Skip to main content
sharethis

การเมือง


 


"นายกฯ" ยกธงขาวรอ กกต.คลอดกม.


สยามรัฐ - ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 27 พ.ค.51 นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม.มีมติให้ทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมี 2 แนวทางคือ รอให้คณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณานำพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ปี 41 มาใช้ในการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 ได้หรือไม่ หากคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาได้เร็วกว่าก็จะใช้กฎหมายดังกล่าวดำเนินการ แต่ถ้าพิจารณาล่าช้าก็จะออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แต่เกรงว่าจะมีผู้ไม่หวังดีขัดขวางด้วยการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ การทำประชามติก็จะไม่มีอนาคต และอีกแนวทางหนึ่ง คือ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาทำกฎหมายพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ โดยเบื้องต้น กกต.รับปากว่าจะทำให้แล้วเสร็จก่อนเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ


 


"หากการทำประชามติมีผลออกมาว่า ไม่แก้ ก็จะยุติเรื่องนี้ แต่ถ้าออกมาว่าให้แก้ ส.ส.และ ส.ว.จะต้องช่วยดูแลในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องงบประมาณการทำประชามติคงต้องรอให้กฎหมายเรียบร้อยก่อนจึงค่อยหารือกัน"


 


นายสมัคร ยังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงจัดการกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการสลายการชุมนุมว่า "ตอบไปแล้วว่า แม้แต่คิดยังไม่เคย"


 


เผยส.ว.ขอถอนชื่อเพียบ


สยามรัฐ - นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาฯ กล่าวถึงกรณี ส.ส.และ ส.ว.ล่ารายชื่อยื่นญัตติเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ว่า ได้ทำรายงานเสนอประธานสภาฯแล้ว โดยล่าสุดมีสมาชิกรัฐสภาที่เสนอญัตติจำนวน 134 คนเกินจากที่รัฐธรรมนูญกำหนด 9 คน และยังมีข่าวว่ามีการถอนรายชื่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมี ส.ว.ขอถอนรายชื่อแล้ว 20 คน ส่วนกรณีพรรคพลังประชาชน ระบุว่าได้เตรียมส.ส.ของพรรคไว้แล้ว หากมี ส.ส.และส.ว.ขอถอนรายชื่อออกจากการยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ไม่สามารถทำได้เพราะการเสนอญัตติมาเข้ายังสภาฯ ถือเป็นการสิ้นสุดแล้ว


 


ส่วนนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า พรรคพลังประชาชนไม่ว่าอะไรหากจะมีการถอนรายชื่อในการยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ส.ส.และ ส.ว.บางคน เพราะขณะนี้ทางพรรคพลังประชาชน ได้เตรียม ส.ส.ไว้จำนวนหนึ่งหากเสียงในการยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมีไม่ถึง 1 ใน 5


 


ชมรม ส.ส.ร.50 เตรียมยื่น อสส.ส่งให้ศาล รธน.สั่งยกเลิกกระบวนการแก้ รธน.


เว็บไซต์แนวหน้า - ที่รัฐสภา นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สมาชิกชมรมส.ส.ร.50 แถลงว่า ในการประชุมชมรมส.ส.ร.50 มีความเห็นว่าตอนยื่นญัตติเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญจนมีกลุ่มประชาชนออกมาต่อต้านและคัดค้านจะนำมาซึ่งวิกฤตของชาติ และทางชมรมฯเห็นว่าญัตติดังกล่าวไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่เป็นการล้มล้างหรือฉีกรัฐธรรมนูญ 50 ทิ้ง การที่รัฐบาลจะจัดทำประชามติถามประชาชนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่เป็นการแสดงถึงการไม่ยอมรับในประชามติของประชาชน 14.7 ล้านเสียง รวมถึงขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายมารองรับรัฐบาลเสนอให้ออกพระราชกำหนด ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 138 วรรค 4 บัญญัติว่าต้องทำเป็นพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการที่รัฐบาลจะออกเป็นพ.ร.บ.จึงเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งหนทางที่จะแก้ไขสถานการณ์ความแตกแยกของคนในชาติ ชมรมฯ เห็นควรให้มีการถอนญัตติดังกล่าวออกไป แต่หากยังฝืนที่จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองและพวกพ้องทางชมรมก็มีมติที่จะดำเนินการเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกกระทำการดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 168 แต่หากอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการใด ๆทางชมรมฯก็จะดำเนินการยื่นศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง



นายเจิมศักดิ์ กล่าวว่า และการลงประชามติเพียงถามว่าจะแก้หรือไม่แก้ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่จริงใจที่จะรับฟังมติประชาชนจริง เพียงแต่ลดกระแสการต่อต้านเท่านั้น และไม่ได้ข้อมูลแก่ประชาชนอย่างเพียงพอ เพราะในข้อเท็จจริงประชาชนแต่ละคนก็อาจมีความคิดเห็นไปคนละประเด็น ดังนั้นการถามเพียงแก้หรือไม่แก้แล้วเอามติของคนที่ต้องการให้แก้ไขต่างประเด็นมารวมกันย่อมเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นทางชมรมฯจึงขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนออกมาร่วมกันคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เมื่อถามกรณีที่รัฐบาลเตรียมปัดฝุ่นพ.ร.บ.ประชามติ 41 ขึ้นมาดำเนินการ นายเจิมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกาก็พูดไว้ชัดเจนแล้ว และเป็นเรื่องของ กกต.ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล ตนเชื่อว่าที่สุดแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะต้องใช้เวลาถึงปีเศษ ซึ่งอาจไม่ตรงตามเป้าประสงค์ของเขา


 


เศรษฐกิจ


 


ครม.ไฟเขียวยื่นสภาข้อความตกลงอาเซียน-ญี่ปุ่น


สยามรัฐ - นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอที่ให้นำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาก่อนที่จะแสดงเจตนาเพื่อให้ความตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ และให้ส่งความตกลงให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอให้รัฐสภาพิจารณาต่อไป


 


"อาเซียนและญี่ปุ่นได้ลงนามความตกลง AJCEP ไปแล้วเมื่อวันที่ 11 เม.ย.51 โดยความตกลงนี้จะมีผลผูกพันด้านการค้าของไทยอย่างมีนัยสำคัญจึงต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนที่จะแสดงเจตนาให้ความตกลงมีผลบังคับใช้ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ"


 


นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า คณะรัฐมนตรียังมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการเพื่อให้ความตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ได้อย่างช้าภายใน 90 วัน หลังจากที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบ สำหรับสาระสำคัญในความตกลงนี้ได้ครอบคลุมการเปิดเสรีการค้า การบริการ การลงทุน กฎระเบียบต่าง ๆ รวมถึงความร่วมมือในสาขาต่างๆ อีกกว่า 14 สาขาโดยการเปิดตลาดสินค้าของญี่ปุ่นนี้ 90% ของมูลค่าการนำเข้าของญี่ปุ่นจากอาเซียนจะลดภาษีเหลือ 0 ทันทีที่ความตกลงมีผลบังคับใช้


 


โดยก่อนหน้านี้ รายงานข่าวกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ความตกลงฉบับนี้จะครอบคลุมการค้าสินค้าเป็นหลัก ส่วนสินค้าบริการและการลงทุนนั้นทั้งสองฝ่ายเห็นว่า มีในความตกลงทวิภาคีระหว่างสมาชิกอาเซียนกับญี่ปุ่นอยู่แล้วจึงได้ตกลงเรื่องดังกล่าวในกรอบกว้างๆ โดยยังไม่เปิดเสรีขณะนี้แต่จะให้สองฝ่ายเจรจากันในอนาคต ความตกลงนี้จะทำให้เกิดเขตการค้าเสรีขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงขึ้น 1.63 ล้านดอลลาร์และเกิดเครือข่ายการผลิตขนาดใหญ่ โดยประเทศภาคีสามารถสะสมแหล่งกำเนิดสินค้าภายในภูมิภาค เพื่อขอรับสิทธิพิเศษทางภาษี ที่จะเกิดขึ้นได้ ผลของความตกลง จะเป็นประโยชน์ให้อาเซียนเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกสินค้าเทคโนโลยีไปสู่ตลาดโลก


 


"เลี้ยบ" โหนหุ้นหายตื่น


ไทยโพสต์ - ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันที่ 27พ.ค.ปิดที่ 855.60 จุด ลดลง 1.20 จุด มูลค่าซื้อขาย 17,117.61 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,135.54 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 238.06 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,373.60 ล้านบาท


 


นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง กล่าวว่า การที่หุ้นปรับลดลงไม่ถึง 2 จุด แสดงให้เห็นว่าความตระหนกของประชาชนเริ่มลดลงบ้างแล้ว แม้ยังไม่คลายกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ชุมนุมว่าจะเกิดผลด้านใด


อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดกลุ่มผู้ชุมนุมคงจะเข้าใจถึงปัญหาเศรษฐกิจ ที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ซึ่งประเด็นหลักก็คือความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน โดยจะพยายามจำกัดขอบเขตของการชุมนุม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับความเชื่อมั่นต่อประเทศ


 


นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีแกว่งตัวผันผวน สลับบวกและลบ ขณะที่แรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ หลังจากราคาอ่อนตัวลงก่อนหน้านี้ แต่จากแรงขายทำกำไร จากความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะการเมืองที่ยังมีความคลุมเครือเรื่องการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นในระดับสูง อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ทำให้ดัชนีปิดในแดนลบ


 


ส่วนแนวโน้มวันที่ 28 พ.ค.คาดว่าดัชนีน่าจะลงต่อ จะมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ ปตท., ปตท.สผ. และบ้านปู เนื่องจากราคาหุ้นปรับลดลงไปค่อนข้างมาก อาจช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนได้บ้าง


 


คุณภาพชีวิต


 


60 รพ.ทั่วประเทศพร้อมให้บริการล้างไต1มิ.ย.นี้


เว็บไซต์คมชัดลึก - นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ว่า หลังจากที่ สปสช.ได้บรรจุบริการล้างไตผ่านช่องท้องเข้าระบบบริการเพื่อให้การรักษาผู้ป่วยโรคไต เริ่มให้บริการตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2551 ในโรงพยาบาล 23 แห่งทั่วประเทศที่มีความพร้อมแล้วนั้น แผนการขยายขั้นต่อไปจะเปิดให้บริการเพิ่มอีก 60 โรงพยาบาลทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2551 นี้ จะขยายให้ครบ 100 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ซึ่งจะครอบคลุมในทุกจังหวัด โดยตั้งเป้าให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรับบริการ 600 ราย เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2551 ขณะนี้มีผู้ป่วยมารับบริการแล้ว 397 ราย และภายในปี 2552 จะมีผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้รับบริการล้างไตผ่านช่องท้อง 3,000 ราย


 


เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกล่าวว่า เพื่อรองรับการขยายพื้นที่ที่จะพัฒนาระบบบริการและการเตรียมความพร้อมการพัฒนาบุคลากร โดย สปสช.ร่วมกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย สภาการพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันจัดระบบการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่องสำหรับพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อผลิตและพัฒนาพยาบาลด้านการล้างไตผ่านช่องท้อง ตามหลักสูตรมาตรฐาน 4 เดือน ที่สภาการพยาบาลรับรองรุ่นแรก จำนวน 80 คน เริ่ม 30 มิถุนายน 2551 นี้ และจัดทำตำราการล้างไตผ่านช่องท้องเป็นคู่มือเผยแพร่


 


"นอกจากนั้น จะมีการประชุมวิชาการระดับชาติเรื่องการล้างไตผ่านช่องท้อง ในวันที่ 10-12 สิงหาคมนี้ จัดโดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อเป็นเวทีระดมความรู้และการจัดการด้านการล้างไตผ่านช่องท้องในประเทศไทย โดยทั้งหมดเป็นการดำเนินการเพื่อให้ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ต้องได้รับการล้างไต เข้าถึงบริการล้างไตผ่านช่องท้องอย่างมีประสิทธิภาพ และหน่วยบริการก็ได้รับการพัฒนาระบบบริการและพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับอย่างมีคุณภาพด้วย" นพ.วินัยกล่าวและว่า สำหรับรายชื่อโรงพยาบาล 60 แห่ง ที่จะเข้าร่วมโครงการตั้งแต่ 1 มิถุนายนนั้น สามารถสอบถามได้ที่สายด่วนบัตรทอง โทร.1330 ตลอดเวลา


 


ศาลปกครองสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ระงับขึ้นค่ารถเมล์แล้ว


เว็บไซต์ไทยโพสต์ - กรณีนายบุญชัย รุ่งเรืองไพศาลสุข ประธานเครือข่ายคัดค้านการขึ้นค่าโดยสารรถสาธารณะ ได้ยื่นคำร้องฟ้องคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 เรื่องเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการออกคำสั่งโดยมิชอบกรณีที่คณะกรรมการควบคุมการขนส่งฯ มีมติเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ปรับขึ้นราคาค่าโดยสารรถประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) รถร่วม ขสมก. รถบริษัทขนส่ง จำกัด (บ.ข.ส.) และรถร่วม บ.ข.ส. ซึ่งจะให้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.


 


ล่าสุดมีรายงานว่า ศาลปกครองได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวการขึ้นรถเมล์ ขสมก. ยกเว้น บ.ข.ส. มีผลตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป


 


ศธ.ไฟเขียวร.ร.เก็บเงินนอกหลักสูตร


เว็บไซต์ข่าวสด - นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เข้าหารือเรื่องการเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษากับคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 8 โดยในเบื้องต้นคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 8 เห็นด้วยว่า ควรให้สถานศึกษาสามารถระดมทรัพยากรนอกเหนือหลักสูตรได้ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นตามความสมัครใจ ไม่เก็บเงินจากนักเรียนที่เดือดร้อน และต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษา


 


ในส่วนของการเบิกจ่ายเงินค่าบำรุงการศึกษาของบุตรข้าราชการนั้น ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 8 เห็นด้วยว่าควรเบิกได้ในบางส่วน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะต้องออกประกาศ หรือแนวปฏิบัติรองรับประกาศการเบิกจ่ายเงินใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของกระทรวงการคลัง โดยระบุว่ามีรายการใดบ้าง รวมทั้งกำหนดเพดานที่สามารถเบิกได้


รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ทางสพฐ.จะต้องรอหนังสือคำตอบอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 8 ก่อน จากนั้นจะมายกร่างประกาศหรือแนวปฏิบัติในการระดมทรัพยากร รวมทั้งยกประกาศหรือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะใช้ปฏิบัติได้ในปีการศึกษา 2552


 


วางกรอบขรก.ทำงานที่บ้านบอร์ดก.พ.ร.นัดถก28พ.ค.นี้


เว็บไซต์คมชัด - ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ก.พ.ร. ในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ จะมีการกำหนดกรอบแนวทางทางกรณีให้ข้าราชการทำงานที่บ้านได้ เพื่อลดภาระค่าเดินทางของข้าราชการในยุคน้ำมันแพง ซึ่งอาจต้องมีการออกระเบียบใหม่มารองรับ หรือใช้ช่องทางระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ.2535 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2539 ข้อ 11 วรรค 2 ที่กำหนดว่า กรณีจำเป็นหัวหน้าส่วนราชการจะกำหนดวิธีลงเวลาปฏิบัติราชการ หรือวิธีควบคุมการปฏิบัติราชการของข้าราชการที่มีการปฏิบัติงานในลักษณะพิเศษเป็นอย่างอื่นตามที่เห็นสมควร แต่ต้องมีหลักฐานให้ตรวจสอบได้



"การให้ข้าราชการทำงานที่บ้าน เราต้องหารือก่อนว่าเป็นงานประเภทใดที่จะให้ทำที่บ้านได้บ้าง ต้องเป็นงานที่มอบหมายเป็นชิ้นๆ หรืองานวิจัยต่างๆ ที่มีกำหนดระยะเวลาส่งงานที่แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าตลอดทั้งปีข้าราชการคนนั้นไม่ต้องเข้ามาที่ทำงานเลย กลุ่มข้าราชการที่ทำงานบ้านได้ ต้องไม่ใช่กลุ่มข้าราชการที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับให้บริการประชาชน" ดร.ทศพรกล่าว



