ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 16 กรกฎาคม 2551

 





ต่างประเทศ

 

อิเหนาเสียใจทำเลือดนองติมอร์ตะวันออก

ประธานาธิบดีอินโดนีเซียกล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในติมอร์ตะวันออกปี  2542  ภายหลังผลสอบสวนร่วมกันระหว่างสองชาติกล่าวโทษ

กองกำลังความมั่นคงทั้งภาครัฐและพลเรือนของอินโดนีเซียว่า  "ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง"  แต่ยังติดเบรก  ไม่กล่าวคำขอโทษเต็มปากเต็มคำ

รายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมาธิการเพื่อความจริงและสัมพันธไมตรี (ซีทีเอฟ) ที่ยื่นต่อประธานาธิบดีสุสีโล บัมบัง  ยุทโธโยโน  ของอินโดนีเซีย  และประธานาธิบดีโฮเซ  รามอส-ฮอร์ตา  และนายกฯ ซานานา  กุสเมา  ของติมอร์ตะวันออก    เกาะบาหลี  เมื่อวันที่  15  ก.ค.ที่ผ่านมา  มีเนื้อหาไปไกลเกินว่าที่หลายฝ่ายเคยมีการคาดเดากันก่อนหน้านี้  โดยรายงานได้กล่าวโทษว่ากองกำลังความมั่นคงของอินโดนีเซียเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์รุนแรงนองเลือดในติมอร์ตะวันออก ภายหลังการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากอินโดนีเซีย

คณะกรรมการร่วม 2  ฝ่ายซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี  2548  เพื่อสอบสวนเหตุนองเลือดที่คร่าชีวิตคนไม่ต่ำกว่า 1,000 คน กล่าวโทษว่า  ทหาร, ตำรวจ  และกองกำลังพลเรือนของอินโดนีเซียได้ก่อความรุนแรงอย่างเป็นระบบต่อต้านพวกที่สนับสนุนเอกราชในติมอร์ตะวันออก   รายงานหนา  300  หน้าฉบับนี้ระบุด้วยว่า  อินโดนีเซียควรจะขอโทษที่ได้ก่อความเจ็บปวดและความทุกข์ทนระดับที่ไม่อาจคณานับได้

"เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อสิ่งที่เกิดขึ้น" ประธานาธิบดียุทโธโยโนกล่าวภายหลังลงนามแถลงการณ์ร่วมกับผู้นำติมอร์ตะวันออกเมื่อวันอังคาร โดยไม่ได้กล่าวคำขอโทษอย่างเปิดเผยชัดเจน  "ขอให้พวกเราจงอย่าได้ลืมบรรดาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อระหว่างช่วงเวลาดำมืดในอดีตที่ผ่านมาของพวกเรา"

การสอบสวนของคณะกรรมการร่วมชุดนี้ไม่มีผลผูกมัดถึงการดำเนินคดีใดๆและทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพียงการฟอกขาวความเลวร้ายที่อินโดนีเซียก่อขึ้น องค์การสหประชาชาติยังได้คว่ำบาตรการสอบสวนนี้ด้วย

"ในนามของรัฐบาลอินโดนีเซียและติมอร์ตะวันออก เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหยื่อทุกคนและทุกฝ่ายที่ได้รับบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม จากการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง"  แถลงการณ์การร่วมของผู้นำสองประเทศกล่าว

รายงานกล่าวว่า กองกำลังความมั่นคงอินโดนีเซียและกองกำลังพลเรือนมีบทบาทสำคัญในการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางและเป็นระบบ ในขณะเดียวกัน สมาชิกกลุ่มเล็กๆ ของกลุ่มสนับสนุนเอกราชของติมอร์ตะวันออกก็มีส่วนร่วมเล็กน้อยกับเหตุการณ์รุนแรงครั้งนั้นเช่นกัน การล่วงละเมิดนี้มีทั้งการฆาตกรรม, ข่มขืนและการก่อความรุนแรงทางเพศในรูปแบบอื่นๆ, การทารุณทำร้ายและการกักขังอย่างผิดกฎหมาย

คณะกรรมการกล่าวด้วยว่า เจ้าหน้าที่พลเรือนของอินโดนีเซียได้จัดหาเงินทุนและอาวุธให้กลุ่มติดอาวุธเพื่อข่มขู่คุกคามและบังคับประชาชนชาวติมอร์ตะวันออกลงคะแนนสนับสนุนการรวมชาติกับอินโดนีเซีย  แต่รายงานฉบับนี้ไม่ได้ระบุรายนามผู้กระทำผิด  และไม่ได้เสนอให้มีการนิรโทษกรรมผู้ใดเช่นกัน

มีทหารอินโดนีเซียหลายนายถูกดำเนินคดีในศาลสิทธิมนุษยชนของอินโดนีเซียสืบเนื่องจากความรุนแรงเมื่อปี  2542  แต่ไม่มีนายทหารและผู้นำพลเรือนอินโดนีเซียรายใดถูกตัดสินว่ามีความผิด

 

 

ที่มา: http://www.thaipost.net

 





การเมือง

 

อธิบดีกรมอาเซียน แฉ รมต.'ขยาด' เซ็นเอกสารประชุมอาเซียน ชี้ทำไทยขาดความน่าเชื่อถือ

 

อธิบดีกรมอาเซียน บอกประหลาด 'รมต.ไทย' ไม่กล้าเซ็นเอกสารอาเซียน 5 ฉบับ ทั้งๆ ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในปีหน้า ยืนยันไม่เข้าข่ายมาตรา 190(2) ชี้ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ

 

นายวิทวัส ศรีวิหค อธิบดีกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 กรก ฎาคม ว่า ได้ไปชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ซึ่งระหว่างการประชุมจะมีการลงนามเอกสาร 2 ฉบับ และรับรองเอกสารอีก 3 ฉบับ คณะรัฐมนตรีแสดงความห่วงกังวลอย่างมาก พร้อมกับสอบถามว่ามีวิธีการดำเนินการอื่นที่ไม่ใช่การลงนามได้หรือไม่

 

"ปฏิกริยาแรกของครม.คือมีมติไม่ให้ลงนาม แต่ผมในฐานะผู้ชี้แจงได้คัดค้าน และชี้แจงว่าไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะทำเช่นนั้น การไม่ลงนามจะสร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของไทยในฐานะประเทศที่จะรับตำแหน่งประธานอาเซียนต่อจากสิงคโปร์ เพราะดูเป็นเรื่องประหลาดที่สมาชิกอาเซียน 9 ประเทศลงนามกันหมดเว้นแต่ไทย และจะทำให้เราหมดความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ในการประชุมปีหน้าที่เราเป็นเจ้าภาพ ซึ่งผู้แทนไทยทุกระดับต้องทำหน้าที่ประธานการประชุมก็จะหมดความน่าเชื่อถือไปด้วยเช่นกัน" นายวิทวัสกล่าว

 

อธิบดีกรมอาเซียนกล่าวว่า ได้ยืนยันว่าเอกสารเหล่านี้ไม่เข้าข่ายม.190(2) โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายของกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นหน่วยงานซึ่งมีอำนาจเต็มในการให้คำปรึกษาด้านกฎหมายระหว่างประเทศแก่รัฐบาลได้พิจารณาอย่างดีแล้ว กรมสนธิสัญญาฯทำหน้าที่ให้คำปรึกษากฎหมายแก่รัฐบาลโดยสุจริตและทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่มีกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องที่เข้าสู่ที่ประชุมครม.ทุกเรื่องของทุกหน่วยงานหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายระหว่างประเทศก็ต้องมีความเห็นของกรมสนธิสัญญาฯแนบไปด้วย เราต้องฟื้นตรงนี้กลับคืนมาเพราะขณะนี้มีความห่วงกังวลของหน่วยงานต่างๆ เพราะไม่รู้ว่าเรื่องไหนจะเข้าม.190 หรือไม่ ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้คัดค้านว่าไม่ต้องเข้าสภา แต่มันต้องมีการดำเนินการให้สถานะของไทยในฐานะประเทศเดินหน้าไปได้ เรื่องไหนที่ไม่เข้าข่ายก็ต้องบอกว่าไม่เข้าข่าย เรื่องไหนที่เข้าก็ต้องเข้า

 

นายวิทวัสกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่าดูเหมือนจะไม่มีใครกล้ารับที่จะนำคณะไปร่วมประชุม แต่ตนได้ยืนยันว่าในการประชุมดังกล่าวมีพิธีการส่งมอบตำแหน่งประธานอาเซียนให้กับไทยจึงจำเป็นต้องมีผู้แทนจากฝ่ายการเมืองไทยไปด้วย เพราะเรื่องสำคัญในขณะนี้คือการทำให้อาเซียนมีความมั่นใจในภาวะผู้นำของไทยระหว่างที่เราเป็นประธานอาเซียน นายกรัฐมนตรียังสอบถามว่าจะเดินทางไปร่วมประชุมเองได้หรือไม่ แต่คงเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรี นายสมัครจึงขอเวลาพิจารณาว่าจะให้ใครเป็นผู้นำคณะไประหว่าง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กับนายสหัส บัณฑิตกุล

 

สำหรับเอกสารสำคัญในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนมี 5 ฉบับ โดย 2 ฉบับแรกเป็นเอกสารที่ต้องลงนาม ส่วนอีก 3 ฉบับหลังที่ประชุมต้องให้การรับรองประกอบด้วย

 

1.บันทึกช่วยจำว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาระหว่างอาเซียน-ออสเตรเลีย ซึ่งไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานจะต้องลงนามร่วมกับออสเตรเลีย

2.สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(แทค)ระหว่างอาเซียนกับเกาหลีเหนือ

3.ขั้นตอนปฎิบัติการตามโครงการปฎิบัติการเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนและรัสเซีย

4.แถลงการณ์เนื่องในโอกาสครบ 15 ปีของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก(เออาร์เอฟ)

5.แถลงการณ์เออาร์เอฟเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการป้องกันการแพร่กระจายของสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด

 

ที่มา: มติชนออนไลน์

 

บัวแก้ว-กรมแผนที่ทหารยันไทยไม่เสียดินแดน

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ - เจ้ากรมแผนที่ทหาร แจงกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย สภา ฯ ยันไทยไม่เสียดินแดนกรณีเขาพระวิหาร ไม่เกี่ยวพื้ยที่ทักซ้อน   อ้าง "ถนัด คอมันตร์" รับเอง สละอธิปไตยปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา

 

การประชุมคณะกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย สภาผู้แทนราษฎร วันนี้ มีนายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน  เป็นประธาน ได้เชิญนายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และ พล.ท.แดน มีชูอรรถ เจ้ากรมแผนที่ทหาร เข้าชี้แจงกรณีที่รัฐบาลไทยสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยประเด็นที่ที่ประชุมสนใจซักถามคือ ไทยเสียดินแดนจากการที่กัมพูชาขึ้นทะเบียนหรือไม่

 

ทั้งนี้ นายกฤต ยืนยันว่ากัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนเฉพาะพื้นที่ของตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งอยู่ในดินแดนกัมพูชา ไม่ได้รวมถึงเขตอนุรักษ์ หรือพื้นที่ทับซ้อน โดยตลอดหลายปีก่อนหน้านี้ กัมพูชาได้พยายามขอขึ้นทะเบียน แต่รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศได้คัดค้านอย่างรุนแรง เนื่องจากแผนที่ที่กัมพูชาแนบไปได้รวมพื้นที่ทับซ้อน

 

นายกฤต กล่าวว่า จนกระทั่งการประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มน้ำโขง (GMS Summit) ที่เมืองเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  เมื่อเดือน มี.ค. 2551 สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้แจ้งกับ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ว่า กัมพูชาพร้อมทำแผนผังใหม่ โดยไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทับซ้อนหรือพื้นที่อนุรักษ์จึงตกลงกันได้

 

สำหรับในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.นั้น อนุสัญญายูเนสโก ข้อ 11 ระบุว่า การขึ้นทะเบียนมรดกโลก จะไม่มีผลกระทบต่อสิทธิที่อ้างการทับซ้อนใด ๆ

 

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังสนใจซักถามถึงแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา กรณีสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรค 2 ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ ก่อน

 

นายกฤต ชี้แจงว่า กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวไม่ใช่สนธิสัญญา เพราะการลงนามไม่ได้ผลเป็นนิติสัมพันธ์ ที่จะกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นการดำเนินการของกัมพูชาเพื่อขอคะแนนเสียงสนับสนุนในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก เช่นเดียวกับที่ไทยไปขอเสียงสนับสนุนในการขอจดทะเบียนมรดกโลกของเรา

 

"กระทรวงยังได้ปรึกษานายธนะ ดวงรัตน์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส ซึ่งเป็นทูตประจำยูเนสโก และเคยเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงต่างประเทศ  ก็เห็นว่าไม่มีลักษณะเป็นสนธิสัญญาเช่นเดียวกัน" นายกฤต กล่าว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมได้ถามย้ำหลายครั้งว่า การลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ทำให้เราสละสิทธิ์ในการทวงคืนปราสาทพระวิหารหรือไม่ ซึ่งนายกฤต ได้นำหนังสือที่กระทรวงการต่างประเทศ หลัง พ.ศ. 2505 ที่จัดทำเพื่อเผยแพร่ให้ประชาคมโลกเข้าใจประเทศไทย มาแสดงต่อที่ประชุม

 

