Skip to main content
sharethis


การเมือง


พันธมิตร ยันไม่สลายการชมุนุม


โพสต์ทูเดย์ — พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ยื่นหนังสือให้กลุ่มพันธมิตรฯ ยุติการชุมนุม วันที่ 12 สิงหาคม โดยระบุหากไม่สลายการชุมนุมเท่ากับไม่จงรักภักดี ว่า การมีความจงรักภักดี เป็นสิ่งที่พันธมิตรฯ แสดงออกอยู่แล้ว ตั้งแต่การกระตุ้นให้รัฐบาลสนใจเรื่องนี้ การออกมากล่าวหาของ นปก.ไม่เป็นความจริง เพราะพันธมิตรฯ ชุมนุม เพื่อปกป้องสถาบันมาตลอด


 


พล.ต.จำลอง กล่าวถึงการปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ และชาวบ้านที่เป็นกลุ่มต่อต้าน จังหวัดศรีสะเกษ บริเวณถนนสายกันทรลักษ์-เขาพระวิหาร ว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลกองทัพ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในแต่ละจังหวัด จะต้องดูแลแก้ไขปัญหา กลุ่มพันธมิตรฯ คงทำอะไรไม่ได้ เพราะการชุมนุมในต่างจังหวัด เป็นความริเริ่มของผู้ชุมนุมในแต่ละท้องที่ ซึ่งพันธมิตรฯ ไม่สามารถควบคุมได้ เราควบคุมใครไม่ได้ เพราะการมาชุมนุมเป็นเรื่องของความสมัครใจ และการชุมนุมในทุกสถานที่เป็นความหวังดีของประชาชน


 


 


"พิภพ" ประณามรัฐอยู่เบื้องหลังแก๊งอันธพาลป่วนการชุมนุม          


ผู้จัดการออนไลน์ - เวลา 21.00 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นปราศรัยที่เวทีเชิงสะพานมัฆวานฯ กล่าวชื่นชมผู้มาร่วมชุมนุมว่า มีจิตใจมุ่งมั่น แม้จะถูกข่มขู่จากกลุ่มผู้ไม่หวังดี นอกจากนี้ยังต้องชื่นชมกลุ่มการ์ดหรือกลุ่มรักษาความปลอดภัยทุกคนเป็นอย่าง ยิ่ง ที่อุตส่าห์เสียสละเวลา การงานมาคุ้มครองความปลอดภัยให้กับพันธมิตรทุกคน ดังนั้น ตอนนี้ต้องพูดว่าแก๊งอันธพาลเหล่านี้ล้วนมาจากรัฐบาลที่สร้างขึ้นมาก่อกวน กลุ่มพันธมิตรทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด


 


"วันนี้ที่เชียงราย อาจารย์เจิมศักดิ์จะจัดอภิปรายถึงรัฐธรรมนูญ 50 ว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไรที่รัฐบาลถึงต้องการแก้ไข แต่ก็ถูกแก๊งกวนเมืองออกมาก่อความวุ่นวายหน้าโรงแรมและหน้าที่ทำการอดีต ส.ว. ทำให้ทรัพย์สินต่างๆ เสียหาย ถือเป็นเจตนารัฐบาลที่ต้องการปกปิดข้อมูลข่าวสารที่แท้จริง โดยผู้อยู่เบื้องหลังการชุนนุมนี้คืออดีตนายกรัฐมนตรี"


 


นายพิภพ กล่าวถึงกรณีเขาพระวิหารด้วยว่า ที่นายกฯ กล่าวหาคนไทย 3 คนที่ไปประท้วงว่า "ไอ้บ้า" นั้นไม่มีนายกฯ ประเทศไหนเขาทำแบบนี้ แทนที่จะสนับสนุนและนำเอาการเคลื่อนไหวประชาชนไปทำการต่อรองกับทางกัมพูชา แต่รัฐบาลกลับไม่ยอมทำ เพราะถ้ายืนยันตามกฏหมายที่ทำไว้กับศาลโลก พ.ศ.2505 ตอนนี้ที่ดินเขาพระวิหารก็เป็นของไทย ทหารสามารถตีโต้กลับทหารเขมรในการล่วงล้ำเข้าดินแดนไทยได้ รัฐบาลต้องตีโดต้กลับรัฐบาลฮุนเซนให้ถอนทหารออกไป


 


ทั้งนี้ แกนนำพันธมิตรฯ ยังกล่าวด้วยว่า ถ้าหากประเทศไทยยังมีรัฐบาลแบบนี้อยู่ก็ไม่สามารถรักษาอธิปไตยของประเทศไว้ ได้ ดังนั้น รัฐบาลต้องลาออก แต่รัฐบาลนี้ยังดื้อด้าน ขายชาติอยู่อย่างนี้ ดังนั้นถ้าหากมีการยื่นแก้ไขรัฐธรรนูญพันธมิตรฯ ทั้งหลายต้องมารวมตัวกันเป็นเรือนแสนเพื่อกดดันไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ


 


"รัฐบาลอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เขาพยายามทำหลายเรื่องให้เสร็จโดยไม่สนใจใคร เพราะได้รับคำสั่งจากคนที่ให้เงินมาซื้อเสียง ซึ่งเป็นคนที่อยู่ข้างหลังสมัคร และเขาก็ไม่คำนึงว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรต่อประเทศชาติ และประชาชนด้วย"


 


"ดังนั้น สิ่งที่เราจะทำคือ การหยุดความวุ่นวายของบ้านเมือง ด้วยการหยุดพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นนอมินีของทักษิณ ที่เป็นคนชอบอวดอ้างอ้างตัวว่าเก่ง แต่เกรงกลัวอำนาจกฏหมาย อำนาจศาล ต้องให้สมัครมาแก้ไขกฏหมายให้ อีกทั้งในเรื่องเขาพระวิหารใครก็รู้ว่านี่เป็นเพียงความละโมบในสัมปทานเกาะ กง เรื่องพลังงานของเขา คนอย่างนี้ใช้ไม่ได้"


 


สุดท้าย แกนนำพันธมิตรฯ ชี้ให้ประชาชนพิจารณาถึง 3 ประเด็นสำคัญของทักษิณว่า 1.ต้องการแก้ไขกฏหมายเพื่อให้ตนและพวกพ้นผิด 2.พยายามให้รัฐบาลเร่งอนุมัติงบประมาณโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ออกมา เพื่อกินเปอร์เซ็นต์จากโครงการเหล่านี้ 10-20% จากโครงการ เพื่อนำเงินมาใช้เป็นเงินทุนในการเลือกตั้ง และ 3.ปรับเปลี่ยนโผโยกย้ายข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เพื่อให้พวกพ้องของขึ้นครองอำนาจ อันจะนำไปสู่ไม่มีใครมาขัดขวางความสำเร็จของเขาได้


 


นายพิภพ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนขอคาระวะน้ำใจพี่น้องทุกคนที่อุตส่าห์สู้ยืนหยัดรับฟังท่ามการสายฝนอย่าง นี้ ขอให้ทุกคนอดทนและให้มั่นใจว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้จะทำให้เราชนะแน่นอน


 


 


 


 


 


 


"แท็กซี่พันธมิตร"ออกแถลงการณ์ ค้านลูกกรอกแก้รัฐธรรมนูญ ประธานชมรมยันขึ้นได้ทุกคน


เว็บไซต์แนวหน้า - ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการชุมนุมเวทีพันธมิตรฯ ชมรมแทกซี่พันธมิตรฯ นำโดย นายประสพโชค คชวงษ์ ประธานกลุ่มฯได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ของกลุ่มเรื่องคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกรูปแบบ และนอกจากนี้ชมรมฯจะร่วมกันรณรงค์ด้วยการทำหนังสือแจกในรถโดยจะร่างเหตุผลในการคัดค้าน


 


นอกจากนี้นายประสพโชค กล่าวอีกว่าขณะนี้มีจัดตั้งชมรมอย่างเป็นทางการและมีสมาชิกกว่า 1,400 คน โดยสาเหตุหลักที่มาร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯเพราะมีความคิดเห็นและอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกันโดยเฉพาะเรื่องการคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลชุดปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการตั้งชมรมไม่ได้ต้องการทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ส่วนฝ่ายที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันเราก็จะไม่ใช้ความรุนแรงเพราะเราทำมาหากินและจะให้เกียรติผู้โดยสารทุกคนแม้ว่าจะมีความเห็นไม่ตรงกับเรา


 


นายสุริยะใส กล่าวว่า พันธมิตรยินดีสนับสนุนกิจกรรมระยะยาว และจะทำโครงการวิทยุชองชมรมฯ ให้เป็นช่องทางสื่อสารชนิดหนึ่ง ทั้งนี้แท็กซี่ไม่ใช่แค่เครื่องมือของนักเลือกตั้ง เครื่องมือของนักการเมือง หรือกลุ่มผลประโยชน์เหมือนที่ผ่านมา เพราะชมรมฯจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาการเมืองและพัฒนาประชาธิปไตยได้


 


 


