้ยเร็วและแรง ทำ"เอสเอ็มอีแบงก์-ธอส.-ทรู" โดนค่าปรับบวกดอกเบี้ยสูงลิ่ว 15-17% ด้าน "ขรรค์" เผยเบื้องลึก "หม่อมอุ๋ย" จี้สั่งรื้อสัญญาสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดปิดความเสี่ยงใหม่ ส่วนเอสเอ็มอีแบงก์ผู้บริหารตัดสินใจช้าปิดความเสี่ยงไม่ทัน ขณะที่คนวงการเงินหวั่นแบงก์รัฐหากแบกขาดทุนไม่ไหวต้องเอาเงินภาษีโปะอีกแน่ๆ


     


รัฐดิ้นนำเข้าปุ๋ย 2 หมื่นตัน หลังหมดท่าบังคับผู้ค้าลดราคาไม่ได้


ประชาชาติธุรกิจ - คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ 300 ล้านบาทให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาปุ๋ยราคาแพงเป็นการเฉพาะหน้า โดยงบประมาณที่อนุมัติจะสามารถนำเข้าปุ๋ยได้ประมาณ 20,000 ตันถือเป็นโครงการนำร่อง โดยรัฐบาลมีนโยบายที่จะเจรจากับรัฐบาลอินโดนีเซียเพื่อขอซื้อปุ๋ยในราคาพิเศษหรือในลักษณะการค้าต่างตอบแทนเพื่อแลกกับข้าวของไทย



 


การนำเข้าปุ๋ยตามข้อเสนอของกระทรวงเกษตรฯครั้งนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากที่ กรมการค้าภายใน ขอความร่วมมือไปยังผู้ผลิตจำหน่ายปุ๋ยรายใหญ่ อาทิ บริษัทโรจน์กสิกิจเฟอร์ติไลเซอร์ ผู้แทนจำหน่ายปุ๋ยไข่มุกตราเรือใบไวกิ้งจากนอร์เวย์ , บริษัทไทยเซ็นทรัลเคมี จำกัด (มหาชน) ผู้แทนจำหน่ายปุ๋ยตราหัววัวคันไถ, บริษัทเจียไต๋ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ผู้แทนจำหน่ายปุ๋ยตรากระต่ายและผู้นำเข้าปุ๋ยจากเกาหลี-จีน และ บริษัทไอ ซี พี เฟอทิไลเซอร์



 


ปรากฏ ผู้ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยข้างต้น ยอมที่จะลดราคาจำหน่ายปุ๋ยลงให้ตันละ 200-1,000 บาท (แล้วแต่ละสูตร) โดยเรียกว่า "ปุ๋ยราคาพิเศษ" เพื่อช่วยเหลือรัฐบาลในปริมาณรวมกันไม่เกิน 135,000 ตัน ซึ่งถือว่า น้อยมากและไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ของเกษตรกร โดยผู้ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยเองก็ไม่สามารถลดราคาจำหน่ายลงได้มากกว่านี้ เนื่องจากราคาแม่ปุ๋ยในตลาดโลกปรับราคาอยู่ในเกณฑ์สูงต่อเนื่องมาโดยตลอด



 


ด้านนายเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจเกษตรกรไทย กล่าวถึงการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศจำนวนไม่เกิน 20,000 ตันเพื่อนำมาให้เกษตรกรใช้ในช่วงเดือนพฤษภาคมว่า เป็นเรื่องที่ดี แต่สมาคมเกรงว่า หากสั่งซื้อจากท้องตลาดทั่วไป ไม่ใช่ GtoG ในวันนี้อาจไม่ทันแล้วเพราะ ปุ๋ยในตลาดโลกหายากและมีราคาแพง ประกอบกับทางจีน-อินเดียต่างก็ต้องการปุ๋ยจำนวนมากเช่นกัน



 


ส่งออกผัก-ผลไม้ บุกโอลิมปิกปักกิ่ง ซีพีเอี่ยวปั้นแบรนด์


ประชาชาติธุรกิจ - ทัพผักผลไม้/อาหารไทย เตรียมบุกโอลิมปิกจีนกลางปีนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ฉวยจังหวะสร้างแบรนด์ ซี.พี.ให้ดังติดตลาดโลก โดยใช้ฮ่องกงเป็นประตู หลังใช้เกี๊ยวกุ้งบุกตลาดนี้มา 3 ปี ได้แชร์ 10% ตั้งเป้ายอดขาย 680 ล้านบาท เตรียมความพร้อมโรงงานรอรัฐบาลจีนเข้ามาตรวจสอบ ตามติดมาด้วยข้าวโพดหวาน และผักผลไม้ หวังสร้างชื่อไทยในโอลิมปิก