นายกฤต กล่าวว่า ในหนังสือเล่มนี้ พ.อ.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขณะนั้นได้แจ้งว่า รัฐบาลไทยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลโลก แต่พร้อมจะปฏิบัติตามคำพิพากษา โดยได้ขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกร้องคืน ทั้งปัจจุบันและอนาคต พร้อมกันนี้ กระทรวงต่างประเทศขณะนั้นได้แนบแผนที่ที่คณะรัฐมนตรีไทยจัดทำขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลโลก โดยใต้ภาพมีข้อความว่า "แผนที่แสดงที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร ที่ประเทศไทยได้สละอธิปไตย"

 

"ตอนนี้มีความเข้าใจสับสนว่า บางฝ่ายยังอ้างสันปันน้ำเป็นแนวเส้นเขตแดน ขอเรียนว่าตั้งแต่คณะรัฐมนตรี เมื่อปี 2505 เป็นต้นมา ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ไม่ได้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนอีกต่อไป" นายกฤต กล่าว

 

ด้าน พล.ท.แดน ได้นำแผนที่ทหารมาแสดงต่อที่ประชุม โดยยืนยันว่าการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ไม่ได้ทำให้เสียดินแดนแต่อย่างใด ดินแดนของเราหลังจากปี 2505 เป็นอย่างไร วันนี้ก็เป็นอย่างนั้น หลังจากนี้จะมีการดำเนินการปักปันเขตแดนที่ 2 ประเทศอ้างสิทธิทับซ้อนกันต่อไป

 

ที่มา: http://www.posttoday.com

 

กกต.ตั้งคกก.สอบยุบพปช.แล้ว ให้เวลา 15 วัน

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวว่า ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่จะยุบพรรคพลังประชาชนเนื่องจากศาลฎีกามีคำวินิจฉัยเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตส.ส.สัดส่วน และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขต 3 จ.เชียงราย  โดยจะมีนายประทีป เปรื่องวงศ์ เป็นประธาน พร้อมด้วย นายพิษณุ วิเชียรสรรค์  นายประดิษฐ์ เลียวพานิช  พ.ท.กรบัญชา นิลจันทร์  นายประสงค์  อุตตะโมท เป็นกรรมการ และผอ.ด้านกิจการพรรคการเมือง เป็นเลขานุการ  ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าวจะทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการตามมาตรา 95 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง  โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน

 

สำหรับการเสนอยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตยและพรรคชาติไทยนั้นในวันนี้ นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ ประธานคณะกรรมการร่วมอัยการสูงสุด และกกต. จะได้นำเสนอร่างคำร้องมาให้ตน หากไม่มีปัญหาอะไรตนในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะลงนามเพื่อเสนอเรื่องไปยังอัยการสูงสุดให้ดำเนินการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว

 

ด้านนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. กล่าวเพิ่มเติมกรณีมีการระบุว่าที่มาของกรรมการองค์กรอิสระไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้ผ่านการโปรดเกล้าแต่งตั้งว่า ตอนที่ตนเข้ามารับตำแหน่งนั้น ก็ได้มีการทำเรื่องสอบถามไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี   ก็ได้รับคำตอบในขณะนั้นว่า แม้ไม่ได้โปรดเกล้า แต่ถือว่าความเป็นกกต.สมบูรณ์ตามกฎหมายในขณะนั้น คือประกาศคปค.ที่แต่งตั้ง  และเมื่อรัฐธรรมนูญ 50 มีผลใช้บังคับ ก็มีบทเฉพาะกาลเขียนรองรับไว้ในมาตรา 299 วรรค 2 ว่าให้องค์กรที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ซึ่งก็รวมถึง กกต.ด้วย

 

"ถ้าบอกว่ากกต.มีที่มาไม่ถูกกฎหมาย เพราะไม่ได้โปรดเกล้า ฯ ก็เท่ากับว่าสิ่งที่กกต.ดำเนินการมานั้นก็ไม่มีผลสมบูรณ์ในทางกฎหมาย ซึ่งก็จะกระทบต่อสิ่งที่กกต.ทำไปไม่ว่าการทำประชามติร่างรับธรรมนูญ 50 การจัดการเลือกตั้งส.ส.และส.ว. ที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศด้วย

 

ที่มา: http://www.naewna.com

 

พันธมิตรฯหอบ 4หมื่นชื่อยื่นปธ.วุฒิฯถอดถอน ครม.

วานนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เวลา 13.30 น. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วย นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา นายศิริชัย ไม้งาม นำรายชื่อของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 46,538 รายชื่อ มามอบต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274  ให้ถอดถอนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ทั้งนี้ กลุ่มพันธมิตรฯ ได้จัดทำสำนวนกล่าวโทษแยกเป็น 3 กลุ่ม คือ กล่าวโทษนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะผู้บริหารประเทศ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กรณีขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร และรัฐมนตรีจำนวน 32 คน ในคณะรัฐมนตรี

 

นายประสพสุข กล่าวว่า หลังจากรับรายชื่อแล้ว วุฒิสภาจะประสานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และสำนักทะเบียนราษฎร เพื่อตรวจสอบรายชื่อให้เสร็จภายใน 30 วัน แต่ด้วยจำนวนรายชื่อมีจำนวนมาก หากตรวจสอบไม่ทัน วุฒิสภาจะขยายเวลาตรวจสอบรายชื่อออกไป ซึ่งคงไม่มีปัญหาในการดำเนินการ

 

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

 

 





เศรษฐกิจ

 

สาบส่งหุ้นเครือปตท. ต่างชาติหนีรัฐแทรก

"ต่างชาติ"กระหน่ำทิ้งหุ้นเครือปตท.ไม่เลิก ครึ่งปีขายสุทธิกว่า 6 หมื่นล้านบาทเหตุกังวลสนองนโยบายรัฐไม่เลิก ล่าสุดยื้อเวลาปรับขึ้นแอลพีจีอีกครั้ง ส่งผลบรรกาศการลงทุนเลวร้ายยิ่งขึ้น "มาดามติ้ง"ย้ำเตรียมชงกบง.ตัดสินลอยตัวแอลพีจีภายใน 2 สัปดาห์นี้ แย้มขึ้นราคาภาคขนส่งไม่เกินต้นส.ค.51 ส่วนมติครม.สั่งอุ้มภาคครัวเรือน 18.13 บาทจนถึงสิ้นมกราคมปีหน้า

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้(15ก.ค.)หุ้นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)หรือ PTT ถูกเทขายออกมาอย่างหนัก จากนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้ราคาปรับลงอย่างรุนแรง ลงมาเหลือแค่ 270 บาท ติดลบ 16 บาทหรือติดลบ 5.6% เช่นเดียวกับหุ้นบริษัทในเครือไม่ว่าจะเป็นบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด(มหาชน)หรือ PTTEP ปิดตลาด 160บาท ติดลบ 6 บาทหรือติดลบ 3.6%บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน)หรือ TOP ปิดตลาด51 บาท ติดลบ 0.50 บาท หรือติดลบ 0.97%

