ประชาไทย้อนหลัง
ตอนที่ 1 ปาฐกถาชัยอนันต์ สมุทวณิช: 100 ปี นิมิตรมงคล: การเมือง 2475 ถึง 2551, ประชาไท, 24 ส.ค. 51
000
เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 51 เนื่องในโอกาส 100 ปีชาตกาล ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน ทางคณะรัฐศาสตร์และคณะรัฐประศาสนศาสตร์ ร่วมกับ สถาบันนโยบายศึกษา ได้จัดสัมมนาวิชาการในหัวข้อ "100 ปี ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน (2451-2551): จากการเมือง 2475 ถึงการเมือง
ในเวลา 13.10 ได้มีการนำเสนอประวัติและผลงานของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน โดย มล.ชัยนิมิตร นวรัตน จากนั้นจึงมีการปาฐกถานำโดย ศ.ดร.
ช่วงต่อมาเป็นการเสวนาเรื่อง "จากการเมือง 2475 ถึงการเมือง
000
ในการเสวนา ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวถึงสามประเด็น หนึ่ง การปรับตัวของสถาบันมหากษัตริย์ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา สอง การวิจารณ์แนวคิดของ ม.ร.ว. นิมิตรมงคล จากงานเขียนของเขาที่สะท้อนภาพการเมืองฝนสมัยปี 2480 ว่ามีความเป็นรัฐนิยม อำนาจนิยม รวมถึงมีความเพ้อฝันอยู่ในหลาย ๆ เรื่อง และ สาม ประเด็นที่ว่าฝ่ายนิยมสถาบันเจ้าไม่ได้มีความคิดเหมือนกันหมด แต่มีความหลากหลายในนั้น
ศ.ดร.นิธิ วิจารณ์ว่า แนวคิดของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล เกี่ยวกับเหตุการณ์ช่วง 2475 นั้น ไม่ได้มองความสลับซับซ้อนของกลุ่มชนชั้นนำในสมัยนั้นมากพอ
"ในรัฐธรรมนูญของ ม.ร.ว. นิมิตรมงคล สถาบันพระมหากษัตริย์มีความสำคัญ แต่ไม่ได้บอกว่าควรมีบทบาทอย่างไร หากท่านอยากจะพูดก็คงพูดไม่ได้ ท่านเพียงพูดอ้อมๆ ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ยังได้รับความนิยมนับถืออยู่ในสังคมไทย และด้วยเหตุนี้เองคำสั่งของรัฐทั้งหลายจึงต้องอาศัยความนิยมนับถือของคนไทยที่มีสถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือในการทำให้คนไทยยอมรับฟังคำสั่ง เมื่อเป็นเช่นนี้หมายความว่ารัฐจะต้องอาศัยบารมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการปกครอง จึงต้องการให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจเข้ามาควบคุมปริมาณหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้บอกให้ชัดเจน" ศ.ดร.นิธิกล่าว
ศ.ดร.นิธิบอกว่า เมื่อฝ่ายเจ้ามีความซับซ้อนขนาดนี้จึงทำให้ทราบว่าทำไมวันที่ 24 มิ.ย. ฝ่ายเจ้าถึงพลิกโต๊ะกลับไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งได้
"เพราะแน่นอนว่าในฝ่ายเจ้าเองนั้น เขาก็ไม่ได้ไปกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งหมด แม้แต่กบฏบวรเดชก็ไม่ได้ตะไปรื้อฟื้นระบอบพระมหากษัตริย์กลับมาเหมือนเก่า เพียงแต่เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นประชาธิปไตยจึงอยากทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่แน่นอนว่าก็ต้องมีบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นด้วย"
