Skip to main content
sharethis

ทุ่งหญ้าขาว


http://blogazine.prachatai.com/user/suchana/post/1151


 


ใครจะเชื่อว่าคนอย่างพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรและครอบครัวที่ร่ำรวยเงินทองและอำนาจอย่างมหาศาลต้องขึ้นศาลในคดีฉ้อโกงและคดีอื่นๆ มากมาย ใครจะคาดคิดว่าคนอย่างพลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต้องเดินเชิดหน้าขึ้นศาลจังหวัดสงขลาในฐาน "จำเลย" บุคคลทั้งสองได้ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของขบวนการต่อสู้ของพี่น้องภาคประชาชนในการคัดค้านโครงการยักษ์ใหญ่ กรณีโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา


 


นับช่วงเวลาจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 จนถึงวันนี้ร่วมระยะเวลาห้าปีเศษ หากนึกย้อนหลังไปหลายคนคงจำภาพข่าวเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี ภาพการชุมนุมของชาวบ้านอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ปกป้องสิทธิชุมชนจากการรุกรานของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ ในนามของโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย ดำเนินการโดยบริษัทปตท.และบริษัทปิโตรนาส ร่วมทุนเป็นบริษัททรานส์ไทย-มาเลเซีย(ประเทศไทย)จำกัด


 


เหตุการณ์วันนั้นท่ามกลางการนั่งชมละครทีวีหลังข่าวภาคค่ำกันอย่างเพลิดเพลิน แต่ผู้คนต้องมึนงงเมื่อๆอยู่ภาพละครหลังข่าวถูกแทนที่ด้วยภาพเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ประจันหน้าระหว่างชาวบ้านผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจปืนบนรถยนต์หกล้อของผู้ชุมชนทุบตีกระจกหน้ารถ ทุบตีทำร้ายร่างกายผู้ชุมนุมและมีการจับกุมผู้ชุมนุมในเหตุการณ์


 


หลังเหตุการณ์วุ่นวายผ่านไม่ไม่กี่นาทีมีนายตำรวจระดับสูงคือพลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเวลานั้นออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "ได้ใช้ความอดทน ความพยายามและละมุนละม่อมอย่างที่สุดแล้ว" มีเสียงนักข่าวถามสวนทันทีว่า "อย่างนี้หรือค่ะที่เรียกว่าละมุนละม่อม" และในวันรุ่งขึ้นได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกว่าภาพผู้หญิงที่อยู่ในเหตุการณ์เสื้อด้านหลังขาดจนเห็นเสื้อชั้นในนั้นผู้ชุมนุมสร้างสถานการณ์ฉีกเสื้อผ้าตนเอง แล้วใส่ร้ายว่าตำรวจเป็นคนทำ อนิจานั่นคือเป็นบทสัมภาษณ์นายตำรวจผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


 


เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นหลังพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ตัดสินใจประกาศเดินหน้าโครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย โดยไม่ชี้แจงเหตุผลใดๆตามที่รับปากกลุ่มคัดค้านเมื่อลงมารับฟังข้อมูลที่ลานหอยเสียบ อำเภอจะนะ


 


ดังนั้นเมื่อพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร จัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรมาประชุมที่โรงแรมเจบี อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีคณะรัฐมนตรีจากประเทศมาเลเซียมาร่วมประชุมด้วย ทางกลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซ โรงแยกก๊าซธรรมชาติและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาจึงได้ประสานงานผ่านนายวัชรพันธุ์ จันทรขจร ผู้ประสานงานฝ่ายรัฐบาล เพื่อแจ้งความประสงค์เดินทางมายื่นหนังสือขอให้พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ยุติและทบทวนโครงการนี้ใหม่ ที่อย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อยและตกลงกำหนดจุดที่จะไปพักชุมนุมเพื่อรอยื่นหนังสือ


 


แต่ปรากฏว่าในบ่ายวันที่ 20 ธันวาคม 2545 หลังจากที่ชาวบ้านเคลื่อนขบวนออกจากบ้านโคกสัก ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามสกัดกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมเดินทางเข้ามายื่นหนังสืออย่างน้อยสองจุดโดยนำรถยนต์ที่ใช้คุมขังผู้ต้องหามาจอดขวาง จนกระทั่งมีการเจรจาและตำรวจย่อมเปิดทางและมีรถตำรวจนำขบวน แต่เมื่อมาถึงบริเวณสะพานจุติบุญสูงอุทิศ กลุ่มคัดค้านไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เนื่องจากตำรวจตั้งแผงเหล็กปิดกั้นถนน และมีตำรวจหลายกองร้อยตั้งแถวสกัด จนกระทั่งกลุ่มตัดค้านฯต้องหยุดรอการประสานงาน ระหว่างนั้นพี่น้องประชาชนกลุ่มคัดค้านจึงได้หยุดพักกินข้าวและทำพิธีละหมาดตามหลักการศาสนาอิสลาม