 

บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC ปิดตลาด 3.90 บาท ติดลบ 0.04บาท หรือติดลบ 1.01% บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด(มหาชน)หรือ PTTAR ปิดตลาด 20.90 บาท ติดลบ 0.40 บาท หรือ 1.87% บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด(มหาชน)หรือ PTTCH ปิดตลาด 88 บาท ติดลบ 5.50 บาท หรือติดลบ 5.9%และบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)หรือ BCP ปิดตลาด 10.80 บาท ติดลบ 0.30 บาทหรือติดลบ 2.7%

 

ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นโดมิโนที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนเลวร้ายลงมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับหุ้นบูลชิพตัวอื่นๆ ปรับตัวลงตามไปด้วย เห็นได้ชัดจากตัวเลขต่างชาติขายสุทธิอีกกว่า 2,400 ล้านบาท รวมนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิกว่า 60,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับมาร์เก็ตแคปนับตั้งแต่ต้นปีหายไปกว่า 1.1 ล้านล้านบาท

 

จากประเด็นดังกล่าว"ข่าวหุ้นธุรกิจ"สอบถามโบรกเกอร์ต่างประเทศหลายแห่ง พบว่าปัจจัยหลักมาจากนักลงทุนต่างชาติ มีการทยอยเทขายหุ้นปตท.และบริษัทในเครือออกมาอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักนอกเหนือจากปัจจัยภายนอกประเทศแล้ว กรณีปัญหาการถูกควบคุมและแทรกจากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการยื้อเรื่องการปรับขึ้นราคาแอลพีจีหรือกรณีการลงทุนกว่า 51,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างท่อส่งเอ็นจีวี (NGV) เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายกระทรวงพลังงาน

 

ก่อนหน้านี้ยังมีกรณีมาตรการลดราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 3 บาท(จำนวน 122 ล้านลิตรต่อเดือนตลอดช่วง 6 เดือน)จนทำให้ผลกระทบต่อกำไร กลุ่มโรงกลั่น ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(ตลท.)และเป็นเหตุให้นักลงทุนเทขายหุ้นโรงกลั่นออกมาตลอดและที่สำคัญไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลเรื่องการแทรกแซงจากรัฐที่อาจเกิดขึ้นอีก

 

พลโทหญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)วานนี้(15ก.ค.) มีมติให้ตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี)ในภาคครัวเรือนออกไปอีก 6 เดือนจนถึง 31 ม.ค.52 จากเดิมที่จะมีการปรับราคาขายภายในเดือนก.ค.นี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ช่วงวิกฤติน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น

 

ส่วนความคืบหน้าการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่ง-อุตสาหกรรมคาดว่าจะได้ความชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้าว่าจะมีการปรับขึ้นราคาเท่าไร อย่างไร ขณะที่รายละเอียดต่างๆนั้น ต้องนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)ก่อนยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีการประชุมกบง.เมื่อไร

 

"วานนี้ครม.มีมติให้ตรึงราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนไว้ที่ 18.13บาทต่อกิโลกรัมเป็นระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่ก.ค.นี้ เป็นต้นไป ขณะที่แอลพีจีภาคขนส่งนั้นที่ผ่านมา กระทรวงแจ้งมาตลอดว่าจะต้องมีการปรับขึ้นราคาอย่างแน่นอน ขณะนี้เร่งให้คณะทำงานฯเร่งสรุปรายเอียดรวมทั้งหามาตรการเพื่อป้องกันการลักลอบใช้ก๊าซผิดประเภทคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า"

 

นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)หรือ PTT กล่าวว่า ปตท.อาจต้องชะลอแผนนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี)จากอิหร่านออกไปก่อนเนื่องจากปัญหาความตึงเครียดในประเทศดังกล่าว โดยยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อแผนการนำเข้าแอลเอ็นจีที่ปตท.เตรียมจะนำเข้า 1 ล้านตัน ภายในปี 54 อย่างแน่นอน

 

ทั้งนี้เนื่องจากแอลเอ็นจีที่จะนำเข้าในปี 54 จำนวน 1 ล้านตันนั้น จะมาจากการ์ตาซึ่งขณะนี้ได้ทำข้อตกลงร่วมกันแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร ส่วนกรณีที่หากความตึงเครียดในอิหร่านยืดเยื้อออกไป ปตท.พร้อมจะหาแอลเอ็นจีจากแหล่งใหม่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันก็ดำเนินการหาแอลเอ็นจีจากแหล่งอื่นเพิ่มเติมอยู่แล้ว

 

"แผนที่จะนำเข้าแอลเอ็นจีจากอิหร่านที่ชะลอออกไปนั้น เราไม่ได้ชะลอ แต่ทางฝ่ายนั้นบอกว่าให้ชะลอออกไปก่อน เพราะบ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงตึงเครียด เราก็ต้องรอ คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรเพราะเราไม่ได้นำเข้าแอลเอ็นจีจากอิหร่านในปี 54 แต่มีแผนจะนำเข้าในปี 55-57 ขณะเดียวกันก็ยังหาแหล่งใหม่เพิ่มเติม ด้วยการหาโครงการลงทุนใหม่ๆเพิ่มขึ้นด้วย"นายจิตรพงษ์กล่าว

 

อย่างไรก็ดีปตท.มีแผนจะนำเข้าแอลเอ็นจีจากอิหร่านจำนวน 3 ล้านตันต่อปี ภายในปี 55 แต่หลังจากเกิดสถานการณ์ความตึงเครียดจากการที่อิหร่านที่กำลังขัดแย้งกับอิสลาเอลและชาติตะวันตก เรื่องโครงการนิวเคลียร์ แม้ว่าแผนนำเข้าแอลเอ็นจีจะชะลอออกไปก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าล้มเลิกแผน ทั้งนี้ภายหลังจากที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายมากขึ้นก็จะกลับมาพิจารณาอีกครั้ง

 

โดยการนำเข้าแอลเอ็นจีเป็นทางเลือกหนึ่งของการจัดหาก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการใช้เป็นเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้า โดยปตท.มีแผนนำเข้าแอลเอ็นจีอยู่ที่ 5 ล้านตันต่อปี

 

เบื้องต้นปตท.ได้บรรลุข้อตกลงนำเข้าจากอิหร่าน 3 ล้านตันต่อปี จากแหล่ง SOUTHPARS และได้ลงนามสัญญาเบื้องต้นกับ Pars LNG ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง NationalIranian Oil Company (NIOC) บริษัท Total Pars LNG Ltd. และ PetronasInternational Corporation Ltd.

