Skip to main content
sharethis





เศรษฐกิจ


คาดเงินเฟ้อเล่นงาน'เอเชีย' 'เอดีบี'ลดประมาณการศก.


 


มะนิลา  -  ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย  (เอดีบี)  คาดปัญหาเงินเฟ้อจากวิกฤติอาหารและพลังงาน  บวกกับความผันผวนของตลาดเงินโลก  จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจเอเชียในปีนี้และปีหน้าให้เติบโตลดลงจาก  9%  ในปีก่อน เหลือเพียง 7.6% ส่วนไทยน่าจะเติบโตได้ 5.0% ในปีนี้


 


รายงานเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีของเอดีบีระบุว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของเอเชียปีนี้น่าจะขยับแตะ  6.3% เพิ่มขึ้นกว่า  2 เท่าจากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยช่วง 10 ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ดี คาดว่าปีหน้าจะลดลงมาอยู่ที่ 4.6%


 


การชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐ  ส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดเงินและดีมานด์การนำเข้าสินค้าจากเอเชีย  จนอาจส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาค  ซึ่งเอดีบีคาดว่าจะมีสัดส่วน  1 ใน 5 ของการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้  ขณะที่ราคาสินค้าคอมโมดิตีที่แพงขึ้นเป็นประวัติการณ์  ก็บีบให้ธนาคารกลางของชาติเอเชียต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย  แม้จะทราบดีว่ามาตรการดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยขวางกั้นการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต


 


"ภาวะเงินเฟ้อเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเศรษฐกิจเอเชีย  เนื่องจากราคาอาหารและเชื้อเพลิงนำเข้าที่เพิ่มขึ้น  ส่งผลให้เกิดภาวะผันผวนของราคาสินค้าและค่าจ้าง ทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น" จอง วาลี นักเศรษฐศาสตร์ของเอดีบีระบุในรายงาน


 


เอดีบีชี้ว่าเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกที่ประกอบไปด้วยจีน และ 10 ชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)  รวมถึงฮ่องกง สิงคโปร์  เกาหลีใต้ และไต้หวัน  กำลังเผชิญกับแรงต้านที่หนักหน่วง จากทั้งดีมานด์การสั่งซื้อสินค้าที่ลดลงและวิกฤติข้าวยากหมากแพง  โดยเอดีบีคาดว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้จะเติบโตลดลงมาอยู่ที่  9.9%  และ 9.7% ในปีหน้า เทียบกับปีก่อนที่  11.9%  ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่รัฐบาลปักกิ่งหันมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ


 


ส่วนเศรษฐกิจของ 10 ชาติสมาชิกอาเซียน เอดีบีคาดว่าน่าจะเติบโตลดลง 1% มาอยู่ที่  5.5% สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้  เอดีบีระบุว่าน่าจะเติบโตที่ 5.0% และกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยเป็น  5.2% ในปีหน้า ด้านเวียดนาม ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงเกือบแตะ 30% เอดีบีคาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตได้ราว 6.5%


 


"อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าที่เศรษฐกิจเอเชียจะกลับสู่สภาวะปกติ   และไม่แน่ว่าอาจต้องรอจนถึงช่วงไตรมาส   2   ของปีหน้า"  เดวิด  โคเฮน ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจเอเชียของสถาบันแอคชั่นอีโคโนมิกส์ในสิงคโปร์ชี้


 


ที่มา: เว็บไซต์ไทยโพสต์


 


เอดีบีคาดศก.ไทยโต5.0%-เพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อ


ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เผยรายงานรอบครึ่งปีเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่แถบเอเชียตะวันออก โดยคาดว่า ในปีนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยจะขยายตัวราว 5.0% ก่อนขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 5.2% ในปี 2552 อันเป็นระดับเดียวกับการคาดการณ์ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเม.ย.


 


เอดีบียังมองว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยปี 2551 จะอยู่ที่ 6.1% ปีนี้ และ 3.7% ปีหน้า สูงขึ้นจากที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ที่ 4.0% และ 3.5%


 


ส่วนการเติบโตของภูมิภาคนี้ ปีนี้มีแนวโน้มขยายตัว 7.6% จาก 9% เมื่อปี 2550 ส่วนอัตราเงินเฟ้อจะทะยานมาที่ 6.3% สูงกว่าระดับเฉลี่ยช่วง 10 ปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า ผลจากราคาอาหาร พลังงานพุ่งขึ้น และภาวะผันผวนในตลาดเงิน


 


นายจอง หวา ลี นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร ระบุว่าเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ถือเป็นภัยคุกคามรุนแรงต่อเสถียรภาพและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาค เพราะต้นทุนนำเข้าอาหาร และพลังงานที่แพงขึ้น อาจจุดชนวนให้ราคาและค่าจ้างปรับตัวขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้เงินเฟ้อขยายตัว


 


หากแยกเป็นรายประเทศแล้ว เอดีบีคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 9.9% ปีนี้ และ 9.7% ปีหน้า จาก 11.9% เมื่อปี 2550 ผลจากการปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเข้มงวดด้านนโยบายการเงินมากขึ้น และความต้องการภายนอกประเทศที่ซบเซาลง


 


ขณะที่การเติบโตของบรรดาประเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรม อย่างฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไต้หวัน จะอยู่ที่ 4.7% ปีนี้ ผลจากความต้องการสินค้าส่งออกของแต่ละประเทศที่ซบเซา ก่อนจะฟื้นตัวเล็กน้อยที่ 4.9% ในปีหน้า


 


ส่วนการเติบโตของ 10 ประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) น่าจะลดลง 1% อยู่ที่ 5.5% ปีนี้ โดยมีโอกาสที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จะขยายตัวในระดับพอประมาณที่ 6.0% 5.4% และ 5.5% ตามลำดับ


 


เอดีบียังมองว่าเวียดนามน่าจะเป็นประเทศที่เงินเฟ้อพุ่งสูงสุดในเอเชียตะวันออกในปีนี้ ที่ 19.4% และ 10.2% ในปี 2552 พร้อมเตือนว่ารัฐบาลกรุงฮานอยต้องดำเนินมาตรการที่เด็ดขาดและรวดเร็ว เพื่อป้องกันเศรษฐกิจล่มสลายเหมือนกรณีที่ไทยเคยเผชิญวิกฤติการเงินเมื่อปี 2540 เพราะเวียดนามใช้นโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนปรนทำให้เงินเฟ้อสูงและขาดดุลการค้ามากขึ้น


 


ทั้งนี้ เงินเฟ้อเวียดนามอยู่ที่ 26.8% ในเดือนมิ.ย.เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะเอดีบีคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามจะลดเหลือ 6.5% ปีนี้ และ 6.8% ปีหน้า จาก 8.5% ปีที่แล้ว


 


พร้อมกันนี้ ธนาคารได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายประเทศต่างๆ ดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น เพื่อรับมือกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ และป้องกันภาวะเงินเฟ้อบั่นทอนผลพวงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของภูมิภาค เพราะหลายประเทศยังล่าช้าในการดำเนินการ เพราะความจำกัดของแต่ละประเทศ และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ


 


รายงานย้ำด้วยว่า ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ควรปล่อยให้ค่าเงินของแต่ละประเทศแข็งค่าเร็วขึ้น เพื่อช่วยควบคุมแรงกดดันด้านราคา เพราะการควบคุมความยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหวของค่าเงิน จะทำให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายทางการเงิน มีหนทางจำกัดในความพยายามที่จะรับมือกับเงินเฟ้อ


 


นอกจากนี้ การที่รัฐบาลจำนวนหนึ่ง พยายามเข้าควบคุมเงินเฟ้อ ผ่านการให้เงินอุดหนุน และตรึงราคา เพื่อช่วยประชาชนฐานะยากจน และมีฐานะการเงินไม่มั่นคง อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้


 


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


 


หมักสั่งยกเลิก บอร์ดเศรษฐกิจ ล้างบางขิงแก่


น.ส.วีรินทร์ทิรา นาทองบ่อจรัส รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกคณะกรรมการต่างๆ ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นเลขานุการรวม 5 คณะ และให้คงไว้เพียง 3 คณะ โดยที่ให้ยุบเลิก ประกอบด้วย คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประชาชนอยู่ดีมีสุข คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (คบร.) คณะกรรมการส่งเสริมการปรับปรุงตัวของธุรกิจรายสาขา  คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม  (คสร.) และคณะกรรมการวางกรอบแนวทางการศึกษาระบบการจัดการลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการสาธารณะแบบบูรณาการ


 


ส่วนคณะกรรมการที่ให้คงไว้   ประกอบด้วย คณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาประเทศตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน (กพบ.)


