ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 27 ก.ย. 2551

 

การเมือง

 

รัฐชู 15 นโยบายเร่งด่วนรัฐบาล

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบแต่งตั้งคณะทำงานยกร่างนโยบายรัฐบาล ที่จะแถลงต่อรัฐสภา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่ง ดร.อำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอร่างนโยบายรัฐบาลร่างแรกให้ที่ประชุม ครม.พิจารณา

 

คณะทำงานยกร่างนโยบายรัฐบาลได้ประชุมวานนี้ (26 ก.ย.) เพื่อพิจารณานโยบายที่ สศช.เสนอ ครม.ว่าควรปรับปรุงส่วนใดบ้างก่อนเสนอกลับให้ สศช. พิจารณาวันที่ 28 ก.ย.นี้ จากนั้นคณะทำงานจะประชุมเพื่อพิจารณาข้อเสนอต่างๆ อีกครั้ง จากนั้นเสนอ ครม.พิจารณาวันที่ 29 ก.ย.นี้ คาดว่าจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาได้วันที่ 8-9 ก.ย.นี้

 

สำหรับร่างนโยบายรัฐบาลร่างแรกประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.หลักการบริหารราชการแผ่นดิน 2.นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก 15 นโยบาย และ 3.นโยบายรัฐบาลตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

สำหรับนโยบายเร่งด่วน 15 นโยบาย ประกอบด้วย 1.การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ขอคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย 2.การแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 3.การส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและสร้างความสัมพันธไมตรีที่ดีระหว่างประเทศในภูมิภาค 4.เร่งรัดการลงทุนที่สำคัญของประเทศ 5.เร่งสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนและส่งเสริมการท่องเที่ยว 6.สร้างกลไกในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว

 

7.ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะภัยธรรมชาติ ภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมัน 8.จัดตั้งสภาเกษตรกร และสร้างระบบประกันความเสี่ยงให้เกษตรกร 9.สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนของชุมชน ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน 10.สนับสนุนสินเชื่อรายย่อยแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

 

11.เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ 12.เร่งรัดปราบปรามการค้ายาเสพติด ปราบปรามผู้มีอิทธิพล อบายมุข และสิ่งยั่วยุ เยาวชน 13.เร่งรัดปรับปรุงระบบสาธารณสุข โดยพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้มีคุณภาพการให้บริการเพิ่มขึ้น 14. เร่งรัดการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและเพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทาน และ 15.เร่งรัดมาตรการและโครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบ การปรับตัวเพื่อพร้อมรับวิกฤติโลกร้อน

 

นอกจากนั้น ในร่างนโยบาย สศช.ยังได้เสนอนโยบายการพัฒนาระยะ 3 ปี ใน 7 ด้าน ประกอบด้วยนโยบายความมั่นคงของรัฐ นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และนโยบายการบริหารจัดการที่ดี

 

ส่วนนโยบายสังคมและคุณภาพชีวิตที่สำคัญ เป็นการเร่งรัดการลงทุนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา การให้โอกาสประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้ารับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การขยายโอกาสทำงานของผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อสร้างโอกาสในการทำงานทั้งในและต่างประเทศ การเพิ่มคุณภาพของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตามแนวทางของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เร่งรัดการลงทุนด้านสุขภาพ เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการทั้งระบบ การสนับสนุนและขยายบทบาทอาสาสมัครสาธารณสุข

 

สำหรับนโยบายเศรษฐกิจ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.การบริหารเศรษฐกิจมหภาค ด้วยการสร้างความมั่นคงเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของสถาบันการเงิน การสร้างเสถียรภาพในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การรักษาวินัยการคลัง การสร้างความเป็นธรรมในระบบการจัดเก็บภาษี การส่งเสริมการออม และการเพิ่มประสิทธิภาพตลาดทุน

 

2.การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม ภาคการท่องเที่ยว การตลาด การค้า และการลงทุน 3.การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการขนส่งมวลชนสินค้า และบริการ โดยเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นไปสู่ภูมิภาค ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งและสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการขนส่งมวลชน สินค้าและบริการ การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและการพัฒนาท่าอากาศยาน เพื่อให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการบิน การท่องเที่ยว การขนส่งสินค้าทางอากาศชั้นนำของเอเชียและของโลก

 