 

ที่มา:เว็บไซต์ข่าวหุ้น

 

"น้ำอัดลม-นมกล่อง" มีลุ้นขึ้นราคา  พาณิชย์จำยอมปล่อยตามต้นทุน

พาณิชย์แย้มอาจต้องปล่อยน้ำอัดลม-ผลิตภัณฑ์นมปรับขึ้นราคา แต่ยังห่วงมีผลต่อเงินเฟ้อเพราะมีผู้บริโภคจำนวนมาก ขณะที่ผลิตภัณฑ์นมมีเพียงซีพี-เมจิรายเดียวขอปรับขึ้น ระบุต้องพิจารณาต้นทุนรวมก่อน มีลุ้นได้ปรับขึ้นกล่องละไม่เกิน 1 บาท

 

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมการค้าภายในยังไม่มีการพิจารณาให้ผู้ประกอบการรายใดปรับขึ้นราคาสินค้า แม้จะมีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งขอปรับขึ้นราคาสินค้าเข้ามาในขณะนี้ เนื่องจากกรมต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามยอมรับว่ามีสินค้าบางรายการที่อาจต้องพิจารณาให้ปรับขึ้นราคา เช่น น้ำอัดลม เพราะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีการแข่งขันสูงทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาให้สูงมากได้ แต่การให้ปรับราคาต้องพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะสินค้าน้ำอัดลมมีผู้บริโภคจำนวนมากหากราคาสูงขึ้นจะกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อได้

 

"สินค้าน้ำอัดลม พอจะพึ่งกลไกตลาดได้ เพราะแข่งขันกันมาก คาดว่าจะไม่ต้องควบคุมอะไร แต่น้ำอัดลมมีคนกินมากเช่นกัน ถ้าปรับราคาจะกระทบเงินเฟ้อ ตอนนี้ก็ดูๆ อยู่ แต่ก็คงไม่ควบคุมอะไร แต่ถ้าจะปรับราคาก็ยังต้องแจ้งมายังกรมและให้กรมอนุมัติอีกที" แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์กล่าว

 

ส่วนการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์นมนั้น แม้คณะกรรมการนมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะอนุมัติให้ปรับขึ้นราคาน้ำนมดิบอีกกิโลกรัมละ 3 บาท แต่การพิจารณาสินค้าผลิตภัณฑ์นมต้องตรวจสอบว่าต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการแต่ละรายใช้น้ำนมดิบในประเทศหรือไม่ เพราะสัดส่วนการใช้น้ำนมดิบในประเทศของอุตสาหกรรมนี้ไม่สูงมาก ดังนั้นสาเหตุการปรับขึ้นราคาน้ำนมดิบดังกล่าวจึงไม่ใช่เหตุผลเดียวที่อ้างได้ว่าจะต้องให้ขึ้นราคาผลิตภัณฑ์นม

 

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมขณะนี้มีเพียงซีพี-เมจิ รายเดียวเท่านั้น ที่ทำหนังสือมายังกรมเพื่อขอปรับขึ้นราคา ส่วนผู้ประกอบการรายอื่นยังไม่มีหนังสือมาถึง ทำให้กรมต้องรอดูว่าสถานการณ์ต้นทุนผลิตภัณฑ์นมขณะนี้เป็นอย่างไร มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาหรือไม่

 

ขณะที่รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า กรมการค้าภายในเตรียมอนุมัติให้สินค้านมพาสเจอไรซ์ทุกขนาดปรับขึ้นราคาไม่เกิน 1 บาท ตามต้นทุนน้ำนมดิบที่ปรับขึ้นมา 3.50 บาทต่อ กิโลกรัม หรือจาก 14.50 บาท ต่อกิโลกรัม เป็น 18 บาทต่อกิโลกรัม แต่การพิจารณาให้สินค้านมพาสเจอไรซ์ขึ้นราคาจะต้องรอจนกว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนออนุมัติขึ้นราคาน้ำนมดิบให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม

 

นอกจากนี้ผู้ประกอบการน้ำอัดลมดังยี่ห้อหนึ่ง ยื่นเรื่องขอปรับขึ้นราคาสินค้าเข้ามายังกรม โดยอ้างถึงต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำตาลทราย ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตน้ำอัดลมที่ ครม.ได้มีการอนุมัติให้ปรับราคาขึ้นกิโลกรัมละ 5 บาท ไปก่อนหน้านี้ ยังไม่รับผลกระทบจากต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันแพงทำให้มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาน้ำอัดลม

 

ที่มา: http://www.komchadluek.net

 

ครม.รับหลักการนำเข้าดีเซลรัสเซีย

ครม. รับหลักการนำเข้าน้ำมันดีเซลราคาต่ำจากรัสเซียขายผ่านสหกรณ์แล้ว  นายกฯ เผย ถูกกว่า ถึง 8 บาท  แต่งตั้ง"ธีระชัย"นั่งเลขาฯ ก.ล.ต.ต่อ มีผลตั้งแต่ 15 ก.ค.

 

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ในวันนี้ (15 ก.ค.51) คณะรัฐมนตรีรับหลักการนำเข้าน้ำมันดีเซลราคาต่ำจากรัสเซียขายผ่านสหกรณ์ 200 แห่งทั่วประเทศ  และขอยืนยันว่า จะไม่มีจำหน่ายในกรุงเทพมหานคร โดยจะนำเงินจากสหกรณ์ไปซื้อแบ่งขาย 1:5 ในราคาที่ถูกกว่า 8 บาทให้สหกรณ์การประมง และสหกรณ์การขนส่ง200 แห่ง ในต่างจังหวัดเท่านั้น

 

นายสมัคร กล่าวว่า และหลังจากคณะรัฐมนตรี อนุมัติในหลักการแล้วภายใน 15 วันจะมีการจัดทำเอกสารเพื่อจัดซื้อ หลังจากนั้น 45 วัน ทางรัสเซียจะส่งน้ำมันมาทางเรือ และส่งน้ำมันที่ได้ไปผ่านการตรวจสอบกับทางห้องตรวจสอบคุณภาพน้ำมัน เมื่อผ่านการตรวจสอบก็สามารถนำมาออกจำหน่ายตามหลักเกณฑ์ได้

 

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ได้มีมติแต่งตั้ง นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เป็นเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ต่อไป มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.