 


นายเกรียงไกร วัฒนาสว่าง ผู้จัดการทั่วไปธุรกิจไม้ผล กลุ่มพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า บริษัทส่งออกผลไม้ไทยเข้าไปขายในจีนเฉลี่ยเดือนละ 4-5 ตู้ แต่เนื่องจากจีนจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกตรงกับช่วงอากาศหนาว ทำให้มีผลไม้ไทยเข้าสู่ตลาดเพียงไม่กี่ชนิด โดยบริษัทวางแผนที่จะส่งส้มโอพันธุ์ทองดี กับพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง เข้าไปจำหน่าย คาดว่าช่วงดังกล่าวบริษัทจะสามารถส่งออกผลไม้ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นกว่าปกติไม่ต่ำกว่า 1 เท่าตัวทีเดียว


  


IMFชี้ศก.สหรัฐฯปีนี้เจอถดถอยแน่ทั่วโลกก็จะย่ำแย่


ผู้จัดการรายวัน - กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ออกรายงานทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook หรือ WEO) ฉบับล่าสุดเมื่อวานนี้(9) ฟันธงสหรัฐฯประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยแน่ในปีนี้ ขณะที่อัตราเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกก็มีโอกาส 25% ที่จะลดลงมาเหลือแค่ 3% หรือต่ำกว่านั้นอีก ซึ่งเป็นระดับที่เห็นกันว่าคือการถดถอยนั่นเอง


         


รายงาน WEO ฉบับล่าสุดของไอเอ็มเอฟบอกว่า เศรษฐกิจโลกที่เคยขยายตัวในระยะหลายๆ ปีที่ผ่านมา กำลังสูญเสียพลังไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเผชิญกับวิกฤตทางการเงินครั้งใหญ่ที่มีต้นเหตุสืบเนื่องจากการทรุดตัวของภาคที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ โดยที่การทรุดตัวนี้ยังคงอยู่ในอาการ "ระเบิดตัวออกมาอย่างเต็มที่" อย่างต่อเนื่อง


 


WEO ฉบับล่าสุดให้ตัวเลขอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ไว้ที่ 3.7% ซึ่งเป็นการหั่นลดลงมาครั้งที่ 2 แล้วในรอบระยะเวลาเพียง 4 เดือนขององค์การโลกบาลแห่งนี้


 


โดยในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ไอเอ็มเอฟยังมองว่าเศรษฐกิจโลกปี 2008 ควรที่จะเติบโตได้ในอัตรา 4.8% แต่แล้วก็มาลดลงเหลือ 4.1% เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ ในความพยายามที่จะปรับให้ทันกับปัญหาด้านสินเชื่อสภาพคล่องของโลก ซึ่งกำลังแผ่ลามไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน


สำหรับในปีหน้า รายงาน WEO ล่าสุดมองว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะตีตื้นขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อย โดยจะอยู่ในระดับ 3.8%


 


เมื่อแยกเป็นรายประเทศสำคัญและภูมิภาค รายงานฉบับนี้บอกว่า ในสหรัฐฯการเติบโตจะถอยลงจากระดับ 2.2% ซึ่งถือว่าไม่ค่อยดีนักแล้ว เมื่อปี 2007 มาเหลือแค่หนังหุ้มกระดูกที่อัตรา 0.5% ในปีนี้ และเขยิบขึ้นเป็น 0.6% ในปี 2009


อย่างไรก็ตาม รายงาน WEO บอกว่า ทางฝ่ายประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และเศรษฐกิจกำลังพัฒนาทั้งหลายของโลก จนถึงเวลานี้ยังได้รับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดการเงินน้อยกว่าพวกประเทศพัฒนาแล้ว และอัตราเติบโตของประเทศเหล่านี้ยังน่าจะอยู่สูงกว่าแนวโน้มทั่วไป โดยที่จะมีจีนกับอินเดียเป็นตัวนำ


 


