Skip to main content
sharethis





เศรษฐกิจ


กลุ่มพืชครบวงจรซี.พี.ลุยข้ามปท. เป้าหมายจีนตั้งรง.อาหารสัตว์-เมล็ดพันธุ์-ชาอู่หลง


กลุ่มพืชครบวงจร ซี.พี.ทุ่ม 1,000  ล้านบาท ลงทุนตั้งโรงงานผลิตอาหาร สัตว์ 5 แห่ง โรงงานผลิตชาอู่หลงภายใต้แบรนด์ "เจิ้งต้าหมิงฉา" พร้อมลงทุนอีก 150 ล้าน ผลิตไวน์ "Moon Valley"เล็งส่งพันธุ์กล้ายาง เปิดตลาดลาว-จีน เร่งส่งเสริมปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์-ถั่วเหลืองในประเทศเพื่อนบ้าน


 


นายมนตรี คงตระกูลเทียน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจรเครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในจีนใช้เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ในกิจการเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดอาหารสัตว์ โดยมีโรงงานผลิตอาหารสัตว์มากกว่า 5 แห่ง โครงการพัฒนาตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าวลูกผสม รวมทั้งเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวาน ที่เหลือใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาทในกิจการปลูกและแปรรูปชาอู่หลงคุณภาพดี ภายใต้เครื่องหมายการค้า "เจิ้งต้า   หมิงฉา" และใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาท ในกิจการผลิตไวน์จากไร่องุ่นคุณภาพดี ภายใต้แบรนด์ "Moon Valley"


 


นอกจากนี้บริษัทเล็งเห็นว่าประเทศ ลาวมีพื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกต้นยางพารา จึงได้ขออนุญาตจากกรมวิชาการเกษตรส่งกล้าพันธุ์ยางชำถุงของบริษัทไปทดสอบตลาดในประเทศลาวในช่วงที่ผ่านมา ปรากฏว่าสินค้ากล้ายางพันธุ์ดีของบริษัทได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทย จีน และลาวนำไปปลูกในพื้นที่จำปาสัก สุวรรณเขต คำม่วน ฯลฯ กันอย่างแพร่หลาย


 


กรณีปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ขาดแคลนและปัญหาต้นทุนค่าขนส่งที่   สูงขึ้น ทำให้การนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากแหล่งผลิตในสหรัฐและยุโรปมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ช่วงที่ผ่านมา ซี.พี.   จึงหันไปส่งเสริมการเพาะปลูกถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ระบบคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่งในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน   เช่น พม่า แถบเมืองเว้ มัณฑะเลย์   โดยมีผลผลิตอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจ  คือ 500 ก.ก./ไร่ และปลูกในเมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว ได้ผลผลิต  เฉลี่ย 850 ก.ก./ไร่


 


ขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนพัฒนา  สายพันธุ์ถั่วเหลืองของตัวเอง แต่แนะนำให้เกษตรกรในประเทศเพื่อนบ้านปลูก  ถั่วเหลืองพันธุ์ดีที่ส่งเสริมปลูกทั่วไปใน ไทย เช่น เชียงใหม่ 60, แม่โจ้ ฯลฯ   โดยบริษัทรับซื้อผลผลิตคืนในราคาประกัน โดยคาดว่าในปีนี้บริษัทจะสามารถรับซื้อผลผลิตถั่วเหลืองจากพม่าได้หลายแสนตัน รวมทั้งรับซื้อถั่วเหลืองจากกัมพูชา 1-2 หมื่นตัน ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรม  ผลิตอาหารสัตว์ในประเทศไทย


 


ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจรมี   การลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ใช้เม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า   200 ล้านบาท ในกิจการเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดอาหารสัตว์ รองลงไปคือข้าวโพดหวาน และปุ๋ยอินทรีย์ ส่วนประเทศพม่าใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาท ในธุรกิจเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดอาหารสัตว์ สำหรับประเทศอินเดีย บังกลาเทศและเนปาลใช้เงิน ลงทุน 150 ล้านบาท ในกิจการเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดอาหารสัตว์


 


ผู้สื่อข่าวรายงานงานสัมมนาทางวิชาการเรื่อง "การค้าและการลงทุนด้านการเกษตรของไทยในประเทศเพื่อนบ้าน" ที่จัดขึ้นโดยคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ เมื่อเร็วๆ นี้ นายนิยม ไวยรัชพานิช ประธานคณะกรรมการการค้าชายแดน สภาหอการค้าไทย ได้เสนอแนะให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งพัฒนาเส้นทางการค้าใหม่ โดยเชื่อมโยงการขนส่งและโลจิสติกส์จากไทย-พม่า-ราชบุรี เพื่อเปิดเส้นทาง การค้าไทยสู่พม่าและกลุ่มประเทศเอเชียตะวันตก เช่น บังกลาเทศ อินเดีย และปากีสถาน เพื่อประหยัดเวลาขนส่งโดยส่งเสริมการใช้ท่าเรือชายฝั่งอันดามัน เนื่องจากเป็นท่าเรือสมบูรณ์แบบมาก  ที่สุด สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม  ทางเหนือ รวมทั้งฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ แถบจังหวัดราชบุรีและเพชรบุรีซึ่งมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก รวมทั้งยังเปิดโอกาสให้สามารถส่งออกอาหารทะเล แร่ธาตุ ป่าไม้ และวัตถุดิบอื่นๆ จากกาดตะนาวศรี (Thanintharyi) ได้โดยตรง


 


ขณะเดียวกันท่าเรือแห่งนี้อาจเป็นที่รองรับการขนย้ายตู้คอนเทนเนอร์จากไทยไปยังเมืองต่างๆ ในพม่า เช่น เมืองมะละแหม่ง (Mawlamyaing) ขณะเดียวกันรัฐบาลสามารถพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและการบริการเพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่นักลงทุน ควรจัดสร้างเขตอุตสาหกรรมรอบๆ ท่าเรือ โดยอาศัยแรงงาน ชาวพม่าที่มีต้นทุนค่าแรงต่ำ เพิ่มศักยภาพสินค้าไทยในการเปิดตลาดแข่งขันใน  เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากโครงการนี้สำเร็จเป็นรูปธรรมจะก่อให้เกิดการสร้างแรงงานจำนวนมาก ทั้งระหว่างการก่อสร้างและภายหลังจากการเปิดดำเนินงานเต็มรูปแบบแล้ว


 


ที่มา: http://www.matichon.co.th/prachachart


 


กนอ.ระดมเอกชนตั้งนิคมฯเชียงของ


นายประสบศิลป์ โชติมงคล รองผู้ว่าการ(ปฏิบัติการ 2) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้กนอ.ได้จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในโครงการศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอ.เชียงของ จ.เชียงรายเพื่อพัฒนาเป็นฐานการผลิตและรองรับการขนส่งสินค้าและบริการ ซึ่งสอดรับกับแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนของรัฐบาล


 


โดยจากการรับฟังความเห็นแล้วภาคเอกชนสนใจและเห็นว่าจะเป็นพื้นที่ที่จะสามารถดึงดูดการลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะจากจีนได้อย่างมากเพราะขณะนี้จีนมีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตใหม่ในการกระจายการผลิตสินค้าแล้วส่งออกไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะได้มีการหารือกับเอกชนที่จะเข้าไปลงทุนพัฒนานิคมฯให้เป็นรูปธรรม


 


นายประสบศิลป์กล่าวว่า ผลศึกษาต้องการพัฒนาให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมน่าอยู่ โดยได้ศึกษาพื้นที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ทั้งสิ้น 16,000 ไร่ โดยอยู่ระหว่างทางหลวงหมายเลข 1174 และ 1020 นอกจากนั้นแล้วจังหวัดเชียงรายยังเป็นพื้นที่ในการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงของประเทศไทยที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยแบ่งเป็น 1.โครงข่ายเหนือ - ใต้ ซึ่งเป็นโครงข่ายหลักที่จะเชื่อมโยงจีนตอนใต้ พม่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไทย และมาเลเซีย 2.โครงข่ายตะวันออก -ตะวันตก ซึ่งเป็นโครงข่ายรองที่จะเชื่อมโยงพม่า ไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเวียดนาม


 


ที่มา: เว็บไซต์สยามรัฐ


 


ผู้ส่งออกกังวลเงินบาทแข็งค่า กระทบQ1อิเล็กทรอนิกส์อ่วม


วิกฤตการเงินสหรัฐฉุดกำลังซื้อทั่วโลก กระทบส่งออกกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์-เครื่องใช้ไฟฟ้า-สิ่งทอ-อาหาร ยอมรับออร์เดอร์ปี 2552 วูบ หวั่นปัญหาค่าบาทแข็งซ้ำเติมภาวะส่งออก SMEs ดิ้นปรับตัวลุยเจาะตลาดใหม่


 


ปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐกำลังจะกลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ลุกลามไปทั่วโลก หลังจากสภาคองเกรสไม่อนุมัติแผนอัดฉีดสภาพคล่อง 700,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามที่รัฐบาลสหรัฐเสนอ ขณะเดียวกันยุโรปและญี่ปุ่นเริ่มแสดงอาการว่าได้รับผลกระทบจากวิกฤตในครั้งนี้ ส่งผลให้การส่งออกของไทยได้รับผลกระทบ ผู้ส่งออกหลายรายจึงเร่งปรับตัวด้วยการเจาะตลาดใหม่


 


อิเล็กทรอนิกส์คาดส่งออกปี"52 ลำบาก


นายขัติยา ไกรกาญจน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สถานการณ์การส่งออกของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอ นิกส์ช่วงครึ่งปีแรก มีอัตราเติบโต 11-12% แต่พอมาถึงช่วงไตรมาส 3 ออร์เดอร์กลับไม่เพิ่มขึ้น และคาดว่าไตรมาส 4 ออร์เดอร์จะลดลง โดยรวมคาดว่าในปีนี้ มูลค่าการส่งออกจะเติบโต 10% สาเหตุหลักเนื่องจากสหรัฐที่เป็นตลาดหลักชะลอการสั่งซื้อสินค้าลง


 


ส่วนในปี 2552 คาดการส่งออกจะเพิ่มขึ้นไม่ถึง 10% เนื่องจากผลกระทบทางตรงจากวิกฤตการเงินในสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงสหภาพยุโรปและเอเชียที่นำเข้า  สินค้าเพื่อนำไปผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐ ต้องลดการนำเข้าสินค้าลงตามสหรัฐ รวมถึงค่าเงินบาทแข็งขึ้นก็ทำให้ไทยส่งออกได้น้อยลง สินค้าที่มีออร์เดอร์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด คือ กลุ่มสินค้า IC และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เดิมเป็นกลุ่มมีอัตราการเติบโตดี อย่างไรก็ตามปัจจุบันกลุ่มอุตสาห กรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศยังมีแนวโน้มการส่งออกที่ดีอยู่ ดังนั้นในปีหน้าผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมอาจจะเน้นเรื่องของการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อส่งออกมากกว่าการผลิต IC


นายผณิศวร ชำนาญเวช ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า ในปี 2552 คาดว่าการส่งออกน่าจะขยายตัวใกล้เคียงกับปีนี้ มูลค่า 80,000 ล้านบาท แต่ปีนี้ตลาดสหรัฐยังเป็นตลาดหลักที่มีสัดส่วน 50% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือปัจจัยเสี่ยง หากเงินดอลลาร์อ่อนลงมากจะมีผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และในด้านการส่งออก หากอัตราแลกเปลี่ยนปรับแข็งค่าไปถึง 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากขณะนี้ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ไทยจะแย่เพราะสูญเสียรายได้จากอัตราแลกเปลี่ยน


 


นายวัลลภ วิตนากร เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่า ตลาดสหรัฐถือเป็นตลาดหลักในการส่งออกเครื่องนุ่งห่ม คิดเป็นสัดส่วน 47% ของการส่งออกเครื่องนุ่งห่ม ย่อมจะกระทบต่อการสั่งซื้อสินค้าไทยในปี 2552 เพราะในไตรมาส 4/2551 ได้รับคำสั่งซื้อเต็มแล้ว โดยคาดว่าสินค้ากลุ่มแบรนด์เนมซึ่งมีสัดส่วน 30% จะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าสินค้ากลุ่มแมสโปรดักต์อีก 70% อย่างไรก็ตามปัญหาที่ผู้ส่งออกกังวล คือ อัตราแลกเปลี่ยน  หากอยู่ที่ 33.50-34.00 บาท รับได้ แต่หากแข็งแตะ 31 บาท "ก็ตัวใครตัวมัน"



SMEs วางแผนปรับตัวรับวิกฤต ศก.


นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ ประธานกรรมการ บริษัท กำแพงแสน คอมเมอร์เชียล จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกผักสด กล่าวว่า สินค้าของบริษัทโชคดีที่ไม่ได้พึ่งพาตลาดสหรัฐ ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป ซึ่งตอนนี้ลูกค้ายังไม่ส่งสัญญาณว่ามีปัญหาหรืออาจจะมีปัญหาหรือไม่ แต่บริษัทก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและไม่ประมาท


 


โดยบริษัทมีแผนรับมือคือติดต่อและติดตามสถานการณ์ของลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยรวมแล้วบริษัทมีอัตราการเติบโตด้านปริมาณ 15% แต่มูลค่ามีการเติบโตเพียง 10% อันเนื่องมาจากผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่ามาตลอด


 


นายวิวัฒน์ อรรถประสิทธิ์ กรรมการ  ผู้จัดการ บริษัท เอเชีย เปเปอร์แบก จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกถุงกระดาษ กล่าวว่า สัญญาณที่จับได้ว่าลูกค้าต่างประเทศกำลังมีปัญหาเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่ที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ งานบางกอกเจมส์ที่เพิ่งจบไปที่ลูกค้าต่างประเทศหายไปกว่า 70% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่าที่อยู่ในยุโรปและอเมริกา ที่มีการบอกกล่าวว่าจะมาแต่ในที่สุดก็ไม่มา และเมื่อเกิดวิกฤตการณ์การเงินสหรัฐซ้ำขึ้นมา จึงค่อนข้างแน่นอนว่าปีนี้เอสเอ็มอีเจอปัญหาตลอดทั้งปี ซึ่งปัญหารอบนี้จะส่งผลประมาณปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า



ที่มา: http://www.matichon.co.th/prachachart"


 


กลุ่มเหล็กเริ่มระส่ำ ราคารูดเหลือ26บ. วิกฤติสหรัฐซ้ำเติม


มึนราคาเหล็กรูดเหลือกิโลกรัมละ 26 บาท ลดวูบกว่า 20% หลังความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง เหตุกังวลวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ทำให้กำลังซื้อลด แนะรัฐบาลกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น


 


นายพยุงศักดิ์ ชาติสิทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.)ในฐานะประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก กล่าวว่า ผลพวงจากสหรัฐประสบปัญหาทางเศรษฐกิจส่งผลให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งเหล็กปรับลดลงด้วยทำให้ราคาเหล็กปรับลดลงตั้งแต่กลางปี 20% ส่งผลให้ราคาเหล็กในประเทศลดลงจากกิโลกรัมละ 36 บาทเหลือ 26-27 บาทต่อกิโลกรัม


 


จากสภาพการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้ซื้อไม่กล้าซื้อเหล็กโดยเฉพาะผู้ที่ซื้อสตอกไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงและสตอกเหล็กจะยังคงใช้ได้อีกประมาณ 1-2เดือน ดังนั้นราคาเหล็กแท้จริงจะสะท้อนเมื่อผู้ใช้เริ่มซื้อเหล็กอีกครั้งเมื่อสตอกหมดแล้วส่วนอุตสาหกรรมก่อสร้าง ก็มีสตอกไว้เช่นกันต้นทุนใหม่น่าจะลดแต่ผู้ที่มีสตอกเหล็กต้องปรับตัว


 


นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐจะนำมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ กลับเข้าสู่การพิจารณาของสภาคองเกรสอีกครั้ง และน่าจะมีการหาทางแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารุนแรง จึงมั่นใจว่าที่สุดแผนกอบกู้เศรษฐกิจดังกล่าวจะได้รับอนุมัติ สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้นยังไม่ลุกลาม ภาคการเงินก็กระทบไม่มาก อย่างไรก็ตามต้องระวังเศรษฐกิจโลก จะชะลอตัวลงจะส่งผลให้กำลังซื้อลดลง และที่สุดก็จะกระทบคำสั่งซื้อใน 3-6 เดือนข้างหน้า


 


ดังนั้นรัฐบาลคงต้องติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิด พร้อมร่วมมือกับภาคเอกชนรับมือสถานการณ์ นอกจากนี้ควรเร่งผลักดันการบริโภคภายใน เดินหน้าโครงการลงทุนภาครัฐเร่งการใช้จ่ายงบประมาณโครงการที่ค้างจะต้องเร่งรัดออกมา เมื่อรัฐลงทุนจะเกิดความมั่นใจและเอกชนจะลงทุนตาม


 


ทั้งนี้เศรษฐกิจในประเทศจะช่วยพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคส่งออก จะต้องระวังปัญหาผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รัฐบาลยังจำเป็นต้องดูแลผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก สิ่งสำคัญสินเชื่อควรได้รับการดูแลรัฐบาลน่าจะพิจารณาให้มีการกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือกองทุนสนับสนุนธุรกิจขนาดกลาง และเล็ก พร้อมช่วยการตลาดเข้มข้นกว่าเดิม เพราะการแข่งขันในตลาดโลกจะเข้มขึ้น ดังนั้นรัฐบาลและเอกชนต้องร่วมมือกัน เพื่อให้ต้นทุนการผลิตต่ำเพียงพอที่จะแข่งขันได้


 


สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานอ้างผลการประเมินของเอสแอนด์พี ที่ได้รับการเผยแพร่ในสิงคโปร์ว่า จีนจะสามารถปรับนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศได้อย่างต่อเนื่องในระยะ 1-2 ปีข้างหน้านี้


 


โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศในระดับสูง แม้ว่าจีนจะต้องเผชิญอุปสรรคบ้างขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ จะต้องดิ้นรนมากกว่าเพื่อฝ่าฟันให้พ้นภาวะเศรษฐกิจซบเซาช่วงเวลาเดียวกันเนื่องจากทั้ง 2 ประเทศมีอุปสรรคทางด้านการเมืองด้วย นอกเหนือจากผลกระทบจากราคาน้ำมันและอาหารที่ปรับสูงขึ้น


 


ทั้งนี้เอสแอนด์พี คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเศรษฐกิจรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐจะเติบโตเพียง 0.7% ในปีงบประมาณนี้สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.ปีหน้า ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.2% ก่อนหน้านี้ ส่วนจีดีพีเกาหลีใต้จะขยายตัวราว 4.3% ปีนี้จาก 5% เมื่อปีที่แล้ว


 


ที่มา ข่าวหุ้น


 


ชาวบ้านขู่ฟ้องศาลรธน.เรียกค่าเสียหายกรมชลฯรื้อฝายแม่น้ำปิง900ล้าน


ศาสตราจารย์เฉลิมพล แซมเพชร ผู้ประสานงานภาคเอกชนด้านอนุรักษ์ 10 องค์กร แกนนำกลุ่มผู้คัดค้านการสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำปิง จ.เชียงใหม่ ของกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ในการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำปี ทางจังหวัดเชียงใหม่ได้เผยแพร่เอกสารข่าวประกอบการแถลงของนายไพโรจน์ แสงภู่วงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ยืนยันว่า ประชาชนพร้อมลงนามเห็นด้วยให้มีการก่อสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำปิงแล้ว ซึ่งเป็นการกล่าวเท็จ เพราะจนถึงปัจจุบันนี้กลุ่มชาวบ้านยังยืนยันมาตลอดหลายปีว่าไม่ต้องการให้ก่อสร้าง เพราะจะสร้างความเสียหายแก่ระบบนิเวศ และความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่สองฝั่ง


 


ทั้งนี้กรมชลประทานพยายามให้ชาวบ้านเห็นด้วยกับโครงการนี้ ระบุว่าได้รับอนุมัติงบประมาณมาแล้ว หากไม่ให้ก่อสร้างจะต้องคืนเงินงบประมาณกว่า 500 ล้านบาท ถือเป็นความผิดพลาดของกรมชลประทานเอง เพราะชาวบ้านยืนยันคัดค้านเช่นนี้มาตลอด แต่กรมชลประทานกลับอ้างว่าได้จัดรับฟังความคิดเห็นแล้ว 7 ครั้ง


 


และทุกครั้งชาวบ้านเห็นด้วย ถือเป็น การกล่าวเท็จเพราะกรมชลประทานไม่เคยรับฟังเสียงคัดค้านของประชาชนผู้ใช้น้ำ ประกอบด้วยกลุ่มผู้ใช้น้ำจากฝายพญาคำ ฝายท่าวังตาล และฝายหนองผึ้ง ซึ่งเป็นฝายหินทิ้งโบราณกั้นบริเวณแม่น้ำปิงในเขต อ.เมือง และ อ.สารภี จ.เชียงใหม่


 


ศาสตราจารย์เฉลิมพลกล่าวว่า รัฐธรรมนูญให้บุคคลมีสิทธิได้รับข้อมูล  คำชี้แจง เหตุผลจากหน่วยราชการ ก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการ ที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต แต่โครงการนี้เซ็นสัญญาว่าจ้างบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ก่อนหน้าจะจัดประชาคมตั้ง 2 ปี โดยไม่มีการศึกษาและประเมินผลกระทบด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม (EIA) และสุขภาพ


 


ที่สำคัญไม่มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ตามกฎหมายกำหนด โครงการสร้างประตูระบายน้ำ และรื้อฝายเก่าทั้ง 3 แห่ง ไม่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ ซึ่งก่อนนี้ชาวบ้านได้ยื่นร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี และ ป.ป.ช. เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณา


 


ศาสตราจารย์เฉลิมพลกล่าวอีกว่า องค์กรด้านอนุรักษ์ 10 องค์กร ร่วมกับชาวบ้านผู้คัดค้าน เตรียมฟ้องร้องผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลแพ่ง ฐานขัดรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 57, 66 และ 67 และฟ้องร้องเรียกเงินค่าเสียหายหากมีการกระทำการใดๆ ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ฝายเก่า 3 แห่ง จำนวน 900 ล้านบาท เป็นค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงาน 100 ล้านบาท ค่าภูมิปัญญา 300 ล้านบาท


 


นอกจากนี้ยังมีค่าเสียโอกาสในการผลิตพืชผลทางการเกษตร และทำลายความมั่งคงทางอาหาร 100 ล้านบาท ค่าทำลาย  ภูมิทัศน์ลำน้ำปิง 200 ล้านบาท และค่าทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ 200 ล้านบาท โดยเตรียมยื่นฟ้องในเร็วๆ นี้



ที่มา: http://www.matichon.co.th/prachachart


 






การเมือง


หวั่น'สสร.3'ติดหล่มวิกฤติ


กรุงเทพฯ - งูกลัวเชือกกล้วย "สมชาย" โยนสภาเป็นเจ้าภาพแก้รัฐธรรมนูญ เหน็บไม่ค่อยเข้าใจการเมืองใหม่เพราะไม่ได้ศึกษา แต่รู้แนวทางประชาธิปไตย แอบใช้วลี "แม้ว" ไม่พูดเรื่องการเมือง ขอทำงานเยอะๆ พลิกลิ้น "สุขุมพงศ์" ปัดต่ออายุรัฐบาล พันธมิตรฯ ขอดูความจริงใจอีก 2-3 วัน แล้วกัน! "จำลอง" ระบุรัฐบาล พปช.ลาออกการเมืองใหม่เกิดขึ้นทันที สะอึก! อธิการบดีรามฯ ตั้งข้อสังเกต มี ส.ส.ร.มาแล้ว 2 หนยังแก้ปัญหาไม่ได้


 


เมื่อวันพุธ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นเพิ่มเติมถึงมติคณะรัฐมนตรีที่สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา  291 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ครม.ไม่ได้ไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ เดี๋ยวนี้ที่เป็นข่าวในบ้านเมือง ตนยืนยันเสมอว่าการปกครองของเราระบบของเราต้องเป็นระบอบประชาธิปไตย  อำนาจอธิปไตยมาจากประชาชน มีการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญของเราก็เหมือนกัน ยึดว่าเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตลอดมาไม่เปลี่ยนแปลง


 


"ผมไม่ค่อยเข้าใจการเมืองใหม่ เพราะไม่ได้ศึกษา แต่รู้แนวทางของเราต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างนี้ รวมถึงข้อเสนอจากหลายฝ่าย ทั้งข้อเสนอของอธิการบดี 24 สถาบันเสนอมา แต่ว่าทุกคนพูดทำนองว่าเป็นการปรับปรุงการเมือง ซึ่งผมไม่อยากพูดเรื่องการเมืองมาก อยากทำงานเยอะๆ จึงต้องพูดเพราะกลัวว่าหลายฝ่ายจะไม่รู้แนวคิดรัฐบาลเป็นอย่างไร"


 


นายสมชายกล่าวว่า วัตถุประสงค์ตรงกันคือปรับปรุงรัฐธรรมนูญ เพื่อดูว่าแนวทางการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเป็นอย่างไร ก็ว่าไปตามจริง รัฐธรรมนูญบอกให้แก้ได้ แต่ไม่อยากพูดเพราะคิดว่ามันเลยเวลาที่จะพูดแล้ว ทีนี้การเมืองมองว่าทุกฝ่ายอยากให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม ตนลำดับขั้นตอนมา มองว่าความคิดของรัฐบาลไม่ได้คัดค้านให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง แต่อยากให้ประชาชนทั้งประเทศมีส่วนร่วม รวมถึงผู้สื่อข่าวด้วย


 


นายกฯ บอกว่า การที่ประชาชนมีส่วนร่วมต้องให้โอกาส โดยรัฐบาลสนับสนุนให้ออกมาในภาพที่ประชาชนมีส่วนร่วมจริงๆ ทั้งประเทศ เล็งเห็นว่าอย่างในปี 40 หรือ 50 จะมีคณะชุดหนึ่งมาร่างรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกลไกชี้วิถีทางการเมือง ถ้าคิดว่าประชาชนทั้งประเทศเลือกตัวแทนของเขาขึ้นมาเพื่อดูแล ปรับปรุง อาจเลือกมาโดยตรงส่วนหนึ่ง


 


"อาจจะนะ! ซึ่งรายละเอียดจะยังไม่ชัดเจน แต่แนวทางจะเป็นอย่างนี้ นอกจากนั้นอาจเลือกมาจากกลุ่มอาชีพ กลุ่มวิชาการ หรือเลือกมาจากกลุ่มตัวแทนประชาชน แปลว่าทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม"


 


สำหรับเจ้าภาพนั้น นายสมชายอธิบายว่า เรื่องทั้งหมดจะเป็นเรื่องของสภา เพราะตนเคยพูดหลายครั้งว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการปรับปรุงระบบกฎหมาย เราเคารพการดำเนินการของสภา เพราะขณะนี้สภามีตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศมาจากการเลือกตั้ง นี่เป็นส่วนหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลไม่รับฟังความคิดเห็นของใครเลย แต่ถ้าเป็นความเห็นของประชาชนก็ต้องเป็นประชาชนที่มีสิทธิ


นายสมชายบอกว่าในส่วนของกรรมาธิการที่ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญคงดำเนินการต่อไป ไม่ขัดอะไรกัน ทางสภาดำเนินการไปได้ ตามที่ศึกษาอยู่แนวทางออกมาเป็นอย่างไร แม้ว่าจะออกมาไม่ตรงกันทีเดียว แต่ถ้าอยู่ในความรู้สึกที่ว่าต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วม คงต้องมีแนวไปอย่างนั้น เราเป็นรัฐบาลสนับสนุนแนวคิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมซักว่าแนวทางเดิมที่จะให้ ส.ส.และ ส.ว.เป็นคนแก้ในสภา แนวคิดนี้พับไปแล้วหรือไม่  นายสมชายตอบว่า ไม่ใช่พับหรือไม่พับ ตนอธิบายไปนิดนึงคือในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็มีมาตรา 291 พูดไว้ชัดว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร ตนคงไม่ต้องเจียระไน ความจริงเป็นอย่างนั้น แต่มีหลายฝ่ายที่ไม่อยากให้แก้รัฐธรรมนูญ ก็ว่ากันไปไม่ว่าอะไร แต่เป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ ถ้าไม่อยากให้มีการแก้ในสภา แล้วมีความคิดหลากหลายขึ้นมาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่แนวคิดรัฐบาลถ้าเป็นแบบนี้น่าจะให้การสนับสนุน เพราะเป็นระบอบประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิจะเลือกปฏิรูปการเมืองไม่ด่วน!


 


ถามว่าเห็นด้วยกับการปฏิรูปการเมืองโดยด่วนใช่หรือไม่  นายกฯ ตอบว่า ไม่ด่วนหรอก แต่จริงๆ ปัจจุบันเป็นกระแสคิดว่าประชาชนหลายฝ่าย ความคิดหลากหลายคิดว่าน่าจะทำอะไร ปรับปรุงให้ดีขึ้น ถ้าอย่างนั้นรัฐบาลจะมีแนวคิดอย่างไรเป็นแนวคิดหนึ่ง สุดท้ายสภาจัดการไป


 


ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพันธมิตรฯ ไม่เห็นด้วยจะพับไปเสียก่อนหรือไม่ นายสมชายหัวเราะแล้วบอกว่า ประชาชนสิครับที่พูดอยู่ มันเอื้อไม่ได้หรอก มันล้าสมัยไปแล้ว


 


"ประชาชนทั่วประเทศดำเนินการผ่านสภา  เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอะไรเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง คิดว่ามันไม่ใช่อยู่ๆ ทำได้ ผมมั่นใจว่าจะทำได้ เคารพในหลักกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม รัฐสภา สิทธิเสรีภาพ และคะแนนเสียง หรือเสียงจากพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ"


 


เขาได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการเอื้อประโยชน์เพื่อพวกพ้อง  นักการเมืองและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามที่หลายฝ่ายมอง


 


ถามว่า หากแนวคิด ส.ส.ร.ชุดใหม่แตกต่างไปจากที่นายกฯ พูด จะสนับสนุนหรือไม่ นายสมชายตอบว่า ต้องดูรายละเอียด ต้องมีต่อไป ต้องดูกรอบนโยบายต่อไป "ถ้าเรามีเจตนารมณ์ก็สามารถแก้ได้"


 


นายกฯ กล่าวว่า แม้มันเกินเวลาไปพอสมควรแล้ว และตอนนี้การเมืองภาคประชาชนนั้นทุกฝ่ายก็เริ่มกันแล้ว  หากจะให้เปิดเวทีเสวนาโดยให้สถาบันพระปกเกล้าเปิดเวทีโดยเชิญตัวแทนรัฐบาล ฝ่ายโต้แย้ง รวมทั้งนักวิชาการและพรรคฝ่ายค้านมาคุยกันนั้น ตนจัดการให้ได้ ตอนนี้รัฐบาลมีแนวทางว่าหากจะปฏิรูปการเมืองโดยภาคประชาชนทั่วประเทศมีส่วนร่วมจริงนั้นตนยินดีสนับสนุน เพราะมันดีกว่ามาลำบากลำบนแบบนี้


 


ด้านนายสุขุมพงศ์  โง่นคำ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 50 กล่าวถึงการทำงานของคณะกรรมาธิการฯ ว่า ได้ดำเนินการพิจารณาไปแล้ว 90% ทั้งนี้จะเหลือการพิจารณาอีก 2 ครั้งก่อนที่จะส่งรายงานในวันที่  17 ตุลาคมนี้ เพราะฉะนั้นการทำงานของคณะกรรมาธิการฯ จะไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับรัฐบาล รัฐบาลจะแถลงนโยบายก็ถือว่าเป็นเรื่องของรัฐบาล  ถึงแม้ตนจะมี  2  สถานะ คือการเป็น ส.ส.ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษา การบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ตนก็ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล


 


ส่วนข้อเสนอของรัฐบาลที่จะแก้ไขมาตรา 291 และเปิดช่องให้มีการตั้ง ส.ส.ร.3 นั้น นายสุขุมพงศ์บอกว่า ไม่เกี่ยวกัน คณะกรรมาธิการมีหน้าที่ศึกษาว่ามาตรา 291 มีความเหมาะสมที่จะต้องแก้ไข มีผลต่อการบังคับใช้หรือไม่ แต่ทั้งนี้หากมีกรรมาธิการบางคนเป็นผู้เสนอก็ถือเป็นดุลยพินิจของกรรมาธิการฯ แต่เนื้อหาที่คณะกรรมาธิการฯ ได้รับมาจากสภานั้นไม่ได้ละเอียดถึงขนาดนั้น ให้ทำการศึกษาทุกมาตรา ไม่ได้เจาะจงมาตรา 291 อาจจะมีการพูดคุยกันบ้างในช่วงท้าย


 


สำหรับผลสรุปผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการฯ นั้น  เขาบอกว่าคณะกรรมาธิการฯ คงไม่มีสิทธิ์เสนอกับ ส.ส.ร.3 เป็นเรื่องของสภา แต่ ส.ส.ร.3 อาจจะนำผลการศึกษาของเราไปพิจารณาด้วยพลิกลิ้นไม่ต่ออายุรัฐบาล


 


เขาปฏิเสธถึงกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะมีการหมกเม็ดหรือยืดระยะเวลาของรัฐบาลออกไป ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คนของรัฐบาลจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการเป็น ส.ส.ร.3 การบริหารราชการแผ่นดินให้มีวาระครบ 4 ปี นโยบายที่รัฐบาลแถลงไปแล้วก็เป็นนโยบาย 4 ปี ดังนั้น รัฐบาลไม่ได้มีการขยายเวลาหรือยืดอายุแต่อย่างใด ทุกอย่างทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ


 


ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวว่า แม้รัฐบาลไม่ต้องการเป็นเจ้าภาพ แต่รัฐบาลต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะช่วยให้เกิดความสำเร็จได้อย่างไร  และที่สำคัญ ในฐานะที่รัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร จะต้องไม่ใช้เสียงข้างมากเบี่ยงเบนกระบวนการปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งหากไม่มีคำตอบที่จะสร้างความเชื่อมั่นได้ ก็คงไม่ทำให้สถานการณ์ในบ้านเมืองดีขึ้น


 


"ผมอยากจะได้ฟังรัฐบาลในการแถลงนโยบาย  ให้ท่านตอบให้ชัดว่าจุดยืนของรัฐบาลคืออะไร ถ้าจุดยืนชัดและมีวัตถุประสงค์ที่จะปฏิรูปการเมืองกันจริงๆ ก็น่าจะเข้าสู่ขั้นตอนในการหาเจ้าภาพที่จะเชิญทุกฝ่ายมาร่วมกัน ซึ่งอาจจะไปตกลงกันตรงนั้นอีกที แต่ทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบเท่ากับความตั้งใจของฝ่ายการเมือง เพราะที่สุดไม่ว่าจะใช้รูปแบบไหน เสียงข้างมากของรัฐสภาก็ต้องเป็นคนที่เปิดโอกาสให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ เพราะเป็นผู้มีอำนาจในการลงมติเรื่องรัฐธรรมนูญ" นายอภิสิทธิ์กล่าว


 


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การตั้ง ส.ส.ร.3 ถือว่ายังมีข้อแคลงใจอยู่ ดังนั้นรัฐบาลต้องประกาศออกมาให้ชัดเจนว่า การตั้ง ส.ส.ร.3 จะไม่เป็นประตูที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง


 


"รัฐบาลต้องมีความชัดเจน  ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลไม่เคยประกาศว่าจะไม่แก้รัฐธรรมนูญ  เพื่อให้มีผลย้อนหลังไปช่วยเหลือคดียุบพรรค  และคดีทุจริตของรัฐบาลทักษิณ จากผิดให้กลายเป็นถูก และอาจทำให้คำวินิจฉัยของ คตส.กลายเป็นโมฆะ จนกระทั่งวันนี้รัฐบาลก็ไม่เคยประกาศความชัดเจน หากรัฐบาลจะประกาศความชัดเจนต้องระบุว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะไม่มีผลกต่อการยุบพรรค และที่สำคัญต้องมีความชัดเจนว่าจะไม่เปิดประตูไปสู่จุดนั้น อาจทำให้สังคมหลงกลว่ามี ส.ส.ร.3 แล้วสามารถแก้วิกฤติประเทศได้ แต่ในที่สุดกลายเป็นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว


 


นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้ความเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เป็นเพียงปลายทางของการปฏิรูปการเมืองและการแก้ไขปัญหาของความขัดแย้งเท่านั้น  ซึ่งการจะแก้ปัญหาได้ต้องเริ่มจากท่าทีของรัฐบาลก่อน ซึ่งแม้ว่าท่าทีของนายกรัฐมนตรีจะประนีประนอม แต่ว่ารายการความจริงวันนี้ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทียังสร้างเงื่อนไขอยู่ตลอดเวลา


 


ถามว่า รัฐบาลบอกนำเรื่องนี้กำหนดเป็นนโยบาย แต่กลับไม่ขอเป็นเจ้าภาพในการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่ขัดกันหรือไม่ นายสาทิตย์ตอบว่า ขัดกันอยู่แล้ว ความจริงเรื่องที่รัฐบาลควรพูดไม่ใช่เรื่องมาตรา  291 อย่างเดียว แต่ต้องพูดว่าการแก้ไขวิกฤติความขัดแย้งที่รัฐบาลเป็นคู่ขัดแย้งอยู่ด้วยจะไปลดความขัดแย้งอย่างไร


 


ส่วนการเตรียมอภิปรายการแถลงนโยบายของรัฐบาลนั้น นายสาทิตย์กล่าวว่า เดิมฝ่ายค้านมีเวลาอภิปราย 13 ชั่วโมง แต่ตอนนี้เราต้องการอภิปรายลงลึกในเนื้อหามากขึ้น ดังนั้นจะพูดคนละไม่ต่ำกว่า 15 นาทีขึ้นไป ซึ่งทางพรรคก็รอนโยบายที่รัฐบาลจะแจกมาอยู่ สำหรับคนที่อภิปรายก็จะให้ทำเค้าโครงเรื่องมาก่อนแล้วจะมีทีมที่คอยดูแลและเติมเนื้อหาให้สมบูรณ์ขึ้น โดยผู้อภิปรายจะอยู่ที่ประมาณ 50 คน ซึ่งระยะเวลาการอภิปราย 2 วันคงไม่เพียงพอ


 


นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานชมรม ส.ส.ร.ปี 50 บอกว่าสิ่งที่น่ากังวลคือ ญัตติการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เสนอโดย ส.ส.รัฐบาล และกลุ่ม นปก.ที่รวบรวมรายชื่อประชาชนเสนอเข้าสภายังค้างการพิจารณาของสภาอยู่  อาจถูกนำมาปัดฝุ่นลักไก่นำไปพิจารณาแก้ไขรวมไปด้วย เพราะหากมีการนำญัตติที่ค้างไว้มาพิจารณารวมเข้าด้วยกัน ก็จะมีการแก้ไขในมาตรา 190 237 และ 309 ซึ่งยังเป็นปัญหาถกเถียงกันสังคมอยู่ อาจกลายเป็นวิกฤติขึ้นมาอีกมี 2 ส.ส.ร.ยังแก้ปัญหาไม่จบ


 


นายคิม ไชยแสนสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า การตั้ง ส.ส.ร.3 อาจช่วยแก้ปัญหาในระยะยาวได้ แต่ต้องตั้งข้อสังเกตว่า ส.ส.ร.ก็เกิดขึ้นมาแล้วถึง 2 ครั้ง ปัญหาทางการเมืองก็ยังไม่จบ


 


สำหรับท่าทีของแกนนำพันธมิตรฯ นั้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แถลงว่าท่าทีของรัฐบาลในเรื่องการปฏิรูปการเมืองใหม่  พันธมิตรฯ เห็นว่ายังไม่มีความชัดเจนและยังไม่มีความแน่นอนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา  291 และมาตราอื่นๆ หรือไม่ ซึ่งเป็นท่าทีที่แตกต่างจากอธิการบดี 24 สถาบันที่มีความต้องการที่จะเข้ามาปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง เพราะมีการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาที่ชัดเจนมากกว่าทำให้เห็นว่าฝ่ายองค์กรอิสระมีความรวดเร็ว และไม่ต้องการให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย


 


พล.ต.จำลองกล่าวว่า  ทางพันธมิตรฯ  จะต้องรอดูความชัดเจนจากรัฐบาลอีกครั้ง ใน 2-3 วันคงจะได้รายละเอียดจากฝ่ายรัฐบาลว่ามีความบริสุทธิ์ใจแค่ไหนในการปฏิรูปการเมืองใหม่  ซึ่งรัฐบาลจะต้องบอกมาให้ชัดเจนว่าจะไม่มีการแก้ไขมาตราอื่นเพื่อฟอกผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และกรณีการยุบพรรค


 


พล.ต.จำลองยืนยันว่า หากตั้ง ส.ส.ร.3 ขึ้นมาจริง ทางพันธมิตรฯ ก็จะไม่เข้าร่วมแน่นอน เพราะเป็นเรื่องของรัฐบาลและรัฐสภาที่จะดำเนินการกันเอง


 


"ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีท่าทีแน่นอน  หากมีความชัดเจนออกมาทางพันธมิตรฯ จะประชุมหารือทันทีว่าทางพันธมิตรฯ จะดำเนินการต่อไปอย่างไร ทั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลแสดงอย่างชัดเจนว่าจะไม่แตะต้องมาตราอื่น พันธมิตรฯ ก็ยังปักหลักชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลต่อไป เพราะพันธมิตรฯ ยังยืนยันข้อเรียกร้องเดิมว่ารัฐบาลจะต้องลาออกทั้งคณะเท่านั้นเราถึงจะยุติการชุมนุม"


 


เขาบอกว่า  หากมีความจริงใจที่ต้องการให้เกิดการปฏิรูปการเมืองใหม่ รัฐบาลลาออกแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำความผิดที่ผ่านมา การเมืองใหม่ก็เกิดทันที เพราะความผิดของรัฐบาลชุดนี้เรารวบรวมไว้แล้วทั้งหมด 41 เรื่อง ซึ่งการชุมนุมของพันธมิตรฯ 130 วัน เรียกได้ว่าชนะแบบรายทางมาเรื่อย ขณะนี้กำลังจัดพิมพ์หนังสือรวบรวมความผิดของรัฐบาลแจกจ่าย


 


นายสมเกียรติ  พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวเปิดการสัมมนาเรื่อง  "การเมืองใหม่" ครั้งที่ 3 ว่า วันนี้จะมีการประชุมเพื่อตัดสินใจว่าการเมืองใหม่ควรจะมีกี่สภา คุณสมบัติและที่มาของสมาชิกรัฐสภา รวมทั้งสัดส่วน จำนวน อำนาจหน้าที่  การได้มาซึ่งคณะรัฐมนตรี ความสัมพันธ์ของอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ การแก้ไขปัญหาการใช้เงินเป็นใหญ่ในการเลือกตั้ง สถาบันพรรค การครอบงำของทุน การซื้อพรรคและตัว ส.ส. มาตรการแก้ปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง มาตรการทางสังคมและทางกฎหมายในการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น


 


"แม้ที่ประชุมจะตัดสินในเรื่องต่างๆ แต่ก็ยังไม่ถือเป็นข้อสรุป หลังจากนี้จะนำแนวทางนี้ไปเปิดระดมความเห็นจากประชาชนในทุกๆ ภูมิภาค และครั้งสุดท้ายจะจัดสัมมนาใหญระดับชาติที่กรุงเทพฯ"


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  สำหรับผู้เข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้มีประมาณ 20 คน ส่วนใหญ่ยังเป็นนักเคลื่อนไหวที่เป็นเครือข่ายพันธมิตรฯ  เช่น  นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, นายศิริชัย ไม้งาม, นายสาวิทย์ แก้วหวาน, นายบรรจง นะแส, นายสุริยัน ทองหนูเอียด, นายประพันธ์ศักดิ์ กมลเพ็ชร นอกจากนี้ ยังมีนักธุรกิจ อาทิ นายปรีดา เตียสุวรรณ และศิลปิน เช่น นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นต้น


 


นายปานเทพ  วงศ์พัวพันธ์  โฆษกพันธมิตรฯ แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นควรให้มีสภา 2 สภา ประกอบด้วย 1.ส.ส.ไม่เกิน 400 คน แบ่งออกเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขตพื้นที่ 200 คน และ ส.ส.จากสาขาอาชีพและทุกภาคส่วนอีก 200 คน โดยให้คำนึงสัดส่วนของชายหญิง 2.ส.ว.จะคงรูปแบบเดิม จำนวน 150 คน ที่มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน รวม 76 คน และจากคัดสรรอีก 74 คน อย่างไรก็ตาม เห็นควรให้ประชาชนและภาคประชาชนเข้ามาร่วมในการคัดสรรด้วย


 


ขณะที่ประเด็นที่มาของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี  มีการถกเถียงกันว่า  ส.ส.ทั้ง 2 แบบจะเป็นผู้คัดเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ที่ประชุมเห็นว่าควรที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคประชาชนเสนอความเห็นว่าจำเป็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องมาจาก ส.ส.หรือไม่


 


นายปานเทพกล่าวว่า  ที่ประชุมรับหลักการให้มีการจัดตั้งสภาประชาชนที่จะต้องเป็นองค์กรที่ได้รับการรับรองทางกฎหมาย  มีหน้าที่ปลูกจิตสำนึกและให้ความรู้ทางการเมือง ทำหน้าที่คัดค้าน ตรวจสอบ และถอดถอนอำนาจรัฐ


 


ด้านหัวข้อในการแก้ปัญหาการใช้เงินเป็นใหญ่ในการเลือกตั้ง ได้มีการเสนอถึง 15 แนวทาง ซึ่งแตกต่างจากการเมืองในปัจจุบัน เช่น การประชาสัมพันธ์ในการพิมพ์โปสเตอร์ การลงพื้นที่ต่างๆ ของรัฐนั้น จะต้องมีความเท่าเทียมกันในทุกพรรคการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำทั้งการพิมพ์โปสเตอร์ ใช้สื่อสารมวลชนโทรทัศน์วิทยุ


 


ขณะที่มาตรการการแก้ปัญหาซื้อสิทธิ์ขายเสียง  ที่ประชุมเสนอให้งดใช้ใบเหลืองในพื้นที่เลือกตั้งที่มีการทุจริต  แต่ให้ยึดใช้ในการใช้ใบแดงและเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งให้กับผู้ที่ทุจริตในการเลือกตั้งทันที และเห็นควรให้ลงโทษทางอาญาอย่างทันท่วงที โดนเสนอให้มีการจัดตั้งศาลการเลือกตั้ง  ขณะที่บทลงโทษจะต้องมีเพิ่มขึ้น โดยการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของผู้ที่ทุจริต ไม่ใช่ตัดสิทธิ์เฉพาะเพียง  5 ปี ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าประเด็นนี้ควรจะให้ประชาชนและสภาประชาชนเป็นผู้เสียหายจากการทุจริตการเลือกตั้งสามารถจะฟ้องศาลเองได้ และมีรางวัลในการนำจับ


 


นายปานเทพกล่าวถึงข้อเสนอมาตรการแก้ไขการทุจริตคอรัปชั่น  แม้จากการประชุมทั้ง 2 ครั้งจะเห็นชอบให้ประชาชนสามารถฟ้องศาลเองได้  แต่การประชุมครั้งนี้ขอให้เพิ่มการให้รางวัลกับผู้ที่สามารถนำนักการเมืองทุจริตคอรัปชั่นมาลงโทษได้ ซึ่งผู้ที่ทุจริตจะต้องถูกนำชื่อลงแบล็กลิสต์ เพื่อไม่ให้นักการเมืองเหล่านั้นสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้


 


ส่วนระหว่างที่มีการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี   ซึ่งถือว่าเป็นต้นทางในการทุจริตในโครงการต่างๆ ดังนั้นจึงจะต้องถ่ายทอดสดเพื่อให้ประชาชนรับทราบอย่างโปร่งใส ขณะที่นักการเมืองที่ยกมือในสภา โดยเฉพาะระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้กับนักการเมือง ภายหลังที่ตรวจสอบแล้วว่ากระทำการทุจริต  ผู้ที่ยกมือเหล่านั้นจะต้องรับผิดชอบและรับบทลงโทษทางกฎหมายอย่างจริงจัง นอกจากนี้ข้าราชระดับสูงจำเป็นต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน หนี้สินเป็นรายปีเช่นเดียวกับนักการเมือง


 


นายสุริยะใสกล่าวว่า สภาประชาชนได้พิจารณาแขวนไว้โดยมอบให้นายเนาวรัตน์นำไปศึกษาเค้าโครงและรูปแบบเป็นสภาที่  3 และจะมีสภาใหม่คือสภาประชาชน ซึ่งรูปแบบยังไม่ตกผลึก แต่เป็นแนวคิดของนายเนาวรัตน์ที่เสนอในที่ประชุม


 


ด้านนายเนาวรัตน์กล่าวว่า  สภาประชาชนมีอำนาจตรวจสอบ คัดค้าน ถอดถอนนักการเมืองในทุกรูปแบบ ซึ่งจะดำเนินการไปตามกลไกของรัฐโดยมีกฎหมายรองรับ ซึ่งสภาประชาชนจะมาจากการจัดตั้งจากประชาชนทุกระดับ  ตั้งแต่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด เพื่อคัดเลือกตัวแทนเข้ามาทำหน้าที่ในสภาประชาชน เชื่อว่าสภาประชาชนจะทำให้เกิดการเมืองใหม่ได้อย่างแท้จริง และทำให้ประชาชนในระดับรากหญ้ามีความเข้มแข้ง โดยรูปแบบจะนำเสนอในที่ประชุมครั้งต่อไป


 


นายสุริยะใสกล่าวอีกว่า ในวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม เวลา 14.00 น. จะมีการประชุมสัมมนาเรื่องการเมืองใหม่  ครั้งที่ 4 โดยจะมีการหารือในประเด็นเรื่องการเมืองใหม่ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความยากจน การกระจายรายได้ ให้เป็นไปตามนโยบายที่เป็นพื้นฐานแห่งรัฐชัดเจน


 


ที่มา: ไทยโพสต์


 


วิชั่นหมอเหลิมเอาใจเมลามีนสกัดอย.ให้ข่าว


แจ้งวัฒนะ  - กรรมของประเทศไทยสารปนเปื้อนทะลักกระทรวงสาธารณสุข "หมอเหลิม" อาการหนัก  เพิ่งหัดถือเข็มฉีดยา  ไม่รู้บัตรทองคืออะไร เมลามีนมันคืออีหยัง พินาศแน่! เกรงใจจีนสั่ง อย.อย่ากระพือข่าวนมปนเปื้อน อ้างต้องทำมาค้าขาย แค่จีนไอเบาๆ ไทยเสร็จแน่ เล่นเกินบทเตรียมหารือทูต ปากดีสาธารณสุขไม่เหงาแน่ เพราะตัวเองเป็นสายล่อฟ้า


 


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  ดร.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เริ่มปฏิบัติหน้าที่แล้ว เมื่อวันพุธเขาเดินทางไปยังอาคารจัสมิน แจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อตรวจเยี่ยมและมอบนโยบาย โดยมี นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ


 


รมว.สาธารณสุขได้ฝากคำถาม 9 ข้อ เกี่ยวกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมถึงการให้บริการประชาชนตามสิทธิประโยชน์ โดยที่ตัวเขาแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับหน่วยงานนี้เลย


 


"ผมมีคำถาม 9 ข้อ และอยากให้ช่วยตอบ เพื่อที่ผมจะได้นำไปชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ รวมทั้งต่อประชาชนที่เชื่อว่า ยังมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าใจปัญหาเช่นเดียวกับผม คือ 1.อธิบายโครงสร้าง สปสช. และความเป็นมาของ สปสช. 2.พันธกิจและภารกิจที่สำคัญ ทั้งภารกิจหลักและภารกิจรอง 3.งบประมาณมาจากแหล่งใด หากไม่เพียงพอจะเกลี่ยอย่างไร 4.ชี้แจงระบบการส่งต่อผู้ป่วย เพราะที่ผ่านมามีการนำเสนอปัญหาค่อนข้างมาก 5.มีหน่วยงานรักษาพยาบาลใดในสังกัด 6.บัตรทองคืออะไร และใช้สิทธิ์อย่างไร 7.หากมีปัญหาเกี่ยวกับการบริการจะแก้ไขอย่างไร 8.หน้าที่ สปสช. กับการประกันสุขภาพของเอกชนมีลักษณะต่างกันอย่างไร 9.สปสช.ดำเนินงานมาปีที่ 5 แล้ว ควรมีการปรับปรุงอะไรบ้าง"


 


"ขอให้ชี้แจงมาเป็นตำรานำเสนอผมในวันพรุ่งนี้  เพื่อให้ผมตอบคำถามได้ชัดเจน  ที่ผ่านมาสาธารณสุขอาจจะเหงา  แต่สมัยผมไม่เหงา เพราะผมเป็นสายล่อฟ้า ผมไม่มีปัญญาให้นโยบาย เพราะเป็นงานเฉพาะทาง แต่จะช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักมากขึ้น เดิมผมยังไม่รู้ว่า บัตรทองคืออะไร สปสช.คืออะไร หากใครถามผมว่า สปสช.คืออะไร ผมก็ตอบว่าคือ สปสช. ดังนั้นวันพรุ่งนี้ต้องส่งคำตอบไปที่ห้องผม อย่ามองว่าผมเป็นรัฐมนตรี เพราะผมไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ยอมรับว่าโง่ ไม่รู้เรื่องอะไรตรงนี้" ดร.ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว


 


แม้เขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ สปสช.เลย แต่ในการตรวจเยี่ยมสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในวันเดียวกัน กลับสร้างความประหลาดใจและหวาดวิตกให้แก่ผู้บริโภคไปทั่วประเทศ ด้วยการโชว์วิสัยทัศน์ผลิตภันฑ์นมปนเปื้อนเมลามีนจากประเทศจีน ว่า อย.อย่ากระพือข่าวมาก โดยให้เหตุผลว่าเกรงใจจีน


 


"จะกระทบจีนซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจ  ถามว่าผมกลัวจีนไหม  ผมไม่ขอข้าวจากประเทศจีน แต่การจะทำอะไรต้องคำนึงถึงมิตรภาพ เพราะเราต้องทำมาค้าขายกับจีนเยอะ แค่ประเทศจีนไอเบาๆ ไม่รู้ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน เรื่องเมลามีน เราต้องเกาะติด แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องลดละเลิก แต่ขอให้ทำเป็นเอกสารแจกนักข่าว


 


ดร.ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ฝากให้เลขาธิการ อย. ไปเขียนเรื่องเมลามีนมาให้ชัด 5 ข้อ มาให้ตนและแจกนักข่าวและเพื่อเผยแพร่ให้ประชนชนเข้าใจ ดังนี้ 1.สารเมลามีนคืออะไร มีที่มาอย่างไร 2.เมลามีนอยู่ตรงไหนบ้างคนจะได้ระมัดระวัง  3.มีโทษอย่างไรและมีประโยชน์หรือไม่  4.มีปริมาณมากน้อยแค่ไหนจึงมีโทษ 5.ต้องหาวิธีการและมาตรการให้ประชาชนรู้และป้องกัน ทั้งนี้ ดูจากข่าวเรามีเจ้าหน้าที่ตามด่านน้อย ดังนั้นต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีเจ้าหน้าที่มากขึ้น


 


"ถ้าไปตั้งโต๊ะแถลงตอบโต้อาจเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง  แต่เราต้องคำนึงถึงมีหัวใจความรู้สึก เขาอาจตอบโต้ไทย ผมไม่ได้กลัวการแก้ไขปัญหา แต่ที่ยังไม่ลงนามในประกาศกระทรวงในการควบคุมเรื่องนี้ เพราะเมื่อลงนามไปแล้วจะเป็นคำสั่งทางปกครอง ซึ่งอาจเกิดผลกระทบกับตนได้ โดยอาจมีคนไปฟ้องศาลปกครองหรือร้อง ป.ป.ช. เนื่องจากรัฐบาลยังไม่แถลงนโยบายต่อสภาฯ  ถ้าแถลงนโยบายเสร็จแล้วไม่ว่าดึกดื่นแค่ไหน ผมจะเซ็นคำสั่งนี้เป็นคำสั่งแรกทันที"


 


เขาบอกว่า รู้จักกับนายกสมาคมจีนหลายสมาคม และคนเหล่านี้ก็รู้จักกับทูต ดังนั้นอาจมีการนัดพูดคุยเป็นการส่วนตัว แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทางเลขา อย. และข้าราชการว่าต้องการที่จะไปพบหรือไม่ และไม่ได้เป็นการข้ามหน้ากระทรวงการต่างประเทศ แต่เป็นการพบในนามส่วนตัว


 


ผู้สื่อข่าวถามว่า บทบาทของ อย.เรื่องเมลามีนที่ผ่านมา  ดำเนินการมากไปใช่หรือไม่ ดร.ร.ต.อ.เฉลิมปฏิเสธว่า ไม่ได้บอกว่ามาก แต่การแก้ไขปัญหาต้องมองหลายมิติ ส่วนการอายัดนมผง 60 ตัน ที่ท่าเรือของบริษัทนมแห่งหนึ่ง  ขณะนี้ทาง อย.กำลังตรวจสอบอยู่ หากผลการตรวจวิเคราะห์พบว่ามีการปนเปื้อนจริง จะไม่อนุญาตให้นำเข้าอยู่แล้ว


 


ที่มา: ไทยโพสต์


 






ต่างประเทศ


สร้างหมู่บ้านพอเพียงในกัมพูชา


จากความสำเร็จในการจัดตั้งหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงในประเทศไทย ส่งผลให้ กรมการพัฒนาชุมชน ร่วมมือกับกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินโครงการจัดตั้งหมู่บ้านตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บนถนนหมายเลข 48 (เกาะกง-สแรอัมเบิล) เพื่อร่วมมือกันดำเนินการจัดตั้งหมู่บ้านตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา และเพื่อเป็นการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของประชาชนกัมพูชา ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของไทย ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนของกัมพูชาอย่างยั่งยืน


 


ทั้งนี้ นายวิชล มนัสเอื้อศิริ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายวีระพันธ์ วัชราทิตย์เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ และผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง ได้ร่วมกิจกรรมพิธีเปิดหมู่บ้านตามโครงการจัดตั้งหมู่บ้านตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง บนถนนหมายเลข48 (เกาะกง - สแรอัมเบิล)ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 25-27 กันยายน 2551ที่ผ่านมาที่ จ.ตราด และ จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา


 


โครงการดังกล่าว ดำเนินการขึ้นที่บ้านบางขยัก ตำบลเปียมกระสอบ อำเภอมณฑลเสมา จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา โดยตำบลเปียมกระสอบ อยู่ในเขตการปกครองอำเภอมณฑลสีมาอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 14 กิโลเมตร มี 2 หมู่บ้าน อาณาเขตทิศตะวันออกติดกับตำบลโกสี ทิศตะวันตกติดกับตำบลปากคลองและอ่าว ทิศใต้ติดกับตำบลเกาะกะปิ อำเภอเกาะกง ทิศเหนือติดกับตำบลสตึงแวง อำเภอเสม็ดเมียนเจย


 


สำหรับโครงการดังกล่าวนั้น แบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนเตรียมการ ดำเนินการติดตาม และประเมินผล และก่อนหน้าที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าว คณะทำงานของกัมพูชา ได้เข้ามาศึกษากิจกรรมต่างๆที่ ต.ห้วงน้ำขาว อ.เมือง จ.ตราด ทั้งในเรื่องการอนุรักษ์ป่าชายเลน การเปิดหมู่บ้านโฮมสเตย์ และธนาคารชุมชน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่กัมพูชาสามารถนำไปปรับใช้ที่ ต.เปียมกระสอบได้


 


ที่มา: สยามรัฐ


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net