 


ในที่สุดเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อตำรวจชั้นผู้สูงเป่านกหวีดและโบกมือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินอ้อมแผงเหล็กข้ามมายังฝั่งกลุ่มคัดค้านฯและเดินหน้าผลักดันผู้ชุมนุมจนนำไปสู่เหตุการณ์วุ่นวาย มีผู้บาดเจ็บพี่น้องประชาชนและถูกจับกุมดำเนินคดีในฐานะจำเลย


 


กลุ่มคัดค้านฯต้องขึ้น-ลงศาลเป็นสัปดาห์ละสองถึงสี่วันในระยะสองปีสำหรับคดีชุดแรกและอีกหลายชุดหลายคดี แต่ผลจากการกระทำสิ่งที่ถูกตามสิทธิส่งผลให้ศาลพิพากษายกฟ้องกลุ่มพี่น้องชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดี ซึ่งในคำพิพากษาศาลจังหวัด ระบุว่า "โครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซียเป็นโครงการขนาดใหญ่ทางด้านพลังงานที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับประชาชน ชุมชนท้องถิ่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2545 ประชาชนย่อยมีสิทธิในการนำเสนอความคิดเห็นต่อโครงการดังกล่าว" "ประชาชนหรือจำเลยย่อมมีสิทธิร่วมชุมนุมกันแสดงพลังพลังมวลชนคัดค้านโครงการดังกล่าวภายในขอบเขตแห่งกฎหมายเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการดำเนินโครงการนี้ได้"


 


และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ระบุว่า"จะเห็นได้ว่าที่มาและเจตนารมณ์ของบทบัญญัติดังกล่าวในรัฐธรรมนูญได้นำหลักการสำคัญ และเป็นหลักสากลที่ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรมีและใช้สิทธิเสรีภาพอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน เพื่อกำหนดวิถีชีวิต แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตนเอง รวมทั้งมีสิทธิเข้าร่วมกับรัฐจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยมีสิทธิดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน การที่จำเลยที่ ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่องค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนและทรัพยากรธรรมชาติ และชุมชนดั้งเดิมในท้องถิ่นร่วมกับประชาชนในพื้นที่รวมตัวกันเคลื่อนไหวชุมนุมคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย ที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนในพื้นที่โดยตรง สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวของจำเลย กับพวกย่อมมีอยู่แม้ยังไม่มีการออกกฎหมายตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ในเมื่อสิทธิเหล่านี้มนุษย์มีและเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติควบคูกับทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของมนุษย์ทุกคน


 


ในส่วนของกลุ่มคัดค้านฯจำนวน 25 คนได้ร่วมยื่นฟ้องกลับตำรวจที่ใช้กำลังและความรุนแรงสลสายการชุมนุมในวันนี้ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้รับฟ้องตำรวจระดับผู้สูง 6 นายใน โดยคำพิพากษาบางส่วนระบุ ข้อเท็จจริงไต่สวนว่า โจทย์ทั้งยี่สิบห้าและประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านได้รวมตัวชุมนุมคัดค้านได้รวมตัวชุมนุมกันโดยมีมูลเหตุมาจากรัฐบาลตัดสินใจดำเนินการตามโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย ต่อจากรัฐบาลชุดก่อนที่ได้อนุมัติไว้ โดยโครงการดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศวิทยาชายฝั่งทะเลและคุณภาพสิ่งแวดล้อม และอาจก่ออันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาคชีวิตของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวและโจทก์ทั้งยี่สิบห้าย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูลคำชี้แจงและเหตุผลจากหน่วยงานของทางราชการก่อนการดำเนินการ ตามโครงการท่อส่งก๊าซฯ ดังที่กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 59 รับรองไว้


 


แต่ปรากฏจากการแถลงการณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2545 ซึ่งไม่มีการชี้แจง อธิบายข้อมูลและเหตุผลของการพิจารณาตัดสินใจให้ดำเนินการตามโครงการท่อส่งก๊าซฯ ต่อจากรัฐบาลชุดก่อนแต่อย่างใดและก่อนหน้านี้ได้ความจากโจทก์ที่ 15 เบิกความยืนยันว่า ชาวบ้านเคยรวมกลุ่มยื่นหนังสือต่อหน่วยงานราชการแต่ไม่ได้รับคำตอบเลย เมื่อครั้งพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเดินทางมารับฟังความเห็นจากกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่บริเวณลานหอยเสียบ ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา นายกรัฐมนตรีรับว่าจะให้คำตอบที่ชัดเจนแก่ชาวบ้าน แต่ในที่สุดไม่ได้ให้คำตอบเช่นกัน


 


ดังนี้การร่วมชุมนุมของโจทก์ทั้งยี่สิบห้าและประชาชนกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซฯ จึงเป็นการใช้สิทธิของประชาชนที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐเพื่อที่จะแสดงเจตนารมณ์ ในการจัดการบำรุงรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้ประชาชนดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่อง ดังนั้น การใช้สิทธิเรียกร้องเพื่อการมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นในส่วนได้เสียของตนหรือของชุมนุมซึ่งรัฐบาลต้องรับฟังชาวบ้านก่อนการตัดสินใจ ดำเนินการโครงการที่มีผลกระทบต่อชุมชนดังที่ได้รับรองไว้ในบทบัญญัติ มาตรา 46, 56 และ 59 ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ดังกล่าว กรณีจึงเป็นที่ประจักษ์ว่าโจทก์ทั้งยี่สิบห้าและประชาชนได้ชุมนุมกันในวันเกิดเหตุมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะแสดงมติของกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซฯ โดยยื่นหนังสือขอให้รัฐบาลทบทวนการตัดสินใจดำเนินการโครงการท่อส่งก๊าซฯ ต่อจากรัฐบาลชุดก่อนซึ่งหาได้มีเจตนาก่อความรุนแรงหรือขัดขวางการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรแต่อย่างไร


 


โจทก์ทั้ง 25 และประชาชนที่คัดค้านและใช้สิทธิเรียกร้องที่พวกตนมีส่วนได้เสียและมีผลกระทบต่อตนสำหรับโครงการที่รัฐจะดำเนินการต่อเป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 44 ในเรื่องการชุมนุมในที่สาธารณะโดยสงบและปราศจากอาวุธ โดยไม่มีเจตนากีดขวางทางสาธารณะ ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ต้องอำนวยความสะดวกและดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุมเพื่อมิให้เกิดชนวนนำไปสู่ความวุ่นวาย แต่จากทัศนคติในเชิงลบชองพลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ ซึ่งมีต่อกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านดังกล่าว ดังจะเห็นได้ตามคำให้การพลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ ที่ให้ข้อมูลต่อคระกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเป็นกลุ่มที่มีความขัดแย้งต่อการตัดสินใจของรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ "ที่พูดอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง" ต่างกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ประท้วงหน้าสถานทูตกัมพูชาในประเทศไทยเป็นกลุ่มผู้รักชาติ "พูดแป๊บเดียวเข้าใจ" ประกอบกับพลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ นำข้อเท็จจริงที่เกิดเหตุรุนแรงในวันทำประชาพิจารณ์สองครั้งที่หอประชุมเทศบาลนครหาดใหญ่ และที่สนามกีฬาจิระนคร มาคาดคะเนว่ากลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้นเตรียมกานำแนวทางความรุนแรงมาใช้


 


เมื่อพลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติและเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าพนักงานตำรวจในระดับสูงในขณะเกิดเหตุ อันเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มีหน้าที่ปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดตามกฎหายบ้านเมือง เพื่อให้สังคมในบ้านเมืองเกิดความสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อย จำเลยที่ 1 จึงมีความรับผิดชอบดูแลทุกข์สุขของประชาชนโดยเฉพาะ กลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้าน เป็นผู้มีความเดือดร้อน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการท่อส่งก๊าซ จึงได้รวมตัวชุมนุมกันสะท้อนปัญหาให้รัฐบาลทราบ


 


พลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ ยิ่งต้องใช้ความรอบคอบดูแลบุคคลดังกล่าวบนพื้นฐานหลักความเมตตาธรรม ควบคู่กับหลักยุติธรรม โดยหลีกเลี่ยงการใช้กำลังเพื่อให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย และลุกลามบานปลายอันนำมาซึ่งความสูญเสียถึงแก่ชีวิตและทรัพย์สินของทั้งสองฝ่าย ที่ยากแก่การควบคุมได้ ในเรื่องนี้พลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของตำรวจในระดับสูง ในการสั่งการเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงต้องออกมาตรวจดูเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุด้วยตนเองในทันทีก่อนที่จะสั่งการอย่างใดเพื่อหาทางแก้ไข เพราะที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเจบีซึ่งสามารถเดินทางด้วยรถยนต์ใช้เวลาไม่เกินสามนาที ดังที่ พลตำรวจเอกประทิน เบิกความยืนยันพลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ ออกมาตรวจสอบด้วยตนเอง ก็จะได้ความจริงอันจะทำให้พลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ มีโอกาสเลือกใช้ดุลพินิจให้เหมาะสมต่อเหตุการณ์ที่เป็นจริงว่ามีความรุนแรงหรือไม่เพียงใดและทำให้เห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะสลายการชุมนุมแต่อย่างไร ดังที่พลตำรวจเอกธวัชชัย ภัยลี้ ให้การต่อกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา


 


ดังนั้นคำสั่งของพลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ ที่ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมนั้นไม่อยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง แต่อยู่บนพื้นฐานจากรายงานข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จของพลตำรวจตรีสัณฐาน ชยานนท์ ซึ่งคำสั่งของพลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ ที่สลายการชุมนุมดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ จะอ้างว่าได้รับรายงานเท็จจากผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมฟังไม่ขึ้น ส่วนพลตำรวจเอกสุรชัย สืบสุข ร้อยตำรวจเอกเล็ก มียัง ร้อยตำรวจโทบัณฑูรย์ บุญเครือ ร้อยตำรวจโทอภิชัย สมบูรณ์ ได้ความว่าขณะนั้นพลตำรวจเอกสุรชัย สืบสุข ซึ่งเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา หลังจากได้รับคำสั่งจาก พลตำรวจตรีสัณฐานแล้ว ได้มีคำสั่งให้ จำเลยที่ 5 ถึง 38 กับเจ้าพนักงานตำรวจอื่นเข้าสลายการชุมนุมตามที่ร้อยตำรวจเอกอภิชัย สมบูรณ์ เบิกความเห็นว่าพ.ต.อ.สุรชัย สืบสุข จำเลยที่ 4 ร.ต.อ.เล็ก มียัง จำเลยที่ 6 ร.ต.ท.บัณฑูรย์ บุญเครือ จำเลยที่ 13 และร.ต.ท.อธิชัย สมบูรณ์ 14 ต่างเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาการของพลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ และพลตำรวจตรีสัณฐาน ปฏิบัติราชการตามคำสั่งของพลตำรวจตรีสัณฐาน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาที่ออกคำสั่งให้สลายการชุมนุม โดยรายงานข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จต่อพลตำรวจเอกสันต์ จนเป็นเหตุให้พลตำรวจเอกสันต์ ให้ความเห็นชอบต่อการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งจำเลยที่ 4 , 6,13,14 ต่างอยู่ในที่เกิดเหตุในลักษณะเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้าน ย่อมรู้เห็นเหตุการณ์และเข้าใจโดยตลอดว่า กลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านไม่ได้กระทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด แต่ยังกระทำตามคำสั่งซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยการใช้กำลังสลายการชุมนุมดังกล่าว จึงต้องรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 70 ที่โจทก์ทั้ง 25 นำสืบในชั้นต้น ข้อหาดังกล่าวสำหรับจำเลยที่ 1,4 ,6,13,14 จึงมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 157,295,38


 


วันนี้เราหวังว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตำรวจทั้งหกนายคงได้ทบทวนทิศทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อผู้ชุมนุมในทุกประเด็นปัญหาทุกกรณี คงไม่มีใครหรือกลุ่มคนใดอยู่ดีๆ อยากออกมาชุมนุมเรียกร้องกินนอนบนท้องถนน หากเขาไม่ได้รับความเดือดร้อน เอาเปรียบหรือไม่ได้รับความยุติธรรมจริงๆ เพราะที่ผ่านมารัฐไม่เคยสนใจเพราะเขา อ้างเพียงการชุมนุมเรียกร้องของพวกเขามีผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง หรือเป็นคนกลุ่มน้อยที่ต้องเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่ อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวต้องเห็นกับผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก โดยบางครั้งลืมไปว่าพวกเขาเป็นคนมีสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่จะเลือกอยู่ เลือกเป็นเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ในสังคมเช่นกัน


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net