Skip to main content
sharethis

พันธมิตรเคลื่อนหลายสายประชิดทำเนียบสำเร็จ ยึดหัวหาด ถ.พิษณุโลก ก่อนร้องเพลงผู้ชนะสิบทิศลั่นนางเลิ้ง สุริยะใสประกาศชัยชนะสามประการ ทนายผอมอ้างพระนเรศวรแสดงปาฏิหาริย์ พันธมิตรชนะแน่ ลั่นจะเอาคนเลวมาขุดหลุมฝัง สนธิประกาศจะไล่ให้ได้ในสองวัน ภูวดลด่ากราดนักการเมืองในสภาให้ราคาเทียบตะกวด ยกระดับ "อารยะขัดขืน" เจอหมักที่ไหนให้ "ถ่มน้ำลายใส่หน้า"

ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์การเคลื่อนขบวนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปยังทำเนียบรัฐบาลวานนี้ (20 มิ.ย.) ตามที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตร ได้นัดหมายเอาไว้

 

เตรียม "นักรบศรีวิชัย" ก่อนบุกทำเนียบ

โดยที่ชุมนุมของพันธมิตรที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ เริ่มมีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เวลา 9.00 น. มีการประชุมนักรบศรีวิชัย หรือฝ่ายรักษาความปลอดภัย รับสมัครอาสาสมัครหญิงเป็นหน่วยปฐมพยาบาล

 

มีการเตรียมเรือทองแบน 10 ลำไว้ในผดุงกรุงเกษมเพื่อใช้ข้ามคลองไปยังฝั่งทำเนียบรัฐบาล และในเวลา 10.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตร ประกาศบนเวทีว่า การเดินไปทำเนียบรัฐบาลวันนี้ เชื่อว่าเราได้รับผลสำเร็จแน่นอน โดยรัฐบาลจะต้องลาออกภายใน 1-2 วันนี้ เพราะประชาชนมามากขนาดนี้ รัฐบาลคงอยู่ไม่ได้ วันนี้จะเป็นการเดินมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ และเป็นประวัติการณ์

 

 

มีไม้เบสบอล-ท่อนเหล็กป้องกันตัวเอง

พล.ต.จำลองยืนยันว่า ที่ชุมนุมไม่มีการซ่องสุมอาวุธปืนตามที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กล่าว แน่นอน แม้จะออกมาบอกว่ามี จปร. รุ่น 7 เป็นผู้ให้ข่าวก็ตาม คิดว่า ร.ต.อ.เฉลิมคงเห็นว่าตนก็อยู่รุ่น 7 เหมือนกัน จึงทำให้ประชาชนเชื่อว่าตนรู้เห็นเป็นใจด้วย เมื่อไปถาม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ท่านก็บอกว่าไม่มี เห็นได้ชัดว่า ต้องการสร้างกระแสความรุนแรง  ปั่นป่วนบ้านเมืองให้ วุ่นวาย หากมีอาวุธจริงคงไม่ใช่กลุ่มพันธมิตรฯ คงเป็นพวก นรกป่วนกรุง ส่วนที่รัฐบาลนำภาพกลุ่มผู้ชุมนุมไปเผยแพร่  มีอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นไม้เบสบอล ท่อนเหล็ก ยอมรับว่า มีจริง แต่ทั้งนี้ไม่ได้นำสิ่งดังกล่าวมาใช้เป็นอาวุธ แต่มีไว้เพื่อป้องกันตนเอง เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถรักษาความปลอดภัยให้กับกลุ่มพันธมิตรฯได้

 

 

ปราโมทย์ประณาม "BBC Stupid" ฉุนเสนอข่าวลบ

ต่อมานายปราโมทย์ นาครทรรพ์ ขึ้นปราศรัยและให้ผู้ชุมนุมตะโกนคำว่า "BBC Stupid" เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับสำนักข่าวบีบีซี ที่ลงข่าวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในแง่ลบ

 

ต่อมานายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 14/2551 เรื่องดำรงความสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ แสดงรอยยิ้มไม่ด่าทอ ไม่ยั่วยุ และจะไม่ใช้อาวุธใดๆ ทั้งสิ้น โดยช่วงที่นายปานเทพอ่านแถลงการณ์เริ่มมีผู้ชุมนุมทยอยมากันมากขึ้น

 

เวลาประมาณ 11.00 น. มีรายงานว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตร พร้อมทีมรักษาความปลอดภัยประมาณ 10 คน เดินทางด้วยรถ 2 คัน ไปยังวัดชนะสงคราม โดยนายสนธิเข้าไปนั่งทำสมาธิอยู่ในโบสถ์ราว 20 นาที

 

 

จำลองเคลื่อนมวลชนตามยุทธการ "สงคราม 9 ทัพ"

เวลา 11.50 น. พล.ต.จำลองขึ้นรถ 6 ล้อ นำหน้าชายฉกรรจ์ผ้าพันคอเขียวและกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 300 คน เคลื่อนจากสะพานมัฆวานฯ เลียบถนนกรุงเกษม เลี้ยวซ้ายข้ามคลองผดุงกรุงเกษมเข้าแยกนางเลิ้ง มุ่งหน้าสู่ทำเนียบตามยุทธการ 'สงคราม 9 ทัพ' ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เดินเท้าพาผู้ชุมนุมเคลื่อนตามโดยใช้เส้นทางเดียวกับขบวนของ พล.ต.จำลอง

 

เมื่อ พล.ต.จำลอง ไปถึงบริเวณซอยวัดโสมนัสราชวรวิหาร ซึ่งเป็นจุดแรกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล ประมาณ 200 คน ยืนตั้งแถวพร้อมโล่ป้องกัน จากนั้น พล.ต.จำลองสั่งให้กลุ่มผู้ชุมหยุดขบวนและนั่งลงกับพื้น พร้อมประกาศว่าอย่าด่าทอ อย่าทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยิ้มให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะเดียวกัน ฝั่งตรงข้ามก็มีกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 300 คน เดินจากสนามม้านางเลิ้งเข้ามาสมทบ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มดังกล่าวตกอยู่ในวงล้อมของพันธมิตรฯ 

 

 

กรูทลายกำแพงตำรวจเพื่อแหวกทาง

เวลา 12.05 น. กลุ่มผู้ชุมนุมจากสนามม้านางเลิ้ง กลุ่มดังกล่าวกรูเข้าไปดึงเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมา ทำให้ กลุ่มตำรวจเสียรูปขบวน กลุ่มของ พล.ต.จำลอง จึงทลายกำแพงของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ชั่วครู่ ก็สามารถแหวกทางออกไปได้ จากนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมตั้งขบวนเลี้ยวซ้ายไปถนนนครสวรรค์ ตรงไปสี่แยกสนามม้านางเลิ้ง โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมอีกหลายพันคนเดินตามมาสมทบ กระทั่งเดินถึงสี่แยกสนามม้านางเลิ้ง ก็เจอกับแผงเหล็กกั้นไว้ตลอดแนว โดยมี ตชด.และตำรวจปราบจลาจลตั้งกำแพงมนุษย์ 5 ชั้นหลังแผงเหล็กป้องกันไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯเล็ดลอดเข้าไปยังทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้น พล.ต.จำลองได้ขึ้นไปบนเวทีเคลื่อนที่ของรถหกล้อ ปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล

 

โดยมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 2 แกนนำตามมาสมทบ พร้อมกับประกาศยึดพื้นที่และนำเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่มาติดตั้งเปิดการปราศรัย ในขณะที่อาสาสมัครพันธมิตรฯและผู้ชุมนุมบางส่วนต้องคอยยืนประจันหน้ากับตำรวจที่ตั้งด่านสกัดกั้นไว้บริเวณนางเลิ้ง แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆเกิดขึ้น โดย พล.ต.จำลองได้ขอให้ผู้ชุมนุมนั่งลงกับพื้นถนนอย่างสงบเรียบร้อย

 

 

ไชยวัฒน์พาเคลื่อนจากลานพระบรมรูปทรงม้า

เวลา 12.40 น. นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นำผู้ชุมนุมอีกกลุ่มเคลื่อนจากลานพระบรมรูปทรงม้า มาทางวัดเบญจมบพิตร เข้าถนนนครปฐม เจอตำรวจซึ่งตั้งแผงกั้น 2 จุด หน้าวัดและข้างสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ด่านละ 50 นาย แต่ใช้เวลาไม่กี่นาที กลุ่มพันธมิตรช่วยกันดันเข้ามาจนทำให้แผงเหล็กกั้นริมทางสีขาวหักลงมาทับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมกรูกันเข้ามาทำให้ตำรวจหญิงและชาย 4 นาย ได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกัน ได้ยกรถควบคุมผู้ต้องหาออกเพื่อนำรถเครื่องเสียงผ่านเข้าไปถึงถนนพิษณุโลก ได้เรียกเสียงเฮและปรบมือลั่น

 

 

นครบาลมีคำสั่งห้ามใช้กำลัง ให้ถอยถ้าถูกดัน

ทั้งนี้มีหลายจุดที่ตำรวจผู้ควบคุมฝ่ายปฏิบัติการมีการขออนุมัติใช้กำลัง แต่ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แจ้งยืนยันว่าห้ามใช้กำลังเด็ดขาด ถ้ากลุ่มพันธมิตรดันเข้ามาให้ถอยไป ซึ่งจากการที่กลุ่มพันธมิตรใช้วิธีดันฝ่าด่านตำรวจ ทำให้มีผู้ได้รับได้รับบาดเจ็บหลายราย ประกอบด้วย ส.ต.ต.หญิง พรพิรุณ โตวังจร ส.ต.ต.หญิง พจนา แก้วเกตุศรี สังกัด ตชด. บาดเจ็บที่แขนและอาจจะหัก และ ส.ต.ต.คมสัน ศรีคำ สังกัด สน.บางนา เล็บหลุด จ.ส.ต.ศราวุธ เลิศพร ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สน.ลุมพินี นิ้วมือข้างซ้ายที่ถือโล่ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากมีเพื่อนล้มลงแล้วถูกกลุ่มผู้ชุมนุมเดินเหยียบ ได้พยายามดึงคอเสื้อตำรวจที่ล้มลง ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมดันมือที่ถือโล่จนพลิก ทั้งหมดนำส่งรักษาโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่ง พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจที่ห้องฉุกเฉิน

 

พล.ต.ต.สุรพลยังแถลงหลังกลุ่มพันธมิตรฝ่าแนวกั้นของตำรวจเข้าไปบริเวณข้างทำเนียบว่า เหตุที่ตำรวจต้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปโดยรอบทำเนียบ เพราะเกรงอารมณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมจะปะทุ หากปล่อยให้ถึงช่วงค่ำจะยุ่ง สถานการณ์อาจจะวุ่นวาย เรียนว่าตำรวจไม่ได้ยอม แต่มีกติกาชัดเจนว่าจะไม่ทำร้ายประชาชน ซึ่งมีประชาชนจำนวนมาก การฝ่าด่านกั้นเข้ามาก็ไม่ได้ใช้กำลัง หรืออุปกรณ์ที่ใช้เป็นอาวุธ ไม่ได้ใช้ลักษณะของความรุนแรงเกินกว่าเหตุ แต่ใช้กำลังคนในลักษณะดันเข้ามาก็ดันสู้กัน เมื่อตำรวจดันสู้ไม่ไหว

 

"เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก แม้กระทั่งที่แคบๆ ซึ่งตำรวจไม่คิดว่าจะผ่านได้บริเวณด้านวัดเบญจมบพิตรฯ เพราะสถานที่ทางภูมิศาสตร์น่าจะปะทะไว้ได้ แต่เอาไม่อยู่เพราะมีคนจำนวนมาก ตำรวจเสริมหลายๆ แนวก็ไม่ไหว เพราะถ้ากระแทกออกไป บางทีข้างหน้าเป็นผู้หญิงโล่จะไปกระแทกหน้ากระแทกตา ทำให้เขาบาดเจ็บ ขณะนี้กลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ที่ถนนพิษณุโลกหมดแล้ว"

 

 

"สมศักดิ์" พาดันจนด่านแตกสมทบ "ไชยวัฒน์" สำเร็จ

อีกด้านหนึ่ง นายสมศักดิ์ โกยสุข ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากที่ตั้งเดินเท้าเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ผ่านหน้าวัดมกุฏกษัตริยาราม เลี้ยวขวาเข้าถนนประชาธิปไตย ผ่านคุรุสภา เลี้ยวขวาเข้าแยกวังแดง ก็เจอกับกำแพงเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตั้งแถวสกัดกั้นอยู่ กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเข้าเจรจาขอเปิดทางประมาณ 15 นาที โดยเข้าไปผลักแผงเหล็กที่กั้นและยื้อยุดอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจครู่ใหญ่ ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะสามารถฝ่าแนวผ่านไปอย่างง่ายดาย 

 

และในเวลาประมาณ 13.00 น. กลุ่มของนายสมศักดิ์ โกศัยสุข นำสมาชิกสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ (สรส.) หลายพันคน รวมตัวเคลื่อนบริเวณแยกวังแดง จากนั้นเคลื่อนประชิดด่านตำรวจประมาณ 400 นาย แยกมิสกวัน เกิดการปะทะกันเล็กน้อย แต่ในที่สุด ก็ฝ่าด่านมารวมกับกลุ่มของนายไชยวัฒน์ได้สำเร็จ พร้อมด้วยเสียงไชโยโห่ร้องดังดึกก้อง

 

 

หาญกล้ายืนตัดโซ่รัดแผงเหล็กเย้ย ตร.

ส่วนที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งได้กรูเข้าตัดโซ่ที่ร้อยรัดแผงเหล็กของตำรวจ ที่ทำเป็นแนวกั้นไว้จำนวน 2-3 จุด บริเวณหลังเวทีปราศรัย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แต่งกายในชุดปราบจลาจลเตรียม พร้อมปฏิบัติการอย่างเข้มข้นหากเกิดเหตุรุนแรงขึ้น ยืนสงบนิ่งมองดูผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรฯตัดโซ่เหล็กออกไปอย่างง่ายดาย พร้อมตรึงกำลังประจันหน้ากัน ขณะที่ตำรวจนำรถ 6 ล้อ ขังผู้ต้องหามาจอดขวางไว้หลายคันทำเป็นแนวกั้นอีกชั้น

 

 

บุกตะลุยยึดพื้นที่ถนนพิษณุโลก

กระทั่งเวลา 14.47 น. กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งสามารถยึดพื้นที่บนถนนพิษณุโลกหน้าทำเนียบรัฐบาลได้แล้ว ได้รวมตัวกันผลักดันรถขังผู้ต้องหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จอดปิดทางเข้าบริเวณถนนนครปฐมเลียบคลองตลอดหน้าทำเนียบ เพื่อเปิดทางให้รถกระจายเสียงที่มีนายสมศักดิ์โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย และนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ยืนอยู่บนรถเคลื่อนที่เข้ามายังถนนพิษณุโลก และจอดปักหลักที่เชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องดังกึกก้องของผู้ชุมนุม ที่สามารถนำรถกระจายเสียงเข้าพื้นที่ชุมนุมได้ นอกจากนี้กลุ่มผู้ชุมนุมยังได้รวมตัวกันเดินข้ามสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ซึ่งมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลยืนรักษาการณ์โดยไม่มีการขัดขวางแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ยังเปิดให้ผู้ชุมนุมที่รวมตัวบริเวณถนนพิษณุโลกข้ามสะพานชมัยมรุเชษฐ์เดินไปสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุม  ที่ติดการสกัดแผงเหล็กของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณแยกนางเลิ้ง

 

 

รัฐวิสาหกิจมุดใต้ท้องรถฝ่าแนวกั้นช่วยจำลอง

ต่อมาที่จุดสกัดแยกนางเลิ้ง เวลา 16.00 น. ผู้ชุมนุมจากสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ (สรส.) กว่า 200 คน ยกกำลังไปช่วยขบวนของ พล.ต.จำลอง ที่แยกนางเลิ้ง ด้วยการมุดใต้รถตำรวจ 6 ล้อที่บริเวณแยกถนนพระราม 5 ตัดถนนพิษณุโลก หน้าพาณิชยการพระนครแล้วเข้ามาตลบหลังตำรวจที่ด่านแยกนางเลิ้ง กดดันจนด่านแตก

 

ตำรวจยอมถอยรถ 6 ล้อออก ยอมเปิดทางให้ผู้ถูกสกัดบริเวณแยกนางเลิ้งมาสมทบกับผู้ชุมนุมที่ถนนพิษณุโลกได้เป็นผลสำเร็จท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องด้วยความยินดี ก่อนจะตะลุยมาสมทบกับผู้ชุมนุมที่ยึดข้างทำเนียบไว้ได้ก่อนหน้านี้

 

พร้อมกันนี้ผู้ชุมนุมยังร่วมกันเคลียร์พื้นที่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ด้วยการดันรถคุมขังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จอดกลางสะพานออกไปให้พ้นเส้นทาง เพื่อเคลียร์ทางรอให้รถกระจายเสียงหลัก ซึ่งยังคงปักหลักอยู่บริเวณแยกนางเลิ้ง เตรียมเคลื่อนที่เข้ามาภายในถนนพิษณุโลก

 

 

ฝ่าทุกด่านเข้าไปล้อมทำเนียบได้สำเร็จ

เวลาประมาณ 16.20 น. ทันทีที่กลุ่มพันธมิตรฯสามารถรวมตัวกันได้สำเร็จ ประชาชนที่ยังกระจัดกระจายอยู่รอบนอกทุกจุด ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาภายในบริเวณดังกล่าว แล้วปักหลักลงนั่งบนพื้นถนนยาวเหยียดตั้งแต่แยกสวนมิสกวันไปจนถึงแยกนางเลิ้ง รวมทั้งกระจัดกระจายไปถึงหน้าบ้านพิษณุโลก

 

มีตั้งเวที 2 จุด โดยใช้รถ 6 ล้อ 2 คันเทียบกัน จุดแรกที่แยกนางเลิ้ง หันหน้าเข้าหาทำเนียบ คุมเวทีโดย พล.ต.จำลอง นายสนธิ และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ จุดที่สอง เชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ หันหน้าเข้าหาทำเนียบ คุมเวทีโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายพิภพ ธงไชย และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข พร้อมเปิดปราศรัยโจมตีรัฐบาล

 

 

แกนนำย้ำไม่เข้าทำเนียบ ห้ามดื่มสุรา ห้ามพกพาอาวุธ รสนารุดให้กำลังใจ

โดยมีการโห่ไล่อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รวมไปถึงการประกาศชัยชนะของการชุมนุม ในครั้งนี้ พร้อมกับมีการประกาศกฎการชุมนุม เน้นย้ำห้ามผู้ชุมนุมดื่มสุรา ห้ามพกพาอาวุธ ห้ามใช้ความรุนแรง ห้ามไปจับต้องทำลายทรัพย์สินบริเวณรั้วทำเนียบฯ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากมีการเข้ายึดพื้นที่ของกลุ่มพันธมิตรฯ  เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มถอนกำลังกลับและถอยรถที่ใช้เป็นเครื่องกีดขวางทั้งหมดออกจากพื้นที่ เรียกเสียงปรบมือจากกลุ่มผู้ชุมนุม ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใช้ความรุนแรง

 

นอกจากนี้ผู้ชุมนุมบางรายได้ควักกล้องส่วนตัวบันทึกภาพเหตุการณ์เก็บไว้เป็นที่ระลึก นอกจากนี้ ยังเริ่มมีผู้สนับสนุนกลุ่มต่างๆ เดินทางมาสมทบเป็นระยะ อาทิ กลุ่มพันธมิตรฯ จ.กำแพงเพชร ที่เดินทางมาพร้อมน้ำดื่ม นำมาสนับสนุน และระหว่างการเคลื่อนขบวน มีนางรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. และคณะ เดินทางมาร่วมชุมนุมอยู่ด้วย บริเวณแยกสวนมิสกวัน

 

 

สนธิบอกให้นั่งเล่นตามสบาย ลั่นจะไล่ให้ได้ในสองวัน

เวลา 16.28 นายสนธิ กล่าวกับผู้ชุมนุมว่า จะมีการปรับเวทีเพราะผู้ชุมนุมมีจำนวนมากถึงแยกมิสกวัน จะมีการต้องปรับเวที จะมีการนำเวทีถาวรที่มัฆวานฯ มาตั้ง และที่ชุมนุมตรงนี้ใหญ่กว่าที่มัฆวานมาก อาจต้องเสียเวลาขยับเวที สัก 2 ชั่วโมง "ขอให้พี่น้องนั่งพักตามสบาย เล่นดรั่มมี่ ไฮโลตามสบาย จะรำวงก็ได้ ไม่ต้องอภิปรายอะไร เพราะเราต้องไล่ให้มันไปในวันสองวันนี้แน่นอน" นายสนธิกล่าว


เมื่อกำลังพันธมิตรส่วนใหญ่ยึดพื้นที่ข้างทำเนียบไว้ได้เบ็ดเสร็จแล้ว นายสุริยะใส กตะศิลา นำ 500 คนที่เหลือ เคลื่อนจากเชิงสะพานมัฆวานฯ ผ่านวัดมกุฏกษัตริยาราม เลี้ยวขวาผ่านคุรุสภา และเลี้ยวขวาแยกวังแดง เข้าสู่แยกมิสกวันเพื่อมาสมทบกับผู้ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล พวกที่เหลือรื้อถอนเวทีถาวร สมาชิกกองทัพธรรมเก็บข้าวของโรงครัวจากเชิงสะพานตามมาสมทบ จากนั้นเจ้าหน้าที่ กทม.ระดมกำลังเก็บกวาดล้างขัดพื้นถนนราชดำเนินนอก

 

 

สุริยะใสแถลงเป็นชัยชนะของพันธมิตรฯ

ในเวลา 17.30 น. นายสุริยะใสแถลงข่าวถึงภาพรวมการเคลื่อนขบวนจากสะพานมัฆวานฯมาทำเนียบรัฐบาลว่า ถือเป็นชัยชนะของพันธมิตรและประชาชนผู้รักความเป็นธรรม ดังนี้

 

1.สามารถนำแนวทางสันติวิธีมาเคลื่อนไหวภายใต้คนเรือนแสนได้โดยไม่มีเหตุการณ์เลือดตกยางออก หรือเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการเผชิญหน้า หรือทุบตีที่จะซ้ำรอยเหตุการณ์เดือนพฤษภาทมิฬอย่างที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะเป็นชนวนการนองเลือด

 

2.ชัยชนะในการยึดพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นเป้าหมายปลายทาง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลชุดนี้ลาออกไป ประเด็นเขาพระวิหาร เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนมาร่วมชุมนุมมากขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยมาร่วมเลย เพราะประชาชนเห็นว่าการกระทำของรัฐบาลเป็นการขายชาติ

 

3.ได้เอาวาระของภาคประชาชนที่ต่อสู้มาตลอด โดยไม่ทำให้เกิดความรุนแรง จากนี้ต่อไปรัฐบาลจะลาออกหรือไม่นั้น ไม่ทราบ แต่พันธมิตรจะใช้โอกาสอภิปรายรัฐบาลนอกสภาต่อไปเพื่อตีแผ่เปิดโปงความล้มเหลวของรัฐบาล

 

และคิดว่ารัฐบาลไม่โง่ที่จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือใช้กำลังทหารสลายการชุมนุม

 

 

สื่อนอกตีข่าวชุมนุม บีบีซีระบุการชุมนุมสะท้อนความขัดแย้งร้าวลึกในไทย

สำหรับการเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีสื่อต่างประเทศลงข่าวหลายสำนักด้วยกัน โดยสำนักข่าวเอพีระบุอ้างการประเมินของตำรวจ ระบุว่ามีผู้ชุมนุมราว 2 หมื่นคนในช่วงบ่ายและเพิ่มจำนวนขึ้นในช่วงเย็น ส่วนสำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์ รายงานคำพูดของนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรที่ระบุว่ามีผู้ชุมนุม 1 แสนคน ขณะเดียวกันได้รายงานข้อมูลของตำรวจนครบาลด้วยที่ระบุว่ามีผู้ชุมนุม 14,000 คน

 

นายโจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซี รายงานว่าแกนนำผู้ชุมนุมอ้างว่าจะมีผู้เข้าร่วมกว่าแสนคน แต่เอาเข้าจริงมีคนร่วมไม่กี่พัน ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางที่ต้องการกดดันให้รัฐบาลพรรคพลังประชาชนให้ลาออก ขณะที่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาและทำงานได้ 4 เดือน และได้รับความสนับสนุนจากชาวบ้านในชนบท จึงทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทยที่ร้าวลึก และมีกลิ่นอายรัฐประหารกลับมาอีกครั้ง

 

 

เอเอฟพีตั้งข้อสังเกตแกนนำมีภูมิหลังประหลาด และม็อบมักอ้างอิงพระเจ้าอยู่หัว

สำนักข่าวเอเอฟพียังระบุว่าพันธมิตรเคลื่อนไหวโดยใช้สัญลักษณ์ของพระราชวงศ์ มีการใช้เสื้อสีเหลือง ผ้าพันคอสีเหลือง และผ้าคาดหัวสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำพระชนมวาร วันจันทร์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ป้ายรณรงค์ของพวกเขาใช้คำขวัญ "เราจะสู้เพื่อในหลวง เราจะสู้เพื่อประเทศไทย" และ "ทักษิณออกไป"

 

และผู้นำการชุมนุมเป็นการรวมตัวของนักกิจกรรมที่แปลกแปร่งไม่ธรรมดา ซึ่งมีแกนนำที่เป็นสื่อมวลชนที่ทรงอิทธิพล และอดีตนายทหารนอกราชการที่ปัจจุบันเป็นผู้นำในนิกายสุดขั้ว (Extreme) นิกายหนึ่งของพระพุทธศาสนา

 

 

สื่อไทยรายงานชุมนุมคึกคัก บ้างนับหมื่น บ้างนับแสน

ขณะที่หนังสือพิมพ์ในไทย ต่างรายงานการเดินขบวนครั้งสำคัญของพันธมิตร โดยต่างระบุตัวเลขผู้ชุมนุมแตกต่างกัน โดยผู้จัดการออนไลน์ซึ่งเป็นสื่อที่ใกล้ชิดกับแกนนำพันธมิตร ระบุว่ามีผู้ชุมนุมสองแสนคน หนังสือพิมพ์มติชนระบุว่ามีผู้ชุมนุมสี่หมื่นคน

 

ขณะที่หนังสือพิมพ์คมชัดลึกในเครือเนชั่นรายงานว่า ผู้สื่อข่าวในเครือระบุว่ามีผู้ชุมนุมราว "7 หมื่นคน" และอ้างตัวเลขจากสำนักข่าวเอพีว่ามีผู้ชุมนุมจำนวน "นับแสน" คน อย่างไรก็ตามในเนื้อข่าวของสำนักข่าวเอพีตัวเลขหลักแสนดังกล่าวเป็นการระบุจากนายสุริยะใส กตะศิลาผู้ประสานงานพันธมิตร และเอพียังรายงานตัวเลขจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีผู้ชุมนุมราว 2 หมื่นคน

 

ส่วนหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ในเครือบางกอกโพสต์รายงานว่าผู้ชุมนุมมีจำนวน "เรือนหมื่น" หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ระบุว่ามีผู้ชุมนุม "นับแสน" ส่วนหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ระบุว่ามีผู้ชุมนุม "เรือนแสน"

 

ศาลปกครองยังไม่สั่งห้ามตำรวจใช้รถขยายเสียง

ที่ศาลปกครองกลาง ถนนสาทรใต้ ออกนั่งบัลลังก์ ไต่สวนฉุกเฉินคดีที่ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตร ผู้ร้อง กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ผู้ถูกร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้ตำรวจใช้รถติดเครื่องขยายเสียงแรง 10,000 วัตต์ บริเวณการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร อันเป็นการรบกวนการใช้สิทธิการชุมนุม ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยนายสุริยะใสเข้าไต่สวนด้วยตัวเอง ขณะที่ สตช.มอบหมายให้ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เข้าชี้แจงแทนใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง

 

นายสุริยะใสกล่าวว่า ในการชี้แจงของตำรวจยอมรับว่าใช้เครื่องเสียงดังผิดปกติ แต่อ้างว่าที่ต้องใช้เครื่องเสียงดัง เพราะกลัวว่าผู้ชุมนุมก่อการจลาจล นอกจากนี้ ตำรวจยังชี้แจงว่าเครื่องเสียงที่มีความแรง 10,000 วัตต์ เป็นการทดลองนำมาใช้ เป็นเทคนิคการปราบจลาจลแบบใหม่ จึงโต้แย้งต่อศาลว่า การชุมนุมเหตุการณ์เป็นปกติ ทั้งนี้ ประสานระหว่างแกนนำพันธมิตรกับตำรวจตลอดเวลา หากตำรวจต้องการจะชี้แจงอะไรน่าจะทำหนังสือชี้แจงหรือออกประกาศ แต่ไม่ควรใช้ลักษณะการเปิดเพลงเสียงดัง

อย่างไรก็ตาม หลังศาลพิจารณาคำให้การทั้งสองฝ่ายแล้วยังเห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอ จึงมีคำสั่งนัดไต่สวนคู่ความเพิ่มเติมอีกครั้ง

 

 

กลุ่มต้านชี้พันธมิตรติดกับดักรัฐบาล

ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านพันธมิตรนั้น วันเดียวกัน เวลา 13.00 น. ผู้ชุมนุมประมาณ 500 คน ยังคงปักหลักอยู่บริเวณแยก จปร. หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กางเต๊นท์สีขาวเป็นแนวยาว ซึ่งตำรวจได้นำแผงเหล็กมากั้นตั้งแต่แยก จปร.ถึงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และนำแผงเหล็กมากั้นส่วนของกลุ่มพันธมิตรด้วย มีตัวแทนกลุ่มต่อต้านพันธมิตรขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีแกนนำพันธมิตรทั้ง 5 คน ผ่านรถขยายเสียงตลอดเวลา

 

โดยในเวลา 15.30 น. นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ขึ้นเวทีชี้แจงแก่ผู้ชุมนุมว่า ให้รอการปราศรัยอยู่ตรงนี้ กลุ่มที่บุกทำเนียบนั้นขอให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลทำการปราบปราม ขอให้พี่น้องอดทนรอว่ารัฐบาลจะปราบปรามเด็ดขาดแค่ไหน

 

เวลา 16.20 น. นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปก. ขึ้นเวทีประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงว่า อย่าตกใจที่ฝ่ายพันธมิตรเคลื่อนไปยึดทำเนียบได้ เพราะตรงนั้นเป็นกับดักของรัฐบาล เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะจัดการตามกฎหมาย ส่วนที่มั่นในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคือท้องสนามหลวง การเคลื่อนพลออกมาตรงหน้ากระทรวงเกษตรฯ คือการออกมาแนวหน้า ได้เคลื่อนมาเพื่อให้กลุ่มพันธมิตรพะว้าพะวงจึงบรรลุผลแล้ว ดังนั้น การเคลื่อนกำลังกลับสนามหลวง ไม่ได้หมายความว่าเป็นความพ่ายแพ้หรือขายหน้า แต่จะกลับไปปักหลักที่ฐานที่มั่นเพื่อปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ชุมนุมมาสมทบที่สนามหลวง เพื่อเป็นพลังที่ใหญ่ขึ้น และการเคลื่อนกลับ พี่น้องก็จะปรบมือให้ในน้ำใจอันสูงส่งของพวกเรา จากนั้นกลุ่มต่อต้านพันธมิตรเริ่มเก็บข้าวของย้ายกลับสนามหลวง

 

 

"เสธ.แดง" ซุ่มสังเกตการณ์ ก่อนกลับไปยำในเว็บ

นสพ.มติชนออนไลน์ ยังรายงานว่าในเวลา 17.30 น. พบ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มาสังเกตการณ์ชุมนุมบริเวณหน้าอนุสาวรีย์กรมกลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพระนคร มาคนเดียวในชุดทหารเต็มยศ และกล่าวว่า มาดูรุ่นพี่อย่าง พล.ต.จำลอง เป็นอดีตนักรบภูผาที จัดกำลังนำการรบ จากการพิจารณารูปแบบที่ พล.ต.จำลองจัดในโรงเรียนเสนาธิการ มองว่าเป็นรูปแบบธรรมดา แต่ที่บุกเข้ามาได้นั้น เป็นเพราะตำรวจใจดี และเปิดทางให้มาตลอด วันนี้รัฐบาลอึด นายสมัครก็อึด ไม่ยอมยุบสภา ไม่ยอมลาออก ทหารก็นั่งทำงานก็ไม่ยอมออกมา

 

"ผมว่า พล.ต.จำลองหวังว่าจะทำแฮตทริค คือ ครั้งก่อนไล่ พล.อ.สุจินดา (คราประยูร เหตุการณ์พฤษภามทิฬ 2535) ได้ ครั้งที่ผ่านมาทหารก็ออกมารัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (19 กันยายน 2549)" "เสธ.แดง" กล่าว

 

และในเวลา 21.30 น. พล.ต.ขัตติยะ ได้รายงานและวิจารณ์การเคลื่อนไหวของพันธมิตรในเว็บบอร์ด เสธ.แดง กระทู้เลขที่ 45783 ด้วยข้อความดุเดือด

 

 

สมัครดินเนอร์หิ้ว ผบ.ทบ.ประเมินสถานการณ์

ในเวลา 18.00 น. วันเดียวกัน นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนต รีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมรับประทานอาหารเย็นและหารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ เพื่อประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรอีกครั้ง ภายหลังปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ซึ่งนายสมัครพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้สื่อมวลชนตามไปทำข่าว ซึ่งภายหลังการหารือ นายสมัครได้กลับเข้าบ้านพักในเวลา 20.00 น.

 

รายงานข่าวจากกองทัพบกแจ้งว่า นายสมัครสั่งไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มพันธมิตร และจะปล่อยให้ผู้ชุมนุมล้อมทำเนียบ โดยทางรัฐบาลจะไม่ใช้กำลังตำรวจหรือทหารสลายการชุมนุม เนื่องจากตำรวจน่าจะควบคุมได้ ยกเว้นแต่หากมีการปีนเข้าไปในทำเนียบก็จะจับเป็นรายบุคคลที่เข้าไปเท่านั้น ทั้งนี้ ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งนี้ หากกลุ่มผู้ชุมนุมจะปักหลักชุมนุมยืดยาวจะปล่อยให้ชุมนุมอย่างเสรี เพียงแต่จะไม่อำนวยความสะดวกในเรื่องรถสุขาให้ หากทนได้ก็ทนไป ซึ่งหลังจากนี้นายกรัฐมนตรีจะย้ายไปทำงานที่กระทรวงกลาโหมแทนทำเนียบรัฐบาล ส่วนการประชุม ครม.จะใช้สถานที่ประชุมที่อื่นแทน

 

 

"พัลลภ" จี้ครม.ออก-ขู่สงครามกลางเมือง

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์ว่า เท่าที่ติดตามสถานการณ์คิดว่าพันธมิตรจะปิดล้อมทำเนียบได้สำเร็จ และสถานการณ์ที่เป็นอยู่เกิดจากกรณีที่รัฐบาลลงนามร่วมกับกัมพูชาเพื่อให้ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งในกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าการดำเนินงานเกี่ยวกับอาณาเขตของประเทศไทยต้องผ่านรัฐสภา ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ผ่านรัฐสภา ดำเนินการเองมางุบงิบทำแบบนี้ไม่ได้

 

"รัฐบาลต้องออกไปแล้ว อยู่ไม่ได้ เพราะคนทั้งประเทศไม่มีใครยอม เห็นว่าขณะนี้สื่อทุกแขนงและอาจารย์วิชาการออกมาตี ถือเป็นเรื่องใหญ่ และใหญ่กว่าครั้งที่ผ่านมา เรื่องเสียแผ่นดินคงยอมไม่ได้ และการกระทำดังกล่าวผิดกันทั้ง ครม. ติดคุกกันทั้งหมด เพราะเป็นมติของ ครม. ผมไม่เข้าใจรัฐบาล ไม่เฉพาะนายกรัฐมนตรีคนเดียวเท่านั้นที่ต้องลาออก ต้องพิจารณากันทั้งคณะรัฐมนตรี เพราะเป็นมติ ครม. หากนายกฯไม่ลาออกจะเกิดการปะทะกันอย่างแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วงจะถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อ ประชาธิปไตยไม่เคยมาจากการร้องขอ แต่มาจากการต่อสู้ทั้งนั้น ไม่มีประเทศไหนที่ได้ประชาธิปไตยมาจากการร้องขอ ไม่ว่าสหรัฐอเมริกาที่เกิดสงครามกลางเมือง และต่อสู้ฆ่ากันตายถึงจะมีประชาธิปไตย ไม่เฉพาะอเมริกาแต่หลายประเทศก็เป็นอย่างนี้"


พล.อ.พัลลภกล่าวว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมบอกว่า จปร.7 มีการขนอาวุธเพื่อมาสนับสนุนกลุ่มพันธมิตร เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลนั้นเป็นการเต้าข่าว เขาเรียก ร.ต.อ.เฉลิมว่า เหลิมดาวเทียม การที่ออกมาพูดอย่างนี้ เพื่อต้องการดิสเครดิต พล.ต.จำลอง และอีกประการหนึ่ง คือ ต้องการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อจัดการกับกลุ่มพันธมิตร

 

 

อดีต คมช. ใน พปช. เชื่อรัฐไม่ใช้กำลังสลาย

พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ อดีตคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า เท่าที่ประเมินเหตุการณ์เป็นไปด้วยดี และคิดว่ากลุ่มพันธมิตรคงปักหลักชุมนุมข้างทำเนียบรัฐบาลต่อไป การจะให้เอากำลังไปไล่คงทำไม่ได้ คงต้องซื้อเวลาไปก่อน จะทำหักหาญรุนแรงไม่ได้ และคงต้องรอฟังผลการพูดคุยระหว่างนายสมัคร พล.อ.อนุพงษ์ เและ พล.ต.อ.พัชรวาท เสียก่อน ตอนนี้ก็กำลังประเมินสถานการณ์กันอยู่ ส่วนตัวคิดว่าตำรวจคงมีข้อมูลรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ดังนั้น ข้อเสนอคงมาจากฝ่ายตำรวจเป็นส่วนใหญ่ และเชื่อว่ารัฐบาลจะไม่ใช้กำลังสลายม็อบอย่างแน่นอน

 

พล.อ.เรืองโรจน์กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกนั้น ยืนยันว่านายสมัครจะไม่ถอดใจลาออก ถ้าถอดใจต่อไป ใครมาเป็นนายกฯ ถูกไล่แล้วลาออกก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตอนนี้ที่เป็นห่วงคือประเทศจะบอบช้ำ และกลัวมือที่สามจะเข้ามาสร้างสถานการณ์ ซึ่งก็ต้องเฝ้าระวัง แต่เชื่อว่าตำรวจเอาอยู่ คงไม่ถึงขั้นเอาทหารออกมา และกติกาก็ไม่เปิดให้ทำ การเอากำลังทหารออกมาไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องประกาศเป็น พ.ร.บ.วุ่นวายไปหมด อีกทั้งสถานการณ์ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น

 

 

 

แผนที่แสดงจุดชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งได้เคลื่อนมาจากเชิงสะพานมัฆวาน และสามารถปักหลักหน้าทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เวลาประมาณ 15.00 น.ของวันที่ 20 มิ.ย.โดยหนังสือพิมพ์ผู้จัดการระบุว่า ผู้ชุมนุมได้ใช้พื้นที่ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกมิสกวันไปจนถึงหน้าโรงพยาบาลมิชชัน (แนวแถบสีเหลือง) เป็นที่ชุมนุม พร้อมกับตั้งเวทีปราศรัยใกล้กับแยกนางเลิ้ง (ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์)

 

 

 

ผู้ชุมนุมช่วงเย็นยาวทะลุแยกยมราช บนเวทีร้องเพลงผู้ชนะสิบทิศ

ขณะที่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยช่วงเย็นที่หน้าสนามม้านางเลิ้งนั้น ได้มีจำนวนผู้ชุมนุมเพิ่มจำนวนขึ้นจนบริเวณชุมนุมตามแนวถนนพิษณุโลกขยายออกไปถึงบริเวณแยกยมราช และกระจายไปตามถนนนครสวรรค์ผ่านหน้า ธ.ก.ส.ไปจนถึงสะพานขาว ส่วนอีกด้านของถนนพิษณุโลก พื้นที่ชุมนุมได้ขยายไปจนถึงแยกวังแดง

 

และในเวลา 18.40 น. บนเวทีมีการร้องเพลงผู้ชนะสิบทิศ และเพลงบุเรงนองลั่นกลองรบ โดยนายเสกน สุทธิวงศ์

 

 

ตรึงกำลังคุมเข้มคุ้มกันรอบทิศ

ขณะที่มาตรการรักษาความปลอดภัย ภายในทำเนียบรัฐบาลก็เป็นไปอย่างเข้มงวด เปิดให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชนเข้าออกได้เพียงประตู 5 ฝั่งตรงข้ามกระทรวงศึกษาฯเพียงประตูเดียว  ขณะที่ประตูทางเข้าออกอื่นๆ ถูกปิด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนอารักขาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา มีการเตรียมกำลังตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล หน่วยคอมมานโด กองปราบปราม หน่วยสันติบาลประจำทำเนียบรัฐบาล และสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ จำนวน 4 กองร้อย พร้อมโล่และกระบองเตรียมรับมือกลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงกลุ่มมือที่สามที่มีการข่าวว่าอาจเข้ามาก่อเหตุสร้างความวุ่นวาย นอกจากนี้ ได้เตรียมแผนสำรองว่าหากเหตุการณ์คับขัน มีการปะทะกันอย่างหนัก จะมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วอีก 2 กองร้อย เข้ามาเป็นกำลังเสริม ขณะเดียวกัน ยังเตรียมรถขังผู้ต้องหา รถดับเพลิงอีกหลายคัน เตรียมการไว้รับสถานการณ์ด้วย ทั้งนี้กองรักษาความปลอดภัยได้มีคำสั่งให้ตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ไปจนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย โดยจะมีการประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวัน

 

 

ทนายผอมอ้างพระนเรศวรแสดงปาฏิหาริย์ พันธมิตรชนะแน่

บนเวทีพันธมิตรในเวลา 19.00 น. นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในรัฐบาล คมช. ขึ้นปราศรัยโดยกล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้คือวีรภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด ตั้งแต่มีการต่อสู้ของประชาชน โดยตั้งแต่ 14 ตุลาคม เป็นต้นมา ยังไม่มีการต่อสู้ของประชาชนครั้งใด ยิ้งใหญ่เท่ากับครั้งนี้ ยิ่งใหญ่กตระการตา ทรงพลังอย่างยิ่ง

 

อดีตผู้ปฏิบัติงานสหพันธ์นักศึกษาเสรี (สนท.) หลัง 14 ตุลาคม 2516 ชื่อจัดตั้ง "สหายสงคราม" ผู้นี้ กล่าวต่อว่า ถ้าพี่น้องฟังรายการสภาท่าพระอาทิตย์ภาคพิเศษในสถานการณ์สู้รบช่วงเช้า ผมได้คุยกับพี่น้องแล้วว่าก่อนออกมากู้ชาติ ได้มีโอกาสไปกราบไหว้สมเด็จพระเนรศวร ที่พระราชวังจันทร์ จ.พิษณุโลก สถานที่ประสูติขององค์ขาว (สมเด็จพระเอกาทศรถ พระอนุชาสมเด็จพระนเรศวร) และองค์ดำ (สมเด็จพระนเรศวร) ผมได้ไปอธิษฐานว่าถ้าผมและพี่น้องกอบกู้บ้านเมืองสำเร็จ ขอให้สมเด็จพระนเรศวรแสดงปาฏิหาริย์

 

เขาเล่าต่อว่า เมื่อเสี่ยงเซียมซี เซียมซีได้กระเด็นออกมาเพียงดอกเดียว เป็นสัจจะ ที่ทำให้เขาขนพอง ขนลุก และคำทำนายเซียมซีบอกว่าจะกอบกู้ชาติบ้านเมืองได้ชัยชนะ ประชาชนจะได้ชนะ บ้านเมืองจะรุ่งเรืองร่มเย็น นายประพันธ์กล่าวว่าได้บูชาเหรียญสมเด็จพระนเรศวรติดตัวมาตลอดเวลา เป็นเหรียญที่สร้างในปี 2507 วาระกองทัพภาคที่ 3 ครบรอบ 100 ปี

 

 

เล่าประวัติต้านระบอบทักษิณตั้งแต่ยุค "คนรู้ทัน" ไม่เคยนึกคนเห็นด้วยขนาดนี้

นายประพันธ์กล่าวว่าก่อนจะมาถึงวันนี้เขานอนตาไม่หลับ บ้านเมืองยามนี้ เห็นทีกรุงสยาม กรุงรัตนโกสินทร์ สิ้นชาติเพราะคนเลว ระบอบทักษิณระยำ เขาหวั่นไหวโดยตลอด เพราะเขากับ นต.ประสงค์ (สุ่นศิริ) เป็นคนยุคแรกๆ ที่เห็นว่าคนๆ นี้เลว และทำการต่อต้านตลอด แต่ขณะนั้นเขาเหมือนคนส่วนน้อย ต่อมามีการตั้ง "ชมรมรู้ทันทักษิณ" มีอาจารย์เจิมศักดิ์เป็นคนทำหนังสือ "รู้ทันทักษิณ" แต่ตอนนั้นยังเป็นคนส่วนน้อย ไม่นึกว่าคนจะเห็นด้วย

 

"เขามีอำนาจเงิน ซื้อประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจเป็นพวก มีสื่อนอกเป็นกระบอกเสียง เขาทำความเลวก็ไม่มีใครไปต่อสู้คัดค้าน แต่ด้วยความที่พวกเราอดทน มุ่งมั่นตั้งใจ รักชาติบ้านเมือง เราจึงเปิดโปงข้อเท็จจริงให้ประชาชนเห็น และพอมีคุณสนธิ และพันธมิตรออกมาเคลื่อนไหว ให้ประชาชนรู้เช่นเห็นชาติคนพวกนี้ เราจึงได้เห็นภาพอันยิ่งใหญ่ในวันนี้"

 

 

ลั่นเอาคนชั่วคนเลวลงจากอำนาจและขุดหลุมฝัง

วันนี้แม้นตายก็นอนตาหลับ วันนี้ประเทศของเรา แผ่นดินของเราไม่สิ้นชาติอย่างแน่นอน เราต้องเอาคนชั่วคนเลวลงจากอำนาจ และขุดหลุมฝังศพมันจนได้ พี่น้องลูกหลานสมเด็จพระนเรศวร บูรพมหากษัตริย์ รักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้พวกเรา แต่มีคนชั่วเลวหยิบมือเดียวมาแสวงหาประโยนชน์ บ้านเมืองจึงระส่ำระสายหาความสงบไม่ได้

 

พวกเรามีความชอบธรรมเหลือเกินที่มาร่วมชุมนุม เป็นการชุมนุมที่มากที่สุดนับแต่มีการชุมนุมของพันธมิตรกู้ชาติ มากที่สุดตั้งแต่เรามีการชุมนุม ถ้ารัฐบาลสมัครสมุนหุ่นเชิด ภายในพรุ่งนี้เช้าลื้อไม่ไสหัวออกไป ยังไม่คืนอำนาจ รับใช้ระบอบทักษิณ พี่น้องประชาชนจะพิพากษา ลงโทษคุณ และจะไม่ให้อภัยโดยเด็ดขาด จะจัดการคนในระบอบทักษิณให้สิ้นซาก วันนี้เป็นการส่งสัญญาณเตือนของพี่น้องปะชาชนทั้งประเทศว่าไม่ต้องการให้พวกคุณปกครอง

 

 

เขาพระวิหารคือฟางเส้นสุดท้าย คนออกมาไล่รัฐบาล

ทั้งนี้ นายประพันธ์ ยังเชื่อว่า การที่ประชาชนออกมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เนื่องมาจากฟางเส้นสุดท้าย ก็คือ เรื่องของประสาทเขาพระวิหาร ที่รัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ทำตัวรับใช้รัฐบาลประเทศกัมพูชา และความไม่ชอบธรรมอีกหลายเรื่อง ซึ่งในส่วนของประสาทเขาพระวิหารนั้นตอนนี้ประชาชนเข้าใจหมดแล้ว คนไทยส่วนใหญ่ต่อสู้เรื่องนี้และเชื่อมั่นว่า เป็นของประเทศไทยมาตลอดตั้งแต่รัชกาลที่ 5

 

นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า เราไม่ยอมรับคำพิพากษาในเรื่องนี้ และเราได้พยายามดำเนินการนำเขาพระวิหารกลับมาไม่ว่าจะยาวนานเท่าใด ที่ผ่านมา รัฐบาลของกัมพูชาพยายามที่จะเอาไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตลอดเวลา แต่รัฐบาลไทยไม่ว่ากี่ยุคสมัย ก็ไม่เคยยอมรับ แม้แต่รัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ยังไม่ยอมรับในเรื่องนี้ แต่พอเปลี่ยนเป็นรัฐบาลของนายสมัคร กลับรีบรับรองตามแผ่นที่ซึ่งประเทศกัมพูชาขอมาทันที

 

 

หยามนพดลเป็นลูกหลานพระยาละแวก

"นายนพดล น่าจะเป็นลูกหลานพระยาละแวก แทรกซึมมาในไทยจึงทำตัวเป็นคนขายชาติ คุณจึงไม่สิทธิ์ บอกว่าปกป้องประเทศ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง รัฐบาลสมัครต้องรับผิดชอบด้วยในเรื่องนี้ เพราะ นายนพดล มิได้เซ็นเป็นการส่วนตัว ครม.ทั้งคณะต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นการยกอธิปไตยให้กับกัมพูชาอย่างชัดเจน เป็นการชี้ให้เห็นถึงการที่ทักษิณไปลงทุนในเกาะกง และการที่อนุมัติ เงินหลายพันล้าน ให้สร้างถนนจากเกาะกงไปกรุงพนมเปญอีกด้วย โดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์และนายนพดลไปเปิดถนนที่เกาะกงแล้ว"

 

"มันเอาเงินภาษีของเราไปช่วยเหลือรัฐบาลกัมพูชา ทั้งๆ ที่เป็นประเทศที่เนรคุณที่สุด ใช่ไหมครับพี่น้อง มันเผาสถานทูตเรา มันทำร้ายพวกเรา และมันยังจะมาแย่งแผ่นดินเราอีก ประเทศแค่หยิบมือเดียว ทำไมคนเหล่านี้จึงไปยอมจำนน เพราะมันไปมีประโยชน์กับเขา และมันรู้แล้วว่าทักษิณจะอยู่ในแผ่นดินไทยไม่ได้ มันจึงอาจจะไปอยู่กับกำนันเป๊าะ" อดีต สนช.กล่าว

 

 

ลั่นเหตุผลพันธมิตรฯ หนักแน่นกว่าขุนเขา

นอกจากนี้ นายประพันธ์ ได้เรียกร้องให้ประชาชนทุกคนช่วยกันปกป้องแผ่นดิน และไม่จำนนต่อรัฐบาลชั่ว โดยการกระทำในครั้งนี้จะเป็นที่ภูมิใจของลูกหลาน การชุมนุมในครั้งนี้จะเป็นการชุมนุมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในเรื่องความสามัคคีของคนไทย และเราจะต้องชนะพร้อมทั้งทำการฟื้นฟูประเทศชาติ ส่วนพวกทรยศในรัฐบาลนี้ต้องจารึกซื่อไว้ที่หนังหมา ควรไปผูกคอตายได้แล้วพวกขายชาติ

 

นายประพันธ์ กล่าวด้วยว่า พรรคพลังประชาชน จะอ้างความชอบธรรม ด้วยการระบุเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้อีกแล้ว เหตุผลแค่นี้ไม่มีน้ำหนักและเบากว่าปุยนุ่น แทบจะไม่มีราคาอะไรเลย การเข้ามาโกงกิน หรือปกป้องคนโกงเท่ากับไม่มีความชอบธรรมใดๆ หลงเหลืออยู่อีกแล้ว และการอ้างเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะทำการขายชาติหรือปล้นบ้านเมืองกินไม่ได้ ดังนั้นเหตุผลในกาชุมนุมของพันธมิตรฯ ในครั้งนี้จึงหนักแน่นยิ่งกว่าขุนเขาเสียอีก

 

 

"เทิดภูมิ ใจดี" ขึ้นเวทียอยกแกนนำ ลั่นเอาเขาพระวิหารคืน

เวลาประมาณ 21.00 น.นายเทิดภูมิ ใจดี อดีตผู้นำแรงงาน ขึ้นกล่าวบนเวทีชั่วคราวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณสนามม้านางเลิ้ง ว่า วันนี้ถือว่าเป็นการพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทย เพราะว่ามีประชาชนมาร่วมชุมนุมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย และขณะที่เรารวมกันอยู่ที่นี่ ก็ยังได้ถ่ายทอดออกไปทั่วทุกมุมโลกให้นานาประเทศได้เห็นว่าเรามาร่วมชุมนุมกันอย่างสันติ

"วันนี้ ทุกคนก็เสียสละเพื่อมาร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศที่บริหารประเทศโดยคนชั่ว ที่ถือว่าเงินสามารถซื้อประเทศ ประชาชนได้ แต่วันนี้ พิสูจน์แล้วว่า เงินซื้อไม่ได้ เพราะประชาชนรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ประเทศนี้เป็นประเทศที่ศักดิ์สิทธิ์ มีพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง คนชั่วไม่สามารถเอาไปได้ง่ายๆ" อดีตผู้นำแรงงาน กล่าว

 

นายเทิดภูมิ ได้กล่าวยกย่อง 5 แกนนำพันธมิตรฯ ด้วยว่า ต้องขอยกย่องแกนนำพันธมิตรฯทั้ง 5 โดยเฉพาะ "สนธิ ลิ้มทองกุล" ที่กล้าเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อกู้ชาติบ้านเมือง "พลเอกจำลอง ศรีเมือง" ทหารกล้าที่อยู่ข้างประชาชนและเข้าใจประชาชนมาโดยตลอด "สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์" นักเคลื่อนไหวที่ทำเพื่อประชาชน นักสู้อย่าง "พิภพ ธงไชย" และผู้นำแรงงานที่เก่งกาจคนหนึ่งอย่าง "สมศักดิ์ โกศัยสุข" ซึ่งเรามีผู้นำที่แข็งแกร่งเหล่านี้ เราถึงได้ชัยชนะในวันนี้

 

"ถือเป็นโชคดีของประชาชนทุกคน ที่กำลังจะสูญเสียประเทศ แต่มีแกนนำพันธมิตรฯร่วมมือกับพี่น้องประชาชนมาช่วยกันกอบกู้ ดังนั้น พี่น้องจงภูมิใจว่า วันนี้เราได้มากู้ชาติกู้แผ่นดิน ชาติที่กำลังจะสูญเสียเขาพระวิหารที่เป็นของเรา เราต้องเอาคืน เพราะเราถูกต้อง เราไม่ผิด แผ่นดินเราศักดิ์สิทธิ์ใครจะมาเอาไปไม่ได้ วันนี้ พี่น้องทุกคน คือ คนที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ และเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์ด้วยมือของพี่น้องเอง" นายเทิดภูมิ กล่าวทิ้งท้าย

 

 

"สุริยัน ทองหนูเอียด" ลั่น เป็นพลังต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ของโลก

เวลา 21.20 น. นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภาคเหนือ ปราศรัยว่า เป็นการสำแดงให้เห็นว่าภายใต้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ภายใต้เสรีภาพ และสันติ พวกเราก็สามารถชนะในเบื้องต้น วันนี้มีผู้ชุมนุมมากกว่า 76 จังหวัด เพราะนับผู้ชุมนุมจากเมืองอื่นทั่วโลกด้วย เป็นพลังการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในโลก มีคนมาอย่างน้อยหนึ่งแสนคน หุ้นขึ้นเพราะเราเคลื่อนไหวอย่างสันติ หมายความว่านักลงทุนอยากให้เราชุมนุม วันนี้หนึ่งแสน

 

ถ้าชุมนุมสันติ สงบ คนมั่นใจ พรุ่งนี้คนจะมาเป็นแสน แสน แสน คนมาห้าแสน หุ้นขึ้นอีก 5 เท่าพันจุด แต่มีบางเรื่องที่น่าอับอายที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในบ้านเมืองกลั่นแกล้งผู้ชุมนุมที่เดินทางจากต่างจังหวัด เพราะมีการโรยเรือใบสกัด

 

 

เชื่อพระสยามเทวาธิราชมีจริง แช่งสมัครหัวคะมำฟาดพื้นตาย

การเคลื่อนไหวแบบอาระขัดขืนด้วยยุทธการดาวกระจาย ทำรัฐบาลกระจุย พวกเรายืนยันแล้วว่าพวกเราไม่ใช่พวกนิยมความรุนแรง พวกริบบิ้นขาวต้องทบทวนกันใหม่ พวกนิยมความรุนแรงเป็นพวกไอ้ปื้ด เล่นกับอะไรไม่เล่น ไอ้ตาเหล่เล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามันเอียง บ้านเมืองจะไม่เอียงหรือ มันบริหารบ้านเมืองจนเขาพระวิหารเอียงไปฝั่งพม่าจะบ้าไปแล้ว พระสยามเทวาธิราชมีจริง มีคนเล่นกับเขาพระวิหารซึ่งเป็นของคู่บ้านคู่เมืองต้องมีอันเป็นไป สมัครคิดอยู่สองเรื่อง จะต้องพักผ่อน หรือจะลาออกก่อน ถ้ามันไม่ลาออก ขอให้มันอาบน้ำแล้วสะดุดเอาหัวคะมำลงแล้วฟาดกับพื้นตาย

 

 

แช่ง "ไอ้ตาเหล่" ให้เขาพระวิหารทิ่มตาบอด เชื่อมีอันเป็นไปทั้ง ครม.

คนต่อไปก็ไอ้ตาเหล่เนี่ย ก็ขอให้ตาบอด ให้เขาพระวิหารทิ่มทั้งสองตา เอาให้ตาย พี่น้องที่เคารพ ผมเชื่อว่าพลังบริสุทธิ์ที่อยู่ ณ จุดนี้จะเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองไปสู่ความอารยะขัดขืนที่เราต้องการเปลี่ยนผ่านทุกสิ่งทุกประการ ประเทศชาติบ้านเมืองคนอื่น ถ้าบริหารบ้านเมืองใช้ภาษาไม่สุภาพ ดูหมิ่นผู้อื่น นายกฯ พูดไม่สุภาพ ต้องรับผิดชอบ คือลาออก ถ้าแก้ราคาปัญหาราคาน้ำมันที่สูงไม่ได้ ถ้าแก้ปัญหาข้าวแพงไม่ได้ ถ้า แก้ปัญหาราคาข้าวโพดไม่ได้ ถ้าแก้ปัญหากระเทียมไม่ได้ ถ้าแก้ปัญหาภายในพรรคไม่ได้ ถ้าแก้ปัญหากิน 30% ไม่ได้ แต่มันยังหน้าด้าน อย่างไรก็ตามนายสุริยันเชื่อว่าสิ่งที่ผู้ชุมนุมต้องการจะปรากฏไม่ช้า และรัฐบาลหุ่นเชิดต้องมีอันเป็นไปทั้งคณะ

 

 

สนธิเผยวันอังคารจะฟ้องศาลปกครองระงับนพดลยกเขาพระวิหาร

ต่อมานายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีที่หน้าสนามม้านางเลิ้งอีกครั้ง และประกาศว่า ในวันอังคารที่ 24 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครองให้ไต่สวนฉุกเฉินไม่ให้ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมยอมรับให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และเชื่อว่า ฟ้ามีตาแน่นอน

 

นายสนธิ ย้ำว่า กระบวนการทางกฎหมายที่รัฐบาลดำเนินการเอาไว้ยังไม่เรียบร้อย เพราะยังต้องผ่านกระบวนการอีกหลายขั้นตอนดังนั้นจึงยังไม่มีผล

 

"เวลานี้เรายึดอำนาจรัฐด้วยการเอาธรรมนำหน้า โดยไม่เสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว เวลานี้คนไทยจะไม่ให้นักการเมืองชั่วมาหลอกใช้คำพูดถ่อยว่าผมมาจากการเลือกตั้งได้อีกต่อไป" นายสนธิ ระบุ

 

 

ถามทำไมไทยไม่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกคู่เขมร เชื่อมีงุบงิบ

นายสนธิ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เคยพูดว่าเมื่อเขมรยื่นจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ทำไมเราจึงไม่ยื่นควบคู่เข้าไปด้วย ไม่รู้ว่าจะตายกันหรือไง และวันนี้มีการพิสูจน์ชัดแล้วว่ามีการทำข้อตกลงลับบางอย่าง

 

แกนนำพันธมิตรฯ ผู้นี้ ยังระบุอีกว่า ที่ผ่านมาเคยพูดเรื่องการฮุบเกาะกูด แล้วมีนักวิชาการหลายคนหัวเราะหากว่าเล่านิทานโกหกให้ฟัง อยากถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเปลี่ยนนิสัยโกหกหรือไม่ ยังพูดอย่างทำอย่างเหมือนเดิม

 

นายสนธิ ยังได้ขอประชามติพี่น้องประชาชนโดยเสนอให้ดำเนินคดีกับคณะรัฐมนตรีทั้งคณะในข้อหาขายชาติ

 

"ไม่ใช่เฉพาะ นายสมัคร กับนพดลต้องติดคุกเท่านั้น ครม.ทั้ง 35 คนต้องติดคุกด้วย ถ้าเห็นด้วยก็ให้โหวตยกมือ" นายสนธิ ระบุพร้อมยกตัวอย่างแม้แต่ถ้าจะขายที่ดินสักแปลงยังต้องถามพ่อแม่ แต่นี่เป็นผลประโยชน์ด้านอธิปไตยเป่นแผ่นของชาติยังไม่ถามประชาชนสักคำ

 

 

ไล่เช็คบิลเติ้ง เหนาะ สมศักดิ์ อย่าให้เกิดทางการเมืองอีก

นายสนธิ ย้ำอีกว่า พรรคการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขายชาติในครั้งนี้ ให้จดจำพรรคการเมืองต่อไปนี้นอกจากพรรคพลังประชาชนแล้ว ยังมีพรรคชาติไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน มัชฌิมาธิปไตย รวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคประชาราช

 

"ให้จำชื่อ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายเสนาะ เทียนทอง นายสุวิทย์ คุณกิตติ นายสมศักดิ์ และ นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน และ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ให้จดจำชื่อหัวหน้าพรรคและพรรคเหล่านี้เอาไว้ อย่าให้คนพวกนี้ได้เกิดทางการเมืองอีกต่อไป" นายสนธิ ระบุ

 

 

สมศักดิ์ลั่นคนชุมนุม 1 ล้านคน ประณามรัฐบาลทำหน้าที่ไม่ได้เพราะไม่ซื่อสัตย์

นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ขึ้นเวทีปราศรัยระบุว่า มีผู้ชุมนุมกว่า 1 ล้านคน และกล่าวว่าทักษิณไม่จริงใจในการกราบแผ่นดินแม่ เพราะกลับเข้ามาประเทศไทยแล้วยังเดินทางไปต่างประเทศ "ไปโน่นไปนี่" เขายังกล่าวว่ารัฐบาลสมัครหมดความชอบธรรมแล้ว เพราะรัฐบาลประชาธิปไตยไม่ว่าที่ไหนในโลกเกาหลี อเมริกา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมันถ้ามีคนมาไล่เป็นแสน ก็ไม่หน้าด้านเหมือนรัฐบาลเฮงซวย และท้าให้รัฐบาลมาลงเลือกตั้งแข่งกันที่สถานที่ชุมนุมของพันธมิตรฯ และกล่าวว่าถ้ารัฐบาลไม่แจกเงินก็ไม่ได้สักคะแนนเดียว

 

นายสมศักดิ์กล่าวว่าอย่าให้ลูกหลานของเราลำบากไปกว่านี้เลย คนไม่ซื่อสัตย์ คนไม่จงรักภักดีนั้น คนอย่างนี้เรียกว่า "ไอ้ชาติสัตว์" เพราะไม่ซื่อสัตย์ ต้องเป็นสัตว์ ทำหน้าที่ไม่ได้ นายสมศักดิ์กล่าวว่ารู้สึกอายชาวโลกที่มีผู้ปกครอง ที่มีคุณสมบัติที่ชั่วช้าสามานย์ขนาดนี้ ดังนั้นตั้งแต่วันศุกร์ ขอให้ คนกรุงเทพมหานครที่ชอบออกนอกบ้าน มากินลมชมวิวแถวสนามม้า แถวทำเนียบ จนกว่าจะถึงวันจันทร์ วันอังคาร อาทิตย์หน้าจะไม่ให้นายสมัครเข้าทำเนียบ ให้เขาออกไปจากประเทศนี้ เห็นหรือไม่พลังประชาชนยิงใหญ่ ใครไม่มีโอกาสมา ให้รีบมา รถไฟยังฟรีอยู่ จอดที่สถานีแล้วให้เดินมาได้เลย นายสมศักดิ์กล่าว

 

 

ภูวดลด่ากราดนักการเมืองในสภาราคาเทียบตะกวด

เวลา 1.20 น. ของวันที่ 21 มิ.ย. ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปราศรัยว่า นักลงทุนต่างประเทศรู้ดีว่าการเมืองไทยมีการทุจิรตฉ้อฉล และที่ชอบติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะรู้ดีว่าอดีตผู้นำหน้าเหลี่ยมคือคนผูกขาดการเมืองไทย การเมืองไทยอยู่ภายใต้การนำของผู้นำหน้าสุกร ปากสุนัข เสนาบดีบางบอน ไอ้เหล่ และกระทรวงการคลัง บอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์เต็มไปด้วยเทคโนแครตเก่งเรื่องการโกง

 

จำไว้ไอ้ที่ทำเรื่อง SME กองทุนหมู่บ้านหลอกชาวบ้าน คนๆ นั้นคือนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ หลอกลวงสังคมไทยขายฝันให้ไอ้หน้าเหลี่ยม พอๆ กับที่มันชอบอีหนูประเภทเลียดีทั้งหลาย ประเทศนี้มีวัฒนธรรมการเมืองฉ้อโกง นักการเมืองที่นั่งแอ้งแม้งในสภาอันทรงเกียรติ เรียกตนเองว่าท่านห่าท่านเหว มันมีค่ามากกว่าไอ้ตะกวดเขาดิน ไอ้แลนปักษ์ใต้หรือ

 

คนเหล่านี้ไม่มีคุณค่าในหมู่พวกเราที่มีสติสัปปชัญญะ ศ.ดร.ภูวดล ยังกล่าวหาผู้ประกาศข่าวทางสถานีโทรทัศน์ผู้หนึ่งว่าเป็นผู้หญิงหน้าโง่ จมูกมัน ปากมัน เหมาะสมแต่กับการบำรุงบำเรอทางด้านกามารมณ์

 

สังคมไทยชอบคนประเภทหน้าโง่ อวดเก่ง อาจารย์สีขาว ก็หน้าโง่ตั้งแต่อยู่ สนนท. ขนาด สนนท. ซึ่งเลขาธิการ สนนท. มักจะเป็นนิสิต ป.ตรี แต่ไอ้ห่าเรียน ป.โท ยังมาชิงตำแหน่งการเมือง เป็นเด็กไอ้อ๋อย อยู่แปดริ้ว ไอ้หมอนี่จึงพัฒนาเป็นไอ้โคทม มนุษย์เส็งเคร็งเชื้อสายเวียดนาม ฉวยโอกาสเก่ง

 

 

กล่าวหาทักษิณเป็นจีนปนญวนสุดแสบ

ศ.ดร.ภูวดล ยังกล่าวต่อไปว่าไอ้หน้าเหลี่ยมถ้าศึกษาให้ดี ไม่ได้มีแต่เชื้อจีน รวมทั้งพี่น้องภรรยา เป็นจีนปนญวนทั้งผัวทั้งเมีย เพราะฉะนั้นจึงสุดแสบกินถึงกระดูก พี่น้องจะปล่อยให้ประเทศเป็นแบบนี้หรือ

 

ประเทศนี้มีผู้นำประเทศโอหังจัดรายการแดกไปถุยไป แต่เขาไม่ให้ความสำคัญกับลูกเจ้าพระยาคนนี้ เพราะแม่มันทำงานหอพักหญิงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้พี่ชายมันยังเป็นคนดี แต่ไอ้ตัวนี้ต้องถูกสังคมไทยลงโทษในวันสองวันนี้ เพราะมันทำให้เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งวันนั้นเขาต้องหนีลงน้ำที่ท่าพระจันทร์และไปขึ้นที่ท่าน้ำข้างๆ ม.ศิลปากร มันคือคนหนึ่งที่ร่วมกับ พ.ท.อุธาร สนิทวงศ์ปลุกม็อบให้ฆ่าฟันกัน แต่วันนี้มาบอกว่ามีคนตายคนดัยว

 

 

เรียกร้องคนชั้นกลาง-กทม. เจอหน้าให้ถ่มน้ำลาย เจอพระอัปรีย์ให้ไหว้หมาดีกว่า

จึงขอเรียกร้องให้ชนชั้นกลางทั่วประเทศ และในกรุงเทพมหานคร เจอหน้ามันให้ถุยน้ำลายใส่มัน เหมือนไอ้บ้าบางบอนอบรมสัมมนา พอพาดพิงพันธมิตรฯ คนร่วมสัมมนาก็เดินออกมาเลย เพราะเขาทุเรศมัน ศ.ดร.ภูวดลกล่าว

 

สังคมไทยไม่ควรให้เกียรติคนชั่วช้าสามานย์ ควรยกย่องคนดีๆ แม้จะมีการศึกษามากหรือน้อย มีเงินหรือไม่มี ไม่สำคัญ ขอให้เป็นคนดี ให้โอกาสให้เกียรติยกย่อง ถ้ามันอัปรีย์ถึงมันร่ำรวยพี่น้องก็สอนลูกสอนหลานอย่าไปไหว้ ผมสอนลูกหลานว่าถ้าเจอพระอัปรีย์อย่าไปไกว้ ให้ไหว้หมาดีกว่า เราต้องสอนลูกหลานให้คิดถึงอนาคต ประเทศชาติ ทำเพื่อส่วนรวม มนุษย์เกิดมาคิดแต่ประโยชน์ตัวเองจะสร้างสังคมได้อย่างไร

 

 

ลั่นต้องทำบัญชีสุนัขรับใช้และลงโทษให้สาสม

ศ.ดร.ภูวดล ยังกล่าวว่าสังคมนี้น่าเวทนาเพราะมีการโกงกินตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยลาลูแบร์ เคยบันทึกว่าถ้าดินแดนนี้ไม่โกงกิน ท้องถนนสามารถทำด้วยทองคำ ในปี 2551 นี้ พี่น้องต้องใช้โอกาสนี้ชำระสะสางเปลี่ยนแปลง ให้มันเกิดขึ้นวันนี้พรุ่งนี้เถิด ผู้นำ กินปูม้า บ่นไป ถุยไป ถ้ารัฐบาลควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ก็เหมือนเจว็ด จะนำไปสู่ความล่มสลาย

 

เขายังบอกว่าเกิดการต่อต้านลุกฮือทั่วประเทศ อย่าปล่อยโอกาสนี้ให้นักการเมืองจัญไรครองประเทศ ต้องทำประเทศนี้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แล้วก็ยึดทำเนียบให้ได้ เปลี่ยนประเทศนี้ให้ได้ ไม่มีหนทางอื่นใดแอล้ว ที่จะทำให้ประเทศนี้ก้าวไปสู้เส้นทางความรุ่งเรืองได้ เว้นแต่จะต้องทำลายรัฐบาลสุนัขรับใช้

 

พี่น้องต้องทำบัญชีสุนัขรับใช้ เมื่อได้ชัยชนะก็นำมันมาลงโทษให้สาสม อย่ายอมรับความระยำของนักการเมืองชั่วช้าต่อไป พี่น้องทั่วประเทศไม่รู้หรือนักการเมืองคนไหนมันระยำตำบอน ศ.ดร.ภูวดลกล่าวในที่สุด

 

สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุด เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา พันธมิตรได้ยุบเวทีที่หน้าสนามม้านางเลิ้งแล้ว เหลือเพียงบริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ใกล้ทำเนียบรัฐบาลที่เดียว

 

ที่มาของข่าว: เรียบเรียงจากประชาไท, มติชน, ผู้จัดการ และไทยรัฐ

ที่มาของภาพประกอบหน้าเว็บ: www.thaifreenews.com

ที่มาของข่าวต่างประเทศ:

Thousands of Thai protesters storm barricade; demand PM resigns, by Jutarat Tongpiam, AFP, Fri Jun 20, 9:05 AM ET

Police and protesters face off in Bangkok, By Pracha Hariraksapitak and Ed Cropley, Reuters,

Fri Jun 20, 2008 6:54 AM BST

Thai PM refuses to resign amid protests, By SUTIN WANNABOVORN, Associated Press Writer, Jun 21, 2008.

Protesters march in Thai capital, BBC, Friday, 20 June 2008 10:19 UK

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net