 


รายงานข่าวแจ้งว่า  เหตุผลของการยุบเลิก  เนื่องจากทาง สศช.เห็นว่าการทำงานของคณะกรรมการหลายชุดมีความซ้ำซ้อนกัน  และทางคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องไม่ได้แจ้งต่อสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายในวันที่ 31 มี.ค.2551 ที่ผ่านมา เพื่อให้คงสถานะของคณะกรรมการไว้ ดังนั้นจึงต้องยุบเลิกไปโดยปริยาย อย่างไรก็ดี มีการตั้งข้อสังเกตว่าคณะกรรมการที่ถูกยุบเลิกทั้งหมด ถูกแต่งตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี


 


ที่มา: เว็บไซต์ไทยโพสต์


 


"คลัง"ไม่กล้าลดภาษีนิติบุคคล ท้ายื่นตีความ6มาตการขัดกม.


 


"คลัง"ไม่กล้าลดภาษีนิติบุคคล รอดูสถานการณ์เข้าสู่ปกติก่อน เร่งออกมาตรการส่งเสริมท่องเที่ยวเพิ่มรายได้ 6 เดือน ท้ายื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่พร้อมทั้งยืนยันจะเดินหน้าทำงานต่อไปไม่คิดเรื่องศาลตัดสินวันที่ 28 ก.ค.นี้


 


นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สศค. และ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง หรือ สวค.ให้กลับไปศึกษานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งมีหลายมาตรการรวมทั้งการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคล ด้วย ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะต้องรอศึกษาข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบ


 


"เรื่องลดภาษี จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ อาจเป็นเพียงแต่ส่วนหนึ่ง แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด ต้องประเมินดูว่ามีผลมากน้อยเพียงใด ตอนนี้เราศึกษาทั้งหมดว่าในแต่ละสถานการณ์จะทำอะไรได้เหมาะสมในสถานการณ์นั้นๆ ไม่ใช่แค่เรื่องภาษีนิติบุคคล"


 


เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันซึ่งราคาน้ำมันยังผันผวน และยังมีความกังวลว่าเศรษฐกิจระดับโลกจะชะลอตัวลงอีก หากสถานการณ์ทุกอย่างเป็นปกติดีก็คงสามารถตัดสินใจได้ง่ายกว่านี้ โดยหลังจากนี้ สศค. และ สวค.จะต้องกลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติม แล้วนำกลับมารายงานต่อไป


 


รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังกล่าวด้วยว่า นโยบายที่ให้ สศค. และ สวค. ไปศึกษาเพิ่มเติมหลังจากนี้จะเน้นในเรื่องที่เกี่ยวกับการสร้างรายได้ อาทิ มาตรการเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ใน 6 เดือนข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว และหลังจากนี้ก็จะต้องเร่งหารือกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป


 


ส่วนผลการตัดสินของศาลในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้กรณีหวยบนดิน คงไม่ส่งผลต่อการทำงานแต่อย่างใด เพราะไม่เคยคิดอยู่ในสมอง ตั้งใจที่จะทำงานให้ดีที่สุดต่อไป


 


น.พ.สุพงษ์ กล่าวว่ากรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ วุฒิสมาชิก ตั้งข้อสงสัย "6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อไทยทุกคน"ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 30 ว่ากรณีดังกล่าวหากมีข้อสงสัยก็สามารถยื่นตีความต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ โดยเฉพาะมาตรการยกเว้นค่าน้ำประปาเฉพาะ 50 หน่วยแรก และ ยกเว้นค่าไฟฟ้า 80หน่วยแรก ส่วนที่เกิน 80 หน่วย แต่ไม่เกิน 150 หน่วย


 


"เรื่องนี้หากขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นการแจกคูปองคนจนก็คงทำไม่ได้ด้วยเพราะถือว่าเป็นการเลือกปฎิบัติเช่นกัน ซึ่งหากใครมีข้อสงสัยก็ขอให้ไปยื่นตีความได้เลย"น.พ.สุรพงษ์กล่าว


 


ส่วนกรณีที่การไฟฟ้าและการประปาทำหนังสือขอลดเงินนำส่งรัฐ จาก 6 มาตการนั้นถือว่าสามารถปฎิบัติได้ เนื่องจากเงินค่าน้ำ และค่าไฟฟ้าดังกล่าว หน่วยงานก็ไม่ได้เรียกเก็บอยู่แล้ว ซึ่งเงินที่รัฐจะได้รับก็จะเป็นเงินที่เก็บได้จริง ไม่ได้เป็นการหักออกแต่อย่างใด


 


"รายได้จากการเรียกเก็บจากคนใช้น้ำใช้ไฟน้อย หน่วยงานก็เก็บไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อมีการเรียกเก็บไม่ได้กำไรของรัฐวิสาหกิจก็อาจจะลดลง ทำให้การส่งคลังลดลง ผลกำไรรัฐวิสาหกิจ ส่งผลรายได้รับวิสาหกิจน้อยลงโดยปริยาย แต่ถ้ามีกำไรก็ต้องส่งคลัง"


 


โดยก่อนหน้านี้นายศุภชัย พิศิษฐวานิช ที่ปรึกษากรรมาธิการ กล่าวว่า ในส่วนของการลดค่าไฟฟ้าที่จะทำให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รายได้ลด 1.2 หมื่นล้านบาท โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) พิจารณาลดค่าไฟฟ้าที่ขายให้กฟน. และ กฟภ. โดยให้ กฟผ.นำไปหักกับรายได้ที่จะส่งให้ในรอบผลการดำเนินงานปี 2551/2552 รวมถึงให้การลดค่าน้ำของการประปานครหลวงที่จะเสียรายได้ 2,400 ล้านบาทก็ให้หักจากเงินนำส่งให้รัฐบาล ทางกระทรวงการคลังมีอำนาจดำเนินการไม่ให้รัฐวิสาหกิจนำเงินส่งคลังและไปจ่ายใน 6 มาตรการหรือไม่


 


ที่มา: เว็บไซต์ข่าวหุ้น


 


ปตท.ฟันปี52ซื้อแอลพีจีล้านตัน


นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บมจ.ปตท. (PTT ) เปิดเผยว่า คาดว่าปีนี้ ปตท. จะต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีมากกว่า 5 แสนตัน โดยในเดือน เม.ย.นำเข้าในปริมาณ 22,000 ตัน แต่ช่วงเดือน ก.ค.นำเข้ามาถึง 109,800 ตัน และตั้งแต่เดือน ส.ค.จนถึงสิ้นปีน่าจะต้องนำเข้าเดือนละ 88,000 ตัน ส่งผลให้ทั้งปีจะต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีมากกว่า 549,800 ตัน และปีหน้าคาดว่าจะต้องมีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีกว่า 1 ล้านตัน  หลังจากแนวโน้มการใช้ก๊าซแอลพีจีในประเทศมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จากปีก่อนอยู่ที่ 3 ล้านตัน เพิ่มเป็น 3.5 ล้านตันในปีนี้ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.2 ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากการใช้ในรถยนต์ ถึงร้อยละ 22.7


 