แต่ไอเอ็มเอฟก็เตือนว่า มีสัญญาณหลายอย่างแสดงว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในบางประเทศตลาดเกิดใหม่และเศรษฐกิจกำลังพัฒนา กำลังเริ่มถอยลงมาพอประมาณ และประเทศเหล่านี้ก็ไม่น่าที่จะยังคงมีภูมิคุ้มกันรักษาไปตลอด โดยเฉพาะถ้าหากการทรุดตัวที่มีสหรัฐฯเป็นผู้นำนี้ เพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้น บรรดาผู้วางนโยบายทั้งหลายจึงควรเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับภาวะเช่นนี้


 


ขณะเดียวกัน ไอเอ็มเอฟบอกด้วยว่า ในเฉพาะหน้านี้ ปัญหาท้าทายใหญ่ที่สุดสำหรับพวกผู้วางนโยบาย จะเป็นเรื่อง อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในโลกกำลังพัฒนา อันเนื่องจากราคาอาหารและพลังงานที่พุ่งสูง บวกกับแรงกดดันด้านเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจพุ่งไปไกลเกินศักยภาพ


        


พาณิชย์เตรียมทบทวนเอฟทีเอ เล็งตั้งหน่วยงานกลางที่ปรึกษา


คมชัดลึก - นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงนโยบายการเจรจาการค้าระหว่างประเทศและทิศทางการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ในอนาคตว่า จะให้มีการทบทวนความตกลงเอฟทีเอกับประเทศต่างๆ เพื่อพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอให้เกิดกับประเทศไทยมากที่สุด โดยจะหารือกับกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความตกลงดังกล่าวและผลักดันให้ภาคเอกชนออกเร่งเจาะตลาดสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ


      


นอกจากนี้ จะให้มีการจัดตั้งหน่วยงานรองรับการดำเนินงานตามความตกลงเอฟทีเอเพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำวิธีการใช้ประโยชน์ การติดตามผลและแก้ปัญหาการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอเพื่อเป็นหน่วยงานกลาง หรือเป็นวันสต็อปเซอร์วิสให้ผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ผู้ส่งออกและเกษตรกร ในการขอคำปรึกษา ขณะเดียวกันจะเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการเจรจาการค้า เนื่องจากการเปิดตลาดมีผลบวกและผลลบ โดยจะเปิดโอกาสให้ทุกส่วนร่วมให้ข้อมูล ข้อคิดเห็นและจะเน้นการทำประชาพิจารณ์ให้ทั่วถึงทุกระดับทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ผู้นำกลุ่มเกษตรกร องค์กรอิสระ นักวิชาการ สถาบันการศึกษาและรัฐสภา


 


ม็อบกระเทียมจี้รัฐรับจำนำ ปัดให้ ห้างยักษ์ มารับซื้อ


ผู้จัดการรายวัน - รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า ช่วงเช้าวานนี้ (9 เม.ย.) กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียม จ.เชียงใหม่ ยังคงปักชุมนุมอยู่ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ต่อเนื่องกันเป็นวันที่ 3 แล้ว เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลรับจำนำผลผลิตกระเทียม (แห้ง) จากเกษตรกรในราคากก.ละ 25 บาท โดยวานนี้มีเกษตรกรจากอีกหลายอำเภอ เช่น ฝาง แม่อาย ไชยปราการ เชียงดาว สะเมิง และดอยสะเก็ด เดินทางมาร่วมชุมนุมสมทบกับเกษตรกรจากอ.เวียงแหง และอ.แม่แตง ทำให้มีผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1,000 คน


         


ทั้งนี้ กลุ่มเกษตรกรที่ชุมนุมยังคงยืนยันเส้นตายที่ต้องการจะได้รับคำตอบจาก รมว.พาณิชย์ และ รมว.เกษตรฯ ภายในเวลา 15.00 น. ของวานนี้ (9 เม.ย.) ว่ารัฐบาลจะรับจำนำกระเทียมจากเกษตรกรในราคากก.ละ 25 บาท ตามที่เกษตรกรเสนอ ไม่เช่นนั้นจะทำการปิดถนนประท้วง


        


ด้านนายณัฐนิติ วุฒิธรรมปัญญา แกนนำกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียม กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากราคากระเทียมเหลือเพียงกก.ละไม่เกิน 12-13 บาท ขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 22-24 บาท โดยสาเหตุสำคัญ เพราะมีการทะลักลักลอบนำกระเทียมเถื่อนเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก และขายตัดราคาที่ กก.ละ 6 บาทเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม การเจรจายังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากแกนนำเกษตรกร ยืนยันว่าต้องการให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาด้วยการรับจำนำกระเทียมในราคากก.ละ 25 บาท แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนรัฐบาลจะนำกระเทียมที่รับจำนำจำนวนหลายสิบล้านกก. ไปทำอะไรก็แล้วแต่


