กรณีที่นายปานชัย บวรรัตนปราณ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แจ้งว่าได้รับจดหมายจากนางมิ่งขวัญ วิชยารังสฤษฏ์ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ แจ้งผลการตรวจสอบน้ำฝนบางสะพานไม่เป็นกรด และฝนเหลืองที่ตกในบางสะพาน เป็นเพียงเกสรดอกกก กับดอกปาล์มนั้น
เมื่อวานนี้ (15 ก.ย.) นายวิฑูรย์ บัวโรย ประธานกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ได้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวในประเด็นดังกล่าวว่า ชาวบ้านได้เรียนรู้แล้วว่า หากเรายังหวังพึ่งกรมควบคุมมลพิษ ประเทศไทยจะไม่สามารถควบคุมมลพิษได้อย่างเป็นจริง ดังนั้นเราไม่ควรให้สร้างโรงถลุงเหล็กจะได้ไม่ต้องก่อมลพิษ นี่คือการควบคุมมลพิษที่ได้ผลดีที่สุด
แค่เรื่องผลกระทบจากน้ำฝนที่บางสะพาน มีการเจือปนทั้งคราบน้ำมันและตะกอน จนชาวบางสะพานต้องจ่ายเงินซื้อน้ำกินแทนดื่มน้ำฝนกันทั้งเมือง ผลการตรวจแบบนี้ก็เหมือนกับบอกว่า ชาวบ้านสะพานจะเป็นโรควิตกจริตกันไปทั้งเมืองเอง ตอนนี้เราตั้งใจแล้วว่าน้ำฝนที่เราไม่สามารถดื่มได้ เราจะเอาไว้ต้อนรับข้าราชการที่ลงพื้นที่ทั้งหมด โดยเฉพาะจากกรมควบคุมมลพิษ
ส่วนฝนเหลืองที่พยายามอธิบายว่าเป็นเกสรดอกไม้ จะดอกกกหรือดอกปาล์มก็แล้วแต่ เราขอตั้งข้อสังเกตว่า 14 จังหวัดภาคใต้ที่ปลูกปาล์มกันนับล้านไร่ ที่ลพบุรีมีทุ่งดอกทานตะวัน ก็ไม่เคยมีข่าวฝนเหลือง กรมควบคุมมลพิษควรจะอธิบายขั้นตอนการเกิดจากเกษรดอกไม้ไปลอยกลางอากาศและวตกลงมาเป็นหยดสีเหลืองมีกลิ่นฉุนได้อย่างไร แล้วทำไมที่อื่น ๆ ไม่มี หรือเกษรดอกเหลืองทั้งหลายตั้งใจจะลอยมาตกรวมกันเฉพาะที่บางสะพานก็ดูจะยากอยู่ ฝนเหลืองที่บางสะพานจะมีกลิ่นคล้ายกำมะถัน และจะมีมากในช่วงหน้าหนาว
"หนาวนี้เราตั้งใจจะเก็บสะสมคราบฝนเหลืองที่ติดอยู่ตามรถ ตามร่ม ข้าวของเครื่องใช้กลางแจ้ง หากเราได้มีโอกาสเราจะเอาน้ำมาผสมสูตรเข้มข้น เพื่อมาใช้ปะพรมต้อนรับข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจมลพิษ บุคคลที่บอกว่าเป็นเกสรดอกไม้เพื่อเป็นครามเป็นสิริมงคลต่อการปฏิบัติหน้าที่ และจะเอาไว้ใช้รดน้ำดำหัวผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นกรณีพิเศษในสงกรานต์ปีหน้า หรือหากบริสุทธิใจ บริษัทควรเปิดโอกาสให้ชาวบ้านนำน้ำฝนกรอกถังจำหน่ายให้บริษัทดื่มเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนอีกแรง เพราะความจริงบริษัทเองก็ไม่กล้าดื่มเช่นกัน" นายวิฑูรย์กล่าว