Skip to main content
sharethis

 






การเมือง


 


อนุพงษ์ ปิดปากไม่ขอแสดงความเห็น "ทักษิณ"ลี้ภัย พร้อมส่งโผทหารถึงมือ ผบ.สูงสุดวันที่ 13 ส.ค.นี้


พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรีลี้ภัยในต่างประเทศว่า ตนไม่มีความเห็นในเรื่องนี้จริงๆเพราะเป็นเรื่องของศาลและกฎหมาย ตนไม่สามารถแสดงความเห็นได้ ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายและแนวทางการปฎิบัติ เพราะตนไม่มีความลึกซึ้งในเรื่องนี้   เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกแถลงการณ์เพราะไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนไม่ขอออกความเห็น เราคงต้องยึดมั่นในสถาบันหลักของเรา สังคมเราถึงจะเดินไปได้ สถาบันหลักทั้งหลายที่มี 3 อำนาจ คือบริหาร นิคติบัญญัติ และตุลาการ คงต้องเชื่อมั่น เพราะเราอยู่ในประเทศไทยต้องเชื่อมั่นใน 3 สถาบันหลักของชาติ


 


เมื่อถามว่าอยากให้พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกลับมาต่อสู้ทางคดีตามกระบนการทางศาลเพื่อให้ปัญหายุติลง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนไม่มีความเห็น เมื่อถามว่าหลังจากนี้แล้วคิดว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะลดลงหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนดูว่าในช่วงระยะหลังทุกอย่างดูน่าจะเย็นลง สถานการณ์ในสังคมส่วนรวมทั้งประชาชนเองและผู้ที่เคลื่อนไหวดูเย็นลงในช่วงท้ายๆนี้


 


เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการส่งบัญชีรายชื่อปรับย้ายทหารประจำปี พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรียบร้อยดีไม่มีปัญหาอะไรซึ่งถ้าพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.ทหารสูงสุด กำหนดและเร่งให้ส่งภายในวันที่ 13 ส.ค.ก็ต้องส่งไปให้ผบ.ทหารสูงสุด ขณะนี้เหลือเพียงแค่ทางธุรการไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะตนได้ปรับไปตามที่ควรจะเป็นซึ่งได้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ ความเหมาะสม ซึ่งน่าจะออกมาดี


 


ที่มา: http://www.naewna.com


 


ชาวเหนือเชื่อ"ทักษิณ"ลี้ภัยแลกพันธมิตรฯยุติชุมนุม


แกนนำประชาชนภาคเหนือ เชื่อมีผู้ใหญ่ในบ้านเมือง จัดการ"ทักษิณ"ลี้ภัย แลกพันธมิตรฯยุติการชุมนุม ฟันธงไม่เกิน 1 ปีกลับไทย ด้านสหพันธ์คนเหนือฯ-ส.ส.พปชซ รูดซิปปาก แจงเน้นเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย -แก้ รธน.แบบสันติ


 


นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล ประธานสภาประชาชนภาคเหนือซึ่งเป็นกลุ่มหนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เดินทางกลับประเทศไทยเพื่อรายงานตัวกับศาลฎีกาและขอเดินทางไปประเทศอังกฤษแทน การตัดสินใจลี้ภัยของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เกิดขึ้น มีเพียงแกนนำคนสำคัญไม่เกิน 3 คน ที่รับทราบล่วงหน้าตั้งแต่ก่อน พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปจีนแล้ว


 


ส่วนสาเหตุหลักเชื่อว่ามีผู้ใหญ่ของประเทศเข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาให้ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณกับฝ่ายพันธมิตรฯ โดยยื่นเงื่อนไขต่อทั้งสองฝ่ายว่าพันธมิตรฯ จะยอมยุติการชุมนุมทางการเมืองใด ๆเพื่อแลกกับการที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ จากนั้นเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ต.ท.ทักษิณจึงยอม


 


นายเพชรวรรต กล่าวว่า หลังการลี้ภัยไปอังกฤษครั้งนี้ทางกลุ่มประเมินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับเข้ามาในประเทศไทยอีกภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี รอให้ฝ่ายพันธมิตรฯยุติการชุมนุม เปิดโอกาสให้บ้านเมืองเข้าสู่ครรลองของระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือ เปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นำไปสู่การยุบสภาและมีการเลือกตั้งครั้งใหม่


 


อย่างไรก็ตาม หลังการลี้ภัยของพ.ต.ท.ทักษิณ ทางกลุ่มจะยังคงเดินหน้าเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองต่อ แต่จะไม่ใช้ความรุนแรงจะเป็นการเดินหน้ารณรงค์ให้ประเทศไทย เปลี่ยนผ่านไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นทางกลุ่มจะยอมรับเงื่อนไขที่จะให้มีการเปิดทำประชามติจากคนส่วนใหญ่ของประเทศเสียก่อนว่าจะลงคะแนนให้แก้หรือไม่ให้แก้


 


กระนั้นหากเสียงประชามติออกมาว่าให้แก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็จะถือเป็นการแก้ที่ชอบด้วยฉันทามติและจะนำสังคมไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เมื่อนั้นเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาต่อสู้ทุกคดีที่ประเทศไทยอย่างแน่นอน


 


นายสมชัย ธนะวรรณ์ ผู้ปฎิบัติงาน สหพันธ์คนเหนือเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มที่ให้การสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่อดีตนายกรัฐมนตรีไม่เดินทางกลับประเทศไทย เพื่อรายงานตัวกับศาลฎีกาและขอเดินทางไปประเทศอังกฤษแทนว่า ไม่สามารถให้ความคิดเห็นอะไรได้ ตนเองเป็นเพียงคนตัวเล็กๆและกลุ่มเล็กๆที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยเท่านั้น เรื่องที่พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางลี้ภัยไปประเทศอังกฤษแทนการเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อรายงานตัวกับศาลเป็นเรื่องที่ลึกเกินคาดคิด คนทั้งประเทศไม่มีใครรู้ตื่นลึกหนาบาง คงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ถ้าจะพูดคงพูดได้เฉพาะในวงแคบๆไม่สามารถพูดผ่านสื่อได้


 


ส่วนการเรียกร้องประชาธิปไตยและเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เน้นการเคลื่อนไหวแบบสันติไม่ก้าวร้าวหรือตั้งเวทีโจมตีด่าใคร แต่จะเน้นให้ข้อมูลประชาชนเกี่ยวข้องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศ คัดกรองข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อบอกกล่าวกับประชาชน


 


ด้าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1 พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า การลี้ภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ส่งผลกระทบกับการทำงานของ ส.ส.พลังประชาชนใน จ.เชียงใหม่ และภาคเหนือเพราะเชื่อว่าประชาชนที่ให้การสนับสนุนพรรคพลังประชาชนจะเข้าใจ


 


ส่วนข้อความในแถลงการณ์ที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของไทย นายสุรพงษ์ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น โดยอ้างว่าช่วงระหว่างการพิจารณาคดีตนเองต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้งทำให้ไม่ได้ติดตาม


 


ที่มา:เว็บไซต์คมชัดลึก


 


ผู้สมัครกทช.ขู่ฟ้อง"ยื้อ"เลือกกก.ใหม่


ผู้สมัคร กทช. เตรียมพึ่งศาลปกครอง อาศัยมาตรา 157 ลงดาบสำนักงาน กทช. และคณะกรรมการสรรหาฯ หลังกระบวนสรรหากรรมการใหม่ 3 คน "ไม่คืบ" แม้จับสลากออกผู้ครบวาระ 3 ปีแรกเกือบครบรอบปีแล้ว


 


แหล่งข่าวผู้สมัครเป็นคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) แทนตำแหน่งที่จับสลากออก 3 คน กล่าวว่า เร็วๆ นี้จะมีผู้สมัครบางราย ดำเนินการยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ถึงความล่าช้าของกระบวนการสรรหา กทช. ใหม่อีก 3 คน เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่งขณะนี้เกือบครบ 1 ปีแล้ว หลังจากวันที่มีการจับสลากออกจำนวน 3 คน เมื่อปลายเดือนก.ย. 2550


 


ขณะเดียวกัน จนถึงปัจจุบันกรรมการที่ครบวาระแรก 3 ปี จากการจับสลากออกไปแล้ว ทั้ง 3 คนก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ โดยบางภารกิจยังคาบเกี่ยวกันกับการออกใบอนุญาต และอนุมัติคลื่นความถี่ใหม่ด้วย


 


แหล่งข่าวกล่าวว่า สำนักงาน กทช. ได้ปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเข้ารับการคัดเลือกเพื่อแทนที่ 3 ตำแหน่งดังกล่าวไปตั้งแต่เดือนเม.ย. 2551 โดยมีผู้สมัครจำนวน 33 คน อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้คณะกรรมการสรรหา กทช. ยังไม่เคยเรียกผู้สมัครรายใดไปสัมภาษณ์เกี่ยวกับคุณสมบัติเลย


 


"กระบวนการที่ไม่มีการเดินหน้าเหล่านี้ ต้องมาดูว่าคณะกรรมการสรรหาฯ ชุดนี้ดึงเกมหรือเปล่า" แหล่งข่าวกล่าว


 


ด้านการฟ้องร้องนั้นคาดว่าจะครอบคลุมทั้งสำนักงาน กทช. และคณะกรรมการสรรหาฯ ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157


 


แหล่งข่าวกล่าวว่า การฟ้องร้องดังกล่าวไม่จำเป็นต้องรวบรวมรายชื่อผู้สมัครเพื่อยื่นฟ้อง โดยแต่ละคนสามารถดำเนินการได้เลย เช่นเดียวกับที่นายประมุท สูตะบุตร หนึ่งในผู้สมัครเป็น กทช. ชุดแรก เคยยื่นฟ้องศาลปกครอง จนนำมาซึ่งการเพิกถอนกระบวนการสรรหา เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมายไปแล้ว


 


รายงานข่าว กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการสรรหาฯ อีกชุดหนึ่ง สำหรับคัดเลือกผู้ที่จะมาแทนตำแหน่งที่ว่างลง 1 ตำแหน่ง หลังจากนายอาทร จันทวิมล ลาออกจากคณะกรรมการ กทช. ไปก่อนหน้านี้


 


นายสุชัย รอยวิรัตน์ คณะกรรมการสรรหา กทช. แทนตำแหน่งที่ลาออกไป กล่าวว่า การสรรหา กทช. ทดแทน ไม่ได้ล่าช้าที่คณะกรรมการสรรหาฯ แต่ช้ามาก่อนมีกรรมการ เนื่องจากรัฐได้ส่งเรื่องปรึกษาศาลรัฐธรรมนูญ ถึงขั้นตอนการดำเนินการจะต้องมีหรือไม่ อย่างไร และศาลรัฐธรรมนูญ ตีความให้สรรหาตามขั้นตอน โดยไม่ต้องรอการมีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) เพราะเป็นคนละเรื่อง


 


"ระหว่างนี้คณะกรรมการฯ ได้ตรวจสอบประวัติของผู้สมัครทุกรายแล้ว บางรายอาจล่าช้าที่ขั้นตอนเอกสาร เช่น ผู้สมัครเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) คณะกรรมการสรรหาฯ จะต้องขอเอกสารรับรองจากสภา เพื่อยืนยันสถานภาพด้วย ทั้งนี้คาดว่าอีกไม่นานจะได้ข้อสรุปผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม จากนั้นก็ต้องมานำเสนอวิสัยทัศน์ ให้กรรมการเลือกผู้ที่ผ่านเกณฑ์เสนอ ส.ว. ต่อไป" นายสุชัย กล่าว


 


ขณะที่ นายธานีรัตน์ ศิริปะชะนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงไอซีที ในฐานะประธานกรรมการสรรหา กทช. กล่าวว่า คณะกรรมการเตรียมประชุมนัดต่อไปวันที่ 22 ส.ค. นี้ เพื่อกำหนดแนวทางการคัดเลือกและประเด็นคำถาม สำหรับผู้สมัครตอบคำถามแสดงวิสัยทัศน์


 


ผู้สมัครประเภทแรก 17 คน ต้องคัดเลือกให้เหลือ 12 คน เพื่อเข้าสัมภาษณ์แสดงวิสัยทัศน์ ประเภทที่ 2 จำนวน 33 คน คัดเลือกเหลือ 24 คน เข้าสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์เช่นกัน


 


"เบื้องต้น ทั้ง 50 คนถือว่าผ่านเกณฑ์คุณสมบัติทั้งหมด จึงเป็นหน้าที่คณะกรรมการสรรหา ที่ต้องคัดเลือกให้เหลือ 2 ใน 3 เท่านั้น และผู้สมัครสามารถสมัครได้ทั้ง 2 แบบ กฎหมายไม่ได้ห้ามไว้" นายธานีรัตน์ กล่าว


 


ด้านกระบวนการภายหลังการสัมภาษณ์ คณะกรรมการจะคัดเลือกโดยวิธีการลงคะแนนแบบลับ จาก 12 คน จะเลือก 2 คน เสนอให้วุฒิสภา คัดเลือกเพียง 1 คน และ จาก 17 คน จะคัดเลือกเหลือ 6 คน เสนอวุฒิสภาคัดเลือกเพียง 3 คน มาทำหน้าที่ กทช. ซึ่งถ้าไม่มีปัญหาอะไร กระบวนการของคณะกรรมการสรรหาจะเสร็จภายใน ก.ย. นี้แน่นอน และหลังจากนั้นจะเป็นงานของวุฒิสภา


 


"หลังจากรับหน้าที่มาประมาณ 6 เดือน ก็ทำงานมาอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยประชุม 3 ครั้งใน 2 เดือน เปิดรับสมัครจนมีผู้สมัครตามจำนวนดังกล่าว และตรวจสอบคุณสมบัติให้ละเอียด เพื่อป้องกันการฟ้องร้องที่อาจเกิดขึ้น" นายธานีรัตน์ กล่าว


 


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


 


 






ต่างประเทศ


 


โสมขาว"อภัยโทษ"เจ้าพ่อธุรกิจยักษ์


เอเอฟพี - เกาหลีใต้ประกาศเมื่อวานนี้ (12) อภัยโทษให้แก่เจ้าพ่อธุรกิจ 74 คน ซึ่งรวมทั้งหัวเรือใหญ่ของฮุนได มอเตอร์ด้วย โดยอาศัยวาระเฉลิมฉลองวันประกาศเอกราช ด้านประธานาธิบดีลีเมียงบัคอ้างเหตุผลว่า เพื่อความเป็นเอกภาพและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ


 


ประธานาธิบดีลีแห่งเกาหลีใต้ได้ประกาศอภัยโทษครั้งใหญ่ในวาระการเฉลิมฉลองวันประกาศเอกราชจากการเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ซึ่งตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม 1945 ส่งผลให้นักธุรกิจชั้นนำ 74 คนพ้นผิดโดยปริยาย และในจำนวนนี้มีชุงมงคู ประธานฮุนไต มอเตอร์ เชแตวอน ประธากลุ่มบริษัทเอสเค และคิมซุงยุน ประธานกลุ่มบริษัทฮันวา รวมอยู่ด้วย