        


มิตรผลปรับโครงสร้างใหญ่ รับธุรกิจพลังงานทดแทนบูม


ผู้จัดการรายวัน - มิตรผล ลุยปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ รองรับการขยายตัวธุรกิจพลังงาน ไฟฟ้าชีวมวล เอทานอล หลังสบช่องเทรนด์ทั่วโลกเริ่มใช้พลังงานทดแทน และหวังโกยราคาน้ำตาลทรายขาวโลกพุ่ง 450 เหรียญต่อตัน ทุ่มเม็ดเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท เร่งขยายพื้นที่ปลูกอ้อยในอาเซียน จ่อคิวผุดโรงงานเอทานอลแห่งที่ 3 ในไทย สิ้นปีกวาดรายได้ 30,000 ล้านบาท


 


อินเดียเปิดเวทีเจรจากับผู้นำกาฬทวีปแสวงหาแหล่งพลังงาน-ตลาดการค้าใหม่


ฐานเศรษฐกิจ - หนังสือพิมพ์อินเตอร์เนชั่นแนล เฮรัลด์ ทริบูนรายงานว่า ประเทศอินเดียจะจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอินเดีย-แอฟริกา 12 ประเทศ ระหว่างวันที่ 8-9 เมษายน ณ กรุงนิวเดลี โดยเป็นการจัดประชุมระดับผู้นำระหว่างอินเดียกับกลุ่มประเทศในกาฬทวีปครั้งแรกในรอบ 60 ปีที่อินเดียได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักร



 


ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าการประชุมสุดยอดผู้นำอินเดีย-แอฟริกาในครั้งนี้จะเป็นการสานความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอินเดีย-แอฟริกาให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น เพื่อตอบโต้กับการที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้เพิ่มบทบาททางเศรษฐกิจในประเทศต่างๆของกาฬทวีปในปัจจุบัน และมีการวิเคราะห์กันว่าประวัติศาสตร์ทางการค้าระหว่างอินเดียกับแอฟริกาที่ดำเนินกันมาอย่างยาวนานจะสร้างความได้เปรียบให้กับอินเดียในการปูทางไปสู่ความร่วมมือพัฒนาด้านต่างๆร่วมกัน



 


มูลค่าการค้าระหว่างอินเดียกับประเทศต่างๆในทวีปแอฟริกามีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2534 ที่อินเดียเริ่มต้นการปฏิรูปเศรษฐกิจโดยมีมูลค่าการค้าในระดับ 967 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 30,886 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 4 เมษายน) ในปีนั้น และขยายตัวจนอยู่ในระดับ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (638,800 ล้านบาท) ในช่วงปี 2549-2550 เป็นผลมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียที่อยู่ในระดับสูงกว่า 8% ต่อปีเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยมีภาคเอกชน และ รัฐวิสาหกิจของอินเดียในทุกระดับที่ให้ความสนใจในการทำธุรกิจหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การทำเหมืองจนถึงการผลิตสินค้า การแพทย์ทางไกล และการเกษตร รวมทั้งน้ำมันดิบ และแร่ธาตุ เป็นเฟืองจักรขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียรวมทั้งมูลค่าการค้ากับทวีปแอฟริกา



 


ปัจจุบันภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจของอินเดียหลายแห่งเข้าไปลงทุนในทวีปแอฟริกา เช่น เอสซา ออยล์ และ ออยล์ แอนด์ เนเชอรัล ก๊าซ ได้สัญญาการผลิตน้ำมันในประเทศเคนยา ลิเบีย ไนจีเรีย และ พื้นที่ทางตอนใต้ของซูดาน ทั้งนี้ออยล์ แอนด์ เนเชอรัล ก๊าซ กำลังผลักดันให้ได้มาซึ่งสัมปทานในโครงการของประเทศแองโกลา หลังจากที่เคยสูญเสียหุ้น 50 % ในโครงการสำรวจน้ำมันที่แองโกลาให้กับจีน หลังจากที่รัฐบาลจีนเสนอเงินช่วยเหลือมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯให้กับประเทศต่างๆในทวีปแอฟริกา ซึ่งมากกว่าปริมาณเงินช่วยเหลือของอินเดียถึง 10 เท่า