"สมศักดิ์" นัดรวมพลทวง ปตท.คืน 25 กรกฎาคมนี้


ผู้จัดการออนไลน์ - เวลา 22.00 น. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่เชิงสะพานมัฆวานฯ ว่า ไม่มีอะไรหยุดการต่อสู่ของพี่น้องพันธมิตรได้ แม้ฝนจะตกหนักในวันนี้ (19 ก.ค.) เพราะปัญหาของประเทศสำคัญกว่า วันนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะไร้รัฐบาล แต่เป็นภาวะที่มีอันธพาลครองเมือง เราต้องสู้ด้วยมันสมอง และสองมือ ด้วยสติปัญญา เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ และการเมืองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า


 


 "วานนี้พวกนรกป่วนกรุง อ้างประชาธิปไตยมาป่วนเรา ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นอุตส่าห์สร้างค่าจ้างราคาสูงให้มา แต่ก็วิ่งจุกตูดกลับไป"


 


นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตำรวจน่าจะทำหน้าที่คุ้มครองเรา แต่ก็กลับทำเฉย อีกทั้งขอบอกว่าพวกคุณจะไปชุนนุมที่ไหนก็ไป ก็ใช้สิทธิของคุณไป และไม่ควรมารุกรานเรา พวกอันธพาลไม่มีสิทธิไป่ก่อกวนอดีต ส.ว.เชียงราย เพราะเขาเป็นประชาชน ไม่ใช่ข้าราชการรัฐเหมือนใครบางคน



"ที่เรามาชุมนุมไล่รัฐบาลนี้ เพราะพวกนี้มัวแต่ไปเอื้อระบอบทักษิณ และยกอำนาจอธิปไตยให้ประเทศอื่น ทำหน้าที่ไม่ชอบ เราจึงใช้สิทธิชุมนุม เพราะรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเถื่อน จึงไม่มีสิทธิบริหารประเทศ เราจึงทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศชาติ และขอบอกถึงแก๊งป่วนเมืองว่าที่เราทำ เราก็ทำเพื่อประเทศชาติเพื่อแผ่นดิน เพื่อส่วนรวมมากกว่า ดังนั้นเราจะเอาทรัพย์สินที่ทักษิณเอาไป กลับคืนมาประชาชน ปราสาทเขาพระวิหารต้องกลับมาเป็นของไทย เพราะรัฐบาลนี้ไม่ได้ดำเนินการอะไร ทั้งที่กินเงินเดือนประชาชน หนำซ้ำยังไปสร้างอันธพาลการเมืองมาทำร้ายพี่น้องประชาชน ดังนั้นเมื่อรัฐบาลเลว เราต้องต่อต่อสู้"


 


นายสมศักดิ์ กล่าวถึงการลดค่ารถไฟ รถเมล์ ค่าแก๊ส ก็ล้วนปาหี่ หลอกประชาชน ไม่ใช่การแก้ปัญหายั่งยืน ที่จริงรัฐบาลไทยรักไทยก็เป็นต้นเหตุในการนำ ปตท.เข้าตลาดหุ้น ทำให้ราคาน้ำมันขึ้น และตอนนี้แก๊สแอลพีจีก็ขึ้น แต่ตอนนี้ก็จะมาอ้างว่าลดราคาให้ อ้างว่าลดลง 1-2 บาท ทั้งที่โกงไปแล้ว แต่ที่จะง่ายกว่านั่นคือเอา ปตท.กลับคืนมา ดังนั้น 25 ก.ค.นี้ 10.00 น. ขอเชิญชวนพี่น้องพันธมิตรประชาชนทุกคนไปรวมตัวกับพี่น้องสหภาพแรงงานรัฐ วิสาหกิจในการทวงเอา ปตท.กลับคืนมาที่หน้าสำนักงานใหญ่ ปตท.ด้วยกัน


 


ทั้งนี้ เพราะทุกวันนี้ ปตท.กำไร 2.3 แสนล้านบาท ถ้า ปตท.ไม่เป็นของประชาน แล้วเอากำไรเข้ารัฐก็สามารถมาจัดสวัสดิการให้ประชาชนได้ เด็กได้เรียนฟรี รักษาฟรี และราคาน้ำมันจะลดลง 8 บาทต่อลิตร ดังนั้นพี่น้องต้องไปเรียกร้องเอา ปตท.กลับคืนมา ไม่ให้รายได้ทั้งหมดไปอยู่ในกระเป๋าของนายทุน


 


 "สิ่งทำมาทั้งหมด เพื่อทุกคน วันนี้พี่น้องภาคเหนือตอนล่างรุกขึ้นมาแล้ว วันนี้ไม่มีจังหวัดใดไม่มีพันธมิตรฯ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีว่าทั้งประเทศจะรุกมาจัดการกับทางรัฐบาลชั่วแล้ว" นายสมศักดิ์ กล่าว


 


แกนนำพันธมิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า บัดนี้เวลามันใกล้เข้ามาทุกขณะ เมื่อ ป.ป.ช.ลงมติว่าพวกนี้ทำการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เมื่อนั้นรัฐบาลนี้ต้องหยุดทันที นั่นแหละภาวะการว่างเว้นก็เกิดขึ้นแล้ว และเมื่อรัฐบาลไม่มีการปกป้องคุ้มครอง เจ้าหน้าที่ละเลย เราจึงต้องจัดกำลังปกป้องดูแลพวกเรากันเอง ขอให้พี่น้องทุกพื้นที่จัดกำลังรักษาความปลอดภัย เรามีสิทธิ์ที่จะปกป้อง ป้องกันให้กับพี่น้องของเรา


 


 


"ณัฐวุฒิ" ยึดสื่อรัฐถล่มปปช. ยัน ที่มาไม่ชอบธรรม


เว็บไซต์แนวหน้า - นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "คุยนอกทำเนียบกับทีมโฆษกรัฐบาล" ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ที่มาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ว่า ที่นายกตั้งข้อสังเหตุเรื่องความชอบธรรมของป.ป.ช.คือป.ป.ช.ชุดนี้เข้าดำรงตำแหน่งตามประกาศคปค.ฉบับที่ 19 ในวันที่ 22 ก.ย. 2549 ลงนามโดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งในประกาศดังกล่าวระบุข้อหนึ่งว่า "ให้พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2542 ยังคงบังคับใช้ต่อไปยกเว้นบทบัญญัติเกี่ยวกับการสรรหา เพราะฉะนั้นป.ป.ช.ชุดนี้จึงเข้าดำรงตำแหน่ง จากนั้นประกาศคปค.ฉบับที่ 31 มีข้อหนึ่งระบุว่าให้พ.ร.บ.ป.ป.ช.2542 บังคับใช้ทั้งฉบับ ก็คือให้ยกเลิกขั้นตอนเกี่ยวกับการสรรหา สรุปคือว่าตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 49 พ.ร.บ.ดังกล่าวบังคับใช้ทั้งฉบับ ทุกมาตรา


 


"ซึ่งในมาตรา 12 ของพ.ร.บ.ดังกล่าว บัญญัติว่าห้ป.ป.ช.ดำรงตำแหน่งนับตั้งแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งวาระละ 9 ปี และดำรงตำแหน่งได้ครั้งเดียว แต่ป.ป.ช.ชุดนี้แต่งตั้งโดยพล.อ.สนธิฯ ไม่มีการลงพระปรมาภิไธโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งแต่อย่างใด เป็นการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งด้วยการก้าวล่วงพระราชอำนาจหรือไม่"นายณัฐวุฒิ กล่าว


 


นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้เมื่อพิจารณาในพ.ร.บ.เงินเดือน เงินค่าตอบแทนประจำตำแหน่งข้าราชการ 2541 มาตรา 4 บัญญัติว่า การจะรับเงินเดือนของป.ป.ช.ก็จะต้องรับตั้งแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ดังนั้นตนจึงขอตั้งข้อสังเกตว่าทุกวันนี้มีรัฐธรรมนูญ บ้านเมืองเข้าสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ป.ป.ช.ยังจะอ้างความชอบธรรมได้หรือไม่ เพราะตอนนี้พล.อ.สนธิก็เป็นคนไทยธรรมดา ทหารนอกราชการคนหนึ่ง แล้วป.ป.ช.จะยังมีความชอบธรรมในวาระที่เหลืออีก 7 ปีหรือไม่ ดังนั้นการที่พล.อ.สนธิยังเป็นเจ้าของคำสั่งอยู่ถือว่าชอบธรรมหรือไม่


 


"และหากใน 7 ปี พล.อ.สนธิ ตัดสินใจเล่นการเมือง และมีคดียื่นเรื่องเข้าปปช. และปปช.ต้องตรวจสอบพล.อ.สนธิ ถามว่าจะมีการตรวจสอบหรือไม่ และอย่างนี้มีความชอบธรรมหรือไม่ "นายณัฐวุฒิ กล่าว


 


 


คุณภาพชีวิต


คมนาคมสั่งเดินหน้าศึกษาตั๋วร่วม


โพสต์ทูเดย์ — นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงความคืบหน้าการนำระบบตั๋วร่วมมาใช้ในระบบขนส่งสาธารณะของประเทศไทย ว่า ขณะนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการนำระบบตั๋วร่วมมาใช้โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณ การศึกษาจากธนาคารเพื่อความร่วมมือแห่งเอเชีย (ADB) และจะเร่งรัดให้ สนข.ศึกษาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คาดว่าภายใน 2 เดือนจะมีความชัดเจนในเรื่องระบบตั๋วร่วมมากขึ้น โดยเฉพาะระบบบริหารจัดการด้านรายได้ จากการจัดเก็บอัตราค่าโดยสารจากระบบตั๋วร่วมของแต่ละบริษัท ที่จะทำให้เกิดความสะดวกจากการใช้จ่ายในการเดินทาง


 


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวต่อถึงการนำระบบการให้บริการรับส่งผู้โดยสารจากที่พักอาศัยมายังสถานี รถไฟฟ้าว่า หากประเทศไทยมีการนำระบบดังกล่าวมาให้บริการ ก็จะเป็นการสร้างสิ่งจูงใจให้คนไทยมาใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น ที่สำคัญจะทำให้ประเทศชาติประหยัดมูลค่าการนำเข้าน้ำมันที่สูงขึ้น 200,000-300,000 ล้านบาทต่อปี


 


 


กระตุ้นคนชราออมเงินใช้หลังเกษียณ


เว็บไซต์เดลินิวส์ - นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข.จะเร่งส่งเสริมให้สมาชิกกบข.มีวินัยทางการออม ทั้งออมด้วยตนเอง และออมผ่านระบบบังคับตั้งแต่อยู่ในวัยทำงาน โดยปัจจุบัน กบข.ได้เปิดให้สมาชิกเข้าร่วมโครงการออมเพิ่มได้แล้ว ซึ่งสมาชิกเลือกออมเพิ่มมากกว่าเดิมได้ตั้งแต่ 1-12% โดยเมื่อรวมกับเงินสะสมเดิมที่นำส่งตามกำหนดในกฎกระทรวงแล้วต้องไม่เกิน 15% ของเงินเดือน ทั้งนี้ รัฐยังคงส่งเงินสมทบและเงินชดเชยในอัตราเดิมคือ 3% และ 2% ของเงินเดือน ซึ่งเงินส่วนเพิ่มนี้ จะได้รับเมื่อพ้นสมาชิกภาพเท่านั้น ไม่สามารถขอคืนระหว่างที่เป็นสมาชิกได้


 


เนื่องจากขณะนี้มีข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่าสังคมไทยจะกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบแล้ว โดยอัตราการพึ่งพิงของประชากรผู้สูงอายุต่อวัยแรงงานมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากปี 50 ที่มีผู้สูงอายุ 10% มาเป็นเกือบเท่าตัวในปี 53 ถึง 19.6% และเป็นเกือบสามเท่าตัวในปี 68 สูงถึง 29.6% แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 68 เป็นต้นไป อัตราส่วนการพึ่งพิงในวัยสูงอายุจะทวีเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง


 


ดังนั้น กบข. จึงต้องการส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้เพียงพอสำหรับอนาคต เพราะถ้าไม่สามารถส่งเสริมให้คนมีการออมเพิ่มขึ้นตั้งแต่อยู่ในวัยทำงาน จะส่งผลกระทบและสร้างความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับปัญหาความแร้นแค้นทางเศรษฐกิจในบั้นปลายชีวิตได้


 


สำหรับสิทธิประโยชน์ที่สมาชิก กบข. จะได้รับจากการออมเงินสะสมส่วนเพิ่มนี้ คือสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากภาครัฐ โดยจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในส่วนของเงินสะสมทั้งจำนวนตามที่จ่ายจริง


 


พลังงาน


"ธีระชัย"ลั่นพืชเอทานอลพร้อมหมดห่วงวัตถุดิบพลังงานทดแทน


ฐานเศรษฐกิจ - นายธีระชัย แสนแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการการผลิตและการส่งเสริมการใช้เอทานอลเป็นพลังงานทดแทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่ากระทรวงเกษตรฯ ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์พืชพลังงานทดแทนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนบูรณาการแผนยุทธศาสตร์ฯ ระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงานให้มีความสอดคล้องกัน ทั้งนี้เพื่อการวางแผนส่งเสริมและพัฒนาการใช้พลังงานทดแทนครบทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ หลังจากนั้นจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา คาดว่าจะสามารถนำเสนอครม.ได้ในสัปดาห์หน้า


 


ทั้งนี้กระทรวงได้วางแผนพัฒนาการผลิตอ้อยและมันสำปะหลัง ให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก แต่จะใช้วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยมีเป้าหมายเพิ่มผลผลิตต่อไร่อย่างน้อยร้อยละ 10 ทั้งนี้เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการบริโภคและการเพาะปลูกพืชชนิดอื่นๆ



นายธีระชัย อธิบายรายละเอียดว่า ในส่วนของอ้อยซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ปลูก 6.4 ล้านไร่ ผลผลิต 11.4 ตันต่อไร่ ผลผลิตรวม 73.2 ล้านตันต่อปี มีเป้าหมายเพิ่มผลผลิตเป็น 15 ตันต่อไร่ภายในปี 2554 เท่ากับว่าภายใน 3 ปีข้างหน้าจะมีผลผลิตอจะมีผลผลิตอ้อยรวมประมาณ 96 ล้านตันหรือเพิ่มขึ้น 31.15% เช่นเดียวกับมันสำปะหลังมีเป้าหมายจะเพิ่มผลผลิตเป็น 39.6 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2554 จากปัจจุบันที่ผลิตได้ 27 ล้านตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 46.66% บนพื้นที่เพาะปลูก 7.34 ล้านไร่ โดยจะเพิ่มผลผลิตต่อไร่จาก 3.7 ตันต่อไร่ เป็น 5.4 ตันต่อไร่ ซึ่งการเพิ่มผลผลิตต่อไร่นั้นจะดำเนินการผ่านมาตรการการพัฒนาสายพันธุ์การพัมนาเทคโนโลยีการผลิตและการวิจัย


 


"กระทรวงเกษตรฯ มีความมพร้อมแล้วในการผลิตวัตถุดิบรองรับการผลิตเอทานอล และรับประกันว่าจะไม่กระทบต่ออุตสาหกรรมอื่นแน่นอน เพราะว่านโยบายการแบ่งสัดส่วนการบริโภค และการผลิตเอทานอลคือ ผลิตเพื่อเป็นอาหารให้เพียงพอก่อน แล้วจึงนำไปผลิตเป็นเอทานอล" นายธีระชัยกล่าวและว่า


 


ผลผลิตอ้อยและมันสำปะหลังที่ไทยผลิตได้ในแต่ละปีนั้นมีปริมาณที่เพียงพอต่อบริโภคเป็นอาหารและผลิตเป็นอาหารและผลิตเป็นเอทานอลภายในประเทศอีกทั้งยังเหลือส่งออกไปต่างประเทศอีกด้วย แต่การที่มีนโยบายเพิ่มปริมาณผลผลิตเนื่องจากเพื่อรองรับนโยบายการใช้พลังงานทดแทนที่มากขึ้นในอนาคต ตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขวิกฤติราคาพลังงาน กล่าวคือ ปี 2551 ไทยผลิตอ้อยได้ 73.2 ล้านตัน ใช้ผลิตเป็นน้ำตาลบริโภคภายในประเทศ 20 ล้านตัน (ได้น้ำตาล 2 ล้านตัน) ส่งออก 50 ล้านตัน (น้ำตาล 5 ล้านตัน) และจากกระบวนการผลิตน้ำตลาจะได้กากน้ำตาล 3 ล้านตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอที่จะนำไปผลิตเป็นเอทานอลใช้ภายประเทศและส่งออก


 


เช่นเดียวกับมันสำปะหลังที่ปี 2551 ไทยผลิตได้ 27 ล้านตัน โดยใช้ภายในประเทศ 8.55 ล้านตัน แบ่งเป็นมันเส้นและแป้งมัน 7.77 ล้านตัน ผลิตเป็นเอทานอล 0.78 ล้านตัน และเหลือส่งออกถึง 19.11 ล้านตัน ประกอบกับในปัจจุบันไทยมีโรงงานผลิตเอทานอล 11 โรง กำลังการผลิตรวม 1.57 ล้านลิตรต่อวันแม้ขณะนี้ผลิตจริงเพียง 8 โรง แต่ก็มีกำลังการผลิตถึง 1.22 ล้านลิตรต่อวัน และภายในสิ้นปี 2551 จะเพิ่มเป็น 17 โรง รวมกำลังการผลิต 2.7 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่ความต้องการใช้เอทานอลในประเทศมี 7 แสนลิตรต่อวัน แม้ว่าในปี 2552 กระทรวงพลังงานจะประเมินความต้องการใช้เอทานอลจะเพิ่ม 1.58 ล้านลิตรต่อวันแต่เมื่อพิจารณาจากปริมาณวัตถุดิบแล้วพบว่าสามารถรองรับการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน โดยเฉพาะน้ำมัน E85 ตามนโยบายรัฐบาลได้อย่างเพียงพอ


 


 


ต่างประเทศ


แผ่นดินไหว 7 ริกเตอร์ในญี่ปุน


โพสต์ทูเดย์ — กรม อุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น รายงานในวันนี้ว่า ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหววัดความสั่นสะเทือนได้ที่ระดับ 7 ริกเตอร์ ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น เมื่อเวลา 11.39 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 09.39 น. ตามเวลาในไทย โดยศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ที่จังหวัดฟูกูชิมา นอกชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ที่ความลึกระดับ 10 กิโลเมตร ทางการญี่ปุ่นออกแถลงการณ์เตือนภัยสึนามิขนาดเล็กในทันที พร้อมรายงานว่า คลื่นสึนามิความสูงประมาณ 50 เซนติเมตร น่าจะมาถึงพื้นที่ชายฝั่งในจังหวัดมิยากิ และฟูกูชิมา ทางตอนเหนือของญี่ปุ่นในเร็วๆ นี้ ส่วนโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในพื้นที่ไม่ได้รับความเสียหาย และยังคงดำเนินการตามปกติ


 


แผ่นดินไหวครั้งนี้มีจุดศูนย์กลางเดียวกับเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน และสูญหายอีกหลายคน


 


 


พม่ารับกฎบัตรอาเซียน ไทย-ปินส์-อิเหนายังรอ


โพสต์ทูเดย์ — จอร์จ เหยียว รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ว่า พม่าจะให้ สัตยาบันกฎบัตรสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ระหว่างการประชุมความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียน ที่จะจัดขึ้นที่สิงคโปร์ในสัปดาห์หน้า


 


ทั้งนี้ กฎบัตรอาเซียนฉบับใหม่ดังกล่าว กำหนดพันธะให้สมาชิกอาเซียนเคารพแนวทางประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนมากขึ้นกว่าเดิม และจะเป็นเสาหลักทางกฎหมายของกลุ่มอาเซียนมากขึ้น


 


เหยียว กล่าวว่า ระหว่างการสัมภาษณ์กับนิตยสารดาวโจนส์ นิวส์ไวร์สว่า หากพม่าให้สัตยาบันก็จะเหลือเพียง 3 ประเทศเท่านั้นที่ยังไม่ได้ให้สัตยาบันกฎบัตรอาเซียน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์


 


นอกจากนี้ ยังรายงานด้วยว่า ในที่ประชุมความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียนครั้งนี้ จะมีการผลักดันประเด็นการทูตเพื่อป้องกันความขัดแย้ง พร้อมกับส่งเสริมความเชื่อมั่นระหว่างประเทศด้วย


 


 


อาเซียนสอบได้เกรดซีกรณีจัดการพม่าเรื่องไซโคลนนาร์กีส


เว็บไซต์คมชัดลึก- หนังสือพิมพ์สเตรท ไทม์ส รายงานเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) อ้างถ้อยแถลงของนายจอร์จ เอี๋ยว รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้นำสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ไปเปรียบเทียบกับชั้นเรียน และได้ให้คะแนนการจัดการกับรัฐบาลพม่า ภาคีสมาชิกอาเซียนซึ่งมีท่าทีดื้อดึง ไม่ยอมเปิดรับความช่วยเหลือจากนานาชาติ หลังเกิดภัยพิบัติจากพายุไซโคลนนาร์กีสที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับแสนคนเมื่อเดือนพฤษภาคมว่าอยู่ในระดับ "ซี" เท่านั้น


 


นายจอร์จกล่าวว่า ในตอนแรกอาเซียนได้เกรด "เอฟ" ซึ่งหมายความว่าสอบตกด้วยซ้ำ จากความล่าช้าในการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น และถึงแม้ว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้นจนในที่สุดสามารถเกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลทหารพม่าเปิดรับความช่วยเหลือจากภายนอกได้ แต่จะให้เกรด "เอ" หรือ "บี" แก่อาเซียนก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เกรด "ซี" จึงดูจะเหมาะสมที่สุด


 


ทั้งนี้ สิงคโปร์เป็นประธานหมุนเวียนของอาเซียนประจำปีนี้ และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศซึ่งเปิดฉากไปเมื่อวันพฤหัสบดี รวมถึงการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เออาร์เอฟ) ในสัปดาห์หน้า ก่อนส่งมอบตำแหน่งประธานหมุนเวียนต่อให้แก่ไทยในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้


 


สำหรับเป้าหมายของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนครั้งนี้ คือ การพลักดันให้ชาติสมาชิกเร่งให้สัตยาบันกฎบัตรอาเซียน ซึ่งจะทำให้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่อาเซียนจะเป็นองค์กรที่อยู่ร่วมกันภายใต้ข้อผูกมัดทางกฎหมาย ซึ่งล่าสุดนายจอร์จ เอี๋ยวเปิดเผยว่า รัฐบาลพม่าได้ตอบรับอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะร่วมให้สัตยาบันกฎบัตรอาเซียนในสัปดาห์หน้า ทำให้เหลืออีกเพียง 3 ประเทศเท่านั้นที่ยังไม่ได้รับปากว่าจะลง ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์


 


รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ยังมองด้วยว่าถึงแม้พม่าจะเป็นเหมือน "เด็กดื้อ" ในครอบครัวอาเซียน หลังถูกวิจารณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าจากสารพัดปัญหา รวมทั้งถูกประณามเรื่องการใช้กำลังกวาดล้างกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในย่างกุ้งเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วอย่างนองเลือด แต่สุดท้ายแล้ว พม่าก็ยังอยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้


 


สำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่ดำเนินมาเป็นวันที่ 2 นั้นมีสาระสำคัญอยู่ที่การหามาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมัน และอาหารแพงซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอาเซียน โดยคาดกันว่าที่ประชุมจะผลักดันให้มีการระดมความร่วมมือเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว เพื่อช่วยให้ภาคีสมาชิกสามารถพึ่งพาตนเองด้านการเกษตรได้มากขึ้น


 


 


'ออง ซาน ซูจี'ถูกห้ามร่วมพิธีรำลึกถึง'พ่อของตัวเอง'


เว็บไซต์มติชน- เจ้าหน้าที่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของนางซูจีเปิดเผยว่า นางออง ซาน ซูจี ผู้นำเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่ายังคงถูกกักบริเวณที่บ้านพักในวันนี้ ขณะที่คนอื่นๆ เข้าร่วมพิธีรำลึกถึงนายพลออง ซาน บิดาของเธอผู้ซึ่งประกาศเอกราชให้แก่พม่า ทั้งนี้ นางซูจีไม่ได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมพิธีดังกล่าว แม้ว่าก่อนหน้านี้ทางการพม่าเคยส่งบัตรเชิญให้กับเธอก็ตาม


 


สำหรับ พิธีการในวันนี้เป็นการรำลึกถึงนายพลออง ซานและผู้นำอื่นๆ อีก 8 คนที่ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2485ในขณะที่พวกเขากำลังจัดการประชุมเพื่อประกาศเอกราชจากการปกครองของ อังกฤษ โดยรัฐบาลทหารพม่าจัดพิธีรำลึกเป็นเวลาสั้นๆ เมื่อเช้านี้ที่อนุสรณ์สถานใกล้กับเจดีย์ชะเวดากองในนคร ย่างกุ้ง โดยมีพลจัตวาออง เต็ง ลิน นายกเทศมนตรีนครย่างกุ้ง เจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนหนึ่งและสมาชิกในครอบครัวของอดีตผู้นำหลายคนเข้าร่วม อย่างไรก็ตาม ทางการพม่าไม่ได้เชิญเจ้าหน้าที่สถานทูตต่างประเทศเข้าร่วมด้วยแต่ไม่เปิด เผยเหตุผล


 


 


โลกร้อนทำให้คนเป็นนิ่วในไตเยอะขึ้น


Foosci.com -- sciencedaily.com รายงานว่า การที่อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นสามารถชักนำให้เกิดนิ่วในไตได้สูงขึ้น จากคำอ้างในงานวิจัยที่นำเสนอที่ 103rd Annual Scientific Meeting of the American Urological Association (AUA) ที่บ่งชี้ว่าการสูญเสียน้ำมีความเชื่อมโยงกับโรคนิ่ว โดยเฉพาะบริเวณที่สภาพอากาศร้อน และผลภาวะโลกร้อนทำให้การเป็นโรคนี้เร็วขึ้น ซึ่งผลที่เกิดขึ้นทำให้มีการเป็นนิ่ว ทำให้สูญเสียเงินทองในการรักษามากมาย


 


ด้วยการใช้ข้อมูลในการทำนายผลของอุณหภูมิต่อโรคนิ่ว นักวิจัยประยุกต์ใช้การทำนายของอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพื่อทำนายผลกระทบจากภาวะ โลกร้อนต่ออัตราการเกิดโรคนิ่วและค่าใช้จ่ายในการรักษาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวจะเป็นข้อมูลผลกระทบที่อันตรายของภาวะโลกร้อนที่จะกลายเป็นประเด็นทางเศรษฐกิจและการเมือง


 


โดยภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาถูกจัดว่าเป็น "the stone belt" เพราะในแต่ละรัฐทางภาคใต้มีผู้เป็นโรคนิ่วในไตจำนวนมาก ซึ่งเมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น สามารถเพิ่มจำนวนผู้เป็นโรคนิ่วได้ โดยคาดการณ์ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นถึง 10% จากปี 2000 เมื่อถึงปี 2050


 


ซึ่งปริมาณ 10% นั้นจะเท่ากับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วย 1 - 2 ล้านคน และผลของสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงทำให้โรคนิ่วเกิดขึ้นโดยมีรูปแบบที่แตก ต่างกัน โดยทางภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาจะมีการเกิดแบบกราฟเชิงเส้น และเหนือขึ้นไปจะไม่เกิดเป็นกราฟเชิงเส้น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่เกี่ยวข้องอาจจะสูงถึง 1 พันล้านดอลลาห์ในปี 2050


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net