4.การพัฒนาพลังงาน การสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานในภูมิภาค การกำกับดูแลกิจการพลังงานให้มีราคาที่เหมาะสม เป็นธรรม สอดคล้องกับกลไกตลาด ส่งเสริมวิจัยพัฒนาพลังงานทดแทนทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมการอนุรักษ์และประหยัดพลังงานอย่างจริงจัง

5.การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเน้นโครงข่ายสื่อสารความเร็วสูงให้ทั่วถึง เพียงพอ ในราคาเหมาะสม เป็นธรรม และแข่งขันได้ การพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องด้านบริการความรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

 

"สมชาย" ยันไม่บรรจุนโยบาย "แก้รธน."
มติชนออนไลน์ - นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ประชุมร่างนโยบายรัฐบาลเพื่อนำไปแถลงต่อรัฐสภา ร่วมกับรัฐมนตรีตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาล นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ภายหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม ครม.นัดแรกเมื่อวันที่ 26 กันยายน โดยนายสมชายกล่าวตอบคำถาม ร่างนโยบายที่จะแถลงต่อสภามีเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญรวมอยู่ด้วยหรือไม่ ว่าไม่ได้เขียนไว้ เพราะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทางสภาได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาปัญหาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 2550 อยู่แล้ว ปล่อยให้สภาทำไปจะดีกว่า รัฐบาลมีหน้าที่เพียงสนับสนุนเท่านั้น


แหล่งข่าวจากที่ประชุมร่างนโยบายรัฐบาลแจ้งว่า หลังจากนายสมชายนำโครงร่างนโยบายรัฐบาลรวม 7 หน้ากระดาษเอ 4 มาแจกจ่ายให้คณะกรรมการดู ปรากฏว่าไม่ค่อยมีการถกเถียงอะไรกัน เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และถูกแปลงเป็นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 แล้ว หนำซ้ำนายสมชายยังเอาแต่รับโทรศัพท์ และเดินเข้า-ออกห้องประชุมเกือบตลอดเวลา สุดท้ายจึงปิดประชุมโดยใช้เวลาเพียง 40 นาที โดยนายสมชายกำชับให้คณะกรรมการที่เป็นรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลนำต้นร่างนโยบายไปปรึกษาภายในพรรคตน และรวบรวมความเห็นเพิ่มเติมส่งให้นายอำพนภายในวันที่ 27 กันยายน เพื่อปรับปรุงแก้ไขร่างครั้งสุดท้าย และนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ 19 คนอีกครั้งในเวลา 14.00 น. ของวันที่ 29 กันยายน และนำเข้าที่ประชุม ครม.ในวันที่ 30 กันยายน


นายนพดล ปัทมะ รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน และคณะทำงานยกร่างนโยบายของรัฐบาล กล่าวว่า เห็นด้วยในหลักการ ว่านโยบายของรัฐบาลควรที่จะบรรจุเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญไว้ด้วย แต่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะให้เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา ประชาชน หรือของ ครม. หากเห็นว่าเป็นเรื่องของสภาที่จะต้องรับผิดชอบก็ไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ในนโยบายของรัฐบาล ส่วนนโยบายที่จะดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นนโยบายเร่งด่วนอันดับแรกของรัฐบาล คือ การสร้างความปรองดองของคนในชาติ การหันหน้าเข้าหากัน โดยรัฐบาลจะใช้นโยบายนี้กับคนทุกกลุ่มไม่ใช่เฉพาะกับกลุ่มพันธมิตรเท่านั้น

 

วิปฝ่ายค้านตั้ง 5 คำถาม ครม.สานภารกิจเร้น

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิปค้าน) แถลงตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมของผู้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งนายสมชายยอมรับว่ามีผิดฝาผิดตัวไปบ้างแต่ขอเวลาพิสูจน์ แต่ถือว่าเป็นการตอบไม่ตรงประเด็น ดังนั้นขอตั้งคำถามถึงรัฐมนตรี 5 คน ได้แก่

 

1.การปลดทีมเศรษฐกิจทั้งชุด และแต่งตั้งนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็น รมว.คลัง เท่ากับยอมรับการผิดพลาดของทีมเศรษฐกิจชุดที่แล้ว และนโยบายที่จะนำเสนอใหม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง 2.นายศรีเมือง เจริญศิริ เป็น รมว.ศึกษาฯ เพียงคนเดียว โดยไม่มีรัฐมนตรีช่วย ทั้งที่กระทรวงนี้มีงบปี 2552 สูงถึง 3 แสนล้านบาท และนายศรีเมืองยังเป็นมือขวาคุณหญิงใหญ่ที่ลอนดอน มีจุดมุ่งหมายอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ เป็นเรื่องของการอนุมัติใช้จ่ายงบบางเรื่องหรือไม่ เป็นเรื่องการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ 1 ล้านเครื่องหรือไม่