ทั้งนี้การนำเข้าก๊าซแอลพีจีแต่ละครั้ง ปตท. ต้องนำเข้าในราคาตลาดโลก คือ ประมาณตันละ 950 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รัฐกำหนดให้ราคาขายในประเทศอยู่ที่ประมาณตันละ 332 ดอลลาร์ซึ่งรัฐจะสนับสนุนส่วนต่างประมาณกว่า 600 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นภาระที่สูงมาก


 


สำหรับกรณีที่มีนักวิชาการอ้างว่าไม่พบข้อมูลการนำเข้าแอลพีจีในเว็บไซต์ของกรมศุลกากรนั้น ปตท.ชี้แจงว่า การนำเข้าก๊าซแอลพีจีจะนำเข้ามาในรูปแบบของก๊าซปิโตรเลียมเหลวโพรเพนและบิวเทน เพื่อความปลอดภัยในการขนส่งและสูบถ่าย นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งอีกด้วย


 


ส่วนการอ้างถึงตัวเลขการส่งออกก๊าซแอลพีจีไปต่างประเทศช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ปริมาณ 20,000 ตัน เป็นตัวเลขการส่งออกให้กับประเทศมาเลเซีย กัมพูชา ลาว และพม่า ซึ่งได้รับอนุญาตจากกรมธุรกิจพลังงาน เพื่อความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นการส่งออกในราคาตลาดโลกบวกค่าดำเนินการ


 


ด้านน.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวว่า คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติทั้งการลดภาษีสรรพสามิต ลดภาษีน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และลดภาษีน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซล ตาม 6 มาตรการที่รัฐบาลแถลงไปก่อนหน้านี้ และมีผลวันที่ 25 ก.ค.นี้


 


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


 






การเมือง


"ฮุน เซน"จวกไทยตัวอันตรายฟ้องศาลโลก-28ก.ค.ยูเอ็นถก


 


"ฮุน เซน" จวกไทยคุกคามอันตรายต่อภูมิภาค เดินเกมนานาชาติฟ้อง "ยูเอ็น-อาเซียน" หาข้อยุติพระวิหาร ขู่ดึงศาลโลกชี้ขาด "บัวแก้ว" สวนไม่มีสิทธิ์บังคับ "บุญสร้าง" ท้อ "เขมร" ดื้อไม่รับข้อเสนอ เหตุถือไพ่เหนือกว่า ทางการนัดมอบชาวบ้านรับเหตุร้าย ขณะที่ ป.ป.ช.มีมติไต่สวน ครม.กรณีพระวิหาร


 


ความคืบหน้าหลังการเจรจานอกรอบก่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ไทย-กัมพูชา ระหว่าง พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) หัวหน้าคณะฝ่ายไทย กับ พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ที่โรงแรมอินโดจีน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อหาทางแก้ปัญหาข้อพิพาทกรณีเขาพระวิหาร ด้าน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อยุติได้ โดยอ้างว่าติดขัดข้อกฎหมาย ทำให้การประชุมจีบีซีไม่อาจดำเนินการต่อไปได้ และทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะตรึงกำลังทหารต่อไป แต่มีคำสั่งห้ามยิงและห้ามเสริมกำลัง


 


เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 กรกฎาคม นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาลเพื่อเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าผลการเจรจาคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา นายสมัครไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด โดยเดินขึ้นห้องประชุม ครม.ทันที ด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


"เขมร" ไม่หยุดฟ้อง "อาเซียน-ยูเอ็น"


ส่วนความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา ได้หันไปเล่นเกมการเมืองระดับโลกด้วยการยื่นฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ให้เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ทับซ้อนกับฝ่ายไทย ที่ส่งผลให้ทหารของทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนี้


 


วันเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์ระบุว่า ประเทศไทยล่วงล้ำพรมแดนของกัมพูชาบริเวณปราสาทพระวิหาร เพราะศาลโลกเคยตัดสินไปเมื่อปี 2505 แล้วว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังระบุว่ากัมพูชาต้องการให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยื่นมือเข้าแทรกแซงกรณีพิพาทครั้งนี้ หลังการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาเมื่อวันจันทร์ (21 ก.ค.) ไม่สามารถทำให้ทั้งสองฝ่ายยุติการเผชิญหน้าทางทหารได้


 


ด้าน นายฮอร์ นัม ฮอง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ยังได้ยื่นจดหมายถึงนายจอร์จ เอี๋ยว รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปีนี้ เรียกร้องให้อาเซียนจัดตั้งคณะทำงานระดับรัฐมนตรีที่ประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และลาวขึ้นมาเพื่อช่วยกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างสันติ และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหาร โดยนายฮอร์ระบุในจดหมายด้วยว่า ทหารไทยส่งทั้งปืนใหญ่และรถถังไปเสริมกำลังตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นการคุกคามอย่างมากทั้งต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา รวมทั้งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค


 


นอกจากนี้ นายฮอร์กล่าวด้วยว่า กัมพูชาได้ยื่นหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อขอให้เปิดประชุมฉุกเฉินเพื่อพิจารณาแก้ไขข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วย ทั้งนี้ ยูเอ็น จะจัดการประชุมฉุกเฉินในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ เพื่อหารือมาตรการคลี่คลายความตึงเครียดในประเด็นดังกล่าว


 


ด้านนายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ แสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังตึงเครียด และเรียกร้องให้ไทยกับกัมพูชาใช้ความอดกลั้นในการแก้ปัญหาอย่างสันติด้วยวิถีทางทางการทูต


 


ขู่ฟ้องศาลโลกให้ช่วยชี้ขาด


ส่วนนายเขียว กัณหะฤทธิ์ โฆษกรัฐบาลกัมพูชา กล่าวว่า ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาจำเป็นต้องมีบุคคลที่สามเข้ามาช่วยยุติการเผชิญหน้าทางทหาร หลังการเจรจาแก้ไขวิกฤติระหว่างสองฝ่ายล้มเหลว และอ้างด้วยว่ารัฐบาลไม่สามารถถอนกำลังทหารออกไปได้ในทันที เนื่องจากกระแสรักชาติต่อความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหาร และว่าตอนนี้กัมพูชากำลังหารือกับชาติสมาชิกอาเซียน เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ และอาจจะต้องยื่นต่อศาลโลกที่นครเฮกของเนเธอร์แลนด์อีกครั้งเพื่อให้กำหนดเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา


 


"ฮุน เซน" จวกไทยส่งทหารคุกคาม


นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา ทำจดหมายถึงองค์การยูเนสโกซึ่งเป็นหน่วยงานด้านวัฒนธรรมของสหประชาชาติ ตำหนิประเทศไทยว่าดำเนินการคุกคามอย่างโต้แย้งไม่ได้ โดยการส่งกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่กรณีพิพาท พร้อมเตือนว่าเรื่องนี้เป็นอันตรายกับสันติภาพในภูมิภาค ในจดหมายดังกล่าว เขาเตือนด้วยว่า ปราสาทพระวิหาร ที่เป็นประเด็นสำคัญของกรณีพิพาทตามแนวพรมแดนครั้งนี้ อาจจะเสียหายจากการเผชิญหน้าทางการทหารที่ดำเนินมานาน 1 สัปดาห์แล้ว


 


นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า พฤติกรรมของไทยเป็นอันตรายอย่างมากต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค และประเทศไทย ปฏิเสธหลักการทางกฎหมายระหว่างประเทศทั้งหมด ซึ่งยูเนสโกน่าจะขอให้เลขาธิการยูเอ็นและคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นดำเนินมาตรการที่จะนำไปสู่ทางออกแบบสันติ และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางการทหาร และการกระทำของไทยซึ่งเป็นการละเมิดต่อสนธิสัญญาสากล ที่ร่างขึ้นมาเพื่อปกป้องสถานที่ที่เป็นมรดกในช่วงเวลาของกรณีพิพาท ด้วยการไม่ให้ส่งทหารติดอาวุธหนักเข้ามาใกล้สถานที่ดังกล่าว


 