นอกจากนี้ ก.พ.ร.ยังได้หารือเกี่ยวกับการเลื่อนระดับซีของข้าราชการที่จบหลักสูตรนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) หรือข้าราชการพันธุ์ใหม่ ว่าให้สามารถเลื่อนระดับซีได้เร็วกว่าข้าราชการในระบบปกติหรือไม่ ที่ประชุมเห็นชอบเบื้องต้นว่า จะลดระยะเวลาการเลื่อนระดับซีของข้าราชการที่จบหลักสูตร นปร. จากเดิมใช้เวลา 2 ปี ให้เหลือเพียง 1 ปี แต่การลดระยะเวลาการเลื่อนซีจะให้สิทธิเฉพาะข้าราชการ นปร.ที่มีผลงานดีเด่นระดับท็อป คือ 10% ของรุ่นเท่านั้น และการลดระยะเวลาเลื่อนซีดังกล่าว เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนเก่งเข้าสู่ระบบราชการมากขึ้น และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบ


 


จับตารง.เลิกจ้างสูง นายจ้างทำตามกม.


เว็บไซต์ข่าวสด - นายผดุงศักดิ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า จากการเฝ้าระวังสถานการณ์การเลิกจ้างของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด และกลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ ในช่วงวันที่ 1 ม.ค.-7 พ.ค.51 พบว่ามีสถานประกอบกิจการที่มีแนวโน้มเลิกจ้างจำนวน 30 แห่ง ลูกจ้างที่เกี่ยวข้อง 19,217 คน ในจำนวนนี้ มีสถานประกอบกิจการที่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษซึ่งมีแนวโน้มการเลิกจ้างสูง จำนวน 7 แห่ง ลูกจ้างที่เกี่ยวข้อง 9,604 คน ทั้งนี้ ได้พิจารณาจากสถานการณ์ที่บ่งชี้ ทำให้คาดหมายได้ว่าน่าจะมีการเลิกจ้าง หากปัญหายังคงอยู่ และนายจ้างไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อาจมีการเลิกจ้างแน่นอน ได้แก่ 1.การประกาศปิดกิจการชั่วคราวหลายครั้ง 2.การสั่งซื้อลดลง 3.จ่ายค่าจ้างไม่ตรงกำหนด 4.การขาดสภาพคล่องทางการเงิน และ 5.การเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ


 


นายผดุงศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดแล้ว โดยให้คำแนะนำกับนายจ้างว่า หากไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และต้องมีการเลิกจ้าง ก็ขอให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเคร่งครัดด้วย


 


ทรัพยากร


 


คปป.ตั้งอนุฯ ป้องกันรุกป่า


สยามรัฐ - เมื่อวันที่ 27 พ.ค.51 พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุขโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกฯแถลงผลการประชุม ครม.ว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติ(คปป.)ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 6 ชุดได้แก่1.คณะอนุกรรมการด้านการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า 2.คณะอนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมายและติดตามผลคดีป่าไม้ 3.คณะอนุกรรมการด้านการปลูกและฟื้นฟูสภาพป่าและจัดทำฝายต้นน้ำ 4.คณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ทับซ้อนพื้นที่ป่า 5.คณะอนุกรรมการด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและประชาสัมพันธ์ 6.คณะอนุกรรมการด้านการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าระดับจังหวัด


อย่างไรก็ตามแนวทางการเร่งรัดตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิที่ดินที่ทับซ้อนพื้นที่ป่าของกรมที่ดินนั้น สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำลังดำเนินการ


 


ต่างประเทศ


 


อภัยโทษผู้บริสุทธิ์หลังแขวนคอ86ปี


ไทยโพสต์ - ผู้ว่าการรัฐวิกตอเรีย ออสเตรเลีย เพิ่งตัดสินอภัยโทษให้แก่ผู้ต้องหารายหนึ่ง หลังแขวนคอผู้ต้องหาไปเมื่อ 86 ปีที่แล้ว โดยในครั้งนั้นมีการระบุโทษชัดเจนว่า ผู้ต้องหาชายรายนี้ก่อเหตุฆ่าข่มขืนเด็กหญิงผู้หนึ่ง แต่ผลการตรวจสอบล่าสุดกลับพบว่า พยานหลักฐานที่รวบรวมมาได้ไม่มีความชัดเจนเพียงพอที่จะมัดตัวชายผู้นี้


 


ชายผู้โชคร้ายรายนี้มีชื่อว่า นายโคลิน แคมป์เบลล์ รอสส์ เขาถูกแขวนคอในปี พ.ศ.2465 เมื่อตอนที่มีอายุได้ 28 ปี แต่ 86 ปีให้หลัง เพิ่งมีการตรวจสอบว่าหลักฐานที่มีอยู่ไม่ชัดเจนเพียงพอ ส่งผลให้ลูกหลานของนายรอสส์ รวมถึงสมาชิกครอบครัวของเหยื่อที่ถูกฆาตกรรม ต้องช่วยกันยื่นเรื่องให้ทางการออสเตรเลียพลิกคำตัดสิน ด้วยการอภัยโทษให้เขา


เดิมทีอัยการกล่าวหานายรอสส์ว่าจงใจมอมเหล้า ด.ญ.อัลมา ทริทส์เก้ วัย 12 ปี ก่อนจะลงมือข่มขืน และบีบคอเหยื่อจนเสียชีวิต ข้อกล่าวหาของอัยการอาศัยหลักฐานเพียงอย่างเดียว คือเส้นผมที่ร่วงติดกับผ้าห่มของนายรอสส์ ซึ่งอัยการมั่นใจว่าเป็นผมของเด็กหญิงผู้เคราะห์ร้าย ส่งผลให้นายรอสส์ถูกตัดสินว่าทำผิดจริง และถูกแขวนคอในอีก 4 เดือนถัดมา


 


แต่ท้ายสุด ความจริงก็เพิ่งปรากฏว่านายรอสส์เป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะเมื่อใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันตรวจสอบเส้นผม ปรากฏว่าเส้นผมดังกล่าวไม่ใช่ของ ด.ญ.ทริทส์เก้ ส่งผลให้ศาลสูงในรัฐวิคตอเรียยอมรับว่าตัดสินคดีดังกล่าวผิดไป แต่กว่าความจริงจะกระจ่าง นายรอสส์ก็ถูกแขวนคอตายไปแล้วถึง 86 ปี และเนื่องจากคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิงยังมีความคลุมเครืออยู่หลายจุด ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครคือฆาตกรกันแน่ ครั้นจะรื้อฟื้นคดีมาพิจารณาใหม่ก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 80 ปีก่อน จึงทำให้ศาลตัดสินอภัยโทษให้ แทนที่จะประกาศให้นายรอสส์เป็นผู้บริสุทธิ์


 


เหยื่อธรณีพิโรธจีนทะลุ 6.7 หมื่น


สยามรัฐ - ปักกิ่งเผยตัวเลขยอดเหยื่อธรณีพิโรธล่าสุดอยู่ที่กว่า 6.7 หมื่นคน คาดทะลุ 8หมื่น หลังพบศพต่อเนื่อง ด้านทหารเร่งระบายน้ำในทะเลสาบหวั่นท่วมซ้ำ ขณะที่รัฐบาลหม่องทำเก๋ถ่ายหนังในพื้นที่ประสบภัย แทนที่จะอนุญาตหน่วยบรรเทาทุกข์ช่วยเหยื่อวาตภัย


 


 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลจีนเปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในมณฑลเสฉวน ซึ่งวัดแรงสั่นสะเทือนได้ 8.0 ตามมาตราริกเตอร์เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีจำนวน 67,183 คน ภายหลังจากเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยยังคงพบร่างผู้เสียชีวิตภายใต้ซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือนอย่างต่อเนื่องอีก 2,000 คนในการค้นหาเมื่อวันก่อน พร้อมทั้งคาดด้วยว่า ผู้เสียชีวิตอาจจะมีจำนวนมากกว่า 80,000คน เนื่องจากยังคงมีผู้สูญหายอีกกว่า 20,000 คน


 


ขณะเดียวกัน ทางกองกำลังทหารจำนวน 1,800 นาย พร้อมวัตถุระเบิดและอุปกรณ์ขุดเจาะ ได้เร่งทำลายกองดินและหินจำนวนหลายล้านก้อน ที่พังลงมาปิดเส้นทางน้ำบริเวณใต้เขื่อนถังเจียชาน หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว จนเป็นเหตุให้น้ำมาขังเป็นแอ่งขนาดใหญ่และมีทีท่าว่าจะเอ่อท่วมบริเวณที่พักอาศัยของประชาชน พร้อมกันนี้ ทางการจีนได้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ไปแล้วกว่า 30,000 คน แลเตรียมอพยพผู้คนอีกนับแสนคนออกจากพื้นที่ด้วย หลังจากคาดการณ์ว่า จะมีพายุฝนพัดกระหน่ำในพื้นที่ดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้ พายุฝนได้พัดกระหน่ำมณฑลกุยโจวจนเกิดน้ำท่วมและมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 9 คน


 


ขณะที่ ความคืบหน้าเหตุพายุไซโคลนนาร์กีสพัดถล่มพม่า เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมาจนสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ล่าสุด ปรากฏว่ารัฐบาลทหารพม่าอนุญาตให้บริษัทเอกชนเข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ในสถานที่จริงหรือพื้นที่ประสบวาตภัยได้


 


โดยนายหลี่ กง ผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ เปิดเผยว่า เรื่องราวที่ถ่ายทำนั้นเกี่ยวกับตำนานพายุ และการลงโทษของเทพเจ้า ซึ่งเหตุวาตภัยที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ถือเป็นการลงโทษจากเทพเจ้า ทั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวจะแพร่ภาพออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลทหารพม่า


 


ขณะเดียวกัน ทางด้านนานาชาติยังคงกดดันรัฐบาลทหารพม่า อนุญาตให้คณะบรรเทาทุกข์สามารถเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อพายุในพม่าได้ ซึ่งจนถึงขณะนี้ทางการพม่ายังไม่เปิดรับเท่าที่ควร


 


พม่าขยายเวลากักขัง "ซูจี" อีก 1 ปี


ไทยโพสต์ - รัฐบาลหม่องยังขวางโลกต่อไป สั่งขยายเวลากักบริเวณ "อองซาน ซูจี" ต่ออีก 1 ปี พร้อมจับกุมสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีกว่า 20 รายขณะเตรียมเคลื่อนไหวในวันอังคาร ด้านงานบรรเทาทุกข์ไม่ยุ่งการเมืองกระบอกเสียงรัฐบาลทหารชื่นชมยูเอ็นเร่งช่วยเหยื่อนาร์กีส ขณะเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ต่างชาติมุ่งหน้าเข้าพื้นที่ประสบภัยแล้ว


 


เนปาลขู่ใช้กำลังไล่กษัตริย์


ไทยโพสต์ - สมัชชาที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเมื่อเดือน เม.ย.มีกำหนดจะประชุมนัดแรกในวันพุธ เพื่อประกาศล้มเลิกระบอบกษัตริย์ที่สืบทอดมานาน 239 ปีอย่างเป็นทางการ ตามข้อตกลงสันติภาพที่ทำไว้กับกลุ่มกบฏลัทธิเหมาเมื่อปี 2549


 


"กษัตริย์กิยาเนนทราต้องทรงย้ายออกจากวังหลวงโดยทันที และหากพระองค์ยังทรงดื้อดึง รัฐบาลก็อาจต้องใช้กำลัง ซึ่งคงไม่เป็นผลดีต่อพระองค์" แรม จันทรา รัฐมนตรีสันติภาพและการฟื้นฟูกล่าว


ชาวเนปาลส่วนใหญ่เชื่อว่ากษัตริย์กิยาเนนทราจะเสด็จฯ ออกจากวังหลวงอย่างเงียบๆ หลังจากสมัชชาโหวตล้มเลิกระบอบกษัตริย์ในวันพุธ อย่างไรก็ดี กษัตริย์กิยาเนนทราซึ่งทรงประทับอยู่ ณ พระราชวังหลวงนารายันหิติ ใจกลางกรุงกาฐมาณฑุ ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2544 ยังไม่เคยเปิดเผยให้สาธารณชนทราบว่าจะทรงย้ายจากวังหลวงไปประทับอยู่ ณ ที่ใด


 

แม้วันจันทร์ที่ผ่านมาทางการเนปาลได้สั่งห้ามการชุมนุมประท้วงตามสถานที่สำคัญในเมืองหลวงเพื่อป้องกันเหตุรุนแรงก่อนหน้าการประชุมนัดสำคัญของสมัชชาที่จะมีขึ้นในวันพุธ แต่ก็เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นจนได้เมื่อเกิดเหตุระเบิดโดยฝีมือของกลุ่มนักรบฮินดูที่ด้านนอกสถานที่ประชุมดังกล่าว โชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net