 

3.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็น รมว.ต่างประเทศ ถามว่าเป็นเรื่องคาบเกี่ยวเรื่องผลประโยชน์ของคนบางคนที่กัมพูชาใช่หรือไม่ ซึ่งนายสมพงษ์เป็นคนสนิทของนายใหญ่และไม่เคยแสดงความสามารถเรื่องงานต่างประเทศให้เห็นเลย 4.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นรองนายกฯ โดยที่มีข้อถ้อยแถลงจากกัมพูชาว่า พล.อ.ชวลิต มีความใกล้ชิดกับกัมพูชามาก ดังนั้นคำถามจึงมีว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงเข้ามาคืออะไร และ 5.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็น รมว.สาธารณสุข เป็นเพราะกระทรวงสาธารณสุขเต็มไปด้วยคนดีและคนเก่งที่มักมีความเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล จึงต้องส่งให้นักเลงมาคุมหมอใช่หรือไม่ ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์จะมีการซักถามรัฐบาลในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

 

ศาลยกฟ้อง "แก้วสรร" หมิ่น "ทักษิณ"

สยามรัฐ - เมื่อวันที่ 26 ก.ย.51 ศาลอาญา รัชดาฯ ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้ นายสหรัฐ สมบัติกุล เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตเลขาธิการ คตส. บริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน) เจ้าของหนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ และกรรมการผู้มีอำนาจ เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีจำเลยให้สัมภาษณ์ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ทำนองว่าโจทก์กระทำทุจริตต่อหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทในเครือชินคอร์ปโดยการแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต เมื่อวันที่ 8 ก.ค.50

 

ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1-10 ไม่มีมูลความผิดตามฟ้องเนื่องจากในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวมีข้อความตรงกัน อีกทั้ง คตส.มีหน้าที่ตรวจสอบและให้ข้อมูลในการปกป้องรัฐ ซึ่งมีไม่เจตนาทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงพิพากษายกฟ้อง

 

ออกหมายจับ "ทักษิณ" อีกคดี-หนี "หวยบนดิน"

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว หรือหวยบนดิน ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 47 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมถึงความผิดเกี่ยวกับการทุจริตเรื่องภาษีอากร

 

จำเลยในคดี 3 คน ที่ไม่มาปรากฏตัวต่อศาล ประกอบด้วย พ.ต.ท.ทักษิณ นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และนางสตรี ประพีปะเสน ผู้แทนสำนักงานงบประมาณ ขณะที่นายสมใจนึกและนางสตรี ได้รับอนุญาตจากศาลกรณีที่ไม่มาศาล โดยศาลให้มารายงานตัวในวันนัดตรวจพยาน ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าทราบนัด แต่ไม่มา ซึ่งพฤติการณ์มีเหตุควรสงสัยว่าจำเลยต้องการหลบหนี ศาลจึงให้ออกหมายจับและจำหน่ายคดีชั่วคราว

 

ศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยที่เหลือได้รับฟัง โดยจำเลยทั้ง 44 คน ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ศาลจึงได้นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 22-24 ธ.ค.2551 เวลา 10.00 น. ทั้งนี้ให้โจทก์และจำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน พร้อมสำเนา ให้กับศาลก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานไม่น้อยกว่า 7 วัน

 

นอกจากนี้ศาลยังอนุญาตให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยที่ยื่นคำร้องขอด้วย ซึ่งจำเลยส่วนใหญ่ได้ยื่นขอให้ศาลพิจารณาคดีลับหลัง ส่วนกรณีที่จำเลยประสงค์จะออกนอกประเทศต้องขออนุญาตศาลเป็นคราวๆ ไป นอกจากนี้ศาลยังยกคำร้องกรณีที่จำเลยขอให้ชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล เนื่องจากเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาฯ

 

ทั้งนี้ อดีตคณะรัฐมนตรีที่ตกเป็นจำเลยในคดีหวยบนดินส่วนใหญ่ได้เดินทางมาศาลฎีกา เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นายวราเทพ รัตนากร นายวิษณุ เครืองาม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสนธยา คุณปลื้ม นายสุชาติ เชาวิศิษฐ เป็นต้น