 

ที่มา: http://www.posttoday.com

 

 

คาดสถานการณ์น้ำมันรุนแรงขึ้นระบุใกล้ฤดูหนาวฉุดยอมใช้ดีเซลพุ่ง

กูรูพลังงานฟันธงราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะแตะระดับ 150 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ฉุดให้ดีเซลพุ่งไปที่ราคา 50 บาท/ลิตร ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ พร้อมแนะกระทรวงพลังงาน ให้ลดการอุดหนุนดีเซล และเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 30 สตางค์ต่อลิตร พร้อมออกมาตรการที่เข้มงวดในการประหยัดพลังงาน เพราะมาตรการที่ผ่านมาไม่ได้ผล ด้านรัฐมนตรีพลังงานห่วงสถานการณ์ราคาน้ำมันรุนแรงขึ้น เพราะใกล้เข้าฤดูหนาว ทำให้ตลาดโลกมีความต้องการดีเซลเพิ่มขึ้น

 

นายมนูญ  ศิริวรรณ  ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวันอยู่ในขณะนี้  เกิดจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ทำให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้นตลาดเงินไปเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะแตะระดับ 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลภายใน  1-2  สัปดาห์นี้ และมีความเป็นไปได้ที่ดีเซลจะปรับถึง 48-49 บาทต่อลิตร ซึ่งใกล้ระดับ 50 บาททุกที

 

อย่างไรก็ตาม จะต้องรอดูการตัดสินใจของกระทรวงพลังงานว่าจะต่ออายุการลดการอุดหนุนการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและอนุรักษ์พลังงานน้ำมันดีเซล 90 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งกำลังจะครบกำหนดสิ้นเดือน ก.ค.นี้ต่อไปอีกหรือไม่ หากไม่ต่อราคาดีเซลจะต้องปรับขึ้นอย่างน้อย 90 สตางค์ โดยยังไม่รวมการปรับขึ้นของราคาตลาดโลก  แต่เชื่อว่ากระทรวงพลังงานจะขยายระยะเวลาลดการอุดหนุนต่อไปอีก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งนี้ถ้ากระทรวงพลังงานจะยืนยันอุดหนุนดีเซลต่อ ก็ควรจะลดการอุดหนุนจาก 90 เหลือ 60 สตางค์เท่านั้น โดยเก็บเงินเข้ากองทุนฯ 30 สตางค์ต่อลิตรตามปกติ  เพราะขณะนี้สถานะเงินกองทุนไม่มีเงินไหลเข้าเลย

 

ในส่วนของ นโยบายดูแลพลังงานของรัฐบาลปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับเหมาะสม  เพราะแทรกแซงกลไกตลาดน้อย ไม่ได้ใช้เงินกองทุนฯ มากเกินไปเหมือนในอดีต  ขณะเดียวกันมาตรการต่อยอดพลังงานทดแทนอยู่ในระดับที่ใช้ได้ เช่น การพัฒนา น้ำมันอี 85  แต่นโยบายประหยัดพลังงานควรจะเข้มข้นมากกว่านี้  ไม่ว่าจะเป็นนโยบายขอความร่วมมือหรือนโยบายเชิงบังคับ  ซึ่งถือว่ามาตรการที่รัฐออกมา ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นผล เพราะหากราคาน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องรัฐควรเตรียมรับมือไม่ประมาท และหากไทยเตรียมมาตรการรับมือไว้ตั้งแต่ราคาน้ำมันระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐ ประเทศไทยก็คงไม่ลำบาก

 

สำหรับราคาก๊าซ แอลพีจี นั้น รัฐบาลควรจะลอยตัวก๊าซ แอลพีจี โดยปรับราคาขึ้นประมาณ 15% อิงราคาตลาดโลก เพราะ ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานต้องปรับราคาก๊าซ แอลพีจี ในช่วงเดือน เม.ย.และมิ.ย.ที่ผ่านมา แต่รัฐบาลได้ตรึงราคา แอลพีจี ไว้เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งหากปรับราคาก๊าซ แอลพีจี ขึ้นในอัตราดังกล่าว จะมีผลต่อราคาขายปลีกในประเทศ ประมาณ 1 บาท/กก. ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีรายใหม่ โดยเฉพาะภาคขนส่งลดลง แต่คงจะลดจำนวนผู้ใช้เดิมไม่มากนัก เพราะผู้บริโภคได้มีการติดตั้งถังแอลพีจีไปแล้ว

 

ด้าน พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกภายในประเทศอาจจะแตะ 50 บาท/ลิตรได้ เนื่องจากขณะนี้ใกล้ที่จะเข้าสู่ฤดูหนาว และมีแนวโน้มการใช้น้ำมันดีเซลในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างสหรัฐกับอิหร่านยังมีความตึงเครียด และการเก็งกำไรยังไม่อ่อนแรงลง

 

สำหรับสถานการณ์ก๊าซ แอลพีจี นั้นขณะนี้ยืนยันว่าไม่ได้ขาดแคลนแล้ว โดยดูข้อมูลจากบมจ.ปตท. พบว่า ก๊าซแอลพีจีที่ปตท.สั่งนำเข้า 20,000 ตัน ได้นำเข้ามาจำหน่ายแล้ว และมีการสั่งเพิ่มอีก 40,000 ตัน ซึ่งเกินโควตาที่กำหนด ทำให้สถานการณ์ก๊าซ แอลพีจี ดีขึ้น โดยกระทรวงพลังงาน ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเร่งให้มีการขนส่งไปยังจังหวัดต่าง ๆ ผ่านทางรถไฟ เพื่อรองรับการใช้ของผู้บริโภค ทั้งภาคครัวเรือน อุตสาหกรรม และขนส่ง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ปริมาณการใช้ก๊าซ แอลพีจี ใน 6 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นถึง 19.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะรถยนต์ที่เปลี่ยนมาติดตั้งก๊าซ แอลพีจี เพิ่มขึ้นมาก ขณะเดียวกัน ยังมีปัญหาการลักลอบนำก๊าซ แอลพีจี ไปขายตามชายแดน เนื่องจากราคาในไทยต่ำกว่า

 

ส่วนการปรับราคาก๊าซ แอลพีจี นั้น ขอยืนยันว่าจะไม่ตรึงราคาอีกต่อไป เพราะขณะนี้มีการใช้ก๊าซ แอลพีจี ผิดประเภท ซึ่งกระทรวงพลังงาน ได้อำนวยความสะดวกเพื่อให้แท็กซี่ เปลี่ยนจากการใช้ก๊าซ แอลพีจี มาเป็น เอ็นจีวี มากขึ้น โดยมีการให้เงินกู้ 5,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อสนับสนุนการปรับเครื่องยนต์  ขณะเดียวกัน ก็เพิ่มปริมาณปั๊มที่จำหน่าย เอ็นจีวี ซึ่งกระทรวงพลังงานจะส่งเสริมการใช้ เอ็นจีวี เพราะเป็นพลังงานทดแทนที่หาได้ในประเทศ โดยยืนยันตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ราคาก๊าซเอ็นจีวีอยู่ที่ 8.50 บาท ในปีนี้ 12 บาท ในปี 2552 และจะขึ้นเป็น 13 บาท ในปี 2553 ส่วนในปีต่อไปจะขึ้นไปประมาณ  20 บาท ซึ่งขณะนี้การใช้ เอ็นจีวี เพิ่มขึ้นจาก 600 ตันต่อวัน เป็น 2,400 ตันต่อวัน

 

ในขณะที่ นายพรชัย  รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การแก้ปัญหาเรื่องก๊าซหุงต้ม กระทรวงพลังงานได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีการจำหน่ายก๊าซอย่างเพียงพอในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มรถแท็กซี่ ที่ผ่านมาถือว่าได้มีการแก้ปัญหาดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งยืนยันว่า ก๊าซจะมีเพียงพอทุกปั๊ม ขณะที่ภาคครัวเรือนจะมีการดูแลให้มีก๊าซ แอลพีจี ใช้อย่างเพียงพอ และไม่ทำให้เกิดการแย่งก๊าซระหว่างกัน ตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน จะต้องจัดหาพลังงานให้ประชาชนทุกคนมีใช้อย่างเพียงพอและทั่วถึง

 

ที่มา: ทรานสปอร์ต เจอร์นัล ฉบับที่  ประจำวันที่ 14 - 20 ก.ค. 2551

 

 





ความมั่นคง

 

ตร.ชงครม.อนุมัติตั้งกองบัญชาการเฉพาะ3จังหวัดใต้

ผบ.ตร.เผยเตรียมตั้งกองบัญชาการใหม่ ดูแลสามจังหวัดชายแดนใต้โดยเฉพาะ ชงเรื่อง ครม.อนุมัติให้ทันก่อนโยกย้ายประจำปี เชื่อส่งผลสถานการณ์ดีขึ้น ด้าน สวป.ยี่งอ เครียดไฟใต้ เข็มขัดรัดคอ-ปืนจ่อหัว ตำรวจสิบเวรภาค 9 เป็นตัวประกันนาน 4 ชม. ก่อนเจ้านายกล่อมวางอาวุธแต่โดยดี

 

วานนี้ (15 ก.ค.) พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้บัญชาการ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) เสนอให้ตั้งกองบัญชาการกองกำลังตำรวจชายแดนภาคใต้ (บช.จชต.) ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับกองบัญชาการ ขึ้นดูแลพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้การทำงานเป็นเอกภาพมากขึ้น โดยขณะนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้ร่างกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการโดยแก้ไขเพิ่มเติม และเพิ่ม บช.จชต. เข้าไป และจะเร่งเสนอ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เสนอเรื่องเพื่อพิจารณาโปรดเกล้าฯ ให้มีผลตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะทำให้เสร็จในปีงบประมาณนี้เพื่อแต่งตั้งคนมาทำงาน

 

 "จะให้เสร็จก่อนการแต่งตั้งโยกย้าย เพื่อให้สามารถแต่งตั้งคนไปทำงานได้ทันที และจะทำให้เสร็จก่อนโครงสร้างอื่นๆ ใน ตร. ต่อไปหากสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้นก็อาจจะยุบหน่วยงานนี้ไปก็ได้" ผบ.ตร. กล่าวภายหลังการประชุมหารือมอบนโยบายการทำงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับนายตำรวจระดับสูงที่ ศปก.ตร.สน.จ.ยะลา

 

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวต่อว่า ส่วนการแต่งตั้งคนไปทำงานในหน่วยงานนี้นั้นให้ พล.ต.ท.อดุลย์ เป็นคนคิด ว่าใครที่จะมาเป็นหัวหน้า โดยจะให้ รอง ผบ.ตร. ทุกคนช่วยกันคิด ไม่มีการล็อกไว้อย่างแน่นอน สำหรับการตรวจเยี่ยมตำรวจในพื้นที่ก็เพื่อให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงาน

 

ด้าน พล.ต.ท.อดุลย์ กล่าวว่า ลักษณะของกองบัญชาการใหม่ถือว่าจำเป็น เพราะจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีอำนาจเต็มในการบริหาร ที่ผ่านมาอย่างผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ตลอดต้องไปๆ มา เพราะดูแล 7 จังหวัด แต่สามจังหวัดควรมีผู้บัญชาการอยู่ตลอด เพื่อดูแลอย่างเต็มรูปแบบ และจะเป็นต้นแบบการกระจายอำนาจให้ทุกหน่วยเป็นเหมือนสำนักงานตำรวจแห่งชาติย่อยๆ ต่อไปหน่วยจากกองบัญชาการสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนส่งลงมาให้หน่วยบูรณาการกำลังทั้งหมดได้

 

ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดความเครียด โดยวานนี้ (15 ก.ค.) เวลา 13.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เกิดเหตุการณ์ สารวัตรปราบปราม สภ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ใช้ปืนจี้ตำรวจสิบเวรเป็นตัวประกัน ท่ามกลาง ความตกตะลึงของเพื่อนข้าราชการตำรวจและผู้บังคับบัญชา ทราบชื่อผู้ก่อเหตุคือ พ.ต.ต.นันท์ พุ่มเกต สว.สป สภ.ยี่งอ อายุ 54 ปี ซึ่งมีอาการเครียด เนื่องจากปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และได้เข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ หลายสัปดาห์ก่อน

 

ทั้งนี้ก่อนเกิดเหตุ พ.ต.ต.นันท์ ได้เข้าพบผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจภูธรภาค 9 เพื่อขอย้ายตนเองเข้ามาอยู่ในพื้นที่อื่น แต่เนื่องจาก พ.ต.ต.นันท์ ยังมีอาการเครียด ทางผู้บังคับบัญชาขอให้รักษาตัวให้หายเป็นปกติก่อน

 

ทำให้ พ.ต.ต.นันท์  มีอาการเครียดเพิ่มขึ้น เดินออกจากห้องผู้บังคับบัญชา แล้วตรงไปยัง ด.ต.จรูญ อิสโร ซึ่งทำหน้าที่สิบเวรอยู่ที่เคาน์เตอร์ชั้นล่าง และใช้อาวุธปืน .357 จ่อที่ศีรษะทันทีท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อนข้าราชการตำรวจและผู้บังคับบัญชา จากนั้นได้ถอดเข็มขัดมารัดที่คอของ ด.ต.จรูญ แล้วจี้ตัวเดินออกมาจากตึกกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ไปยังตึกด้านข้าง โดยผู้บังคับบัญชาเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ

 

จึงได้ประสานงานไปยัง พ.ต.อ.วิชัย เกษมวงศ์ ผกก.โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นเจ้านายเก่า ที่ พ.ต.ต.นันท์ ให้ความเคารพนับถือ กระทั่งเวลา 17.15 น. พ.ต.อ.วิชัย ได้เข้าเจรจา ทางพ.ต.ต.นันท์ ยอมวางอาวุธปืนพร้อมทั้งปล่อยตัวประกัน ต่อมา พ.ต.อ.ประสิทธิ์ เผ่าชู  ผกก.สภ.ยี่งอ ได้เดินทางมารับตัว พ.ต.ต.นันท์ และนำส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนสาเหตุและเงื่อนไขที่ทำให้มีการจี้ตำรวจเป็นตัวประกันในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องไม่มีการเปิดเผยให้ทราบแต่อย่างใด

 

ส่วนการลอบระเบิดยังมีต่อเนื่อง โดยเวลา 20.00 น. พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว ผบก.ภ.จว.ปัตตานี รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณปากทางเข้าที่จอดรถข้าง สภ.ปัตตานี ห่างจาก สภ.ปัตตานีประมาณ 50 เมตร ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย ร.ต.ต.สำเริง ธรรมโร, ร.ต.ต.ชำนาญ จันทลักษณ์, ส.ต.ท.ศรีสุวัฒน์ แก้วประทุม, ส.ต.ท.อนันท์ ตุหยง และนายแวอุเซ็ง เจ๊ะแว ทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลปัตตานี

 

สำหรับบริเวณใกล้เคียงกันนี้ ตรงกันข้างกับจุดที่เกิดเหตุระเบิด เคยเกิดเหตุคนร้ายนำรถจักรยานยนต์ซุกระเบิดมาจอดไว้และจุดระเบิด จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตและบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อคืนวันที่ 18 พ.ค.2551 ในช่วงที่ทางจังหวัดปัตตานีกำลังจัดงานกาชาดประจำปี

 

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

 

 





การศึกษา

 

สพฐ.หนุนแนวคิดปฏิรูปการศึกษารอบสอง

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่มีการระดมความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องว่าการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมาเกือบ 10 ปี ได้ผลจริงหรือไม่นั้น และถึงเวลาที่จะต้องปฏิรูปการศึกษารอบใหม่หรือไม่นั้น ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอให้มีการปฏิรูปการศึกษารอบสอง โดยเฉพาะที่อยากให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่ใช้มานานกว่า 10 ปีนั้น ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาอยู่แล้วว่า ควรจะมีการปรับปรุงในประเด็นใดบ้าง ซึ่งคงจะต้องติดตามต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ตนคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่และน่าจะมีปัญหามากคือ โครงสร้าง ศธ. โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เสนอแนวทางไปเบื้องต้นแล้ว นอกจากนั้นคิดว่าจะมีหลายประเด็นที่ควรต้องปรับปรุงไปพร้อมกัน

 

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า กฎหมายถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันให้งานพัฒนาเดินหน้าไป ซึ่งในช่วงปี 2542 ที่ได้มีการปฏิรูปการศึกษา และปรับโครงสร้าง ศธ.นั้น เป็นการพิจารณาโดยที่โครงสร้างจริงยังไม่เกิดขึ้น แต่ขณะนี้เมื่อมีหลายอย่างเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น ก็ควรนำประสบการณ์ที่เกิดขึ้นไปช่วยกันในการพิจารณาปฏิรูปการศึกษาครั้งใหม่

 

ที่มา: http://www.matichon.co.th/matichon

 

จี้รัฐปั้นเด็กไทยรักการอ่านบรรจุในแผนงานกระทรวงสังคม

กก.ผู้จัดการมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กแนะรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้เด็กไทยรักการอ่านอย่างจริงจัง ทุ่มงบหนุนสม่ำเสมอ มอบให้กระทรวงที่เกี่ยวกับเด็กทั้งสธ.-ศธ.-พม.-วธ.บรรจุในแผนงานกระทรวง การันตียอดพิมพ์เพื่อให้ราคาถูกลง ด้านนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯแนะปรับระบบบริการหนังสือ จัดหาหนังสือเด็กเพิ่มเข้าไปในห้องสมุดร.ร.-ชุมชน

 

นายเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป กรรมการผู้จัดการมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก กล่าวถึงแนวทางการส่งเสริมให้เด็กไทยรักการอ่านว่า โดยภาพรวมการส่งเสริมให้เด็กไทยรักการอ่านดีขึ้นมากเพราะหน่วยงานทุกภาคส่วนต่างส่งเสริมในเรื่องนี้ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะมุ่งส่งเสริมการอ่านในกลุ่มเด็กประถมและมัธยม ซึ่งครูและผู้ปกครองมักส่งเสริมให้เด็กรักการอ่านโดยสร้างเงื่อนไขด้วยการให้รางวัล  หากจะให้ได้ผลต้องปลูกฝังเด็กให้รักการอ่านตั้งแต่ช่วง 0-6 ปีแรก จึงจะสร้างนิสัยรักการอ่านได้อย่างถาวร

 

นายเรืองศักดิ์กล่าวอีกว่า ปัจจุบันพ่อแม่ไม่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ลูกรักการอ่านเพราะหนังสือยังมีราคาแพง จึงเห็นว่ารัฐบาลควรเข้ามาการันตียอดพิมพ์หนังสือเด็กที่ได้รับการยืนยันว่ามีคุณภาพและสั่งซื้อเข้าห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดชุมชนและศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ จะทำให้หนังสือเด็กมีราคาถูกลง ส่งผลให้ผู้ปกครองมีกำลังซื้อได้มากขึ้น

 

"จะต้องนำเรื่องของการส่งเสริมให้เด็กไทยรักการอ่านใส่ลงในแผนงานของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รับผิดชอบเด็กอายุ 0-3 ปี  กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รับช่วงดูแลเด็กประถม มัธยมและอุดมศึกษา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ส่งเสริมการอ่านตลอดชีวิตในคนไทยทุกกลุ่มตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่   อีกทั้ง ศธ. และกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ต้องร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นในสังคมไทย   ที่สำคัญรัฐบาลต้องมีนโยบายส่งเสริมให้เด็กไทยรักการอ่านอย่างจริงจัง ต่อเนื่องและจัดงบประมาณสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ทำแบบไฟไหม้ฟาง" นายเรืองศักดิ์กล่าว

 

นางริสรวล อร่ามเจริญ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  ปัจจุบันพ่อแม่ที่เห็นความสำคัญและส่งเสริมให้ลูกรักการอ่านหนังสือยังมีจำนวนน้อย และส่วนมากต้องซื้อหนังสือให้ลูกเพราะระบบบริการด้านหนังสือของภาครัฐยังมีไม่มากนัก แม้มีห้องสมุดโรงเรียนและห้องสมุดชุมชนให้บริการยืมหนังสือ แต่ส่วนใหญ่มีแต่หนังสือทั่วไปและเป็นหนังสือเก่าๆ ขณะที่หนังสือเด็กและเยาวชนมีน้อย

 

"ภาครัฐควรจัดให้มีระบบบริการสาธารณะ เพื่อให้เด็กหาหนังสืออ่านได้ง่ายขึ้นด้วยการจัดหาหนังสือเด็กและเยาวชนใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้าไปห้องสมุดโรงเรียนและห้องสมุดชุมชนอย่างสม่ำเสมอ   อีกทั้งโรงเรียนต่างๆ ต้องมีกิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนรักการอ่านอย่างต่อเนื่อง" นางริสรวลกล่าว

 

ที่มา: http://www.komchadluek.net

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท