จากการสอบถามนางสาวดารณีระหว่างเข้าเยี่ยมผู้ต้องหา เธอกล่าวว่า ถึงขณะนี้ยังไม่ได้พบกับทนายความ ซึ่งคนใกล้ชิดแจ้งว่ากำลังอยู่ระหว่างการแต่งตั้งทนายเพื่อสู้คดี และต้องการอิสรภาพเพื่อออกไปต่อสู้คดีเช่นเดียวกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งโดนคดีเดียวกันแต่กลับได้รับการประกันตัวแล้ว ทั้งยังยืนยันว่าการจับกุมเธอในครั้งนี้ไม่เคยมีหมายเรียกมาก่อน

ดารณีกล่าวว่า หากได้ออกไปต่อสู้คดี เธอคงจะไม่เป็นแนวหน้าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกต่อไป เนื่องจากรู้สึกเจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทั้งผู้ที่ร่วมต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมาด้วยกัน และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็เอาตัวรอด

"มันน่าเสียใจที่เราโดนจับขังคุกในยุคของรัฐบาลที่มาตามระบอบประชาธิปไตย" ดารณีกล่าว

เธอยังยืนยันว่าสังคมไทยต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเช่นเดียวกันกับที่ประเทศญี่ปุ่นและอังกฤษก็มีสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันที่อยู่เหนือการเมือง และสังคมไทยไม่ควรปล่อยให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) หรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือใครก็ตามมาแอบอ้างสถาบันเพื่อสร้างความปั่นป่วนทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องเคารพกติกา หากไม่พอใจก็ต้องค่อยๆ ใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง การแก้ปัญหาด้วยการปฏิวัติรัฐประหารทำให้ประเทศถอยหลังไปก่อนปี 2475 ทั้งยังทำให้เศรษฐกิจทรุดหนัก ซ้ำเติมคนยากจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ขณะเดียวกันในสังคมประชาธิปไตยยุคโลกาภิวัตน์ ประชาชนก็ควรมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วย

ส่วนความเป็นอยู่ในเรือนจำนั้น เธอกล่าวว่า คืนที่ผ่านมาสภาพค่อนข้างแออัด ผู้ต้องขังหญิงนอนรวมกันถึง 82 คนภายในห้องขนาด 12 x 4 เมตร ซึ่งโดยปกติจะนอนกันเพียง 50 กว่าคน และเธอยังมีปัญหาด้านสุขภาพปวดบวมบริเวณกรามทำให้รับประทานอาหารไม่สะดวก