Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ภัควดี วีระภาสพงษ์ แปลจาก


Li Datong*, "China"s power, China"s people: towards accountability," http://www.opendemocracy.net/, 29 - 09 - 2008


แปลจากภาษาจีนโดย Roddy Flagg


 


ประเทศจีนติดกับอยู่ในความขัดแย้งระหว่างความสำเร็จอันน่าตื่นตะลึงกับความล้มเหลวอย่างน่าทุเรศ หัวใจของการแก้ปัญหาอยู่ที่ความรับผิดของรัฐและระบบราชการ


 


โลกได้เห็นสองด้านของประเทศจีน ด้านหนึ่งคือจีนที่เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกอย่างยิ่งใหญ่และส่งนักบินอวกาศออกไปปฏิบัติภารกิจเป็นผลสำเร็จ กับอีกด้านหนึ่งคือจีนที่เผชิญวิกฤตการณ์และหายนะภัยจนด้านชา สภาพการณ์ของจีนยุคปัจจุบันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องค้นหาเหตุผลว่า ทำไมจีน "ด้านที่สอง" จึงยังคงอยู่มาและเกิดขึ้นซ้ำซาก รวมทั้งจะแก้ไขปัญหาอย่างไร


 


ตั้งแต่ก่อนที่ความตระการตาของมหกรรมกีฬาแห่งมนุษยชาติในเดือนสิงหาคม-กันยายน ค.ศ. 2008 ในปักกิ่งจะจางหายไปจากใจ หายนะภัยครั้งใหญ่ๆ ก็กระหน่ำซ้ำเติมจีนอย่างต่อเนื่อง:


 



  • วันที่ 8 กันยายนในมณฑลเฉิ่นซี ผนังกั้นอ่างเก็บเศษตะกอนจากการทำเหมืองเกิดพังทลายลง ทำให้เกิดโคลนถล่ม คร่าชีวิตผู้คนไป 268 ราย
  • วันที่ 20 กันยายนในเมืองเฉิ่นเจิ้น เหตุไฟไหม้ที่ไนต์คลับเถื่อนแห่งหนึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 43 ราย
  • วันที่ 21 กันยายน เหตุไฟไหม้ที่เหมืองถ่านหินในมณฑลเฮย์หลงเจียงทำให้มีผู้เสียชีวิต 37 ราย
  • แต่ที่น่าสะเทือนขวัญยิ่งกว่าเหตุหายนะภัยข้างต้น ก็คือกรณีที่บริษัทซานหลูที่ตั้งอยู่ในมณฑลเหอเป่ย์เติมสารเมลามีนลงในนมผงอย่างผิดกฎหมาย ทำให้ทารกหลายคนเสียชีวิตและอีกราว 50,000 คนป่วยด้วยนิ่วในไต โครงการตรวจสอบฉุกเฉินพบว่า นมยี่ห้อดังๆ ทุกยี่ห้อในจีนมีสารนี้ปนเปื้อน ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความตื่นกลัวไปทั่วประเทศ พ่อแม่ที่วิตกกังวลออเต็มแน่นโรงพยาบาล และซูเปอร์มาร์เก็ตก็เนืองแน่นไปด้วยลูกค้าที่พยายามขอคืนสินค้า มีการโต้เถียงทะเลาะวิวาทและแม้แต่การใช้กำลังเกิดขึ้นจำนวนมากท่ามกลางความแตกตื่นทั่วทั้งสังคม

 


 


การสมคบคิดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ


 


อันที่จริง อาจกล่าวได้ว่า ปัญหาความปลอดภัยของอาหารเป็นประเด็นความมั่นคงสาธารณะที่สำคัญที่สุดของจีนในขณะนี้ กระทู้ออนไลน์ยอดนิยมอันหนึ่งมีชื่อหัวข้อกระทู้ว่า "จีนส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับสารเคมีผ่านทางอาหาร" ชี้ประเด็นว่า:


 


"เราได้ความรู้เรื่องขี้ผึ้งพาราฟินจากข้าวสาร แฮมสอนเราเกี่ยวกับสาร DDPV [1] ไข่เป็ดเค็มและซอสพริกให้ความรู้เราเกี่ยวกับสาร Sudan Red [2] สตูเนื้อทำให้เรามีความรู้เรื่องสารฟอร์มาลิน เห็ด Silver-ring fungus และอินทผลัมเชื่อมทำให้เราได้ศึกษาเกี่ยวกับซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เห็ด Wood-ear fungus [3] ทำให้เรารู้จักคอปเปอร์ซัลเฟต แล้วตอนนี้ บริษัทซานหลูกำลังผลิตนมผงที่สอนให้คนจีนทั้งชาติรู้จักกลไกทางเคมีของสารเมลามีน... เมื่อชาวต่างชาติดื่มนม พวกเขาแข็งแรงขึ้น เมื่อชาวจีนดื่มนม พวกเขาได้นิ่วในไตเป็นของแถม!"


 


สถิติที่ชาวเน็ตของจีนรวบรวมชี้ให้เห็นว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา มีคดีอาหารปนเปื้อนอย่างน้อยที่สุด 60 คดีเกิดขึ้น นับตั้งแต่หมูที่ขุนด้วยสารซักฟอกไปจนถึงเต่าที่เลี้ยงด้วยยาคุมกำเนิด บทบาทของจีนในการค้าระหว่างประเทศหมายความว่า คดีบางคดี รวมทั้งคดีนมผงครั้งล่าสุด ย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนเป็นวงกว้างในระดับสากล การเปิดโปงความจริงแต่ละครั้ง (หากมีการเปิดโปงความจริงเกิดขึ้น) แค่นี้ก็พอแล้วที่จะสร้างความตระหนกขวัญหายแก่ประชาชนชาวจีน แต่การสะดุ้งตื่นอย่างกะทันหันจากอารมณ์ปรีดาปราโมทย์ของกีฬาโอลิมปิกกลายเป็นความแตกตื่นเกี่ยวกับสารปนเปื้อนที่ชาวจีนและลูกหลานอาจกำลังบริโภคอยู่ ช่างเป็นการลืมตาพบความจริงที่ทารุณโหดร้ายเป็นพิเศษ


 


ความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของจีนดำเนินมาอย่างต่อเนื่องถึงสามทศวรรษ แต่จริยธรรมทางการค้ากลับไม่ได้ลงหลักปักฐานตามไปด้วย วิธีการผลิตที่เพิ่มผลกำไรแต่ทำร้ายผู้บริโภคยังปฏิบัติกันทั่วไป ขณะเดียวกันก็ไม่มีการขุดคุ้ยเป็นข่าว แต่ปัญหาไม่ใช่แค่การปฏิบัติของภาคธุรกิจเท่านั้น ในหลายๆ พื้นที่ หน่วยราชการเองก็ให้การคุ้มครองแก่สินค้าปลอมและ/ หรือสินค้าคุณภาพต่ำด้วย


 


ไม่กี่ปีก่อน ผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ CCTV ออกไปทำข่าวในอำเภอแห่งหนึ่ง พวกนักข่าวไปเจอถนนหลายสายเรียงรายด้วยร้านค้าขายวัตถุดิบคุณภาพต่ำสำหรับผลิตอาหารให้แก่พ่อค้าที่มาจากทั่วประเทศ หลังจากถ่ายภาพสถานที่เหล่านั้นแล้ว ผู้สื่อข่าวจึงแจ้งข้อมูลนี้ต่อเจ้าหน้าที่ด้านอุตสาหกรรมและการค้าของท้องถิ่นนั้น ภายในห้านาที เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบก็ออกมาเดินถนนสั่งให้บรรดาเจ้าของร้านค้าปิดร้านในวันนั้น เพื่อปกปิดหลักฐานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แรงจูงใจในการแสวงหาผลกำไรหมายความว่า หน่วยราชการท้องถิ่นและผู้ค้าอาหารปลอมยืนอยู่ข้างเดียวกัน ทั้งในตอนนั้นและในตอนนี้ เหมือนดังที่เจ้าหน้าที่ในเมืองฉือเจียจวง เมืองหลวงของมณฑลเหอเป่ย์ แสดงบทบาทดังกล่าวในกรณีนมผงของบริษัทซานหลู


 


การปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมของรัฐบาลจีนทุกระดับคือปัจจัยสำคัญในปัญหาความปลอดภัยสาธารณะที่เกิดขึ้นทุกกรณี การทำความเข้าใจพฤติกรรมของข้าราชการจีนคือการเข้าใกล้การแก้ไขปัญหาที่เป็นหัวใจของความปลอดภัยของอาหารและสินค้าปลอมปน


 


เป้าหมายหลักของรัฐบาลคือการสร้างระเบียบสังคม โครงสร้างพื้นฐาน สภาพแวดล้อมที่ถูกกฎหมายและการคุ้มครองกลุ่มประชาชนที่อ่อนแอ (เช่น เด็ก คนชรา ผู้พิการ ฯลฯ—ผู้แปล) ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมาของจีน ข้าราชการท้องถิ่นกลับทำตัวราวกับเป็นซีอีโอของระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นแทนที่จะเป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์สาธารณะ ข้าราชการระดับสูงให้ความสำคัญอันดับแรกแก่การพัฒนาเศรษฐกิจ ส่วนข้าราชการระดับมณฑลและเมืองก็ถือว่าการเจรจาตกลงกับนักลงทุนในประเทศและจากต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของตน นักวิชาการหลายคนเคยบรรยายไว้แล้วว่า การแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างมณฑลต่างๆ เป็นลักษณะเฉพาะประการหนึ่งในระบบเศรษฐกิจของจีน โดยมีข้าราชการทำตัวเหมือนหัวหน้าแผนกของบริษัทใหญ่ ต่างชิงดีชิงเด่นกันเพื่อสร้างความมั่นใจว่า แผนกของตนมีผลงานดีกว่าแผนกอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อการเลื่อนตำแหน่ง


 


สภาพเช่นนี้นำไปสู่การที่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้การคุ้มครองแก่บริษัทใหญ่ๆ ในเขตปกครองของตน เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีส่วนสร้างความมั่งคั่งในท้องที่นั้น ทั้งยังมักเป็นแหล่งเก็บภาษีที่สำคัญด้วย ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ ส่วนปกครองท้องถิ่นมักมองว่า การช่วยปกปิดพฤติกรรมผิดกฎหมายของบริษัทเหล่านี้เป็นผลประโยชน์ของตนเองด้วย ด้วยเหตุนี้เอง รายได้ประจำปีจากการขายนมผงของบริษัทซานหลู ซึ่งมีมูลค่าถึง 10 พันล้านหยวน (ราว 50 พันล้านบาท) จึงเป็นแหล่งรายได้สำคัญในการเก็บภาษีของส่วนปกครองท้องถิ่นของเมืองฉือเจียจวง ดังนั้น เมื่อข่าวคราวอื้อฉาวเริ่มรั่วไหลออกไป เทศบาลเมืองนี้จึงหาทางปกปิดไว้ได้ราวหนึ่งเดือน หากมิใช่เพราะบทบาทของสื่อมวลชนนอกมณฑลและการแพร่สะพัดข่าวสารทางอินเทอร์เน็ต เรื่องทั้งหมดอาจไม่เป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางเลยก็ได้


 


ปัจจัยอีกประการหนึ่งในปัญหาทั้งหมดก็คือความล้มเหลวทางจริยธรรมของหน่วยงานราชการ ยกตัวอย่างเช่น พวกข้าราชการตรวจงานมักขูดรีดกิจการระดับเล็กและระดับกลาง (เอสเอ็มอี) จนถึงขั้นเกือบล้มละลายอยู่บ่อยๆ ในยุคประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตง ข้าราชการจำนวนมากเข้าร่วมการปฏิวัติด้วยอุดมการณ์เพื่อชาติและประชาชนอย่างแท้จริง นี่สะท้อนถึงมาตรฐานทางจริยธรรมของข้าราชการในยุคนั้น นอกจากนี้ ในยุคเหมาเจ๋อตง ข้าราชการยังได้รับเงินเดือนค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับส่วนอื่นๆ ในสังคม ดังนั้น ปัญหาจากแรงเย้ายวนทางวัตถุจึงไม่ค่อยมีมากนัก


 


แต่ข้าราชการรุ่นหลังการปฏิรูปเติบโตขึ้นมาในสังคมที่มีชนชั้นมากกว่าเก่า สภาพนี้ทำให้โครงสร้างจริยธรรมกลับตาลปัตรเช่นเดียวกับเงินเดือน เดี๋ยวนี้ คนรวยส่วนน้อยครอบครองความมั่งคั่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของสังคมทั้งหมด และข้าราชการไม่ได้มีรายได้ในระดับบนอีกต่อไป ข้าราชการกลายเป็น "คนจน" แต่พวกข้าราชการก็ค้นพบวิธีง่ายๆ ในการแลกเปลี่ยนอำนาจในมือกับอภิสิทธิ์ของความร่ำรวย ถึงแม้จะทำให้จริยธรรมและความเมตตาโบยบินหนีออกนอกหน้าต่างไปก็ตาม เพราะฉะนั้น จะเป็นไรไปหากมีอะไรปนเปื้อนสักหน่อยในนมผงหรือแม้กระทั่งในขนมหวานของโปรดของเด็กๆ ?


 


 


สิทธิของประชาชน


 


ถ้าเพียงแต่ข้าราชการได้รับเลือกตั้งจากประชาชน ถ้าเพียงแต่มีสื่อมวลชนอิสระคอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหว ถ้าเพียงแต่มีการคานอำนาจจากฝ่ายตุลาการที่เป็นอิสระ เหตุการณ์อย่างกรณีซานหลูและกรณีอื่นๆ คงมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลงมาก และหากเกิดขึ้นเมื่อไร ก็คงถูกจัดการอย่างรวดเร็วกว่านี้ ข้อเท็จจริงที่เงื่อนไขต่างๆ ข้างต้นไม่มีอยู่ ทำให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นซ้ำซากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


แต่การเปิดโปงกรณีล่าสุดในสื่อมวลชนช่วยทำให้เกิดผลกระทบในด้านดีประการหนึ่งขึ้นมา กล่าวคือ รัฐบาลกลางเริ่มลงโทษฝ่ายต่างๆ ที่มีส่วนรับผิดชอบ ในเวลาครึ่งเดือน ข้าราชการจำนวนมาก รวมทั้งผู้ว่าการมณฑลชานซี ซึ่งเป็นประธานฝ่ายบริหารที่รับผิดชอบการกำกับดูแลคุณภาพอาหาร ตลอดจนเลขาธิการพรรคประจำมณฑลเหอเป่ย์และเมืองฉือเจียจวง ต่างหลุดจากตำแหน่งกันถ้วนหน้า สื่อมวลชนบรรยายว่า นี่คือ "พายุการลงทัณฑ์" กระนั้นก็ตาม การจัดการปัญหาเพียงแค่นี้ยังน้อยเกินไป การแทรกแซงจากรัฐบาลกลางไม่มีทางยุติการคอร์รัปชั่นได้


 


หากจะทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างแท้จริง จำเป็นต้องสร้างวินัยควบคู่ไปกับการลงโทษ กล่าวคือ ผู้ที่ทำอันตรายต่อผลประโยชน์สาธารณะต้องรับผิดเสมอ นี่ควรเป็นหลักการหนึ่งในการปกครอง แค่ไล่ข้าราชการบางคนออก ไม่ได้สร้างหลักประกันเลยว่า ผู้ขึ้นครองตำแหน่งแทนจะทำงานเพื่อประชาชน สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริงก็คือ กลุ่มผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดของจีนควรยอมรับเสียทีว่า ความชอบธรรมของตนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและความยินยอมของประชาชน


 


มหกรรมกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิก รวมทั้งการส่งนักอวกาศขึ้นไปท่องอวกาศในโครงการ Shenzhou-7 คือสัญญาณบ่งบอกด้านหนึ่งของจีน ส่วนกรณีนมผงคือสัญญาณบ่งบอกอีกด้าน ด้านแรกไม่มีทางสร้างความชอบธรรมให้ด้านที่สองได้ เลขาธิการพรรคประจำมณฑลหูหนานได้ออกมากล่าวอย่างกล้าหาญถึงวิธีเดียวที่จะฟื้นความชอบธรรมขึ้นมาใหม่ นั่นคือ "คืนอำนาจให้ประชาชน" หนทางยังอีกยาวไกล


 


 


..................................


*Li Datong เป็นนักหนังสือพิมพ์ชาวจีนและอดีตบรรณาธิการของ Bingdian (Freezing Point) ซึ่งเป็นฉบับพิเศษรายสัปดาห์ของหนังสือพิมพ์ China Youth Daily


 


 


 


เชิงอรรถ


[1] DDPv หรือ Dichlorvos คือยาฆ่าแมลงในบ้าน รวมทั้งใช้ในการป้องกันผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากแมลงด้วย


 


[2] Sudan Red เป็นสารที่ใช้ในการย้อมสี เป็นส่วนผสมในแลกเกอร์ สีสำหรับการสักชั่วคราว ยาย้อมผม ฯลฯ


 


[3] ต้องขออภัยผู้อ่าน ผู้แปลค้นไม่เจอว่า มันเป็นเห็ดชนิดไหนในภาษาไทย "Wood-ear fungus" ดูเหมือนจะเป็นเห็ดหูหนูตากแห้ง แต่อีกชนิดนั้นหาข้อมูลไม่เจอค่ะ หวังว่ามันคงไม่ใช่เห็ดหอมตากแห้ง เพราะมีนำเข้าจากจีนมาขายในประเทศไทยมากมาย ทั้งแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย (ไม่เชื่อลองไปเดินดูแถวเยาวราช) ขอให้ผู้อ่านระมัดระวังตัวในการรับประทานด้วย


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net