 


อินเดียนำเข้าน้ำมันดิบถึง 70% ของปริมาณความต้องการน้ำมันในแต่ละปี ด้านสำนักงานพลังงานสากล คาดว่าปริมาณความต้องการน้ำมันของอินเดียจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในปี 2573



 


นอกจากแหล่งพลังงานแล้วบริษัทเอกชนของอินเดียยังวางแผนการลงทุนทำเหมืองแร่เหล็ก และ แมงกานีสในประเทศไอวอรี โคสต์ รวมทั้งการเป็นตลาดใหม่ให้กับสินค้าจากภาคเอกชนของอินเดีย เช่นรถยนต์ นาโน จากทาทา มอเตอร์ส ที่ตั้งราคาขายไว้ที่ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ



 


มีการคาดกันว่าผู้นำของประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ยูกานดา เอธิโอเปีย ไนจีเรีย เบอร์นิกา ฟาโซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก แอลจีเรีย เซเนกัล แซมเบีย เคนยา และ แทนซาเนีย ตอบรับเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ก่อนหน้านี้นายโมฮัมมา กัดดาฟี ประธานาธิบดีลิเบีย และ นายฮอสนี มูบารัค ประธานาธิบดีอียิปต์ได้ปฏิเสธคำเชิญของอินเดีย



 


เฟดชี้แจงเหตุช่วยแบร์ สเติร์นส์+ ระบุเป็นความจำเป็น เยียวยาปัญหาก่อนลุกลามเป็นวิกฤติทั่วโลก


ฐานเศรษฐกิจ - ประธานเฟด ให้การต่อสภาสูงชี้แจงเหตุนำเงินภาษีชาวมะกันเข้าช่วยเหลือแบร์ สเติร์นส์ไม่ให้ล้มเป็นความจำเป็นทางเศรษฐกิจที่ต้องปกป้องตลาดการเงินในประเทศและทั่วโลกไม่ให้เดินเข้าสู่ภาวะวิกฤติตาม พร้อมยอมรับมะกันเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ด้านตัวแทนธนาคารรายย่อยและผู้กำกับนโยบายการเงินท้องถิ่นโวยพิมพ์เขียวปรับโครงสร้างระบบการเงินของกระทรวงคลังไม่แฟร์ ลดบทบาทอำนาจท้องถิ่นรวบเข้าส่วนกลาง



 


นายเบน เบอร์นานคี ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ให้การต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารแห่งวุฒิสภาในวอชิงตันเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมากรณีให้เงินกู้ฉุกเฉินแก่วาณิชธนกิจแบร์ สเติร์นส์ หลังได้รับแจ้งว่าบริษัทอาจต้องยื่นขอล้มละลาย และจัดหางบเฉพาะกิจอีกจำนวน 29,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับรองรับสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำของแบร์ สเติร์นส์ เช่น ตราสารที่อิงสินเชื่อบ้านที่บริษัทไม่สามารถขายออกไปได้ เพื่อให้เจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค มารับซื้อกิจการของแบร์ สเติร์นส์ไป รวมถึงออกมาตรการเสริมสภาพคล่องในระบบการเงินนั้น เป็นความพยายามของเฟดที่ต้องการปรับปรุงกลไกขับเคลื่อนตลาดการเงินและจำกัดความรุนแรงของความปั่นป่วนในตลาดการเงินที่อาจเกิดจากการล้มของแบร์ สเติร์นส์ไม่ให้ขยายวงลุกลามเป็นวงกว้างในระดับโลก



 


"เศรษฐกิจสหรัฐฯ และระบบการเงินโลกอาจตกอยู่ในภาวะลำบากอย่างร้ายแรงหากรัฐบาลปล่อยให้วาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 5 ของประเทศล้มละลาย หากไม่นับแรงกดดันในเศรษฐกิจโลกและระบบการเงิน ความสูญเสียจากการล้มของแบร์ สเติร์นส์อาจนำมาสู่วิกฤติขั้นร้ายแรงอย่างที่สุดจนไม่อาจรับมือได้" นายเบอร์นานคี กล่าว



 


ประธานเฟดยังย้ำความมั่นใจว่า ชาวอเมริกันผู้เสียภาษีจะไม่สูญเงินไปกับการอัดฉีดเงิน 29,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ช่วยเหลือแบร์ สเติร์นส์อย่างแน่นอน หลังจากก่อนหน้านี้ วุฒิสมาชิกบางรายออกมาแสดงความห่วงใยว่า การเข้าไปกู้วิกฤติทางการเงินโดยใช้เงินภาษีของประชาชนจะเป็นการให้ท้ายสถาบันการเงินให้กล้าที่จะเข้าไปลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้นเพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือตนอีกเวลาตกที่นั่งลำบาก


   


อาเซียนเผชิญเงินเฟ้อทั่วภูมิภาค แนวโน้มยังขยับสูงก่อนปรับลดในปีหน้า


ฐานเศรษฐกิจ - ในการประชุมผู้ว่าการแบงก์ชาติและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของ 10 ประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนามเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อาเซียนยังแสดงความมั่นใจว่าจะสามารถฝ่าคลื่นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาไปได้อย่างแข็งแกร่งในปีนี้  เนื่องจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจของชาติสมาชิกยังแข็งแรงดีอยู่ แต่อุปสรรคใหญ่ที่เป็นความท้าทาย คือแรงกดดันจากเงินเฟ้อซึ่งทะยานสูงขึ้น ทำให้บางประเทศสมาชิกอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการสยบความท้าทายดังกล่าว



 


วิกฤติอาหารโลกระส่ำยาวผวาข้าวGMO


ไทยโพสต์ - นายโรเบิร์ต เซลลิก  ประธานธนาคารโลก  ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวก่อนเข้าประชุมกับเจ้าหน้าที่จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่กรุงวอชิงตัน  ดี.ซี. ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ว่าธนาคารโลกมองว่าปัญหาราคาอาหารแพงขึ้นที่ได้ก่อให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายแล้วในหลายประเทศขณะนี้ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วคราว และน่าจะดำเนินต่อไปเช่นนี้อีกหลายปี  เนื่องจากความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก  การเปลี่ยนรูปแบบโภชนาการ และพลังงานทางเลือกที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพผลิตจากธัญพืชเพิ่มขึ้น ได้ทำให้ปริมาณคลังอาหารทั่วโลกลดลงใกล้แตะระดับฉุกเฉิน



 


เขาเผยด้วยว่า ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าราคาอาหารทั่วโลกจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2551  และปี 2552 ก่อนที่ราคาจะค่อยๆ  ปรับลดลงหลังปี  2552  โดยรายงานรายละเอียดการคาดการณ์นี้จะเปิดเผยต่อไปในวันพุธ



 


นายจอห์น โฮลเมส  เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านกิจการมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ  (ยูเอ็น)  กล่าวว่า  ราคาอาหารที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  อาจเป็นสาเหตุให้เกิดความวุ่นวายและความไร้เสถียรภาพทางการเมืองทั่วโลก


   


น.ส.ณัฐวิภา อิ้วสกุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพันธุวิศวกรรม (จีเอ็มโอ) ได้กล่าวถึงรายงานสถานการณ์ปนเปื้อนจีเอ็มโอประจำปี 2550 ว่า  มีประเด็นข้าวจีเอ็มโอที่น่าจับตามอง  เพราะ  10  ปีที่ผ่านมา  พบการปนเปื้อนของข้าวจีเอ็มโอทั้งหมด  20 กรณีทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง  25%  ทั้งๆ  ที่ปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดในโลกอนุญาตให้ปลูกข้าวจีเอ็มโอเป็นการค้า  แสดงให้เห็นว่าพืชจีเอ็มโอควบคุมไม่ได้



 


"ราคาข้าวโลกที่ปรับสูงขึ้นมาก ทำให้มีการเพิ่มปริมาณการผลิต จึงวิตกว่าจะมีการฉกฉวยสถานการณ์ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อให้เกษตรกรปลูกข้าวจีเอ็มโอ  โดยอ้างสรรพคุณว่าให้ผลผลิตข้าวได้มากกว่าและต้านทานโรค"  น.ส.ณัฐวิภากล่าว



 


ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพันธุวิศวกรรมยังกล่าวว่า หากปล่อยให้มีการแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวจีเอ็มโอจะทำให้ข้าวไทยปนเปื้อนจีเอ็มโอ และจะสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร  เพราะตลาดโลกปฏิเสธข้าวจีเอ็มโอ จึงอาจมีการยกเลิกการนำเข้าถ้ามีการปนเปื้อนจีเอ็มโอเกิดขึ้น ไทยซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตข้าวส่งออกเป็นอันดับหนึ่งจะเสียหายอย่างมาก และยิ่งรัฐบาล  พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์  ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี 3 เมษายน 2544  ที่ห้ามทดลองปลูกพืชจีเอ็มโอทุกชนิดในระดับไร่นา ทำให้สามารถทดลองจีเอ็มโอในแปลงเปิด ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจีเอ็มโอมากขึ้น  และเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ 95% ก็เป็นสิทธิบัตรต่างชาติ  หากเกษตรกรไทยปลูกพืชจีเอ็มโอ  ก็จะถูกควบคุมโดยบรรษัทต่างชาติ


      


บิ๊กเหมราชลัดฟ้าพบรัฐบาลลิเบีย+ ศึกษาแหล่งก๊าซฯและก.ม.ลงทุนก่อนผุดนิคมฯปิโตรเคมีขนาดใหญ่กว่ามาบตาพุด


ฐานเศรษฐกิจ - ล่าสุดนายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ประธานกรรมการบริหารบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด(มหาชน) เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ถึง  ความคืบหน้าของการลงทุนในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาชนอาหรับลิเบีย หรือ ประเทศลิเบียว่าในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้จะเดินทางไปหารือกับรัฐบาลลิเบีย ถึงความชัดเจนของกฎหมายการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น   การพัฒนาที่ดินเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี  หรือโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์  พร้อมกับศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ลิเบียมีการขุดเจาะขึ้นมาว่ามีปริมาณมากน้อยแค่ไหน  เพราะจะเป็นวัตถุดิบสำคัญที่เข้ามารองรับในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ได้ รวมถึงกฎระเบียบอื่นๆ เพราะที่ผ่านมากลุ่มทุนไทยยังไม่มีการเข้าไปลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ในลักษณะนี้  มีเพียงรับงานก่อสร้างขนาดเล็ก เช่น วางระบบน้ำ  ระบบไฟฟ้าในอาคารที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จแล้ว เป็นต้น



 


"เหมราชจะเข้าไปทำเป็นนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในรูปแบบคล้ายกับ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แต่การลงทุนที่ลิเบียจะมีขนาดใหญ่กว่า   เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความพร้อมทางแหล่งวัตถุดิบอยู่แล้ว เช่น แหล่งก๊าซธรรมชาติ แหล่งปิโตรเลียม มีแหล่งน้ำจืดพอสมควร และมีเนื้อที่ขนาดใหญ่กว่าไทย ในขณะที่ประชากรมีเพียง 5 ล้านคน  โดยโครงการนี้จะเป็นการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับกลุ่มทุนที่สนใจจะลงทุนด้านปิโตรเคมีในลิเบีย โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากไทยที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่แล้ว "



 


หวั่นจลาจลวิกฤติข้าวโลก+ ราคาทะยานทุบสถิติรอบ 19 ปี ขณะแนวโน้มผลผลิตลดลงราว 3.5 % ในปีนี้


ฐานเศรษฐกิจ  - เวิลด์แบงก์เตือน 33 ประเทศทั่วโลกเสี่ยงเกิดจลาจลจากภาวะราคาอาหารถีบตัวสูง โดยเฉพาะข้าว ซึ่งผลผลิตรวมคาดว่าลดลงในปีนี้ ขณะที่ข้อมูลจากยูเอ็นตอกย้ำผลผลิตข้าวโลกปี 2551 แนวโน้มลดลง 3.5 % ขณะที่ความต้องการบริโภคเพิ่ม หลายประเทศเร่งใช้มาตรการบรรเทาความเดือดร้อน อินโดฯ แจกคูปองรับข้าวฟรี



 


สถานการณ์ดังกล่าวสวนทางกับราคาซึ่งนับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา ราคาข้าวในตลาดโลกถีบตัวขึ้นมาแล้วถึง 20 % (ข้อมูลจากองค์การอาหารและเกษตรกรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟเอโอ) โดยแตะระดับ 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมตริกตัน และคาดว่าจะยังคงแนวโน้มสูงขึ้นไปอีกในระยะไม่กี่เดือนข้างหน้า  ตัวเลขพยากรณ์ของธนาคารโลกให้ภาพน่าวิตกไปกว่านั้น คือคาดว่าราคาอาหารหลักและพลังงานเชื้อเพลิงที่ขยับสูงเป็นประวัติการณ์ในเวลานี้จะทำให้ 33 ประเทศทั่วโลกเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการจลาจลภายในประเทศ ทั้งนี้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ข้าวในตลาดโลกทำสถิติราคาสูงสุดในรอบ 19 ปี (ส่วนข้าวสาลีทำสถิติราคาสูงสุดในรอบ 28 ปี)



 


หนึ่งในปัจจัยดันราคาข้าวสูงขึ้น คือการที่หลายประเทศผู้ส่งออกข้าวรายสำคัญ อาทิ  จีน อินเดีย อียิปต์ เวียดนาม และกัมพูชา ระงับการส่งออกเป็นการชั่วคราว หรือไม่ก็นำมาตรการภาษีมาใช้สกัดกั้นการส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดแคลนข้าวภายในประเทศของตัวเอง นอกจากนี้ภาวะภัยแล้งและการปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวมาปลูกพืชพลังงานยังทำให้ผลผลิตข้าวลดลง การขยับราคาสูงขึ้นของเชื้อเพลิงและปุ๋ยซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการปลูกข้าว ไม่เพียงเท่านั้น ในแง่อุปสงค์ยังพบว่าประชากรในหลายประเทศ เช่น จีนและแอฟริกา ซึ่งมีรายได้สูงขึ้น ได้หันมานิยมบริโภคข้าวมากขึ้นด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลดันราคาข้าวให้ทะยานสูง



 


ผลกระทบจากแนวโน้มราคาข้าวที่ขยับสูงอย่างมากในเวลานี้เห็นภาพได้ชัดในประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก ต้นเดือนมานี้รัฐบาลฟิลิปปินส์ขอให้ผู้ประกอบการร้านฟาสต์ฟูด (ซึ่งรวมถึงแมคโดนัลด์และเคเอฟซี) ลดปริมาณข้าวที่เสิร์ฟให้แก่ลูกค้าเพื่อลดการกินข้าวเหลือ และยังคาดโทษหนักขึ้นสำหรับผู้ค้าที่กักตุนข้าวสาร โดยโทษหนักสุดนั้นถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต



 


ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาในการประชุมร่วมกับผู้ว่าการธนาคารกลางและรัฐมนตรีคลังของประเทศสมาชิกอาเซียน นาย ฆวน โฆเซ ดาโบบ กรรมการผู้จัดการธนาคารโลก กล่าวว่า ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อภูมิภาคอาเซียน แต่ปัจจัยภายในอันเป็นความท้าทายพิเศษ คือราคาอาหารโดยเฉพาะราคาข้าว ที่กำลังถีบตัวสูงขึ้น ดังนั้นรัฐบาลประเทศอาเซียนจึงควรนำมาตรการระยะสั้นมาใช้ปกป้องผู้มีรายได้น้อยและคนยากจน และควรมีมาตรการระยะยาวสำหรับการคลี่คลายปัญหาการขาดแคลนข้าวในอนาคต


 







ต่างประเทศ


ผบ.ทหารUSในอิรักขอหยุดถอนกำลัง อ้างเหตุรุนแรงคุกรุ่น-อิหร่านอาจแทรก


ผู้จัดการรายวัน - ผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯ ในอิรัก พร้อมเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำกรุงแบกแดด เข้ารายงานสถานการณ์ในอิรักต่อคองเกรส ขอพักการถอนกำลังพลอย่างน้อย 45 วันหลังเดือนกรกฎาคม อ้างดอกผลทางทหารที่ต่อสู้ได้มายังอยู่ในภาวะล่อแหลม แถมอิหร่านมีทีท่าจะจุดชนวนเหตุรุนแรง


         


พลเอก เดวิด เพเทรอัส ผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯ ในอิรัก อ้างเหตุผลในการคงกำลังพลของสหรัฐฯ ในอิรักต่อไปว่า สหรัฐฯ อาจจะเผชิญกับการตอบโต้จากอัลกออิดะห์ในอิรัก หรือการสู้รบกับกองกำลังกลุ่มชีอะห์ อย่างเช่นกลุ่มหัวรุนแรงภายใต้การนำของม็อกตาดา อัล-ซาดร์ และยังเสริมว่า


 


"ผู้เล่นภายนอกอย่างเช่นอิหร่าน อาจจะจุดชนวนความรุนแรงขึ้นในอิรักและอาจมีปฏิบัติการอื่นๆ จากประเทศเพื่อนบ้านที่จะทำลายความมั่นคงด้วยเช่นกัน"       

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net