Skip to main content
sharethis

 






การเมือง - สังคม


 


"ป๋าเปรม"แนะเด็กไทย"พูดเท็จ ไม่เจริญ"


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ -  ที่หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ หลังศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เป็นประธานพิธีมอบทุนการศึกษามูลนิธิเปรม ติณสูลานนท์ให้เด็กนักเรียนและมอบรางวัลการประกวดโครงงานนักเรียนระดับภาค ประจำปี 2551โดยมี พล.ท.สุจิตร สิทธิประภา แม่ทัพภาคที่ 2 และประธานมูลนิธิเปรม ติณสูลานนท์จังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการ ตำรวจ ทหาร ทั้ง 19 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้การต้อนรับ ซึ่งมีนักเรียนนักศึกษาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือกว่า 1,500 คน เข้ารับมอบทุนการศึกษาในครั้งนี้


 



จากนั้น พล.อ.เปรม กล่าวให้โอวาทแก่นักเรียนนักศึกษาที่เข้ารับมอบทุนการศึกษาและประชาชนที่เข้าร่วมพิธี ว่า    วันเวลาก็เปลี่ยนไปทุกวัน แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือความปรารถนาดีของท่านทั้งหลายที่มีต่อเด็ก ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงที่พวกเราจะต้องช่วยกันดูแล สั่งสอนเด็ก ว่า เด็กจะต้องดูแลตัวเองด้วย พวกเราก็จะช่วยดูแลต่อไป ร่วมมือกันดูแล เพื่อให้เด็กรู้จักแยกแยะความดีกับความชั่วออกจากกันได้ รู้จักว่าหน้าที่ที่มีต่อตนเอง ต่อพ่อแม่ ต่อวงศ์ตระกูล ต่อชาติบ้านเมืองคืออะไร


 



สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะต้องขอบคุณพวกท่านทั้งหลาย และคงไม่สามารถจะพูดคำขอบคุณออกมาได้ทั้งหมด แต่ผมรู้ว่าพวกคุณนั้นเป็นคนดีและปรารถนาดีต่อเด็ก สิ่งที่บรรดาท่านทั้งหลาย แม้แต่เด็กและครูบา อาจารย์ อาจจะไม่คิดว่าสิ่งที่ผมได้รับเป็นส่วนตัว คือความสุข ความสุขมาจากสิ่งที่พวกคุณได้นำมามอบให้ผม ความสุขที่เกิดจากบรรดาพวกเราทั้งหลายได้สละเวลาบางส่วนของเราเพื่อทำให้เด็กของเราเป็นเด็กที่สามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้ในอนาคต อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ


 



พล.อ.เปรม กล่าวว่า เด็กอาจจะยังไม่เข้าใจที่พูดไปเท่าไหร่ อยากให้ครูบาอาจารย์ไปช่วยอธิบายว่าพวกเรามีความรู้สึกต่อเด็ก ๆ อย่างไรบ้าง เด็กในห้องนี้มีแต่เด็กที่ได้รับรางวัล แต่เด็กที่อยู่นอกห้องนี้จำนวนหลายล้านคนซึ่งไม่ได้มาฟัง และไม่ได้รับรางวัล จะได้รู้ว่าสิ่งที่เขาควรจะทำคืออย่างไร


 



พล.อ.เปรม กล่าวต่อว่า สำหรับเด็ก ๆ จากคำกล่าวปฏิญาณตนที่กล่าวไปแล้วนั้น ซึ่งก็ไม่ทราบว่าใครเขียน และเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมาหรือไม่นั้น ผมจำไม่ได้ แต่ว่า คนเราถ้าปฏิญาณตนว่าจะทำอะไรจะต้องทำตามนั้น ถ้าไม่ทำตามนั้น พวกเธอจะไม่ประสบกับความเจริญ ความสุข เพราะว่าพวกเธอพูดเท็จ


 


ปชป.-สว.หนุนแนวคิด คกก.ปฏิรูปการเมือง


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - นายแพทย์บูรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวว่า พรรคสนับสนุนข้อเสนอของอธิการบดีมหาวิทยาลัย 24 แห่งทั่วประเทศในการตั้งคณะกรรมการอิสระ เพื่อปฏิรูประบบการเมืองการปกครอง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองเพื่อประชาชน รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศสัตยาบัน การสนับสนุนกระบวนการการเมืองภาคประชาชน ร่วมแก้วิกฤติปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อ 4 สถาบันหลักของชาติประกอบด้วย ฝ่ายบริหารที่ขาดเอกภาพในการทำงานโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ฝ่ายนิติบัญญัติที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ฝ่ายตุลาการที่ถูกลดความน่าเชื่อถือลง และองค์กรอิสระที่ถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ซึ่งเรื่องดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาของประชาชนได้ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีเองต้องตอบข้อสงสัยของประชาชนให้ได้ว่า สามารถปกป้องกระบวนการยุติธรรมและสถาบันตุลาการของประเทศได้ ทั้งนี้ ข้อเสนอนี้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ต้องเป็นผู้ริเริ่มให้เกิดขึ้นและต้องหาจุดที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน


 



โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ก่อนที่รัฐบาลจะแถลงนโยบายการทำงานต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเดือนตุลาคมนี้ ควรชี้แจงก่อนว่ารัฐบาลชุดนี้มีการทำงานที่แตกต่างจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมาอย่างไร และหากตั้งใจปฏิรูปการเมืองจริง ก็ไม่ควรแทรกแซงองค์กรอิสระและเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆ โดยพรรคประชาธิปัตย์จะสนับสนุนอย่างเต็มที่


 



ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว. กทม. ระบุ ส่วนตัวสนับสนุนให้เกิดการปฏิรูปทางการเมือง เนื่องจากเห็นว่า ระบบการเมืองไทยในขณะนี้ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้แล้ว สำหรับกรณี 24 อธิการบดี เสนอให้ตั้งคณะปฏิรูปการเมืองขึ้นมานั้น รัฐบาลอาจไม่จำเป็นต้องรับ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ ขณะเดียวกัน นับเป็นสิ่งที่ดีที่ได้ทราบว่า ภาคประชาชน ได้ตื่นตัวเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองมากยิ่งขึ้น แต่ที่สุดแล้วคงจะต้องดูว่า ยังสามารถคงเจตนารมณ์ ในการทำการปฏิรูปการเมือง หรือ รัฐธรรมนูญซึ่งควรทำเพื่อประชาชนและประเทศชาติให้ได้ประโยชน์สูงสุด มิใช่ทำเพื่อนักการเมืองบางกลุ่มที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ ยอมรับว่าขณะนี้ วุฒิสภา มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาการปฏิรูปการเมืองด้วย


 


 


 






เศรษฐกิจ


 


ครม.ไฟเขียวสั่งคลังคืนงานข้าวพาณิชย์


เว็บไซต์เดลินิวส์ - นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. นัดพิเศษ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังคืนงานบริหารข้าวกลับให้กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบทั้งหมด ทั้งการรับจำนำข้าว การระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล ซึ่งแนวทางหลังจากนี้ กระทรวงฯ จะเร่งหาทางระบายข้าวในสต๊อกทั้งข้าวเก่า ข้าวใหม่ 6 ล้านตันออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับรองรับการจำนำข้าวฤดูการผลิตปี 51/52 ที่จะเริ่มวันที่ 16 ต.ค.นี้


 


"การระบายข้าวจะเปิดกว้าง และจะรีบทำโดยเร็ว เพราะข้าวใหม่กำลังจะออกมา ข้าวเก่าในโกดังก็มีมาก ถ้าไม่รีบระบายจะมีปัญหาไม่มีที่เก็บข้าว โดยการระบายใครอยากจะซื้อ ซื้อเท่าไร ก็ให้เสนอมา แต่ต้องเป็นราคาที่รัฐไม่ขาดทุน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีราคาขั้นต่ำในใจไว้อยู่แล้ว"



นายไชยา กล่าวว่า ขณะเดียวกันสั่งการให้กรมการค้าภายใน และองค์การคลังสินค้า (อคส.) ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวนาปรัง ที่กระทรวงคลังดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อดูว่ามีปัญหาเรื่องคุณภาพ หรือจำนวนข้าวครบหรือไม่ ก่อนที่จะโอนงานกลับคืนให้กระทรวงพาณิชย์ทำ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและหากเกิดปัญหาจะได้แก้ไขได้ทัน โดยยืนยันว่าหากพบทุจริตก็จะดำเนินการหาคนผิดขั้นเด็ดขาด


 



ส่วนการแก้ไขปัญหาเรื่องโรงสีที่ถูกขึ้นบัญชีดำ (แบล็กลิสต์) จะยังเดินหน้าต่อเพื่อให้มีโรงสีเพียงพอต่อการรับจำนำข้าว แต่มีเงื่อนไขว่าโรงสี ที่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง หรือไม่มีเจตนาที่จะทุจริต ก็จะผ่อนปรนให้เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวได้ แต่โรงสีจะต้องจ่ายคืนเงินต้นที่ค้างชำระให้กับรัฐทั้งหมดก่อน



ส่วนเรื่องค่าปรับเปิดโอกาสให้มีการเจรจาต่อรองกันได้ ขณะที่โรงสีที่มีเจตนาทุจริตจะไม่มีการยกเว้นโทษให้


 


 






ต่างประเทศ


 


คองเกรสสหรัฐประชุมผลักดันแผนกู้วิกฤติ


เว็บไซต์เดลินิวส์ -  บรรดาผู้นำสหรัฐนัดประชุมหารืออีกครั้ง เกี่ยวกับแผนการที่ฝ่ายรัฐบาลขออนุมัติ งบกอบกู้ เศรษฐกิจ 700,000 ล้านดอลลาร์จากรัฐสภา ขณะที่แบงก์ชาติหลายประเทศอัดฉีดเงินเข้าตลาด กันอุตลุดวิกฤติพ่นพิษแบงก์ยักษ์ใหญ่เตรียมปลดพนักงานกว่าพันคน


 



สภาคองเกรสสหรัฐในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เปิดประชุมหารืออีกครั้งในวันศุกร์ (26 ก.ย.) เกี่ยวกับแผนการที่รัฐบาลสหรัฐขออนุมัติงบประมาณจากรัฐสภา จำนวน 700,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อหนี้เสียของธุรกิจสินเชื่อบ้านในสหรัฐ หลังจากที่ตกลงกันไม่ได้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านเดโมแครตและพรรครัฐบาลรีพับลิกันมีความเห็นไม่ตรงกัน โดยการหารือได้เชิญ 2 ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2008 คือ นายจอห์น แมคเคน ตัวแทนของพรรครีพับลิกัน กับนายบารัค โอบามา ตัวแทนของพรรคเดโมแครต เข้าร่วมการหารือด้วย โดยทั้งสองจะมีการประชันวิสัยทัศน์แนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งจะเป็นการเผชิญหน้าโต้วาทีเป็นครั้งแรก ของทั้งหมดที่ตกลงกันไว้ 3 ครั้ง ก่อนถึงวันลงคะแนนเลือกตั้ง 4 พ.ย.



รายงานจากกรุงโตเกียวแจ้งว่า ธนาคารชาติญี่ปุ่น (บีโอเจ) ได้อัดฉีดเงินฉุกเฉินเข้าระบบการเงินอีกเมื่อวันศุกร์ (26 ก.ย.) ซึ่งเป็นวันที่ 8 ติดต่อกันของวันทำการ เพื่อหวังทำให้ตลาดที่ผันผวนนิ่งขึ้น ซึ่งจนถึงขณะนี้บีโอเจอัดฉีดเงินเข้าตลาดโตเกียวแล้วทั้งหมด 1.5 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 480,000 ล้านบาท แต่ระบายออกไป 300,000 ล้านเยน เพราะคงดอกเบี้ยข้ามคืนไว้ที่ร้อยละ 0.5 ตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกแถลงการณ์ร่วมกับธนาคารกลางประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร (อีซีบี) ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ว่า ได้เพิ่มเงินอัดฉีดเข้าตลาดผ่านสัญญาการแลกเปลี่ยนเงิน (สวอป) ชั่วคราว เพื่อให้ธนาคารกู้ยืมรายสัปดาห์ และพร้อมจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อแก้ปัญหาแรงกดดันในการหาเงินพยุงตลาด


 



เอชเอสบีซี หนึ่งในธนาคารขนาดใหญ่ของโลก เตรียมปลดพนักงานทั่วโลก 1,100 คน เนื่องจากสถานการณ์การเงินโลกผันผวน ทั้งนี้ โฆษกเอชเอสบีซีในฮ่องกงเผยว่า จะปลดพนักงานในแผนกการธนาคารและการตลาด ในจำนวนนี้ราวครึ่งหนึ่งเป็นพนักงานในสาขาอังกฤษ ส่วนสาขาฮ่องกงจะปลดราว 100 คน ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้เป็นไปตามภาวะธุรกิจโลกในปัจจุบัน


 


"โอบาม่า-แมคเคน"โต้เผ็ดร้อนประเด็นศก.-มั่นคง-ตปท.


เว็บไซต์คมชัดลึก - 27ก.ย. การโต้วาทีระหว่างผู้สมัครชิงประธานาธิบดีจากสองพรรค จอห์น แมคเคน และบารัค โอบาม่าเป็นไปอย่างเผ็ดร้อน โดยผู้สมัครทั้งสองได้พูดถึงเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงกว่าครึ่งชั่วโมงแรกของการโต้วาที แมคเคนเสนอให้มีการระงับการใช้จ่ายในโครงการทั้งหมดของรัฐบาล ยกเว้นด้านงบด้านการทหารและงบช่วยเหลือทหารผ่านศึก รวมถึงงบสวัสดิการสังคม แต่โอบาม่ามองว่า ความคิดดังกล่าว เป็น


 



สำหรับนโยบายด้านสงครามอิรัก แมคเคนโจมตีโอบาม่าว่าคิดผิดที่ไม่ได้สนับสนุนการเพิ่มกำลังทหาร 3 หมื่นนายในอิรักเมื่อปีที่แล้วซึ่งช่วยลดเหตุรุนแรงในอิรัก ส่วนโอบาม่าระบุว่า สงครามอิรักเบี่ยงเบนกองทัพสหรัฐจากการไล่ล่า บิน ลาเดน ผู้นำกลุ่มก่อการร้ายอัลไกด้า ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในพรมแดนอัฟกานิสถานและปากีสถาน นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังแสดงความเห็นในประเด็นความสัมพันธ์กับรัสเซีย และภัยคุกคามจากอิหร่านด้วย


 



ในระหว่างโต้วาทีแมคเคนวัย 72 ปีได้โจมตีโอบาม่าว่า ไม่มีประสบการณ์ พร้อมบอกว่า ตัวเขาไม่ต้องฝึกงานอีกแล้ว และพร้อมที่จะทำหน้าที่ในทันที ด้านโอบาม่าไม่ได้ตอบโต้ข้อกล่าวหาเรื่องการด้อยประสบการณ์ แต่เน้นว่า การตัดสินใจ เป็นเรื่องสำคัญ


 



ก่อนหน้านี้ แมคเคนเรียกร้องให้โอบาม่าเลื่อนการดีเบทครั้งนี้ออกไปเนื่องจากวิกฤตเศรษบกิจของสหรัฐแต่โอบาม่าปฏิเสธ ทำให้ในที่สุด แมคเคนได้ตกลงจะเข้าร่วมตามกำหนดเดิม แต่หลังเสร็จสิ้นการดีเบทครั้งนี้ แมคเคนจะเดินทางกลับกรุงวอชิงตัน ดีซีในทันที เพื่อสานต่อความพยายามแก้ไขวิกฤตการเงิน


 


เศรษฐกิจรุ่งคนรวยอินเดียเพิ่มกระฉูด


เว็บไซต์เดลินิวส์ - ผลการศึกษาพบว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีจำนวนเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในโลก เป็นผลมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ทำให้อินเดียมีคนรวยเพิ่มมากขึ้น ขณะที่จีนอยู่อันดับ 2 ตามมาด้วยเกาหลีใต้


 


รายงานเรื่องความมั่งคั่งในภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งจัดทำโดย เมอร์ริลล์ ลินช์ วาณิชธนกิจในสหรัฐ และบริษัทที่ปรึกษา แคป เจมินิ ระบุว่า เมื่อช่วงสิ้นปี 2550 อินเดียมีจำนวนเศรษฐีทั้งหมด 123,000 คน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 22.7 เมื่อเทียบกับช่วง 12 เดือนก่อนหน้านี้ เท่ากับว่า อินเดียมีเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าประเทศใดในโลก ด้านนายประทีป โดคาเนีย เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมอร์ริลล์ ลินช์ กล่าวว่า ความต้องการภายในและความกระหายสินค้าโภคภัณฑ์ของเอเชียอย่างต่อเนื่อง มีส่วนผลักดันให้เกิดความมั่งคั่งสะสมในอินเดีย


 


ขณะที่จีนตามหลังมาเป็นอันดับ 2 โดยรายงานระบุว่า จีนมีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 รองลงมา คือ เกาหลีใต้ มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.9 ซึ่งคำว่า "เศรษฐี" ตามที่รายงานอ้างถึงก็คือ ผู้ที่มีทรัพย์สินสุทธิมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นไป หรือกว่า 34 ล้านบาท


 



ทั้งนี้เศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัวถึงร้อยละ 9 ในปีงบการเงินสิ้นสุด ณ เดือนมีนาคม 2551 ส่วนเศรษฐกิจจีนขยายตัวถึงร้อยละ 11.9 เมื่อปีที่แล้ว แซงหน้ากลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดเงิน และแม้เศรษฐกิจจีนกับอินเดียอาจจะชะลอการขยายตัวในปีนี้ แต่ตัวเลขการขยายตัวก็น่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไป


 



นอกจากนี้ อินเดีย เศรษฐกิจของประเทศ ได้ดึงดูดเงินทุนต่างชาติคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ ธนาคารกลางของอินเดีย ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 13 ปี และการเติบโตทางเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาสแรก จนสิ้นสุดเดือนมิถุนายน อยู่ที่ร้อยละ 7.9 ซึ่ง เป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน จีน มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวอยู่ที่ร้อยละ 10.1 ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้


 


จีนแซงมะกันปล่อย CO2


เว็บไซต์ไทยรัฐ - นักวิทยาศาสตร์ 8 คน สังกัดกลุ่มวิจัยที่ชื่อว่า "โครงการคาร์บอนโลก"(GCP)เผยแพร่รายงานเมื่อ 26 ก.ย. ระบุจีนเบียดแซงหน้าสหรัฐฯขึ้นมาอยู่หัวแถวชาติผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(Co2) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักให้เกิดภาวะเรือนกระจกมากสุดในโลก ตั้งแต่ปี 2549 ส่วนอินเดียจะพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 3 แทนรัสเซียในไม่ช้า เตือนสถิติการปล่อยก๊าซทำโลกร้อนทั่วโลกกำลังไต่ถึงระดับสูงสุด ในอดีตจนถึงปี 2548 ชาติพัฒนาแล้วเป็นแหล่งปล่อยก๊าซ CO2 สำคัญ แต่ปัจจุบัน กลุ่มชาติกำลังพัฒนาปล่อยก๊าซ CO2 คิดเป็นสัดส่วน 53% ของทั้งหมด รายงานระบุด้วยว่า สถิติการปล่อยก๊าซ CO2 เมื่อปีที่แล้วแบ่งเป็นคาร์บอนเกือบย 10,000 ล้านตัน พลังงานฟอสซิล 8,500 ล้านตัน ส่วนที่เหลือเกิดจากการแผ้วถางที่ทำกินและการตัดไม้ทำลายป่า

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net