อาเซียนเปิดประชุมฉุกเฉิน


ขณะที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนประชุมกันนอกรอบในวันนี้ (22 ก.ค.) เพื่อหารือถึงคำร้องขอของกัมพูชาที่ต้องการให้อาเซียนเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกับไทย โดยจะสอบถามตัวแทนของไทยและกัมพูชาในระหว่างรับประทานอาหารกลางวันถึงสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนที่เป็นข้อพิพาท เลขาธิการอาเซียนเชื่อว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ ตอนนี้อยู่ในขั้นที่เรียกว่าอันตรายหรือไม่นั้นต้องดูกันต่อไป หลังจากที่การเจรจาสองฝ่ายเมื่อวันจันทร์ (21 ก.ค.) ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่ทั้งสองฝ่ายก็เห็นชอบที่จะไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งตีความได้ทางหนึ่งว่าสถานการณ์สงบลงและอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว แต่อีกทางหนึ่งก็ตีความได้ว่าสถานการณ์ตึงเครียดขึ้น ซึ่งบรรดารัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนจะได้ฟังด้วยตนเองว่าสถานการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร


 


ดร.สุรินทร์กล่าวอีกว่า ไทยพร้อมเป็นประธานหมุนเวียนของอาเซียนต่อจากสิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคมนี้ แม้ว่าตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศยังว่างอยู่และมีปัญหาตึงเครียดทางชายแดนกับกัมพูชาอยู่ก็ตาม


 


ชี้ยูเอ็นไม่มีสิทธิ์บังคับขึ้นศาลโลก


นายธฤต จรุงวัฒน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาจะยื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความเรื่องพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา ว่า มีทีมกฎหมายศึกษาเรื่องนี้อยู่ ไทยก็มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะขึ้นศาลโลกในกรณีนี้คู่กับกัมพูชาหรือไม่ก็ได้ เนื่องจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติไม่มีอำนาจบังคับให้ไทยไปขึ้นศาลโลก ยกเว้นไทยจะสมัครใจไปเอง


 


"กระทรวงการต่างประเทศกำลังให้ทีมกฎหมายของกระทรวง ศึกษาอำนาจศาลโลกในเรื่องคำพิพากษากรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งกระทรวงตีความว่าศาลโลกน่าจะพิพากษาให้กัมพูชามีสิทธิ์ครอบครองเฉพาะตัวปราสาท ไม่เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนหรือเขตแดนใด" นายธฤตกล่าว


 


"ผบ.สส."ท้อเขมรดื้อไม่รับข้อเสนอ


วันเดียวกัน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ในการเจรจาที่ติดประเด็นข้อกฎหมายและหาข้อยุติไม่ได้มาจากพื้นฐานที่ทั้งสองประเทศใช้แผนที่คนละฉบับ โดยกัมพูชาใช้แผนที่ของฝรั่งเศส ขณะที่ไทยใช้ระบบสันปันน้ำของสหรัฐอเมริกา และข้อที่ยอมไม่ได้คือ ถ้อยคำที่จะให้ตกลงกันแสดงถึงว่าเขาไม่ยอมรับการไปอ้างสิทธิ์ของเราในที่ไหนก็แล้วแต่ ซึ่งเราก็รับเขาไม่ได้


 


"ไม่ใช่ว่าเขารับไม่ได้ที่เราจะไปอ้างสิทธิ์ทั้งหมด แค่เราอ้างว่ามีส่วน เขาก็รับไม่ได้ คำพูดในนั้นจะเป็นลักษณะอย่างนั้น เขาก็ไม่ยอม เราก็ไม่ยอม เขาคงมีจุดยืนมาจากประเทศเขา ในส่วนของเราที่ตกลงตั้งใจที่สุด และคิดว่าไม่ล้มเหลว คือมีความสบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายว่าทหารที่เผชิญหน้ากันอย่าให้เลวร้ายกว่านี้อีก และไม่ไปเพิ่มกำลังทหารเข้ามา" พล.อ.บุญสร้างกล่าว


 


เมื่อถามว่า มีการพูดถึงการละเมิดของกัมพูชาที่ได้มีการตั้งชุมชน สร้างวัด และนำกำลังเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่ พล.อ.บุญสร้างกล่าวว่า กัมพูชาบอกว่าจะย้าย แต่ลงเอยคือเราต้องไปยินยอมว่า ประโยคที่ว่า สิ่งใดที่ได้กระทำจะนำไปอ้างทำให้มีผลกระทบกระเทือนต่อการอ้างสิทธิ์ที่อื่นหรือกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหลายไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเป็นเรื่องทางกฎหมาย อันนี้เป็นข้อตกลงที่เราจะเสนอผู้บังคับบัญชาของแต่ละประเทศ หมายถึงว่าจะต้องไม่มีการอ้างสิทธิ์โดยเรา ซึ่งเรารับไม่ได้ที่เขาเขียน ถ้าจะเอาตรงนี้ออก เขาก็รับไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะจัดการอย่างไรต้องการผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงไปดำเนินการ ในเมื่อเขาจะไม่ยอมรับในการอ้างสิทธิ์อะไรทั้งสิ้น เราทำเรื่องนี้ไปก็ค่อนข้างจะเหนื่อยเปล่า เพราะถึงอย่างไรชุมชนตรงนั้นเขาต้องอพยพออกมาอยู่แล้ว เพราะเขาได้ประกาศเขาพระวิหารให้เป็นมรดกโลกแล้ว เขารับนโยบายมาจากข้างบน คิดว่าผู้ใหญ่ของ 2 ประเทศต้องคุยกัน เพื่อประโยชน์ร่วมกัน


 


ชี้กัมพูชาถือไพ่เหนือกว่าไทย


"ในวันนี้กระทรวงการต่างประเทศคงทำรายงานมายังผม เพื่อลงนาม และเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเข้า ครม.พิจารณาว่าเราจะเดินอย่างไรต่อไป เมื่อกัมพูชามีจุดยืนเช่นนี้ พูดง่ายๆ คือ เขาไม่เล่นกับเรา คือไม่ใช่ในฐานะเท่าเทียมกัน แต่เราอยู่ในฐานะเป็นตัวประกอบ เขาเป็นตัวเอก ส่วนจะนำประเทศอื่นมาเกี่ยวข้องอย่างไร เป็นส่วนของเขา เราเป็นตัวประกอบอีกตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปร่วมจัด เป็นเจ้าของ หรืออ้างสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น " พล.อ.บุญสร้างกล่าวว่า


 


เมื่อถามว่า เหตุใดเราไม่แสดงบทบาทให้ชัดเจนว่าเราเป็นเจ้าของพื้นที่ตรงนั้น ผบ.สส.กล่าวว่า กำลังทหารที่ส่งลงไปคือสิ่งที่เราแสดงแล้ว เมื่อเขาขึ้นมาเราก็ประท้วง ทั้งนี้หลังจากที่ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เขาก็ได้รับความสนใจจากนานาชาติ อีกทั้งยังได้รับชัยชนะจากศาลโลก จึงคิดว่าเขาได้เปรียบทุกชาติ สำหรับการที่กัมพูชายื่นเรื่องให้ทุกองค์กรนานาชาติให้เข้ามาดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศต้องคิด ส่วนตนไม่หนักใจอะไร อย่างไรตามไม่เป็นห่วงเรื่องกำลังในพื้นที่ เพราะมีความสัมพันธ์อันดีเป็นเพื่อนกับทหารกัมพูชาอยู่แล้ว แต่คงต้องมีการกำชับกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุ


 


เมื่อถามว่า ทำไมเหตุการณ์ถึงเดินมาถึงจุดนี้ พล.อ.บุญสร้างกล่าวว่า ยังไงก็ต้องหาทางออก แต่ปัญหายากกว่าที่คิด ตอนนี้คนไทยต้องใช้สติปัญญา อย่าใช้อารมณ์ งานนี้เรากลับตีกันเอง ทำให้เราแพ้ภัยให้แก่ต่างประเทศด้วย


 