 

ส่วนจำเลยที่เป็นปัจจุบันรัฐมนตรีในรัฐบาลสมชาย 1 ได้แก่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี นางอุไรวรรณ เทียนทอง รมว.แรงงาน และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.อุตสาหกรรม

 

ทูตผู้ดีปลื้มรัฐบาล "สมชาย" เป็น "ประชาธิปไตย"
มติชนออนไลน์ - เมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่ห้องรับรองพิเศษ ท่าอากาศยานดอนเมือง นายควินทัน เควลย์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เข้าพบนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความยินดีที่ได้รับตำแหน่งตามหลักประชาธิปไตย จากนั้นนายควินทัน เควลย์ เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่สถานการณ์ทางการเมืองของไทยดีขึ้น และมีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปแล้ว ส่วนการชุมนุมประท้วงขณะนี้ ถ้าเป็นไปอย่างสันติวิธี ไม่มีการปะทะกัน ก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเสียเลือดเสียเนื้อเป็นธรรมดาที่คนต่างชาติและนักลงทุนจะตกใจอยู่บ้าง ทุกกลุ่มมีสิทธิเสนอความคิดเห็นหรือแสดงออก แต่ต้องอยู่ในกรอบของประชาธิปไตย จะเห็นด้วยกับรัฐบาลหรือไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องอยู่ในหลักสันติวิธี

 

 

เศรษฐกิจ

 

คลังผนึกธปท.ดูแลศก.เกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด "สุชาติ" การันตีไม่มีขัดแย้ง

เว็บไซต์แนวหน้า - เมื่อเวลา 7.30 น.ของวันที่ 26 ก.ย.นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลังคนใหม่ พร้อมด้วยนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ และร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมช.คลัง เดินทางมาที่กระทรวงการคลังเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง ทั้งพระพรหม พระภูมิเจ้าที่ พระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ช้างคู่ประจำกระทรวง และพระพุทธรูปประจำกระทรวง โดยมีข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังให้การต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง

 

นายสุชาติกล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจว่า จะสานงานต่อจากนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรมว.คลัง ซึ่งทำไว้ดีมาก ส่วนใหญ่เป็นโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้าน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (SML) พักหนี้เกษตรกร ยกระดับราคาสินค้าเกษตร พัฒนาแหล่งน้ำ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และโครงการที่จะทำให้ไทยเป็นที่ยอมรับในสายตาโลก ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาต่อไป

 

"รัฐมนตรีคลังทั้ง 3 คนจะช่วยกันดูแลเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคง ส่วนตัวผมก็จะสานต่อทุกนโยบายที่นพ.สุรพงษ์ได้ทำไว้" รมว.คลังกล่าวยืนยันว่า ไม่มีความขัดแย้งเรื่องนโยบายระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อีกแล้ว ทั้ง 2 หน่วยงานจะประชุมติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นว่า มีความสามัคคีในการดูแลภาคการเงิน การคลัง ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องการให้เงินบาทอ่อนค่านั้น ก็มีหลายฝ่ายดูแลเรื่องนี้ ให้ค่าบาทอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว

 

สำหรับการแบ่งงานให้ รมช.ทั้ง 2 นั้น เบากล่าวว่า ยังไม่เรียบร้อย ส่วนจะเก็บสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลมาดูแลเองเพื่อเร่งนโยบายการขายสลากเลขท้าย2 ตัว3 ตัวระบบอัตโนมัติหรือหวยออนไลน์หรือไม่นั้น ก็ยังไม่สามารถบอกได้ ไม่อยากให้ไปสนใจเรื่องเล็กๆ ตัวรมว.คลังต้องดูแลเรื่องใหญ่ๆสำคัญๆมากกว่า

 

ส่วนนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลังกล่าวว่า ต้องติดตามการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในปี 2552 อย่างใกล้ชิดแบบรายเดือนเพื่อแก้ไขปัญหาให้ทัน เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2552 จะชะลอตัวทั้งภาคการส่งออก การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนรวมทั้งความเชื่อมั่นที่ลดลงซึ่งจะเป็นปัญหาต่อการจัดเก็บรายได้ อย่างไรก็ตามการจัดเก็บรายได้ในปี 2551 ที่ผ่านมากรมสรรพากรจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 5 หมื่นล้านบาท เป็นผลมาจากการเร่งรัดของเจ้าหน้าที่รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ได้ผล ทั้งนี้จะหารือกับอธิบดีกรมสรรพากรเพื่อพิจารณาแนวทางการจัดเก็บรายได้ปี 2552 ในเร็วๆนี้

 

นอกจากนี้ในปี2552 รัฐบาลต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เร็วที่สุด เนื่องจากภาคเอกชนยังมีปัญหาเรื่องการลงทุน ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ รัฐบาลต้องเป็นผู้นำในการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สถานการณ์ขณะนี้อาจมีปัญหาในเรื่องต้นทุนการกู้เงินที่สูงขึ้นบ้าง เพราะแหล่งเงินมีน้อยลง ซึ่งต้องพิจารณาความคุ้มค่าหรือจะให้เอกชนมาร่วมลงทุนกับ รัฐหรือไม่

 

ส่วนร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี ที่ได้กลับมาเป็นรมช.คลังอีกครั้งกล่าวว่า จากการหารือกับรมว.คลัง คาดว่าจะได้รับมอบหมายให้ดูแลกรมและหน่วยงานต่างๆ ที่เคยดูแลก่อนหน้านี้ เช่น กรมสรรพสามิต กรมบัญชีกลาง กรมธนารักษ์ และในส่วนนโยบายที่ทำค้างไว้ ก็จะเดินหน้าสานงานต่ออย่างเต็มที่ เช่น โครงการขอคืนที่ราชพัสดุ 1 ล้านไร่เพื่อให้เกษตรกรเช่าราคาถูก โครงการร้านค้าใต้ทางด่วน ซึ่งต้องหารือในรายละเอียดอีกครั้ง เพื่อเสนอรมว.คลัง พิจารณาดำเนินการต่อไป

 

ปตท.สผ.ตั้งบริษัทในนิวซีแลนด์

เว็บไซต์แนวหน้า - นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการเงิน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ปตท.สผ.ได้ตั้งบริษัทย่อยเพื่อรองรับการขยายตัวการดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในนิวซีแลนด์ คือบริษัท พีทีทีอีพี นิวซีแลนด์ จำกัด เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 ทุนจดทะเบียน 50,000 เหรียญสหรัฐฯ โดยมีบริษัท พีทีทีอีพี โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ.เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด

 

กินเจเงินสะพัด 2.5 หมื่นล. คนเข้าวัดทำบุญที่พึ่งทางใจ

เดลินิวส์ - นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลกินเจ ปี 51 ระหว่าง 29 ก.ย.-7 ต.ค. 51 รวม 9 วัน ว่า เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10-13% หรือมีเงินสะพัด 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายซื้ออาหารเจ 10,000-15,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด อาทิ การเดินทางไปทำบุญ ค่าที่พัก ค่าทำบุญ อีก 10,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10.7% จากปีก่อน

 

ทั้งนี้สาเหตุสำคัญที่ทำให้มูลค่าการใช้จ่ายเทศกาลกินเจเพิ่มขึ้น นอกจากจะมาจากราคาอาหารสด และอาหารสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลแล้ว ปีนี้หลายพื้นที่เพาะปลูกยังประสบปัญหาน้ำท่วมจนทำให้ราคา ผัก ผลไม้ ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก นอกจากนี้ ยังพบว่าในขณะที่เศรษฐกิจ ไม่ดี และการเมืองขาดเสถียรภาพ ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ ทำให้คน ไทยหันไปทำบุญ ใช้ศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจแทน โดยผลสำรวจระบุว่าประชาชนยอมใช้จ่ายเพื่อทำบุญปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 58.2%

 

สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจปีนี้มาจากคน 1,200 คนทั่วประเทศ โดย 89.5% ระบุว่าไม่กินเจ และอีก 10.5% จะกินเจ ส่งผลให้ช่วงเทศกาลกินเจ 9 วันจะมีประชาชนกินเจทั่วประเทศ 5-6 ล้านคน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 6,155 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อทำบุญอยู่ที่ 933 บาท ค่าเดินทางไปทำบุญต่างจังหวัด 2,419 บาท ค่าที่พักขณะเดินทางไปทำบุญต่างจังหวัด 2,863 บาท รวมทั้งสิ้น 6,115 บาทต่อคน

 