"อย่างไรก็ตามแต่ผมคิดว่าอันนี้มันช่วยอธิบายความสามารถของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการพลิกกลับบทบาทเป็นตรงกันข้าม"
ศ.ดร.นิธิพูดต่อว่า "มรดกทางความคิดของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ครั้งหนึ่งผมคิดว่ามีความมั่งคั่งกว่านี้ ในเวลานี้อับจนลง เวลาที่เราจะคิดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เราก็จะคิดถึงแต่เรื่อง "คืนพระราชอำนาจ" ซึ่งก็แปลว่าต้องกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกหรืออย่างไร ทั้งที่เดิมมีความคิดที่หลากหลายกว่านี้"
000
จากนั้น ศ.ดร.นิธิได้บรรยายถึงประเด็นอำนาจรัฐในการจัดการสังคม ที่ปรากฏในงานของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล โดยกล่าวว่า ม.ร.ว.นิมิตรมงคล ไม่เชื่อในความเสมอภาค
"เขาเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาไม่เท่าเทียมกัน ไล่ไปตั้งแต่ยีนส์ ตั้งแต่องค์ประกอบร่างกายของคุณเลย อีกอย่างหนึ่งที่ไม่เท่าเทียมกันคือสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขภายนอก ทำให้คนไม่เสมอภาคไม่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะในสังคมไหนก็ตาม" ศ.ดร.นิธิกล่าว
ศ.ดร.นิธิพูดต่อว่า ม.ร.ว.นิมิตรมงคลให้ความสำคัญกับเงื่อนไขภายนอกหรือบริบทค่อนข้างมาก แม้แต่รัฐบาลก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมภายนอก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลดีหรือรัฐบาลเลว หากรัฐบาลต่อให้มีแรงจูงใจที่ดีแต่เข้าไปอยู่ในสภาพที่เลว ก็จะกลายเป็นคนเลวไปด้วย
"...ซึ่งเป็นความคิดที่ซับซ้อนกว่าปัจจุบันมาก คุณลองดูกระทรวงมหาดไทยที่บอกว่าให้เลือกคนดีไปเป็น ส.ส. เสมอ ถ้าให้พูดอย่างคุณชายนิมิตรมงคลคือ "ไม่มีประโยชน์" ถ้าคุณเลือกคนดีเข้าไปในสภาพแวดล้อมที่เป็นคนดีไม่ได้ คนเหล่านั้นก็จะทำชั่ว หรือไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตามแต่"
"เพราะฉะนั้นท่านถึงให้ความสำคัญกับเงื่อนไข สภาพแวดล้อมค่อนข้างมาก ท่านบอกถึงขนาดว่า "ต่อให้กบฏบวรเดชชนะก็ไม่สามารถสถาปนาประชาธิปไตยขั้นมาได้" เพราะเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมทางการเมืองของไทยมันไม่เอื้อต่อการเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้" ศ.ดร.นิธิกล่าว
ศ.ดร.นิธิสรุปประเด็นนี้โดยยกคำกล่าวของ ม.ร.ว. นิมิตรมงคลว่า "ระบบที่ดีก็ตาม หรือคนดีก็ตาม จะถูกความเห็นแก่ตัว ความชั่ว ทำลายหมด"
"พูดง่ายๆ คือโอกาสที่ความดีจะชนะความชั่วนั้นยาก ไม่ใช่ไม่มีเลย" ศ.ดร.นิธิเสริม
000
จากนั้นศ.ดร.นิธิจึงได้ยกตัวอย่างนวนิยายเรื่อง "ความฝันของนักอุดมคติ" ของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล เรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับตัวเอกของเรื่องหลังจากออกจากคุกแล้ว ก็คิดว่าจะเป็นเศรษฐีจึงไปเรียนรู้การค้ากับแขกร้านขายเครื่องเขียนคนหนึ่งจนได้พบกับความฉ้อฉล เอารัดเอาเปรียบในการค้าขาย จึงเลิกล้มไป
"เขาไปหาร้านขายเครื่องเขียนของแขกคนหนึ่ง ไปขอทำงานด้วยกันเพื่อที่จะเรียนรู้การค้าของเขา แล้วในที่สุดก็พบว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย จึงลาออก เพราะพบแล้วว่าในการค้าทั้งหลายมันมีแต่ความเห็นแก่ตัว ความเอารัดเอาเปรียบ คดโกง เขาไม่สามารถอยู่ในการค้าได้จึงตัดสินใจออกมาจนเหมือนเดิมดีกว่า" ศ.ดร.นิธิเล่า
ศ.ดร.นิธิพูดต่อว่าในเรื่องนี้มีสิ่งที่น่าสนใจคือ ม.ร.ว. นิมิตรมงคล ได้ทำการอภิปรายในเรื่องบทบาทของคนกลางไว้ โดยเป็นว่าคนกลางจำเป็นต่อสังคม เพราะช่วยบริการในการแพร่กระจายสินค้า แต่คนกลางที่ดีจะต้องไม่เอากำไรแต่พอควร ไม่คดโกงแบบคนกลางที่เลว
"ท่านยอมรับว่าการที่คนๆ หนึ่ง เอาของจากอีกฝั่งหนึ่งไปขายให้กับคนอีกฝั่งเขาควรจะมีกำไร เพราะเขาก็ขายการบริการของเขา จึงต้องยอมรับว่าเป็นบทบาทที่มีความจำเป็นในสังคม แต่ท่านก็บอกว่าคนกลางที่ดี ที่เอากำไรแต่พอสมเหตุสมผลจะโดนคนกลางที่เลว เช่น พ่อค้าแขกเอาเปรียบคดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต จนกระทั่งคนดีๆ ไม่สามารถทำการค้าได้อีกต่อไป" ศ.ดร.นิธิกล่าว
จากนั้น ศ.ดร.นิธิถึงได้บรรยายถึงวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้จากทัศนะของ ม.ร.ว. นิมิตรมงคล โดนบอกว่าต้องอาศัยกลไกของรัฐ "เท่าที่ผมจำได้ท่าน ม.ร.ว. นิมิตรมงคล ให้ความสำคัญกับการเมือง ว่าต้องมีการเมือง หรือมีรัฐเข้ามาคอยควบคุมไม่ให้คนโกงเอาเปรียบคนดี ไม่ว่าจะในการค้าหรือในอะไรก็แล้วแต่"
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.นิธิได้วิพากษ์ทัศนะการอาศัยกลไกรัฐควบคุมคนทำธุรกิจแบบเอารัดเอาเปรียบว่าเป็นการมองข้ามว่ารัฐเองก็สามารถโกงและเอาเปรียบได้เช่นกัน
"คุณอาจจะคิดถึงระบบที่ดี รัฐที่ดีได้ แต่คำถามก็คือ ตัวรัฐเองมันจะไม่กลายเป็นคนโกงบ้างหรือ เป็นไปได้และผมคิดว่าท่านไม่ได้ให้คำตอบตรงนี้ไว้" ศ.ดร.นิธิกล่าว "โอเคเรามีรัฐที่แข็งแกร่งที่ดี เรากันไม่ให้คนโกง ไม่ให้เอาเปรียบคนดี แต่เราถามว่าตัวรัฐเองเขมือบเอาไปได้ไหม ก็เป็นไปได้เหมือน แล้วจะป้องกันอย่างไร ตรงนี้ไม่มีคำตอบ"
ศ.ดร.นิธิบรรยายต่อว่า พอไม่มีทางออกในการแก้ไขเรื่องการเอารัดเอาเปรียบจากทั้งสองฝ่าย คำตอบจึงวนกลับมาแต่ที่เรื่องคุณธรรม จริยธรรม
"แล้วในเมื่อไม่มีคำตอบก็ต้องกลับไปหาสิ่งหนึ่งที่ ผมคิดว่าน่าสนใจมากๆ คือการหันไปสู่คำตอบว่าต้องศีลธรรม ต้อง คุณธรรม ต้องจริยธรรม คุ้นหูใช่ไหม พอพูดถึงการเมืองไทยปุ๊บ คุณก็ต้องพูดถึงคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม เสมอ"
"ความคิดทางการเมืองแบบนี้มันมีมานานมาก อาจจะไม่ได้ผ่านคุณชายนิมิตรมงคลโดยตรง แต่มันสืบผ่านมาเรื่อยๆ ว่ามันไม่มีทางแก้ว่าจะป้องกันการโกงได้ คุณก็ต้องหันไปหาเรื่องนี้" ศ.ดร.นิธิกล่าว
ขณะเดียวกัน ศ.ดร.นิธิเองก็เสนอว่า คำกล่าวเรื่อง "คุณธรรม-จริยธรรม" ก็เป็นแค่คำกล่าวอ้างของคนที่จะเข้ามายึดอำนาจทางการเมืองเท่านั้น
"เมื่อไหร่ที่คุณยึดอำนาจบ้านเมืองได้สิ่งที่คุณเริ่มพูดก่อนคือ พูดสามคำนี้แหละ คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม" ศ.ดร.นิธิ กล่าว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)