มทภ.2 ย้ำทหารอย่าใช้ความรุนแรง


ต่อมาเมื่อเวลา 10.00 น. พล.ท.สุจิตร สิทธิประภา แม่ทัพภาคที่ 2 ตรวจเยี่ยมกำลังพลที่เขาพระวิหาร บริเวณผามออีแดง พล.ท.สุจิตรกล่าวว่า การปฏิบัติของฝ่ายทหารได้ให้ระมัดระวังไม่มีการกระทบกับฝ่ายกัมพูชา ส่วนพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทที่ยังตกลงกันไม่ได้ ซึ่งเป็นแง่มุมของกฎหมายต่างๆ ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของคณะกรรมการชายแดนฯ ในระดับรัฐบาลรับผิดชอบ ส่วนฝ่ายทหารก็คงต้องอยู่ในพื้นที่เช่นเดิม ทั้งนี้ พล.อ.บุญสร้างและ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบหมายให้มาดูแลทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เขาพระวิหารว่าให้ช่วยกันดูแลระมัดระวังไม่ให้มีการกระทบกระทั่ง ไม่ให้เกิดความรุนแรง


 



นัดชาวบ้านรับปืนป้องกันเหตุ


รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ทางอำเภอได้นัดให้ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านหนองว้า ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ ไปรับอาวุธปืนจำนวน 15 กระบอก เพื่อใช้ดูแลความปลอดภัยในหมู่บ้าน และเตรียมรับสถานการณ์หากมีชาวกัมพูชาข้ามแดนมาฝั่งไทย ส่วนหมู่บ้านอื่นๆ มีอาวุธปืนอยู่แล้ว แต่หมู่บ้านหนองว้าเป็นหมู่บ้านเก่าที่ในอดีตถูกระเบิดจากประเทศกัมพูชาจนคนในหมู่บ้านต้องอพยพหลบหนีออกมา จากนั้นเมื่อสงครามจบสิ้น ก็กลับมาก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นมาใหม่ และยังไม่ได้รับอาวุธปืน เมื่อมีเหตุการณ์ตึงเครียดจึงต้องมีปืนไว้ป้องกันหมู่บ้าน


 


ย้ำให้"บัวแก้ว"แก้ปัญหาที่ทับซ้อน


ส่วนกรณีที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิ์พื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารเป็นของตน พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) กล่าวว่า ความจริงเป็นมานานแล้ว และคณะกรรมการชายแดนก็พยายามพูดคุย ส่วนการที่สองประเทศยึดถือแผนที่คนละฉบับเรื่องจึงไม่จบนั้น ก็อยากให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นคนตอบคนเดียว ตนตอบไปจะทำให้เกิดความสับสน


 


เมื่อถามว่า ต้องปล่อยให้พื้นที่ทับซ้อนเป็นโนแมนส์แลนด์ (No Man's Land) จะยุติปัญหาได้หรือไม่ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์กล่าวว่า ตอบไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายต้องคิดกันและคุยกัน ส่วนจะเป็นไปได้หรือไม่ที่สองประเทศจะพัฒนาพื้นที่ร่วมกันนั้น ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ดี แต่คงมีวิธีอื่นด้วย มีหลายวิธี แต่วิธีที่ว่าก็ดีเหมือนกัน


 


พันธมิตรจวกรัฐอ่อนเจรจาไม่ได้ผล


 ด้านนายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชาซึ่งไม่ได้ข้อยุติว่า เป็นเพราะรัฐบาลไทยอ่อนเกม ไม่ทันเกม และคงรับมือการเจรจาไม่อยู่ เพราะการที่ใช้ทหารเพียงฝ่ายเดียวเป็นผู้ดำเนินการเจรจา ไม่เพียงพอ และอาจเตรียมตัวไปเจรจาไม่พร้อม ขอแนะนำให้สนธิกำลังทางวิชาการ ระดมความเห็นจากนักวิชาการ นักกฎหมายระหว่างประเทศ นักโบราณคดี และประชาชน เพื่อให้มีส่วนร่วมเสนอแนวทางออกในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การเจรจาครั้งต่อไป กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะตัวแทนของรัฐบาล ต้องเป็นหลักในการเจรจาแทนฝ่ายทหาร โดยต้องเลือก รมว.การต่างประเทศคนใหม่ที่เป็นมืออาชีพมาทำงาน ซึ่งหากรัฐบาลไม่เปลี่ยนท่าทีการเจรจา คงไม่เป็นผล และควรลาออกหากไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศได้


 



ส.ว.ลงพื้นที่เขาพระวิหาร


เมื่อเวลา 08.30 น. คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา นำโดย ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต รองประธานกรรมาธิการพร้อมคณะ ส.ว. รวม 9 คน พร้อมด้วยนายศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี เดินทางลงพื้นที่เขาพระวิหาร ต่อมาได้เข้าพบตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคมที่สำนักงานเขตการศึกษา จ.ศรีสะเกษ ทั้งนี้ จากการระดมความเห็นในส่วนองค์กรภาคประชาชน ได้ข้อสรุปว่าเราจะไม่เสียดินแดนมากกว่านี้แล้ว ที่ผ่านมาเราเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันให้ประชาชนชาวกัมพูชาที่เข้ามาตั้งรกรากในดินแดนไทยกลับประเทศและให้มีการปักปันเขตแดนให้ชัดเจนก่อนขึ้นทะเบียนโลก แต่รัฐบาลก็ไม่รับฟังจนเกิดปัญหาบานปลายถึงวันนี้ และขอขอบคุณคนไทยทั้งสามคนที่ฝ่ารั้วลวดหนามจนถูกจับ เพราะหากเขาไม่รุกเข้าไปจนเกิดเรื่อง ทหารก็จะไม่นำกำลังเข้าไปตรึงพื้นที่


 



พร้อมกันนี้ ชมรมครูประถมศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องดังนี้ 1.ให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายเร่งหาข้อยุติด้วยสันติวิธี เพื่อลดข้อบาดหมางของคนในชาติและประชาชนตามแนวชายแดน 2.ให้ปักเขตแดนรอบปราสาทพระวิหารให้ชัดเจนตามมติ ครม.2505 และให้ตรวจสอบปักเขตแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนว 798 กิโลเมตร ให้ถูกต้อง 3.ขอให้ประชาชนไทยอย่าแสดงอาการโกรธแค้นชิงชังดูหมิ่นเหยียดหยามชาวกัมพูชา เพราะประชาชนสองประเทศไม่ใช่แพะรับบาปจากรัฐบาล 4.ขอให้นำประชาชนชาวกัมพูชาออกจากบริเวณปราสาทพระวิหารโดยเร็ว และ 5.ขอให้ครูให้ความรู้และข้อเท็จจริงกรณีปราสาทพระวิหารแก่ประชาชน เพื่อให้รับทราบข้อมูลทุกด้าน และร่วมให้ความรู้สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญปี 2550 พร้อมกันไปด้วย


 



ด้านนายศรีศักรกล่าวว่า ไม่ไว้ใจรัฐบาลในการปกป้องเอกราชอธิปไตยของไทย กองทัพทำถูกแล้วที่ตรึงกำลังเพื่อปกป้องอธิปไตย ซึ่งหมายถึงการรักษาชีวิตของคนในท้องถิ่นและปกป้องทรัพยากรของชาติ ถ้าปล่อยให้มรดกโลกมาจัดการ กลุ่มทุนข้ามชาติก็จะเข้ามาครอบครองทั้งหมด และเชื่อว่าหากตรึงกำลังเอาไว้สัก 1 ปี กัมพูชาก็จะฝ่อไปเอง


 



หวั่นกระทบการค้าชายแดน


นายทวิสันต์ โลณานุลักษณ์ เลขาธิการหอการค้าภาคอีสาน กล่าวว่า การเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่ไม่ได้ข้อยุติ และทั้งสองประเทศก็ไม่ยอมถอนกำลังออกจากพื้นที่ทับซ้อน ในทางธุรกิจอาจจะมีผลกระทบใน 3 ด้าน คือ 1.ผลกระทบด้านสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ 2.ด้านเศรษฐกิจไทย-กัมพูชา อาจต้องหยุดชะงัก และ 3.ผลกระทบทางด้านการเมือง