ส่วนพรศักดิ์สิทธิ์ที่ขอในช่วงกินเจ 4 ข้อ คือ ขอให้มีความ สามัคคี ลดความขัดแย้ง ขอให้มีความสงบสุข ขอให้ไม่มีการคอร์รัปชั่น โกงกินบ้านเมือง และขอให้เศรษฐกิจดี โดยสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ และสถานการณ์ทางการเมือง ระดับราคาสินค้าและราคาน้ำมัน รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

 

คุณภาพชีวิต

 

ลาวร่วมถกปัญหาชายแดนทำบันทึกตกลง"พะเยา-แขวงไชยบุรี"

เว็บไซต์แนวหน้า - นางสาวเรืองวรรณ บัวนุช ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนไทย-ลาว จังหวัดพะเยา-แขวงไชยะบุลี ครั้งที่ 7 ทั้งสองฝ่ายได้นำเสนอสภาพปัญหาตามแนวชายแดนในปัจจุบันของกันและกัน เพื่อหาแนวทางร่วมมือในการแก้ไขอย่างสันติวิธี ซึ่งฝ่ายไทยเสนอเรื่องการล่วงล้ำดินแดนของประชาชนชาวลาวในบริเวณเขตแดนบ้านต้นผึ้ง หมู่ 16 ต.ร่มเย็น อ.เชียงคำ โดยขอให้ฝ่ายแขวงไชยะบุลี เข้มงวดกวดขันไม่ให้ประชาชนล้ำเขตแดนและห้ามประชาชนทั้งสองฝ่ายนำสัตว์ไปเลี้ยงบริเวณต้นน้ำล้ำธารเพราะเกรงว่าต้นน้ำจะถูกทำลายได้ และขอให้แขวงไชยบุลีจัดทำเอกสารผู้ป่วยของประชาชนลาวที่เดินทางมารักษาที่ตัวที่พะเยาด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงโรคระบาด

 

ขณะที่ฝ่ายแขวงไชยะบุลี สปป.ลาว ขอให้ระมัดระวังการบินล่วงล้ำเขตแดนบริเวณน่านฟ้าเมืองคอบ นอกจากนี้ได้มีประชาชนชาวไทยข้ามเขตแดนเข้าไปเลี้ยงสัตว์และแผ้วถางป่า ขอให้ฝ่ายไทยเข้มงวดตรวจตราเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก และการกักตัวประชาชนชาวลาวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย บางครั้งไม่ได้แจ้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อหาและสถานที่กักขัง

 

ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้รับทราบขอเสนอของแต่ละฝ่าย และพร้อมที่จะแก้ไขตามความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ ไทย-ลาว จังหวัดพะเยา - แขวงไชยะบุลี ให้ดียิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ที่ประชุมฯ ได้มีความเห็นร่วมกันที่จะขยายความร่วมมือให้กว้างขวางขึ้นในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการรักษาความมั่นคงชายแดน

 

ต่างประเทศ

 

แบงก์ยักษ์สหรัฐล้มอีก คุยแผนกู้ศก.ยังไม่คืบ

ไทยโพสต์ - "เจพีมอร์แกนเชส" ธนาคารอันดับ 3 ของสหรัฐ เข้าซื้อกิจการของ "วอชิงตัน มิวชวล" สถาบันรับฝากเงินและปล่อยกู้อันดับ 2 ของประเทศ ในราคา 1.9 พันล้านดอลลาร์ (ราว 6.4 หมื่นล้านบาท) หลังวามูประสบปัญหาสภาพคล่องจากพิษสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จนราคาหุ้นหล่นลงไปถึง 80% ในปีนี้

 

การล่มสลายของ "วอชิงตัน มิวชวล" ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ 119 ปีก่อน นับว่าใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ เนื่องจากธนาคารแห่งนี้มีสินทรัพย์มากถึง 3.07 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้า "คอนติเนนตัล อิลลินอยส์ เนชั่นแนล" ที่เคยครองแชมป์ธนาคารใหญ่สุดของประเทศที่ล้มละลายไปก่อนหน้านี้เมื่อปี 2527 ซึ่งขณะนั้นมีสินทรัพย์อยู่ราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์

 

"วอชิงตัน มิวชวล" นับเป็นธนาคารแห่งที่สองต่อจาก "ธนาคารแบร์สเติร์น" ที่ "เจพีมอร์แกนเชส" โดดเข้าเทกโอเวอร์ในปีนี้ ส่งผลให้ขณะนี้ "เจพีมอร์แกนเชส" ขยับขึ้นมาเป็นธนาคารอันดับที่ 2 ในสหรัฐเป็นรองเพียง "แบงก์ออฟอเมริกา" ที่เพิ่งเข้าอุ้มกิจการของ "เมอร์ริล ลินช์" ที่เจอปัญหาขาดทุนเช่นเดียวกับเลห์แมน บราเธอร์ส ที่เพิ่งล้มละลาย และบริษัทประกันเอไอจี ที่ซวนเซใกล้ล้มจนรัฐบาลกลางต้องช่วยเหลือ

 

ขณะเดียวกัน เมื่อวันพฤหัสบดี การหารือเครียดหลายชั่วโมงระหว่างประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช กับแกนนำสภาคองเกรส และสองคู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี นายจอห์น แม็กเคน และบารัก โอบามา เรื่องแผนค้ำจุ้นสถาบันการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ (23.7 ล้านล้านบาท) ยังคงไม่มีความคืบหน้า ขณะที่แกนนำสภาคองเกรสนัดประชุมกันอีกครั้งวันศุกร์เพื่อผลักดันมาตรการดังกล่าวให้ผ่านการอนุมัติโดยเร็ว แต่ยังไม่แน่ชัดว่า ส.ส.บางคนของพรรครีพับลิกันที่ไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้จะเข้าร่วมหารือด้วยหรือไม่

 

ก่อนหน้านี้ คริสโตเฟอร์ ดอดด์ ประธานคณะกรรมาธิการการธนาคารของวุฒิสภา เผยว่า ทุกฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันในหลักการเรียบร้อยแล้ว คำกล่าวนี้ของวุฒิสมาชิกดอดด์ ดันหุ้นดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพฤหัสบดี ทะยานขึ้น 198.09 จุด แต่ขณะเดียวกัน ริชาร์ด เชลบี หนึ่งในคณะกรรมาธิการการธนาคารซึ่งมาจากรีพับลิกัน กลับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าขณะนี้ยังไม่มีการตกลงใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น

 

ส.ส.รีพับลิกันจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยการทุ่มงบมหาศาลเพื่อซื้อหนี้เสียของสถาบันการเงิน และเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับภาคการเงินมากเกินไป

 

ผู้นำจีนประเมินวิกฤตการเงินมะกันผลกระทบทั่วโลกเลวร้ายกว่าที่คิด

ผู้จัดการรายวัน -นายกรัฐมนตรี เวินเจียเป่า ของจีน ประเมินผลกระทบจากวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ว่าอาจเลวร้ายหนักยิ่งขึ้น และเน้นย้ำให้นานาชาติร่วมมือกันรับมือกับวิกฤตการณ์ครั้งนี้โดยละวางความเป็นปรปักษ์และอคติต่างๆ พร้อมเอ่ยเป็นนัยว่าจีนพร้อมเข้าช่วยเหลือนานาชาติในการกอบกู้สถานการณ์ผันผวนซึ่งเขย่าตลาดการเงินทั่วโลกอยู่ในขณะนี้

 

"ความผันผวนทางการเงินที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อหลายๆ ประเทศ และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงหนักขึ้นด้วย" เวินกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติเมื่อวันพุธ (24) โดยที่ในช่วงท้ายของสุนทรพจน์ เขาได้เรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมมือกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว และยังได้ระบุถึงประเด็นสำคัญต่างๆ รวมทั้งให้คำมั่นที่จะผลักดันการปฏิรูปเพื่อกระตุ้นการเติบโตในประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลกด้วย

 

ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์(22) ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชแห่งสหรัฐฯ ซึ่งเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ๋ของยูเอ็นด้วย ได้โทรศัพท์ถึงประธานาธิบดีหูจิ่นเทา ของจีน เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับวิกฤตการณ์การเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และแนวทางของรัฐบาลที่จะใช้เงิน 700,000 ล้านดอลลาร์เข้ากอบกู้สถานการณ์เลวร้ายในวอลล์สตรีท ขณะที่สื่อมวลชนจีนรายงานว่า ประธานาธิบดีหูตอบว่าจีนนั้นเห็นด้วยกับความพยายามรักษาเสถียรภาพของตลาดการเงินสหรัฐฯ และหวังว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะประสบความสำเร็จ

ในการกล่าวสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีจีนในวันพุธ เวินได้เอ่ยเป็นนัยว่าจีนอาจช่วยเหลือนานาชาติเพื่อแก้ไขไม่ให้วิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ลุกลามออกไป โดยเขาบอกว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับ "การเป็นปฏิปักษ์" หรือ "การตั้งแง่กันด้วยอคติ"

 

"ถึงเวลาที่เราต้องบอกลาเสียที เพราะประชาชนทั่วโลก รวมทั้งบรรดาผู้นำสามารถกำจัดความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ความบาดหมาง และอคติทั้งหลาย แล้วปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจและเปิดกว้างทางความคิด อีกทั้งยังจับมือกันเดินไปข้างหน้า เพื่อให้มนุษยชาติเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง และสวมกอดอนาคตอันสว่างไสวและก้าวหน้าไว้" เวินกล่าวและเสริมว่า

 

"จีนนั้นเป็นประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ เราพร้อมที่จะร่วมมือกับชาติสมาชิกในประชาคมโลกเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกัน แบ่งปันโอกาสก้าวหน้า เผชิญหน้ากับปัญหาท้าทาย และอุทิศตนเพื่อการพัฒนาด้วยความปรองดองและยั่งยืนของโลก"

 

ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศที่มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากที่สุดในโลก โดยมียอดรวมสูงถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2008 นอกจากนั้น จีนยังได้เข้าไปลงทุนซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นสัดส่วนมากที่สุดด้วย ซึ่งในรายงานของสำนักวิจัยของสภาคองเกรสประจำเดือนมกราคมระบุว่าจีนอาจถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นวงเงินเกือบ 700,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน 2006 โดยเป็นรองก็แต่ญี่ปุ่นเท่านั้น

 

ทั้งนี้ เวินกล่าวถึงความวิตกกังวลของโลกต่อทิศทางของจีนภายหลังการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกว่า จีนนั้นยังคงรักษาพันธกิจใน "การพัฒนาอย่างสันติ" และเดินหน้า "การปฏิรูปอย่างเปิดกว้าง" เพราะจีนเชื่อว่า "มีเพียงการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมือง และการปฏิรูปในด้านต่างๆ เท่านั้นที่จะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางสังคมอย่างยั่งยืน และมีเพียงการเปิดกว้างอย่างรอบด้านเท่านั้นที่จะนำประเทศไปสู่ความแข็งแกร่งและความมั่งคั่งยิ่งขึ้น"

 

อัมโนเลื่อนปีหน้าเลือกผู้นำคนใหม่-ลือ "บาดาวี" ถูกบีบ

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - พรรคอัมโนประกาศเลื่อนการเลือกตั้งผู้นำคนใหม่ไปเดือนมี.ค.ปีหน้า ลือ "บาดาวี" ถูกบีบให้ลงจากตำแหน่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้

 

พรรคสหมาเลย์แห่งชาติ (อัมโน) แกนนำรัฐบาลมาเลเซีย ประกาศวานนี้ (26 ก.ย.) ว่า จะเลื่อนการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคออกไป ทำให้เกิดข่าวลือว่านายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี กำลังถูกบีบให้ลงจากตำแหน่งในไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

นายบาดาวี แถลงต่อผู้สื่อข่าวหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมฉุกเฉินของพรรคอัมโน ว่า จะเลื่อนการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ไปเป็นเดือน มี.ค.ปีหน้า แทนที่จะเป็นเดือน ธ.ค.ปีนี้ ตามที่กำหนดไว้เดิม โดยให้เหตุผลว่า เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอำนาจที่จะเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนด

 

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียไม่ได้เปิดเผยว่า จะลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกสมัยหรือไม่ โดยระบุว่า จะแจ้งให้ทราบก่อนวันที่ 9 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่พรรคในแต่ละเขตจะเริ่มประชุม เพื่อส่งตัวแทนเข้าชิงชัยตำแหน่งผู้นำพรรคอัมโน ตามธรรมเนียมแล้วผู้ที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซียโดยอัตโนมัติ

 

อย่างไรก็ตาม นายบาดาวีปฏิเสธว่าไม่ได้ถูกกดดันจากแกนนำพรรค โดยมีแกนนำเพียง 2 ถึง 3 รายที่รู้สึกว่าเขาควรจะลงจากตำแหน่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้ พร้อมระบุว่า เขาไม่มีแผนลงจากตำแหน่งก่อนถึงเดือน มี.ค. เพราะยังมีงานทำอีกมาก ก่อนหน้านี้ นายบาดาวีอ้างว่าจะลาออกก็ต่อเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิรูปเศรษฐกิจ ระบบยุติธรรม และระบบราชการก่อน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท