Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ที่มา  ตำรวจไทย : ไม่เคยเปลี่ยนแปลง


 


 


จากเหตุการณ์ของเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศคงสลดใจกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คงไม่มีใครอยากเห็นภาพคนไทยต้องฆ่าคนไทยด้วยกันเอง(เว้นเสียแต่ นายทักษิณ ชินวัตร ที่คงสาแก่ใจ)


      


ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นที่สื่อสารผ่านสื่อโทรทัศน์โดยเฉพาะThai PBS  ASTV และหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ในวันรุ่งขึ้น คงไม่มีมูลเหตุจูงใจให้เชื่อว่าเป็นการสลายการชุมนุมอย่างนุ่มนวลดังที่ตำรวจระดับสูงบางคนให้สัมภาษณ์อย่างแน่นอน เพราะนั่นคือภาพเหตุการณ์ฆาตกรรม สยองขวัญคนไทยทั้งประเทศมากกว่า  หากภาพที่เห็นมีแต่ภาพข่าวไร้คำบรรยาย คนดูอาจเข้าใจว่าเป็นการทำสงครามกลางเมืองในประเทศใดประเทศหนึ่ง  หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำสงครามปราบปรามข้าศึกมากกว่าเป็นภาพที่ข้าราชการตำรวจไทยกระทำกับคนไทย ผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาลตามสิทธิรัฐธรรมนูญที่พึงมี


      


เหตุการณ์ในวันนั้นคงสามารถยืนยันบางสิ่งบางอย่างในสังคมไทยได้ว่านักการเมือง ตำรวจ ทหารไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อผู้ชุมนุมและไม่เคยเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้กำลังอำนาจในการปราบปรามประชาชนเลยในทุกยุคทุกสมัยนับตั้งแต่เหตุการณ์ 6 ตุลา 14 ตุลา พฤษภาทมิฬและเหตุการณ์ต่างๆอีกหลายครั้ง หนึ่งในเหตุการณ์คือเหตุการณ์ 20 ธันวาคม 2545 การสลายกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซธรรมและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อ.จะนะ จ.สงขลา แม้เหตุการณ์ในวันนั้นจะไม่รุนแรงและป่าเถื่อนโหดร้ายเช่นเหตุการณ์ในครั้งนี้ แต่เบื้องหลังความคิดการปรามปราบประชาชนมาจากฐานความคิดทัศนคติเดียวกัน คือ การไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน และใช้อำนาจเป็นใหญ่ แม้วันนั้นไม่คนตายแต่ก็มีคนเจ็บ คนถูกจับกุม ทรัพย์สินเสียหายเช่นกัน


 


ภาพเหมือนปาหี่การเมือง


ภาพที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พยายามดันทุรังที่จะเปิดแถลงนโยบายรัฐบาล แม้ต้องเข่นฆ่าคนไทยร่วมชาติก็ตาม สมชาย วงศ์สวัสดิ์เข้ารัฐสภาโดยการเหยียบย่ำบนชีวิตและคราบรอยเลือดของเพื่อนร่วมชาติที่อาบท้องถนน เขาทำได้อย่างไร??? จิตใจเขาทำด้วยด้วยอะไร? ทำให้นึกถึงเหตุการณ์การจัดประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นของโครงการท่อส่งก๊าซธรรมและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อ.จะนะ จ.สงขลาเมื่อปี 2543 ที่จัดโดยปตท. ประชาพิจารณ์ครั้งแรกไม่สำเร็จเนื่องจากประชาชนชุมนุมคัดค้าจำนวนมากจนประพิจารณ์ต้องล่ม แต่ทางปตท.ไม่ลดละจัดประชาพิจารณ์อีกครั้งหนึ่งในวันที่ 21 ตุลาคม 2543 โดยวันนั้นได้วางมาตรการป้องกันกลุ่มคัดค้านอย่างเหนี่ยวแน่น แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านนับสองพันคนได้เดินทางมารอตั้งแต่คืนวันที่ 20 โดยชุมนุมบริเวณประตูทุกด้านที่เข้าสู่สถานที่ประชาพิจารณ์ซึ่งใช้สนามกีฬาจีระนครหาดใหญ่ จ.สงขลา เพราะเป็นการประชาพิจารณ์ที่ไม่ชอบธรรมเพราะผิดกระบวนการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและกรรมการประชาพิจารณ์เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการ ที่สำคัญเปิดโอกาสให้เฉพาะพรรคพวกตนที่สนับสนุนโครงการเข้าร่วมเท่านั้น เหตุการณ์รุนแรงก็เกิดขึ้นในเช้าวันที่ 21 ตุลาคม เมื่อประธานกรรมการประชาพิจารณ์ คือ พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ ยืนยันจะต้องเข้าไปจัดประชุมรับฟังความให้ได้เพราะมีเป้าหมายต้องการผลักดันการดำเนินโครงการอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงมีการวางแผนร่วมมือกับตำรวจพร้อมชุดตำรวจปราบจลาจล ใครจะคิดว่ากรรมประชาพิจารณ์จะนั่งในรถตู้แล้วให้ตำรวจชุดหนึ่งการผลักดันและสลายการชุมนุม โดยมีตำรวจอีกหลายร้อยนายขนาบสองข้างรถคุ้มกันให้รถกรรมประชาพิจารณ์เข้าไปสู่สถานที่ประชุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทุบตีผู้ชุมนุมจนศีรษะแตกเลือดอาบไปหลายคน ฉุดกระชาดลากดึงและเหยียบย่ำไปบนร่างของผู้ชุมนุม สุดท้ายกรรมการก็สามารถจัดประชุมได้สำเร็จและใช้เวลาเพียงประมาณ 25 นาทีก็สุดปิดการรับฟังความเห็น โดยการถามที่ประชุมว่าใครเห็นด้วยยกมือซึ่งทั้งหมดก็ยกมือให้ดำเนินโครงการได้  ถือเป็นการเสร็จปิดฉากปาหี่ประชาพิจารณ์เลือด  จากนั้นพล.อจรัล กุลละวณิชย์ ก็รีบเพ่นหนีออกจากสถานที่ประชุมอย่างไร้เกียรติและศักดิ์ศรี และได้แถลงว่าการประชาพิจารณ์เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการประชาพิจารณ์ที่สั้นที่สุดในโลก ซึ่งคงไม่แตกต่างกับการแถลงนโยบายของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ที่ใช้เวลาแถลงนโยบายบริหารประเทศเพียง 20 นาทีเท่านั้นจากนั้นก็ปีนกำแพงหนีขึ้นเฮลิคอปเตอร์ พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ รั้นจะจัดประชาพิจารณ์ให้ได้เพื่อสร้างสร้างความชอบธรรมในการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญบังคับให้ต้องจัดทำประชาพิจารณ์ก่อนดำเนินโครงการ  ด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ดื้อด้านต้องประชุมแถลงนโยบาย เพราะต้องการเข้าบริหารประเทศเพื่อสืบทอดระบอบทักษิณและช่วยเหลือพี่เมียตัวเองให้พ้นผิดจากคดีๆต่างเพื่อกลับมาสืบทอดอำนาจ ซึ่งทำให้นายสมชายถอยไม่ได้แม้ต้องกินเลือดกินเนื้อเพื่อนร่วมชาติ


      


ตำรวจแสดงจุดยืนชัดเจนมาตลอดทุกยุคสมัยว่ายืนเคียงข้างระบบทุนแอละระบบอำนาจรัฐเท่านั้น ไม่ว่ายุคีสมัยใดไม่เคยยืนเคียงข้างประชาชนผู้เป็น "นาย"ที่แท้จริงของพวกเขา


 


บทเรียนสำนักงานตำรวจแห่งชาติจากการสลายการชุมนุม


สำนักงานตำรวจแห่งชาติคงลืมบทเรียนสำคัญบทที่หนึ่ง ที่มีเนื้อหาใจความว่าด้วย (1)พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร.และข้าราชการตำรวจระดับสูงอีก 5 นายยังอยู่ในฐานะจำเลยคดีอาญา ข้อการใช้อำนาจไม่ชอบและการใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของกลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย จากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2554 บริเวณโรงแรมเจบีหาดใหญ่ คดียังอยู่ในชั้นศาลของศาลจังหวัดสงขลา (2) ศาลปกครองจังหวัดสงขลาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ชุมนุมคนละ 10,000 บาทจำนวน 24 คน จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม บทเรียนบทที่หนึ่งที่ตำรวจไม่จดจำอาจเป็นเพราะตำรวจไม่เคยเดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาบทเรียนอันน่าจดจำเล่านี้จึงไม่แทรกซึมเข้าสู่สมองอันน้อยนิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ว่าสมองน้อยนิดด้วยความเคารพไม่ได้คิดดูถูกแต่เป็นความจริงเพราะตำรวจส่วนมากไม่ใช้มันสมอง ความคิดและจิตวิญญาณของตัวเองว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนควรกระทำไม่ควรกระทำพวกเขาถูกอบรมและฝึกฝนมาเพียงว่าให้ปฏิบัติตามคำสั่งนายเท่านั้น "นายสั่งต้องทำ"


 


หลักสูตรของตำรวจไทย : ว่าด้วย


 


บทที่ 1  การสลายการชุมนุมต้องใช้ความรุนแรงเท่านั้น


อยากเป็นตำรวจดีต้องถือหางนักการเมืองและนายทุน รุมทำร้ายประชาชน ณ เวลานี้เริ่มเชื่อแล้วว่าตำราที่ตำรวจไทยคงถูกฝึกและสอนให้ทำร้ายประชาชนผู้เสียภาษีจ้างพวกเขา เมื่อมีประชาชนที่ไหนชุมนุมประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมต้องไม่เห็นใจ ไม่ต้องฟังเสียงประชาชน ให้ฟังคำสั่งนักการเมืองและนายทุนเท่านั้น ไม่ต้องคำนึงถึงคุณธรรมหาช่องทางและโอกาสใช้กำลังผลักดันสลายการชุมนุม โดยไม่ต้องคำนึงถึงขั้นตอนการสลายการชุมนุมของนานาอารยะประเทศหรือของสากลที่ปฏิบัติกัน ไม่ต้องมีการเจรจา ไม่ต้องประกาศให้ผู้ชุมนุมรู้ตัวว่ากำลังจะมีการสลายการชุมนุม ไม่ต้องใช้ความนุ่มนวลละมุนละม่อมกับประชาชนผู้ไม่ยอมจำนน


 


บทที่ 2 ต้องใส่ร้ายป้ายสี ปัดความผิด


เมื่อใช้ความรุนแรงกับประชาชนผู้ชุมนุมเกิดกระแสประณามจากสังคมให้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ออกมาจัดแถลงข่าว กล่าวหาว่าผู้ชุมนุมว่าเป็นผู้ก่อความวุ่นวายกับบ้านเมืองก่อน มีกรณีศึกษาที่หนึ่ง กรณีการสลายผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อ้างว่าต้องสลายเพราะผู้ชุมนุมกำลังจะขับรถยนต์หกล้อฝ่าแผงเหล็กกั้นของตำรวจเพื่อบุกยึดโรงแรมเจบี หาดใหญ่ที่ทักษิณ ชินวัตรใช้เป็นสถานีประชุมครม.สัญจร ทั้งที่ประชาชนนั่งล้อมวงรับประทานอาหาร บ้างก็ละหมาด ความเป็นจริงคือตำรวจตั้งแถวอ้อมแผงเหล็กกั้นเข้าหาฝั่งผู้ชุมนุมเพื่อผลักดัน ทุบตี และทำร้ายร่างกาย นักศึกษาศีรษะแตกเลือดอาบเย็บหลายเข็ม พ.ต.อ.สุรชัย สืบสุข กลับให้การในศาลว่านักศึกษาคนดังกล่าวเอาสีจากกระเป๋ากางเกงมาป้ายบนศีรษะ จากการสลายการชุมนุมทำให้ผู้หญิงเสื้อผ้าฉีกขาดด้านหลังจนเห็นเสื้อชั้นใน พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ กลับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าผู้ชุมนุมสร้างสถานการณ์ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง กรณีศึกษาที่สอง การสลายการชุมนุมเมื่อเช้าวันที่ 7 ตุลา ตำรวจออกมาชี้แจงว่าต้องสลายเพราะผู้ชุมนุมเอาน้ำมันราดถนนบนถนนรัฐสภาเพื่อเตรียมจุดไฟเผา และบอกว่าผู้ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตพกพาระเบิดติดตัวมาเอง เป็นการใส่ร้ายป้ายสีคนตาย ซึ่งเขาและเธอไม่มีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาปกป้องตนเองหรืออธิบายแก้ข้อกล่าวใดๆพล่อยๆของตำรวจได้เลย การใส่ร้ายป้ายสีปัดความผิดคือความเชี่ยวชาญชำนาญเฉพาะทางของตำรวจไทย


 


บทที่ 3 สร้างหลักฐานเท็จยัดเยียดความผิด


จากเหตุการณ์เช้าวันที่ 7 ตุลาตำรวจเป็นฆาตกร เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมาคราบรอยเลือดผู้บริสุทธิ์ยังไม่ทันแห้งเหือดกลับบอกจะเอาผิดตั้งข้อหาผู้ชุมนุม ซึ่งเชื่อมั่นว่าตำรวจจะทำอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเท่ากับยอมรับและจำนนต่อความผิด ซึ่งชายชาติตำรวจไทยไม่มีวันให้เป็นเช่นนั้น เห็นได้ชัดจากกรณีการสลายการชุมนุมกลุ่มคัดค้านโครงการการก่อสร้างและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย ทั้งที่ตำรวจผิดอย่างชัดเจนกลับจับกุมผู้ชุมนุมและตั้งข้อหาร้ายแรง ทำสำนวนเท็จเพื่อตั้งข้อกล่าวหายัดเยียดความผิด ความเป็นจริงของสังคมไทยตำรวจและอัยการสามารถทำสำนวนให้คนถูกกลายเป็นคนผิด คนผิดกลายเป็นคนถูกได้เสมอมา


 


ต้นเหตุอันนำไปสู่เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคมคือระบอบทุนนิยมสามานย์ทักษิณ ทำให้คนไทยต้องฆ่าคนไป สังคมไทยไม่ควรปล่อยให้เหตุการณ์ 7 ตุลาคมผ่านเลยไปต้องมีกระบวนลงโทษฆาตกรและผู้บังคับบัญชาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม ผู้กระทำผิดต้องได้รับผลกรรมทั้งทางธรรมและทางกฎหมาย ฆาตกรมือเปื้อนเลือดและจิตใจเลือดเย็นอย่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ไม่มีความชอบธรรมใดๆเลยที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศไทยอีกต่อไป

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net