 


แถลงการณ์จากทำเนียบประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ระบุเป้าหมายของการให้อภัยโทษครั้งนี้ว่า "เพื่อช่วยเสริมความเป็นเอกภาพของประเทศ และสร้างพลังให้กับบรรดาผู้นำธุรกิจและประชาชนทั้งหมดในการร่วมมือกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศรวมทั้งสร้างงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้น"


 


พวกนักวิจารณ์แสดงความเห็นว่าการประกาศอภัยโทษคราวนี้ แสดงให้เห็นว่าเกาหลีใต้นั้นไม่ได้จริงจังกับการสะสางปัญหาวัฒนธรรมองค์กร เพราะนักธุรกิจที่มีความผิดส่วนใหญ่ก็เป็นอิสระอยู่แล้ว หลังจากที่ศาลตัดสินให้รอลงอาญาโทษจำคุกไว้ก่อน


 


เมื่อปีที่แล้ว ชุงมงคูแห่งฮุนได มอเตอร์ ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานจัดตั้งกองทุนอำพรางเพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล แต่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้รอลงอาญาโทษจำคุกไว้ 3 ปี


 


ส่วนคิมซุงยุนแห่งฮันวา ถูกตัดสินจำคุกในความผิดฐานลักพาตัวและทำร้ายพนักงานบาร์ หลังเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทในบาร์ซึ่งบุตรชายของเขาได้รับบาดเจ็บ แต่ศาลก็ได้พิพากษาให้รอลงอาญาเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว


 


ด้านเชแตวอนแห่งเอสเคกรุ๊ปก็ได้รับคำพิพากษาให้รอลงอาญาในความผิดฐานดำเนินธุรกิจผิดหลักกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการซื้อขายหุ้นอย่างผิดกฎหมายและจัดทำบัญชีโดยไม่ถูกต้องเป็นวงเงินถึง 1.5 ล้านล้านวอน (1,070 ล้านดอลลาร์)


 


สำหรับคดีของลีคุนฮี อดีตประธานกลุ่มซัมซุง ไม่เข้าข่ายการให้อภัยโทษในครั้งนี้เนื่องจากคดีความของเขายังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล โดยเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา เขาก็ได้ขออุทธรณ์คำตัดสินโทษจำคุกรอลงอาญา ในคดีหลบเลี่ยงการชำระภาษี


 


ประธานาธิบดีลีนับเป็นผู้นำเกาหลีใต้คนแรกที่มีพื้นฐานมาจากด้านธุรกิจ เขาเข้ารับตำแหน่งนี้เมื่อเดือนธันวาคม โดยได้ให้คำมั่นว่าจะผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต


 


เขายอมรับว่าการให้อภัยโทษอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ และเขาเองก็ "รู้สึกไม่ดี" เช่นกัน แต่เขาได้แถลงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า


 


"อย่างไรก็ตาม ผมกล้าตัดสินใจเช่นนี้เพราะพิจารณาแล้วว่าบรรดาผู้นำธุรกิจกำลังมีปัญหายุ่งยากเกี่ยวกับการเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งจะเป็นการฉุดรั้งไม่ให้มีการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มขึ้น"


 


"การประกาศอภัยโทษครั้งนี้มีแต่จะทำให้สาธารณชนเชื่อยิ่งขึ้นว่า พวกคนรวยย่อมมีหนทางเอาตัวรอดจากความผิดได้เสมอ" พรรคเดโมเครติกซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านระบุในแถลงการณ์


 


โดยรวมทั้งหมดแล้ว มีผู้ได้รับอภัยโทษในครั้งนี้เกือบ 342,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีความผิดเล็กๆ น้อยๆ ในคดีกระทำผิดกฎหมายจราจร


 


ที่มา ผู้จัดการรายวัน


 






เศรษฐกิจ


 


น้ำมันโลกลดอีกเพราะจีนต้องการใช้น้อยลง


รอยเตอร์ - ราคาน้ำมันเมื่อวันจันทร์ (11) ลดลงไปอีกเล็กน้อย เมื่อข้อมูลจากจีนแสดงว่า แดนมังกรลดการบริโภคน้ำมันลงไป 7% ในเดือนกรกฎาคม โดยสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯในตอนปิดวันจันทร์ ขยับลง 75 เซ็นต์ไปอยู่ที่ 114.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบเบรนต์ในลอนดอนลงไป 66 เซ็นต์ไปอยู่ที่ 112.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล


 


น้ำมันดิบนำเข้าของจีนเมื่อเดือนที่แล้วลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน และเป็นปริมาณการลดลงต่อเดือนต่ำสุดตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2005 เป็นต้นมา สาเหตุเพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกดความต้องใช้ให้ลดลง


 


จีนเป็นประเทศผู้ใช้น้ำมันใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ดังนั้นความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงจึงเป็นข่าวใหญ่ในตลาดน้ำมันและนักลงทุนให้ความสำคัญเหนือกว่าข่าวรัสเซียและจอร์เจียรบกันซึ่งควรเป็นข่าวที่จะผลักให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ก่อนหน้านี้ความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ประเทศผู้นำเข้าน้ำมันอันดับหนึ่งของโลกรวมทั้งประเทศขนาดใหญ่ต่าง ๆก็พากันลดลงมาเพราะราคาน้ำมันที่พุ่งแตะระดับสูงครั้งใหม่รายวันในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา


 


ที่มา: ผู้จัดการรายวัน


 


"ทองคำ"ในตลาดโลกร่วง40ดอลลาร์ คาดราคาถอยต่ออาจรูดต่ำกว่า$800


 


รอยเตอร์- ทองคำในตลาดโลกร่วงลงไป 40 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์เมื่อวันจันทร์ (11) และนักวิเคราะห์พากันคาดว่าอาจจะถอยต่ำมากกว่านี้ได้ เพราะหลายปัจจัยคือ ดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ราคาน้ำมันลดลง รวมทั้งตลาดหุ้นฟื้นตัวซึ่งทำให้นักลงทุนพากันออกจากตลาดทองคำไป


 


คำสั่งเทขายเพื่อลดการขาดทุนทะลักไปยังพวกเทรดเดอร์ค้าตราสารในตลาดทองคำอย่างต่อเนื่อง เมื่อทองคำหล่นลงมาต่ำกว่าระดับ 850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันจันทร์ และนักค้าก็พากันคาดว่าทองคำน่าจะลงไปทดสอบที่ระดับต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงฤดูร้อนนี้ อันเป็นช่วงที่สภาพคล่องจะน้อยกว่าช่วงอื่นๆ ของปี


 


"เห็นได้ชัดว่าเป็นอาการสะดุดในเชิงเทคนิค สาเหตุสำคัญก็คือราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลลาร์/ยูโร และคุณอาจได้เห็นความตื่นตระหนกในตลาดทองคำ" เป็นความเห็นของ บรูซ ดันน์ รองประธานฝ่ายซื้อขายของออราเม็ท เทรดดิ้งที่อยู่ในนิวเจอร์ซีย์


 


แม้ว่าทองคำจะร่วงลงอย่างต่อเนื่องในช่วงใกล้ ๆนี้ แต่ราคาของโลหะมีค่าชนิดนี้ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงมาก นับแต่ปี 2001 ซึ่งอยู่ที่ 250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะนักลงทุนมีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและความผันผวนของตลาด โดยราคาทองคำแท่งขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,030.80 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2551


 


ความสนใจลงทุนในตลาดทองคำที่ลดลงไปมากในเวลานี้ สามารถดูได้จากการลดฮวบของปริมาณการซื้อล่วงหน้าสุทธิของกลุ่มที่ไม่ได้ซื้อเพื่อการพาณิชย์ (non commercial net long positions) และสัญญาคงค้าง (open interest) อันเป็นตัววัดสภาพคล่องของตลาดอนุพันธ์ฟิวเจอร์สทองคำ


 


สำหรับราคาทองคำเพื่อการส่งมอบทันที ก็ร่วงลงแตะระดับ 820 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อวันจันทร์ ซึ่งเท่ากับลบทิ้งส่วนที่ได้เพิ่มขึ้นมาในปีนี้ไปหมด ส่วนตราสารอนุพันธ์ฟิวเจอร์สทองคำของสหรัฐฯ ที่ส่งมอบเดือนธันวาคม ก็ลงไป 4.2% นับเป็นการร่วงลงในหนึ่งวันที่มากที่สุดตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคมเป็นต้นมา


 


"ไม่ต้องประหลาดใจหากว่าราคาทองคำจะลดต่ำลงไปกว่านี้อีกในระยะอันใกล้นี้ หากว่าดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้น และราคาน้ำมันอ่อนลงไป เพราะว่าตลาดยังไม่ได้เข้าใกล้ภาวะขายมากเกินไปเลย หากว่าไม่มีสงครามรัสเซียกับจอร์เจียแล้ว ผมคิดว่าราคาน่าจะลงไปอยู่ใกล้ระดับ 700 ด้วยซ้ำไป" แซคคารี ออกซแมน เทรดเดอร์อาวุโสจากวิสดอม ไฟแนนเชียล ในเมืองนิวพอร์ต มลรัฐแคลิฟอร์เนีย แสดงทัศนะ


 


นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า การสู้รบระหว่างรัสเซียกับจอร์เจียเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาทองพุ่งขึ้นชั่วระยะหนึ่งเมื่อวันจันทร์ เพราะทองนั้นถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยในช่วงเวลาที่สถานการณ์การเมืองมีความผันผวนสูง


 


ในขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็มักเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะคนมักจะหันมาเลือกซื้อทอง เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯไม่ทำกำไรให้เท่าที่ควรหรืออ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้คนที่ก็ยังใช้การลงทุนในทองคำ เป็นตัวลดความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้ออีกด้วย


 


และเมื่อวันจันทร์นั้น ค่าเงินดอลลาร์ก็พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร โดย 1 ยูโรลดต่ำว่า 1.49 ดอลลาร์สหรัฐฯไปแล้ว ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าไปแล้วถึง 7% ขณะเดียวกันราคาน้ำมันก็ขยับลงมาปิดที่ 114.45 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อหนึ่งบาร์เรล หรือลดลง 22% จากวันที่ 11 กรกฎาคมที่ราคาน้ำมันขึ้นไปแตะที่ 147.27 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดเป็นประวัติการณ์


 


นอกจากนี้การสั่งซื้อทองคำเพื่อนำไปใช้งานจริงจากประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุด ซึ่งก็คือ อินเดียก็ลดลงอย่างมาก ในเดือนกรกฎาคม ปริมาณที่อินเดียนำเข้าลดลง 56% เมื่อเทียบกับเมื่อปีก่อน ส่วนพวกนักลงทุนก็ย้ายเม็ดเงินของตนเองออกไปจากตลาดโภคภัณฑ์ เพราะภาพรวมของตลาดการเงินโลกเริ่มดีขึ้นมาก


 


"ตอนนี้ทุกคนพยายามที่จะออกไปจากตลาดโภคภัณฑ์กัน ราคามันก็เลยทะลุ 850 ลงมา เพราะไม่มีใครอยากลงทุนในทองคำต่อไปแล้ว" โจนาธาน จอสเสน นักค้าตราสารออปชันทองคำในตลาดโคเม็กซ์ นิวยอร์กกล่าว


 


ที่มา: ผู้จัดการรายวัน


 


จีนเร่งระบายน้ำ เชียงแสนสาหัสแม่น้ำโขงวิกฤต


ทางการจีนเร่งระบายน้ำออกจากหลายเขื่อน ส่งผลให้แม่น้ำโขงเอ่อท่วมหลายพื้นที่ จีนได้เร่งระบายน้ำออกจากเขื่อนหลายแห่ง เพื่อลดวิกฤตน้ำท่วมในประเทศ ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงสูงขึ้น ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมฝั่งโขง ที่บ้าน สบคำ และบ้านท่าขันทอง หมู่ที่ 7 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย


 


ทั้งนี้ กระแสน้ำได้ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้านกว่า 50 หลังคาเรือนอย่างรวดเร็ว บางจุดน้ำท่วมขังสูงกว่า 50 ซม. บ้านบางหลัง ที่อยู่ริมตลิ่ง ระดับสูงเกือบถึงหน้าต่าง สัตว์ปีกบินไปอาศัยบนหลังคาบ้านแทน


 


อย่างไรก็ตาม ถนนแปรสภาพเป็นคลอง ชาวบ้านเร่งอพยพขนย้ายข้าวของไปไว้ในที่สูง และใช้เรือท้องแบน และเรือพายขนาดเล็ก   ลำเลียงคนสูงอายุ และสิ่งของออกจากท้ายหมู่บ้านด้วยความทุลักทุเล


 


นอกจากนี้ กระแสน้ำโขงได้เข้าท่วมพื้นที่ปลูกไร่ข้าวโพดริมฝั่งชายแดนจนมิด สะพานข้ามแม่น้ำสายในหวิดที่จะถึงระดับผิวสะพานด้านบน เจ้าหน้าที่ได้ออกสำรวจพบว่าที่เกาะผาคำ เกาะมะโน 1 เกาะมะโน 2 ที่อยู่กลางแม่น้ำโขง ที่เคยมีราษฎรชาวไทยและชาวลาวเข้าไปทำกิน ถูกน้ำโขงท่วมสูงจนมอง ไม่เห็น


 


 


สำหรับท่าเทียบเรือบ้านสบรวก ต.เวียง อ.เชียงแสน จุดขนถ่ายผู้โดยสารไปยังโรงแรมกาสิโนหรู ห้าดาว ฝั่งประเทศพม่า บริเวณเกาะสามเหลี่ยมทองคำ ประชาชน ไม่สามารถขึ้นท่าได้เนื่องจากระดับน้ำท่วมมิดอาคารสำนักงาน ส่วนเรือขนส่งสินค้าในแม่น้ำโขงต้องเพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจากมีท่อนไม้ขนาดใหญ่ลอยมากับกระแสน้ำด้วย


 


ที่มา: โพสต์ทูเดย์


 


 


กระทรวงวิทย์เล็งโยกย้าย แทนซี 10 เกษียณ 4 คน


น.ส.สุจินดา โชติพานิช ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า   ในวันที่ 30 กันยายนนี้ จะมีข้าราชการระดับ 10 ที่จะเกษียณอายุราชการจำนวน 4 คน ประกอบด้วยนายพูลสุข พงษ์พัฒน์ รองปลัด วท. นางกอบแก้ว อัครคุปต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง นางรุ่งอรุณ วัฒนวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง และนายเชาวน์ รอดทองคำ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ซึ่งจะมีการเสนอเรื่องดังกล่าวให้แก่รัฐมนตรี วท.รับทราบ และจะยื่นเสนอรายชื่อผู้ถูกคัดเลือกขึ้นแทน


 


นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง รัฐมนตรี วท. กล่าวว่า การโยกย้ายใหม่อาจสลับที่นั่งกัน ซึ่งต้องพิจารณาความเหมาะสมความชำนาญในการทำงานของแต่ละคน แต่จะไม่มีการคัดเลือกบุคคลที่มาจากภายนอก หรือข้ามกระทรวงมา เพราะงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องเป็นผู้ที่เข้าใจจุดนี้จริงๆ เรื่องนี้คงต้องขอพิจารณาก่อนและจะนำเสนอเข้า ครม.ต่อไป


 


รายงานข่าวจาก วท.ระบุว่า บุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนนายพูลสุข คาดว่าจะเป็นข้าราชการระดับสูงจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) ขณะที่ตำแหน่งของนายเชาวน์มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นนายศิริชัย เขียนมีสุข รองเลขาธิการ ปส.


 


ที่มา: http://www.matichon.co.th/matichon


 


20โรงสีข้าวชุมชนกาฬสินธุ์ ปิดตัวชี้แบกขาดทุนไม่ไหว


กาฬสินธุ์ - เจ้าของโรงสีข้าวชุมชนในเขต อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ โอดต้นทุนการแปรรูปข้าวเปลือกเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบให้โรงสีข้าวชุมชน 20 แห่ง ต้องหยุดกิจการ บางรายถึงกับประกาศขายโรงสี เหตุทนแบกรับภาระขาดทุนไม่ไหว ทั้งยังเจอปัญหาซื้อข้าวเปลือกมาในราคาแพง แต่กลับขายข้าวสารได้ในราคาถูกสวนทางกับต้นทุน


 


นางรวย ถิตย์ชัย เจ้าของโรงสีข้าวชุมชนใน ต.หลุบ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า จากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ได้ส่งผลกระทบมาถึงกิจการโรงสีข้าวชุมชนใน ต.หลุบ อ.เมือง ทั้งนี้ใน ต.หลุบ   มีโรงสีข้าวชุมชนกว่า 50 แห่ง แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พบว่ามีผู้ประกอบการที่หยุดกิจการไปแล้วไม่ต่ำกว่า 20 แห่ง บางรายถึงกับประกาศขายโรงสีเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น เนื่องจากทนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ไหว โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า ค่าอะไหล่ เครื่องจักร ค่าจ้างคนงาน ค่าน้ำมัน ค่าภาษี ซึ่งเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนแทบไม่มีกำไรแต่อย่างใด


 


ที่ผ่านมาโรงสีข้าวชุมชนใน ต.หลุบ กล่าวได้ว่าอยู่ได้ในทางธุรกิจบางเดือนมีกำไร แต่ปัจจุบันฤดูกาลสีข้าวออกจำหน่ายแต่ละครั้งเป็นไปด้วยความลำบาก ขายข้าวสารยากขึ้น ที่สำคัญเจ้าของโรงสีชุมชนทุกรายจะประสบปัญหาเดียวกัน คือถูกเอารัดเอาเปรียบจากโรงสีข้าวขนาดใหญ่ เพราะความได้เปรียบในแง่ของการกุมตลาด จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือ โรงสีข้าวชุมชนต้องเข้ามาซื้อข้าวเปลือกจากโรงสีใหญ่เพื่อนำมาสีในราคาที่แพง แต่เมื่อมาสีเป็นข้าวสารได้แล้ว นำกลับไปจำหน่ายได้ราคาถูกไม่คุ้มกับต้นทุนของการผลิต


 


"เมื่อฤดูกาลปลูกข้าวเปลือกนาปรังที่ผ่าน โรงสีข้าวชุมชนเข้าไปรับซื้อข้าวเปลือกจากโรงสีข้าวขนาดใหญ่และยุ้งฉางในราคาตันละ 9,000 บาท แต่พอนำมาสีเป็นข้าวสารแล้วขายได้ราคากิโลกรัมละ 14 บาท ซึ่งหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ยังคงขาดทุน นี่คือปัญหาที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้ โรงสีขนาดเล็กหรือโรงสีชุมชน จะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 25-30 บาทต่อกิโลกรัม" นางรวย กล่าว


 


นายสมศักดิ์ เลิศโสภา เจ้าของโรงสีข้าวชุมชนอีกราย กล่าวว่า โรงสีข้าวของตนก็ประสบปัญหาขาดทุนเหมือนกับโรงสีข้าวรายอื่น แต่จำเป็นต้องสีข้าวออกขาย เพราะไม่มีอาชีพอื่นทำ หากหยุดไปนั่นหมายถึงคนงานก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม อยากฝากไปยังรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสนใจเข้ามาดูแลช่วยเหลือกิจการโรงสีข้าวชุมชน ทั้งเรื่องการลดเก็บค่าภาษี ข้าวเปลือกด้วย เพราะไม่เช่นนั้น ในอนาคตโรงสีข้าวชุมชนใน ต.หลุบอาจจะต้องปิดกิจการและประกาศขายโรงสีอีกหลายแห่งแน่นอน ทั้งนี้สำหรับ ต.หลุบ เป็นชุมชนโรงสีข้าว เนื่องจากในหมู่บ้านจะมีโรงสีชุมชนของเกษตรกรจำนวนกว่า 50 แห่ง โดยส่วนมากจะสีข้าวเพื่อจำหน่ายในตัวจังหวัดและขายตามจังหวัดต่างๆ


 


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


 


 


จีนสั่งนำเข้าโค-กระบือมีชีวิต ป้อนตลาดบริโภคช่วงโอลิมปิก


เชียงราย - หอการค้าเชียงราย แจงส่งออกผ่านท่าเรือเชียงแสนคึกคัก หลังน้ำโขงเพิ่มระดับ เรือจีนเทียบท่ารอขนสินค้า เผยมีออเดอร์สั่งนำเข้าโค-กระบือมีชีวิต ป้อนตลาดช่วงโอลิมปิก หลังมีคำสั่งห้ามร้านอาหารนำสุนัขมาทำเป็นอาหาร ด่านศุลกากรเชียงแสน เผยการส่งออก 3 ไตรมาสของปีงบประมาณ 2551 เพิ่มขึ้น 37%


 


นายประสาธน์ กิตินา รองประธานฝ่ายการค้าชายแดน หอการค้า จ.เชียงราย เปิดเผยว่า การนำเข้าและส่งออกสินค้าผ่านด่านศุลกากรเชียงแสน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ช่วงนี้คึกคักมากเพราะระดับน้ำโขงที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เรือสามารถบรรทุกสินค้าได้เต็มอัตรา ปัจจุบันมีเรือขนส่งสินค้าจากจีนขนาดระวางบรรทุกตั้งแต่ 200-300 ตัน จอดเทียบท่า ที่ด่านศุลกากรเชียงแสนจำนวนมากเพื่อรอบรรทุกสินค้ากลับไปจีน ทั้งนี้เดือนส.ค.นี้จีนจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ทำให้มีความต้องการสินค้า โดยเฉพาะโค-กระบือมีชีวิต ลำไยอบแห้ง ฯลฯ จะเห็นได้จากรถบรรทุกสิบล้อ ขนโค-กระบือมีชีวิต เข้ามาที่ด่านตรวจกักกันสัตว์เชียงแสนเฉลี่ยวันละประมาณ 4-5 คัน และมีเรือขนส่งสินค้าออกจากท่าเรือเชียงแสนมากกว่าวันละ 5-10 ลำ สาเหตุที่มีการส่งออกโค-กระบือมีชีวิตเพิ่มขึ้น เพราะจีนห้ามร้านอาหารและภัตตาคารจำหน่ายอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสุนัข ทำให้ต้องนำเข้าเนื้อสัตว์เพิ่ม


 


ส่วนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นมีผลกระทบไม่มากนักเพราะระดับน้ำโขงที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เรือสามารถบรรทุกได้เต็มพิกัด ที่ผ่านมาราคาค่าขนส่งปรับตัวขึ้นไม่มากนัก ปัจจุบันอยู่ที่ตันละประมาณ 300-500 หยวน แล้วแต่ประเภทสินค้า ทั้งนี้การขนส่งสินค้าทางเรือในแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงแสน ยังได้รับความนิยมมากกว่า แม้ว่าเส้นทางสายอาร์3เอ เชื่อมไทย-ลาว-จีน (เชียงของ-ห้วยทราย-หลวงน้ำทา-บ่อเต็น-บ่อห่าน) แม้จะใช้การได้แล้ว แต่ติดปัญหาสะพานข้ามแม่น้ำโขงยังไม่ลงมือก่อสร้าง ต้องขนสินค้าลงแพขนานยนต์ไปขึ้นฝั่งที่ห้วยทราย สปป.ลาว และขนส่งขึ้นรถบรรทุก ทำให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มสูงขึ้น


 


นอกจากนี้การขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางอาร์3เอ ใน สปป.ลาว ยังติดปัญหาถูกเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อนหลายจุด เช่น ที่หลวงน้ำทา-บ่อเต็น จึงไม่เป็นที่นิยมของผู้ประกอบการ ยกเว้นต้องการขนส่งสินค้าเร่งด่วนเท่านั้นผู้ประกอบการจะเลี่ยงไปใช้เส้นทางถนนอาร์3เอแทน


 


นายวินัย ฉิมทองประเสริฐ นายด่านศุลกากรเชียงแสน กล่าวว่า การนำเข้าและส่งออกสินค้าทางเรือผ่านด่านศุลกากรในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2551 เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากปริมาณน้ำโขงที่เพิ่มขึ้นทำให้การขนส่งสินค้าทางเรือคล่องตัวมากขึ้น ส่วนการส่งออกโค-กระบือ มีชีวิตในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา มีเฉลี่ยเดือนละ 100 ตัว ส่วนใหญ่ส่งออกไปจีน


 


สำหรับมูลค่าการส่งออกและนำเข้าในปีงบประมาณ 2551 ผ่านด้านศุลกากรเชียงแสน พบว่ามูลค่าสินค้าขาเข้าทั้ง 3 ไตรมาส รวม 797.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่าสินค้าขาเข้ารวม 764.75 ล้านบาท ส่วนการส่งออกสินค้า 3 ไตรมาส มีมูลค่า 4,960.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน 37% ซึ่งมีมูลค่าส่งออกรวม 3,612.88 ล้านบาท


 


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net