 


"ประเด็นเขาพระวิหาร ท้ายสุดจะทำให้รัฐบาลอยู่ลำบาก ถ้ารัฐบาลไม่สามารถออกมาชี้แจงให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะการที่อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ ลาออกนั้น คนทั่วไปคงไม่เชื่อว่าลาออกด้วยสปิริต แต่เชื่อว่าทำผิดจริง ก็เลยทำให้รัฐบาลมีความน่าเชื่อถือน้อยลงและทำงานลำบาก" นายทวิสันต์กล่าว


 


แจ้งจับ "นายกฯ" หมิ่นไอ้บ้า 3 คน


วันเดียวกัน ที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี กลุ่มธรรมยาตรา นำโดยนายสมาน ศรีงาม พร้อมด้วยพระคำพอง ชยธัมโม นายวิชาญ ทับซ้อน และนางชนิกานต์ เก่งนอก เข้าแจ้งต่อ พ.ต.อ.ธวัฒชัย เจริญโภคทรัพย์ ผกก.สภ.ปากเกร็ด ให้ดำเนินคดีกับนายสมัคร สุนทรเวช ในข้อหาหมิ่นประมาทในที่สาธารณะ โดยกล่าวว่า สมาชิกกลุ่มธรรมยาตราทั้ง 3 คน เป็นไอ้บ้า 3 ตัว ที่โผล่เข้าไปในฝั่งกัมพูชา แล้วทำให้เกิดปัญหาการเผชิญหน้ากัน และปะทะกัน ถือเป็นการกล่าวที่ไม่เหมาะสมที่สุด


 



นายสมานกล่าวว่า หลังจากแจ้งความเสร็จแล้ว ก็จะกลับไปปักหลักที่ผามออีแดงเพื่อให้กำลังใจทหาร ทั้งนี้ วัดที่ 3 ชาวไทย ถูกจับไปอยู่นั้นเป็นวัดของประเทศไทย เพราะเป็นฐาน ตชด.เก่า ซึ่งข้างบนก็มีทหารไทยประจำการอยู่ด้วย และมีทหารชาวกัมพูชาบวชเป็นพระจำพรรษาอยู่ 30 รูป วัดแห่งนี้ทั้งชื่อไทยและกัมพูชา โดยชื่อไทยชื่อว่า วัดเขาพระวิหาร แต่ผู้นำกัมพูชาระบุว่าวัดแห่งนี้เป็นของกัมพูชา ก่อนหน้านี้ก็มีพระไทยเข้าจำพรรษาอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ระยะหลังทหารกัมพูชาก็เข้ามาบวชเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก หวังยึดวัดแห่งนี้เป็นวัดตัวเอง พระไทยจึงถอยร่นกลับลงมา เบื้องต้นจะมีการระดมพระไทยกลับเข้าไปจำพรรษาที่วัดแห่งนี้เหมือนเดิม เพื่อเอาดินแดนเราคืน


 



ป.ป.ช.มีมติไต่สวนครม.กรณีพระวิหาร


ขณะที่ นายกล้านรงค์ จันทิก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่า ที่ประชุม ป.ป.ช. วันนี้ (21 ก.ค.) มีมติตั้งกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะ เป็นชุดดำเนินการไต่สวนกรณีเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบ ครม.จากกรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีผู้ยื่นเรื่องเข้ามา 7 เรื่อง โดยเป็นทั้งเรื่องการถอดถอน และเรื่องทางอาญา ซึ่ง ป.ป.ช.ได้รวมเรื่องทั้งหมดดำเนินการทีเดียว


 



นายกล้านรงค์กล่าวอีกว่า ที่ประชุมมอบหมายให้ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน ซึ่งหลังจากนี้กระบวนการไต่สวนจะเป็นไปตามกฎหมาย ป.ป.ช. โดยให้ผู้ถูกกล่าวหามาแก้ข้อกล่าวหา จากนั้นกรรมการจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมด พิจารณาว่ามีเพียงพอต่อการชี้มูลหรือไม่ หากไม่พอเรื่องก็ตกไป แต่ถ้ามีมูลก็ต้องดำเนินการต่อตามขั้นตอน และยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าใด แต่ยืนยันว่าการดำเนินการเป็นไปอย่างเร่งด่วนทุกเรื่อง


 



ด้าน นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การที่ ป.ป.ช.ตั้งกรรมการทั้งชุด เป็นผู้ดำเนินการไต่สวนกรณีเขาพระวิหาร เพราะเป็นคดีสำคัญ และต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เป็นธรรม เนื่องจากมีการร้องเรียน ครม.ทั้งคณะโดยกรรมการ ป.ป.ช.ทุกคนจะร่วมกันประชุม เพื่อวางกรอบ แนวทางการไต่สวน รวมถึงการสอบปากคำพยาน ผู้ร้อง ผู้ถูกกล่าวหา ก็จะใช้กรรมการทั้งคณะเช่นกัน เพื่อให้เห็นว่ากรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการด้วยความเป็นธรรม รอบคอบ ไม่มีอคติ


 


ที่มา: http://www.komchadluek.net


 


ป.ป.ช.ใช้ชุดใหญ่สอบถอดถอนครม.


 


ที่ประชุม ป.ป.ช. ยืนยันมีที่มาถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เนื่องจากคณะปฏิวัติมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการแต่งตั้งโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนโปรดเกล้าฯ แถมรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 49 และรัฐธรรมนูญปี 50 ให้การรับรอง ยืนยันทำหน้าที่จนครบวาระ 9 ปีแน่นอน นอกจากนี้ยังมีมติใช้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ทั้งคณะสอบถอดถอนและเอาผิดอาญากับคณะรัฐมนตรีกรณีเขาพระวิหาร


 


นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยกข้ออ้างของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ว่าเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ ทำให้มีอำนาจในการแต่งตั้ง ป.ป.ช. โดยไม่ต้องผ่านการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งว่า เป็นข้ออ้างที่ยกขึ้นมาใช้ได้ แต่อยากถามว่าองค์กรนี้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยภายใต้ระบบกษัตริย์หรือไม่ เพราะตามปรกติเมื่อร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ต้องมีการสรรหาใหม่ภายใน 180 วัน แต่ ป.ป.ช.ชุดนี้มาจากการแต่งตั้งของคนเพียงคนเดียว กลับมีอายุยืนถึง 9 ปี หมายความว่าต้องงดเว้นกฎหมายต่อ ป.ป.ช. 9 ปีใช่หรือไม่


 


ป.ป.ช. ชี้แจงขั้นตอนแต่งตั้ง


ด้านนายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกและกรรมการ ป.ป.ช. แถลงหลังการประชุมกรรมการ ป.ป.ช. ว่าที่ประชุมพิจารณากรณีที่มีผู้ร้องให้ถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช. ออกจากตำแหน่ง กรณีไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ซึ่งเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ ป.ป.ช. มีประเด็นจะชี้แจงดังนี้


 


1.เมื่อมีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 19 เรื่องให้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลใช้บังคับต่อไป ลงวันที่ 22 ก.ย. 49 สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสือลงวันที่ 26 ก.ย. 49 ถึงเลขาธิการ คปค. เพื่อสอบถามถึงการดำเนินการนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งสำนักเลขาธิการ คปค. มีหนังสือลงวันที่ 30 ก.ย. 49 แจ้งมา สรุปความได้ว่า การนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนั้นเห็นว่าเมื่อมี ครม.ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่แล้วควรให้สำนักเลขาธิการ ครม. เสนอรายชื่อบุคคลผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามประกาศ คปค. ฉบับที่19 เพื่อนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งต่อไป


 


ยันคณะปฏิวัติมีอำนาจเต็มตั้ง


ต่อมาเมื่อ ครม. ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้ารับหน้าที่ในเดือน ต.ค. 49 สำนักงาน ป.ป.ช. จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 3 พ.ย. 49 ถึงเลขาฯ ครม. เพื่อขอให้นำความกราบบังคมทูล และสำนักเลขาธิการ ครม. ได้มีหนังสือลงวันที่ 20 ธ.ค. 49 แจ้งว่าได้ขอให้สำนักราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ได้รับแจ้งว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ คปค. มีประกาศแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแล้วนั้น ย่อมถือได้ว่ามีผลสมบูรณ์ที่สามารถบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย เนื่องจากขณะนั้น คปค. เป็นรัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว


 


อ้างเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกา


2.คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มาจากการแต่งตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ 2.1 แนวคำพิพากษาฎีกาที่ 45/2496, 1662/2505 และ 6411/2534 ได้วินิจฉัยว่าการที่คณะรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองได้สำเร็จนั้น คณะรัฐประหารย่อมมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง แก้ไข ยกเลิก และออกกฎหมายตามระบบแห่งการปฏิวัติ เพื่อบริหารประเทศชาติต่อไปได้ มิฉะนั้นประเทศชาติจะตั้งอยู่ในความสงบไม่ได้ หัวหน้าคณะปฏิวัติย่อมมีอำนาจออกประกาศหรือคำสั่งอันถือเป็นกฎหมายบังคับแต่ประชาชนได้ 2.2 ประกาศของ คปค. ฉบับที่ 31 เรื่องการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ลงวันที่ 30 ก.ย. 49 ข้อ 1 บัญญัติว่า การยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมิได้กระทบกระเทือนการบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 จนกว่าจะมีกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก และให้ถือว่า ป.ป.ช. ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 22 ก.ย. 49 ได้รับการสรรหาและแต่งตั้งโดยชอบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ประกาศ คปค. ฉบับนี้ได้ระบุไว้ในข้อ 8 ด้วยว่า บรรดาบทบัญญัติใดของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่ขัดหรือแย้งกับประกาศฉบับนี้ ให้ใช้ประกาศฉบับนี้แทน


 


รัฐธรรมนูญ 2 ฉบับรับรอง


2.3 รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 49 มาตรา36 บัญญัติว่า บรรดาประกาศและคำสั่งของ คปค. หรือคำสั่งของหัวหน้า คปค. ที่ได้ประกาศหรือสั่งในวันที่19 ก.ย. 49 จนถึงวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปใด และไม่ว่าจะประกาศหรือสั่งให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ ให้มีผลใช้บังคับต่อไป และให้ถือว่าประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้น ไม่ว่าการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้นจะกระทำก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ เป็นประกาศ หรือคำสั่ง หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 2.4 รัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 309 บัญญัติว่า บรรดาการใดๆที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 49 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และ 2.5 รัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 299 บัญญัติให้กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ คงดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดวาระ โดยให้เริ่มนับวาระตั้งแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง


 


ลั่นอยู่ทำงานจนครบวาระ


 "เมื่อมีคนยื่นถอดถอนก็จะปล่อยตามกระบวนการ หากผลออกมาอย่างไรก็จะถือปฏิบัติตามนั้น ในส่วนของกรรมการ ป.ป.ช. จะทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะหมดวาระ เพื่อให้การพิจารณาคดีต่างๆเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้พูดคุยกันเห็นว่าถ้า ป.ป.ช. อยู่จนครบวาระต้องตายแน่" นายกล้านรงค์กล่าว


 


ใช้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่สอบถอด ครม. "สมัคร"


นายกล้านรงค์กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติตั้งกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นชุดดำเนินการไต่สวนกรณีเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบคณะรัฐมนตรีจากกรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีผู้ยื่นเรื่องเข้ามา 7 เรื่อง ทั้งเรื่องการถอดถอนและเรื่องทางอาญา ซึ่ง ป.ป.ช. ได้รวมเรื่องทั้งหมดดำเนินการทีเดียว โดยมอบหมายให้ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน ซึ่งหลังจากนี้กระบวนการไต่สวนจะเป็นไปตามกฎหมาย ป.ป.ช. โดยให้ผู้ถูกกล่าวหามาแก้ข้อกล่าวหา จากนั้นกรรมการจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดพิจารณาว่ามีเพียงพอต่อการชี้มูลหรือไม่ หากไม่พอเรื่องก็ตกไป แต่ถ้ามีมูลก็ต้องดำเนินการต่อตามขั้นตอน และยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าใด แต่ยืนยันว่าการดำเนินการจะเป็นไปอย่างเร่งด่วนทุกเรื่อง


 


ปชป. แฉมีเป้าตัดตอนองค์กรอิสระ


นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจที่มีขบวนการเคลื่อนไหวยื่นถอดถอนกรรมการในองค์กรอิสระ คิดว่าทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการที่ต้องการหยุดยั้งการทำงานขององค์กรอิสระ เพื่อซื้อเวลาให้กลุ่มการเมืองในซีกรัฐบาลมีเวลาในการแก้ปัญหาโดยวิถีทางอื่น เช่น เร่งรัดแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จสิ้นเสียก่อน


 


"ที่ผมอยากให้จับตาคือความพยายามที่จะทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ครบองค์ ซึ่งจะกระทบชิ่งไปยังองค์กรอื่นๆ"


 


ที่มา: โลกวันนี้


 

ข่าวหน้า4โวยถูกบีบพ้นNBT


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจาก นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวในรายการ สนทนาประสาสมัครว่าจะให้ทีมงานโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จัดรายการทางสถานีโทรทัศน์ NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 22.00-23.00 น. เพื่อตอบโต้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ต่อมานายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ออกมาระบุว่าทีมงานโฆษกประจำสำนักนายกฯไม่สามารถจัดรายการดังกล่าวได้เพราะสถานีโทรทัศน์ NBT ติดสัญญากับบริษัทเอกชนที่ดำเนินรายการ ข่าวหน้า 4 ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าเป็นรายการของ นายเผด็จ ภูริปฏิภาณ พญาไม้ แต่จะมีรายการ ความจริงวันนี้ ที่จัดโดย นายวีระ มุสิกพงษ์ นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน และนายณัฐวุฒิ เอง ซึ่งจัดรายการทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียว PTV อยู่แล้ว มาจัดรายการแทน โดยอ้างว่าได้พูดคุยตกลงกับบริษัทเอกชนที่เป็นเจ้าของรายการ ข่าวหน้า4


 


ล่าสุด นายอนันต์ อัศวนนท์ กองบรรณาธิการรายการ ข่าวหน้า 4 ได้ออกแถลงการณ์ ยืนยันว่าไม่ได้ยินยอมให้ นายวีระ และพวกที่ยกรายการ ความจริงวันนี้ มายึดเวลารายการ ข่าวหน้า 4 ของทีมงานไปตามที่นายณัฐวุฒิ กล่าวอ้าง


 


แถลงการณ์ระบุว่า ตามที่ทีมงานกองบรรณาธิการรายการ ข่าวหน้า 4 ได้ร่วมกันจัดรายการทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT (ช่อง 11) เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันจันทร์- วันศุกร์ เวลา 22.00-23.00 น. ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน เป็นต้นมา


 


วัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลข้าวสารอย่างเป็นกลางและเป็นธรรมมากที่สุด สำหรับผู้ชมรายการ จะได้มุมมองข่าวต่างๆ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ทุกด้าน เพื่อดำรงจริยธรรมและคุณธรรมให้เกิดความถูกต้องและยุติธรรมของสื่อสารมวลชน ที่พึงทำหน้าที่


 


แต่เนื่องจากความตั้งใจในการทำงานให้เกิดผลโดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือกับผู้ชมรายการอย่างแท้จริงไม่สามารถทำรายการ ข่าวหน้า 4 ต่อไปได้ เพราะทางรัฐบาลโดยกรมประชาสัมพันธ์ได้ถอดรายการออกตั้งแต่วันที่ 21 กรกรฎาคม 2551 โดยไม่บอกกล่าวให้ทราบล่วงหน้า


 


การถอดรายการ ข่าวหน้า 4 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ทางรัฐบาลโดยกรมประชาสัมพัธ์ ไม่ต้องการให้ดำเนินรายการตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้


 


กองบรรณาธิการรายการ ข่าวหน้า 4 ขอยืนยันว่า พวกเรายังยืนยันเจตนารมณ์เดิม ที่จะทำรายการวิเคราะห์ข่าวอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีต่อกันในสังคมที่กำลังแตกแยก และทีมงานจะทำรายการ ข่าวหน้า 4 ต่อไป ถ้าหากมีช่องทางที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ดังกล่าวนี้ต่อไป ตามสิทธิของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 45 วรรค 1 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น วรรค 2 การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฏหมาย เฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันหรือระงับความ เสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน


 


และวรรค 4 การห้ามหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเสนอข่าวสาร หรือแสดงความคิดเห็นทั้งหมดหรือบางส่วนหรือการแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ เพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฏหมายซึ่งได้ตราขึ้นตามวรรคสอง


 


มาตรา 46 วรรค 3 การกระทำใดๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเจ้าของกิจการ อันเป็นการขัดขวาง หรือแทรกแซงการเสนอข่าวหรือแสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะของบุคคล ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ถือว่าเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และไม่มีผลใช้บังคับ เว้นแต่เป็นการกระทำเพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายหรือ จริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ


 


มาตรา 47 วรรค 1 คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ และวรรค 3 การดำเนินการตามวรรคสองต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐ ประโยชน์สาธารณะอื่น และการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม รวมทั้งต้องจัดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการสื่อมวลชนสาธารณะ


 


นายอนันต์ อัศวนนท์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ทีมงานรายการ ข่าวหน้า 4 ไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าถึงการถอดผังรายการและพวกตนก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็จะจัดรายการนี้ต่อไปโดยกำลังหาช่องทางการเผยแพร่รายการอยู่ และจะแจ้งให้สังคมรับทราบต่อไป


 


ส่วนที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อ้างว่า ได้หารือกับ บริษัท นิวส์ไทม์ เทเลวิชั่น ซึ่งเป็นเอกชนที่ร่วมผลติรายการกับNTB แล้วถึงการเปลี่ยนผังรายการ นายอนันต์ กล่าวว่า ขอเรียนว่า พวกตนอยู่ในส่วนผลิตรายการ และแยกการทำงานด้านธุรกิจ ออกไปจึงไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ย้ำว่าจะจัดรายการนี้ต่อไปแน่นอน


 


ผู้สื่อข่าวถามว่าแปลกใจกับการถอดผังรายการหรือไม่ เพราะนาย สมัคร สุนทรเวช นายกฯกล่าวในรายการสนทนาประสาสมัครก็มีการปรับผังรายการทันที นายอนันต์ กล่าวว่า ไม่ พวกตนอยู่ในวงการสื่อมวลชนมานานก็รู้ว่ามันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ รายการนี้พวกตนทำอย่างเป็นกลาง ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด วิจารณ์ทุกฝ่ายตรงไปตรงมา


 


ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นการแทรกแซงสื่อมวลชนหรือไม่ นายอนันต์กล่าวว่า สมมติว่ารายการของพวกตนไม่เหมาะสมก็น่าจะบอกกันก่อนจะได้ปรับปรุงและชี้แจง แต่ครั้งนี้ไม่มีการแจ้งล่วงหน้าเลย พวกตนเป็นนักหนังสือพิมพ์มืออาชีพ ไม่ได้เข้าข้างใคร แม้ตอนนี้ยังไม่มีช่องทางออกอากาศ


ที่มา: www.manager.co.th


 


รวมพลคนฮักทักษิณกลางเมืองเชียงราย


เมื่อวันที่ 22 ก.ค.51 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่า ได้มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มชมรมคนรักทักษิณ จ.เชียงราย โดยล่าสุดนางมติ แซ่อั้ง แกนนำกลุ่มคนรักทักษิณ และเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวรสเยี่ยมเชียงราย นางสาวจีระนันท์ จันทะวงศ์ เลขานุการนางมติ และแกนนำคนเสื้อแดง กลุ่มคนเจียงฮายฮักประชาธิปไตย ได้เตรียมจัดงาน "รวมพลคนฮักทักษิณ ครั้งที่ 1" เพื่อร่วมอวยพรงานวันเกิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 26 ก.ค.51 เวลา 17.00น. ที่ถนนหน้าโรงแรมแสนภูเพลส ข้างโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย


 


นางสาวจีระนันท์ จันทะวงศ์ เลขานุการชมรมคนรักทักษิณเชียงราย กล่าวว่า งานดังกล่าวจะเป็นงานภาคประชาชน ที่มีจะกลุ่มคนที่รักและชื่นชอบใน พ.ต.ท.ทักษิณ จากทุกอำเภอมาร่วมในงาน ซึ่งพิธีจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า มีการทำบุญตักบาตร หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวรสเยี่ยม หลังจากนั้นในช่วง 5 โมงเย็นเป็นต้นไป จะมีเวทีกิจกรรม อวยพรวันคล้ายวันเกิด ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งทั้งนี้จะมีการจัดแสดงมวยคู่เอก เป็นมวยคู่พิเศษล้อเลียนการเมือง โดยตัวแสดงนั้นยังไม่เผยว่าเป็นใคร แต่เป็นที่ประหลาดใจหากได้มาดู


 


นางสาวจีระนันท์ กล่าวอีกว่า ในงานครั้งนี้จะมีการนำก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวรสเยี่ยม ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชื่นชอบมาก นำมาให้ประชาชนทุกคนที่มาร่วมในงาน ได้รับประทานฟรีตลอดงาน โดยงานครั้งนี้จะมีเซอร์ไพรส์ ซึ่งอาจจะมีการออกอากาศเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับประชาชนที่มาในงานทั้งหมด หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะมาปรากฏตัวในงานด้วยตัวเอง เนื่องจากมีการเปรยว่าอยากจะมารับประทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวรสเยี่ยม ที่ จ.เชียงราย อีกครั้ง และงานดังกล่าวทางกลุ่มคาดว่าจะประสบความสำเร็จ มีคนมาร่วมคับคั่ง


 


รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในงานฉลองวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ จ.เชียงราย จะมีการรวมตัวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ชื่นชอบและสนับสนุนรัฐบาลพรรคพลังประชาชน และให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่ สมัยพรรคไทยรักไทย จำนวนมาก จะรวมตัวเดินทางมาร่วมอวยพรให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี อย่างยิ่งใหญ่ และคาดว่าจะมีการปรากฏตัวของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา เป็นครั้งแรกหลังจากต้องคำพิพากษาตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี


 


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


 






ต่างประเทศ


 


พม่าแจงข่าวปล่อยซู จีแค่เข้าใจผิด


สิงคโปร์-เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์เผยเมื่อวันอังคาร (22 ก.ค.) ว่าคำกล่าวของนายญาน วิน รัฐมนตรีต่างประเทศพม่า ที่กล่าวเป็นนัยว่านางออง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้าน


 


อาจได้รับอิสรภาพในปลายปีนี้ เป็นการเข้าใจผิดของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนทั้ง 9 ประเทศ โดยแท้จริงแล้ว นายญาน วิน กล่าวว่า นางซู จีอาจถูกควบคุมตัวอย่างถูกต้องตามกฎหมายไปจนกระทั่งปลายปี 2552 ไม่ใช่เดือนธ.ค.ตามที่มีรายงานออกไป ทำให้ความหวังที่จะให้นางซู จีได้อิสรภาพโดยเร็วยิ่งเลือนรางลงไปอีก



ที่มา: http://www.komchadluek.net


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net