Silence of the Lamp: ข่าวที่ไม่เป็นข่าว...เมื่อสื่อปิดปาก

เหตุการณ์หลากหลายมากมายเกิดขึ้นในแต่ละวัน ทั้งเหตุการณ์ที่ผู้เกี่ยวข้อง สาธารณชน และสื่อมวลชนเห็นว่าควรเป็นข่าวและเหตุการณ์ที่ผู้เกี่ยวข้อง สาธารณชน และสื่อมวลชนเห็นว่าไม่ควรเป็นข่าวด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป

 

เหตุการณ์ล่าสุดที่น่าถกเถียงในเรื่อง "ควร" หรือ "ไม่ควร" เป็นข่าวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา คือ กรณีที่เจ้าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจปทุมวันเรียกนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง และนางสาวชุติมา เพ็ญภาค ไปรับทราบข้อกล่าวหาตามที่ถูกนายนวมินทร์ วิทยกุล ฟ้องดำเนินคดีหมิ่นพระบรมราชานุภาพ เนื่องจากทั้งสองไม่ลุกขึ้นยืนในโรงภาพยนต์ขณะที่มีการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี  คดีนี้เป็นคดีที่สื่อต่างประเทศให้ความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด* (อ่านรายละเอียด)

 

แต่สื่อไทยจำนวนมากกลับไม่นำเสนอข่าวนี้  มีเพียงหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ (Bangkok Post)  หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์  และเว็บไซต์ข่าวประชาไทที่รายงานข่าวดังกล่าว

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น (The Nation) ไปทำข่าวและเขียนรายงานข่าวนี้ส่งให้กองบรรณาธิการ แต่รายงานชิ้นดังกล่าวไม่ได้ถูกนำเสนอทั้งในหนังสือพิมพ์และบนเว็บไซต์ของ The Nation เมื่อสอบถามผู้บริหารข่าวถึงเหตุผลที่ไม่ตีพิมพ์รายงานข่าวชิ้นนี้* (อ่านรายงานข่าว)  เขาได้รับคำตอบว่า "มีปัญหาสุ่มเสี่ยงนิดหนึ่ง"

 

ขณะที่คำนูณ สิทธิสมาน ผู้ร่วมดำเนินรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน" ของเครือผู้จัดการให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่ากรณีนี้ "เป็นประเด็นที่ล่อแหลม คิดอยู่นานพอสมควรว่าจะต้องมาเล่าให้ผู้ฟังดีหรือไม่"

 

"เรื่องนี้ไม่ปรากฎเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ และในวิทยุ โทรทัศน์มากนัก เพราะว่า ผมเชื่อว่าคงจะระมัดระวังกันพอสมควร..."

 

ประเด็นที่เป็นข้อกังวลของผู้บริหารข่าว The Nation และผู้ดำเนินรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน" รวมถึงกองบรรณาธิการสื่อต่างๆที่เลือกให้เหตุการณ์นี้ "ไม่เป็นข่าว" อาจจะไม่เกิดขึ้น หากมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา  และสื่อมวลชนไทยตระหนักถึงบทบาทและพันธกรณีในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งประเทศไทยเป็น 1 ใน 47 ประเทศแรกที่ร่วมลงนามรับรองไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491

 

มาตรา 112 เขียนไว้ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์  พระราชินี  รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี"

 

จากบทบัญญัติดังกล่าว ไม่มีข้อความตรงไหนเลยที่ทำให้เข้าใจไปได้ว่า การทำหน้าที่สื่อมวลชนโดยการรายงานข่าวกรณีบุคคลถูกฟ้องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นประเด็นที่ "สุ่มเสี่ยง" หรือ "ล่อแหลม"

 

ในทางตรงข้าม การเซ็นเซอร์ตัวเองของสื่อมวลชนโดยเลือกที่จะไม่รายงานข่าวนี้ไม่ได้เป็นแค่การปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน  แต่ยังเป็นการละเมิดพันธกรณีสากลตามที่ระบุไว้ในบทบัญญัติข้อ 19 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ดังนี้

 

"บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะยึดมั่นในความเห็นโดยปราศจากการแทรกสอดและที่จะแสวงหา รับ ตลอดจนแจ้งข่าว รวมทั้งความคิดเห็นผ่านสื่อใดๆ และโดยมิต้องคำนึงถึงเขตแดน"

 

บทบัญญัติข้อ 19 นี้ถูกอ้างถึงทุกครั้งที่มีการรณรงค์เสรีภาพสื่อในระดับสากล

 

สื่อมวลชนไทยไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สถาบันวิชาชีพสื่อมวลชนไทยได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมขับเคลื่อน ผลักดัน ต่อสู้เพื่อเสรีภาพสื่อและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นพร้อมๆ ไปกับเพื่อนสื่อมวลชนในภูมิภาคและในประชาคมโลก

 

ในประเทศไทย คำขวัญที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเมื่อมีการรณรงค์ต่อสู้เพื่อเสรีภาพสื่อ คือ

 

เสรีภาพสื่อ คือเสรีภาพประชาชน

 

แต่เมื่อสื่อลุกขึ้นมาปิดกั้นเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารของตัวเองเหมือนครั้งนี้ จึงหมายความว่าเสรีภาพของประชาชนได้ถูกปิดกั้นไปด้วย

 

เป็นการปิดหู ปิดตา ปิดปาก ประชาชนทุกชนชั้น

ทั้งไพร่ และเจ้า

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท