Skip to main content
sharethis

ผบ.เหล่าทัพตบเท้าออกช่อง 3 ผบ.ทบ.ย้ำกองทัพเลือกข้างไม่ได้ ขืนทำชาติวิบัติ ระบุผู้จงรักภักดีต้องไม่ดึงสถาบันฯ มาเกี่ยวการเมือง จี้นายกฯ ลาออกแสดงความรับผิดชอบเหตุการณ์ 7 .. ปัดไม่เคยรับเงิน "ทักษิณ" ยันไม่มี "ปฎิวัติ" แต่หากนองเลือดอาจออกมา "หยุดการใช้อำนาจ"


 


เมื่อวันที่ 16 ต.ค. เวลา 17.10 น. พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 ถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงจุดยืนของกองทัพ รายละเอียดมีดังนี้


 


00000


 


สรยุทธ์ - จุดยืนของกองทัพบก เป็นอย่างไร เพราะถือเป็นกองทัพหนึ่งที่ใหญ่ในทางการเมือง จึงอยากถามท่านอนุพงษ์ว่าถูกกดดันให้เลือกข้างหรือไม่
พล.อ.อนุพงษ์ - ก่อนที่จะพูดเรื่องเลือกข้าง ก็อย่างที่ท่านบอกแล้วว่า บ้านเรายังมีฝักฝ่ายเกิดขึ้น อยากจะเสนอสังคมไทยว่า บ้านเมืองเราถ้ายังแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย มันจะเกิดเป็นวิกฤต แล้วก็ไม่มีทางที่จะจบลงอย่างไรได้ นั่นก็คือจะเรียกได้ว่าประเทศก็จะล่มจม ฉะนั้น ทางออกของประเทศชาติก็คือ คนไทยทั้งหมดต้องอยู่ร่วมกัน ความคิดเห็นที่แตกต่างก็เป็นความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่จะต้องหาทางที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ ถ้าทุกคนเอาตัวตน เอาอัตตาของตนตั้งไว้ ก็จะเป็นฝักเป็นฝ่ายอยู่อย่างนั้น วิกฤตินี้จะผ่านไปไม่ได้ ผมยืนยันว่า คนไทยจะต้องฝ่าวิกฤตินี้ไปให้ได้ โดยจะต้องยอมรับความคิดเห็นโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แล้วก็จะต้องหาทางร่วมกันที่จะฝ่าวิกฤตินี้ไปให้ได้ ไม่มีทางอื่น
 
สรยุทธ์ - ถ้ายังปล่อยไปอย่างนี้ก็มีแต่ล่มจม ก็เลยมีคำถาม ไม่ได้แปลว่าผมจะเห็นด้วย ว่าให้ทหารออกมายุติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พล.อ.อนุพงษ์ -
ก็ได้เรียนสาธารณะไปหลายหนแล้วนะครับ ว่าถ้าการจะแก้ปัญหาด้วยการปฏิวัติแล้วจะทำให้ปัญหาจบได้ ก็น่าจะพิจารณาร่วมกัน ทุกภาคส่วนคงไม่ใช่แค่ผม ถ้ามันทำแล้วแก้ไขได้ แต่จนถึงทุกวันนี้ ผมสามารถพูดได้เลยว่า ผมก็ติดต่อกับสื่อหลายๆ ส่วน สื่อที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ก็ลงความคิดเห็นว่าไม่เห็นด้วย เป็นส่วนใหญ่ ในส่วนของพวกนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งหลายก็เช่นกัน ก็ออกมาฟันธงว่า ไม่เห็นด้วย เหตุผลก็เช่นเดียวกันคือทำแล้วประเทศชาติจะยิ่งเสียหาย ก็คงตอบคำถามว่าจะแก้ด้วยวิธีใดได้ นั่นคือทั้งสองฝ่ายจะต้องพูดคุยกัน อยู่ร่วมกันให้ได้
 
ส่วนที่ท่านถามว่าจุดยืนกองทัพอยู่ที่ใด กองทัพคงเลือกฝ่ายไม่ได้ โดยเฉพาะในตอนนี้ มีการเรียกร้องว่าต้องอยู่ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ประเทศชาติเราคงแบ่งเป็นฝั่งไม่ได้ โดยเพราะอย่างยิ่งถ้าประชาชนเราแบ่งเป็นสองฝ่ายแล้ว ผู้ที่ถืออาวุธแยกฝ่ายอีก ประเทศชาติจะวิบัติ ผมคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้
 
สรยุทธ์ - นี่คงจะย้อนไปถึงเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.
พล.อ.อนุพงษ์ -
ก็ได้ครับ
 
สรยุทธ์ - คือวันนั้นผมก็ถามท่านทางโทรศัพท์ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก่อนจะมาถามท่านผมขอถามไปที่ท่านผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อน คำถามก็คือว่า ส่วนหนึ่ง ในเบื้องต้นแก๊สน้ำตามีส่วนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต จะมีวัตถุระเบิดหรือไม่ จะมีคนอื่นเข้ามาใช้หรือไม่ อันนี้ก็ต้องตรวจสอบกันต่อ แต่ในเบื้องต้น ที่เป็นที่ยอมรับกันพอสมควรก็คือแก๊สน้ำตามันมีความรุนแรง โดยเฉพาะที่เป็นรุ่นจากจีน ความรับผิดชอบของตำรวจ การตัดสินใจในวันนั้น ทำไมปล่อยให้เกิดเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. ขึ้น
พล.ต.อ.พัชรวาท -
ต้องกราบเรียนอย่างนี้นิดนึงนะครับ แก๊สน้ำตาจะทำให้เกิดความบาดเจ็บอย่างไร ในฐานะของผมเอง ผมก็คงไม่ได้แก้ตัวอะไร แต่แก๊สน้ำตาโดยทั่วไปที่ใช้สำหรับการดูแลการชุมนุมต่างๆ เท่าที่ดูทั่วโลกแล้ว การใช้แก๊สน้ำตา ไม่เคยปรากฏว่ามีการบาดเจ็บนะครับ แต่สำหรับตรงนี้ ผมเข้าใจว่า ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง หรือเพื่อให้เป็นกลางจริงๆ สมมุติว่าของจีนถ้าจะทำให้มีผู้บาดเจ็บจริงๆ ก็ต้องเอาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาดู ว่าที่เขาผลิตมันเป็นยังไง ของสหรัฐ เป็นยังไง แล้วก็มาดูว่ามันจะสามารถเกิดขึ้นได้ไหม ผมอยากจะพูดอย่างนี้ว่าต้องใช้คณะกรรมการหรือผู้เชี่ยวชาญมาดูอีกครั้งหนึ่งนะครับ
 


สรยุทธ์ - ผมถามได้ไหม วันนั้นใครสั่งฮะ
พล.ต.อ.พัชรวาท - วันนั้นใครสั่ง ...สั่งเรื่องอะไรครับ
 
สรยุทธ์ - สั่งเรื่องการสลายการชุมนุม เพื่อให้เปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าไปประชุมเพื่อแถลงนโยบาย
พล.ต.อ.พัชรวาท -
ผมเข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงในรายละเอียด ผมมาพูดคนเดียว คงจะตอบปัญหาทั้งหมดไม่ได้นะครับ จริงๆ โดยหน้าที่ของตำรวจแล้ว เรามีผู้บังคับบัญชาคือท่านนายกรัฐมนตรีนะครับ การปฏิบัติตามกฎหมายต่างๆ มีกำหนดไว้ชัดเจนนะครับ ต้องปฏิบัติตามมติ ครม.ด้วย คำสั่งท่านนายกฯ ด้วย ตามกฎหมายชัดเจนนะครับ
 
สรยุทธ์ - หมายถึงว่า มีคำสั่งลงมาตั้งแต่มติ ครม. คือวันที่ 6
พล.ต.อ.พัชรวาท -
ผมยังไม่ได้ตอบเช่นนั้นนะครับ เพียงแต่ในหน้าที่ของตำรวจ จะต้องทำหน้าที่ตามกฎหมายที่กำหนด ฉะนั้นวันนั้น ถามว่าใครเป็นคนสั่งขณะนี้ผมคิดว่า คงต้องรอการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะดีที่สุดครับ
 
สรยุทธ์ - เมื่อพูดถึงเรื่องเหตุการณ์ ท่านบอกว่ากำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่องแก๊สน้ำตาท่านก็เสนอว่า เอาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาทดสอบ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์รอบแรกขึ้นในช่วง 6 โมงเศษๆ ที่หน้าสภา ซึ่งภาพปรากฏทางสื่อมีภาพผู้บาดเจ็บ มีผู้คนขาขาด มือขาด มีอาการบาดเจ็บล้มตาย พูดกันตรงๆ ก็คือว่า แก๊สน้ำตาที่เคยเห็นในเมืองนอกอาจเป็นลักษณะยิงเข้าไป ไม่เข้าไปใส่ฝูงชนโดยตรง แล้วก็ปล่อยให้ควันมันทำงาน แล้วผู้คนก็หลบไป หรือตำรวจก็เข้าไปผลักดันออก แต่วันนั้นลักษณะเหตุการณ์คือยิงเข้าไปใส่ ในที่สุดเมื่อเกิดเหตุการณ์ในตอนเช้าแล้ว แต่ยังเกิดเหตุการณ์ตอนบ่ายและตอนค่ำอีก ทำไมถึงไม่หยุดเหตุการณ์ เมื่อเห็นว่ามีคนบาดเจ็บล้มตาย

พล.ต.อ.พัชรวาท - ผมเข้าใจเอาเองนะ ผมเข้าใจว่าสถานการณ์ในตอนนั้น คือต้องเข้าใจว่าตำรวจทุกท่านมีความคิดในแนวเดียวกันคือว่า แก๊สน้ำตาคงไม่ได้ทำให้คนเกิดการบาดเจ็บ ทุกคนผมเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น สำหรับตอนบ่ายกับตอนเย็นนะครับ ก็ต้องรออีกน่ะ ว่าใครเป็นคนสั่ง ต้องรอตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะผมพูดไปก็เหมือนการแก้ตัว ผมอยากจะให้รอตรงนี้ให้ชัดเจนครับ
 
สรยุทธ์ - ตำรวจก็จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ
พล.ต.อ.พัชรวาท -
ครับ ขณะนี้ก็มีคณะกรรมการหลายชุดแล้วครับ
 
สรยุทธ์ - ทั้งนี้ทั้งนั้น การมาชุมนุมจะถูกหรือผิด แต่ว่าประเด็นสำคัญก็คือ เมื่อเกิดการเผชิญหน้ากันแล้ว มีคนบาดเจ็บล้มตาย ผมถามท่าน ท่านก็บอกว่าต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ
พล.ต.อ.พัชรวาท - ครับ
 
สรยุทธ์ - คราวนี้มาถึงกองทัพ คำถามกับกองทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ ก็คือว่าทำไมทหารถึงไม่ออกมาเมื่อเห็นภาพในตอนเช้า
พล.อ.อนุพงษ์ -
ผมอยากเรียนเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจกับเจ้าหน้าที่ทหารในการรักษาความสงบเรียบร้อยในกรุงเทพฯ นะครับ การชุมนุมตั้งร้อยกว่าวันแล้ว ผมเรียนยืนยันว่า ทางกองทัพบกได้ทำงานร่วมกับทางตำรวจมาตลอดเวลา ทั้งเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงภายใน เรื่องเกี่ยวกับการดูแลการชุมนุมดังกล่าว เรียนยืนยันว่าในการทำงานร่วมกัน ไม่เคยมีเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้นเลย เว้นสองครั้งที่มีการสั่งการ จะโดยใครก็แล้วแต่ที่ ท่าน ผบ.ตร. ได้เรียนแล้วว่า ต้องดูผลสอบสวน อย่างไรก็จะเรียนได้ว่า ผมอาจจะเรียนแทนท่านได้นิดหนึ่งว่าไม่ใช่ความริเริ่มของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่กองทัพไปเกี่ยวข้องด้วย ในสองวันคือวันที่ปิดหมายวันหนึ่ง แล้วก็ในวันที่ 7 อีกวันหนึ่ง
 
สรยุทธ์ -  อ๋อ ในวันที่ปิดหมายจับ
พล.อ.อนุพงษ์ -
ใช่ครับ ที่เหลือร้อยกว่าวัน ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งมีคำสั่งให้ใช้อำนาจทาง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างที่ทราบแล้ว เราก็มีการยับยั้งชั่งใจ ไม่มีการปฏิบัติใดๆ ทั้งสิ้น
 
สรยุทธ์ - ฝ่ายการเมืองเคยสั่งให้ท่านสลายไหม


พล.อ.อนุพงษ์ - ก็วันที่ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน


 


สรยุทธ์ - คือประกาศใช้ พรก. แล้วสั่งให้ท่านสลาย


พล.อ.อนุพงษ์ - ก็มีข้อกำหนดว่าห้ามชุมนุมเกิน 5 คนก็สั่งอยู่แล้วในตัว


 


สรยุทธ์ - แล้วท่านทำยังไงฮะ
พล.อ.อนุพงษ์ - ก็ผมก็ได้เรียนไปแล้วไงครับ วันนั้นในวันที่ได้เรียนให้ทุกคนรับทราบแล้วว่า ปัญหามันไม่ได้ การฉุกเฉินนั้นมันฉุกเฉินในกรณีคนมามีเหตุการณ์ปะทะกัน แต่เหตุการณ์การชุมนุมนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นร้อยวันแล้ว ไม่ได้ฉุกเฉินอะไร แล้วเขาก็ให้คณะกรรมการ ให้ผม เป็นผู้แก้สถานการณ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อย เราได้เคยพิจารณาแล้วว่า จากการปิดหมาย เห็นว่าทำแล้ว หนักกว่าเดิม ผลกระทบที่ตามกลับมาในมุมกว้าง ถ้าเห็นในการทำงานของพวกรัฐวิสาหกิจต่างๆ มีการปิดสนามบิน อะไรก็แล้วแต่ เกิดผลกระทบอีกมากมาย ฉะนั้นถ้าตัดสินใจทำไป นอกเหนือจากจะไม่จบแล้ว ปัญหาจะหนักกว่าเดิม นั่นคือผมพิจารณาแล้วว่าทำไม่ได้
 
สรยุทธ์ - คือกองทัพได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติการสลายแล้ว แต่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ได้โน้มน้าวให้เห็นว่าเป็นผลเสียมากกว่า


พล.อ.อนุพงษ์ - ผมก็ได้อธิบาย จะเรียกว่าโน้มน้าวหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ได้ทำตัวว่า เราก็ไม่ใช้วิธีนั้น ทางรัฐบาลก็ไม่ได้ว่าอะไร
 
สรยุทธ์ - มาถึงวันที่ 7 ตอนเช้า ท่านคงเห็นเหมือนกับคนไทยทุกคน ว่าทุกคนตื่นมาตกใจ สลดใจ
พล.อ.อนุพงษ์ -
เรื่องในวันที่ 7 ตอนเช้า กองทัพก็ต้องออกตัวนะครับ ไม่พูดเดี๋ยวจะเข้าใจผิด กองทัพ ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เป็นเรื่องที่ไม่ได้ทราบเรื่อง
 
สรยุทธ์ - คือวันนั้นตั้งแต่ประชุม ครม. ในวันที่ 6 ไม่ได้รับทราบเรื่องเลย
พล.อ.อนุพงษ์ -
ครับไม่ได้ทราบเรื่อง ไม่ได้รู้เรื่องเลย ในส่วนของการเกิดเหตุการณ์ กองทัพมองว่าเป็นการสั่งการของรัฐบาล ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่เขาในการที่จะดำเนินการ จะถูกผิดอย่างไรในเรื่องนี้เราคงไม่ไปนั่น เพราะมันไปเกี่ยวกับเรื่องความชอบธรรม เรื่องสมแก่เหตุการณ์หรือไม่ ก็คงต้องเข้าสู่กระบวนการ อันนั้นเราไม่ไปพูดถึงนะครับ
 
สรยุทธ์ - คืนนั้นจนถึงก่อนเกิดเหตุการณ์ท่านรู้ก่อนเกิดเหตุการณ์กี่ชั่วโมงว่าจะมีการสลาย
พล.อ.อนุพงษ์ -
จริงๆ ท่านนายกฯ ได้แจ้งมาว่า ให้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผมคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไร นี่ของจริงนะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แต่เรื่องไปประชุม ผมไม่ทราบ พูดเพียงแค่ให้ช่วยดูแลเรื่องการที่จะประชุมตอนเช้า จะไม่พูดก็ไม่ได้เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะครับ แล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไร คุยกับ ผบ.ตร.ว่า ผมคงไม่ทำอะไร ผมไม่ทราบ
 
สรยุทธ์ - แต่ว่าได้รับรู้จาก ผบ.ตร.ว่ามีคำสั่ง
พล.อ.อนุพงษ์ -
พูดแค่ว่าให้ดูแลให้เปิดประชุมได้แค่นั้น ผมก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น คือเฉยๆ นี่คือเรื่องจริง
 
สรยุทธ์ - แต่ตอนนั้นท่านก็รู้ว่า จะเปิดประชุมสภา พันธมิตรฯ ประกาศว่าจะปิดล้อม


พล.อ.อนุพงษ์ - ก็ไม่ได้ทำอะไรครับ แล้วก็ไม่ได้คิดจะไปประชุมอะไรกัน อันนี้เรื่องจริง เพราะว่าไม่ใช่ตัวผม มันกองทัพทั้งกองทัพ มันถูกกล่าวอ้าง แล้วมันจะเกิดข้อกังขา คนเอาไปพูด ดังนั้นกองทัพไม่ทำเช่นนั้น กองทัพก็จะอยู่กับประชาชน ไม่มีทางที่จะทำ ให้อำนาจมาเต็มๆ ยังไม่ทำ ดังนั้นไม่ต้องพูดในเรื่องนี้เลยครับ แล้วเรื่องในเช้าวันนั้น พอเหตุการณ์เกิดขึ้น ก็ติดตามสถานการณ์ เราก็คิดว่าเป็นการใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งก็ความคิดพื้นฐานของเราก็คงเหมือนกันทุกคน ไม่ทราบว่าผลมันจะรุนแรงมากขนาดนั้นเป็นเรื่องแรกนะครับ แล้วก็เป็นการสั่งการของรัฐบาล
 
ถ้าจะว่า ถ้าให้ย้อนกลับไปตอนนี้ ถ้าทำได้ก็อยากจะทำนะครับ อยากจะเข้าไปห้ามตั้งแต่แรกนะครับ แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องคิดให้ดีว่าในเช้าวันนั้นเราก็ไม่รู้ผลว่า มันจะเกิดอะไรเกิดขึ้นมา การที่เราจะเอากำลังทหารออกไป จะออกไปในสถานะใด แล้วถ้ามันเกิดรุนแรงมากกว่าเดิม ถ้ามีการสูญเสียมากกว่าเดิมแล้วจะแก้กันอย่างไร
 
สรยุทธ์ - คนอาจจะคาดหวังว่า นี่ไม่ได้แปลว่าจะอยู่ข้างหนึ่งข้างใด ชาวบ้านอาจจะคาดหวังว่า อาจจะรู้สึกว่า หรือฝ่ายตรงข้ามอาจจะรู้สึกว่า ทำไมผู้บัญชาการทหารบกไม่โทรศัพท์ไปหานายกฯ หรือออกมาให้สัมภาษณ์ว่า อย่าไปใช้วิธีนี้ มันเสี่ยงเกินไป
พล.อ.อนุพงษ์ -
ก็เท่าที่พูดคุยกันอยู่ ผมได้เรียนแล้วว่า ก็ได้พูดคุยกันในเหล่าทัพ ได้เรียนท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้เรียนท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า เหล่าทัพไม่เห็นด้วยที่จะใช้มาตรการลักษณะนี้ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าจะเสียหายขนาดนี้ ทีหลังถึงจะทราบ บางครั้งมันก็ไม่ได้ติดตามสถานการณ์ วันนั้นจะเห็นว่าการประชุมหลายประชุมด้วยกัน บางครั้งก็ไม่ได้อยู่กับสถานการณ์ตลอดเวลา นั้นเป็นเรื่องหนึ่งก็เลย ถามว่าเสียใจไหม ก็เสียใจ มันไม่น่าเกิดขึ้นถ้าห้ามได้ ห้ามตั้งแต่แรกก็น่าจะทำครับ แต่ว่า เราก็ไม่ได้คาดว่ามัน จะเป็นเช่นนั้น
 


แล้วก็การจะเอากำลังออกไป มันก็สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์ยุ่งยากมากกว่าเดิม เช่นอาจเกิดการปะทะกันระหว่างทหาร กับตำรวจ มันอาจจะต้องมีเพราะว่าถ้าเอาอาวุธออกไป มันจะชุลมุน วุ่นวายกันนะครับ แล้วก็ถ้ามีการปะทะกันด้วยกำลัง มันจะมีความสูญเสียอาจจะมากกว่าเดิม เพราะมันใช้อาวุธ แล้วก็จะแก้ไขปัญหากันอย่างไร ในเมื่อออกไปกฎหมายก็ไม่มีรองรับ แล้วก็สถาบันทหารกับตำรวจก็จะต้อง แตกแยกกันไปอีกนาน สังคมคงไม่ดี อย่างไรก็ตาม ในที่นี้ ถ้าพูดอย่างนี้ จะปล่อยให้มีคนเจ็บตาย ก็เสียใจไม่อยากให้เกิด แต่ว่าถ้าทวนเวลากลับได้ ก็น่ากลับ
 
สรยุทธ์ - ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ท่านจะ..
พล.อ.อนุพงษ์ -
 ก็คงต้องทำอย่างที่ท่านว่าแหละครับ ต้องประท้วงอย่างที่สุด แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้ว่ามันจะเลวร้ายถึงขนาดนี้ ไม่มีใครรู้จริงๆ ถ้ารู้ใครจะยอม น้องโบว์เป็นทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ เป็นคนที่มีคุณค่า ไม่มีใครอยากให้เกิดเช่นนั้น ถ้าทวนกลับไปได้ทุกคนคงลงความเห็นว่า... ตำรวจก็คงไม่ทำ ผมมั่นใจว่าตำรวจก็คงไม่ทำ ตำรวจเขาอยู่เป็นร้อยวันเขาก็ไม่เคยทำและทุกครั้งที่ถูกกดดันให้ทำ เขาก็พยามที่จะบอกว่า ทำไม่ได้ ทำแล้วมันจะเสียหาย ผมเรียนยืนยันว่า ทุกครั้งตำรวจจะพูดอย่างนี้ แต่ว่าที่ทำแล้วทำไมไม่รู้นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว ขาดการฝึกซ้อม ไม่รู้ว่าอานุภาพเป็นอย่างไร นี่เป็นอีกเรื่องที่ต้องตรวจสอบกันอีกที พูดไปโดยข้อมูลไม่มี ก็จะทำให้ปัญหายุ่งพัลวันไปกันใหญ่ แต่ว่าเสียใจไหม ก็เสียใจ
 
สรยุทธ์ - เมื่อศุกร์ที่แล้วท่านผู้บัญชาการทหารบอกกับผมว่า รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบเหตุการณ์ผ่านไป 4-5 วัน ท่าทีล่าสุดของรัฐบาลก็คือว่า ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวนเหตุการณ์ เดินหน้าเรื่องสภาร่างรัฐธรรมนูญต่อไป แล้วล่าสุดก็เรียกร้องให้คืนทำเนียบรัฐบาล มุมมองท่านเป็นยังไง
พล.อ.อนุพงษ์ -
เรื่องความรับผิดชอบ มันเกิดความเสียหายเกิดขึ้น อันนั้นเป็นเรื่องปฐม แต่เรื่องที่ตามมาคือ คนในสังคมเขารับไม่ได้ เกิดเป็นกระแสขึ้นมา ลุกลามไปถึงการเกลียดสถาบันตำรวจ ลุกลามไปถึงสถาบันหมอ อย่างที่เราทราบกันมันยิ่งไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้นมันจะแก้กันที่ว่า แล้วยังไง...แล้วยังไง มันไม่ได้ มันต้องแก้ปัญหาตรงที่ว่า ต้องทำให้คนคิดว่ามันจะจบได้ ผมคิดว่า มันจะจบได้ต้องมีคนรับผิดชอบ ไม่ว่าจะรับผิดชอบระดับนโยบาย ในการสั่ง หรือรับผิดชอบในการปฏิบัติ แล้วก็ดูตามเหตุผลตามกฎหมายตามหลักการที่น่าจะทำได้ มันจึงจะสร้างความพอใจให้ประชาชนในชาติได้ มิฉะนั้น ก็คงแก้ไม่ได้
 
สรยุทธ์ - ถามท่านตรงๆ ได้ไหมครับว่า ท่านคาดหวังถึงขนาดให้รัฐบาลยุบสภาหรือลาออกไหมครับ
พล.อ.อนุพงษ์ -
คิดครับ ผมคิด เพราะมันไม่มีทาง ถ้าสมมุติว่า เช่นรัฐบาลสั่งเองเต็มๆ จากการสอบสวนแล้ว ต้องรับผิดชอบ ผมว่ากระแสคนในชาติคงไม่ยอม ไม่ยอมมันก็ปั่นป่วนไม่จบ ผมคิดว่าน่าจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่ว่าไม่ได้ไปบีบคั้นให้ออกเพราะอะไรนะครับ ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ เพราะว่าอยู่บนกองเลือดไม่ได้ เพราะว่าไม่ว่ารัฐบาลใดถ้าอยู่บนความเสียหายของประเทศชาติและประชาชนล้มตาย ก็รับไม่ได้ อยู่ยังไงก็อยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลนี้รัฐบาลเดียว แต่อยากจะเรียนว่า มันน่าจะเป็นสิ่งที่สังคมเขารับได้ ไม่ใช่ว่าจงเกลียดจงชัง ชอบไม่ชอบ ไม่เกี่ยว
 


สรยุทธ์ - นี่พูดถึงบนพื้นฐานของผลจากเหตุที่เกิดขึ้น


พล.อ.อนุพงษ์ - ครับ ด้วยเหตุด้วยผลของสิ่งที่มันควรจะเป็นไป


สรยุทธ์ - ถ้าท่านเป็นนายกรัฐมนตรี
พล.อ.อนุพงษ์ - ผมก็ออกแล้วครับ ไม่อยู่แล้วครับ อยู่ทำไม บ้านเมืองมันเสียหายผมก็ไม่อยู่แล้ว ผมก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม นี่ท่านถามผมนะครับ เป็นผม ผมไม่อยู่ คงไม่อยู่ เรียนด้วยความจริงก็ต้องไม่อยู่
 
สรยุทธ์ - ถามต่อไปว่าท่านจะกดดันไหมครับ
พล.อ.อนุพงษ์ -
คำว่ากดดันคงไม่ใช่ ผลสอบสวนออกมา สังคมจะทำเองในส่วนนี้ และถ้าท่านถามผม ผมก็ต้องทำอย่างนี้ ผมก็ไม่ทราบว่ากดดันหรือไม่ แต่ก็เรียกร้องว่าสังคมเขารับไม่ได้ มันไม่มีทางจะจบลงได้ ดังนั้นต้องมีคนรับผิดชอบ ผมก็เรียกร้อง สังคมก็คงเรียกร้องอย่างนั้น
 
สรยุทธ์ - คือท่านผู้บัญชาการทหารบกเรียกร้อง ใช้คำว่าอย่างนั้น
พล.อ.อนุพงษ์ -
ครับ
 
สรยุทธ์ - ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดครับ
พล.อ.ทรงกิตติ -
ผมได้เรียนผ่านสื่อมวลชนและประชาชนไปแล้วนะครับ ว่ากองทัพไทยใน 1 กองทัพ มี 3 เหล่า บก เรือ อากาศ สิ่งใดที่ท่านผู้บัญชาการทหารบกพูด กองทัพพูด ผู้บัญชาการทหารเรือพูดก็คือกองทัพพูด ความหมายก็คือ กองทัพบกกับกองทัพอากาศเห็นด้วย เป็นหนึ่งเดียวทุกเหล่าทัพ
 
สรยุทธ์ - เพราะฉะนั้นถ้ามีข้อเรียกร้องอย่างนี้ก็ชัดเจนนะครับ แต่ว่าก็อย่างที่ว่า ผมกลับมาอีกมุมหนึ่ง ขออนุญาตถามท่านผู้บัญชาการทหารบกอีกครั้งหนึ่งนะครับ เพราะว่าท่านถูกผลักเข้าไปอยู่ โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด โดยเฉพาะกรณีเกี่ยวกับท่านนะครับ งานศพคุณแม่ของท่านผู้บัญชาการ ด้วยความเคารพนะครับ ลือกันในทำนองว่า ให้เงินกันมา 50 ล้าน
พล.อ.อนุพงษ์ -
ก็ต้องบอกก่อนนะครับว่า ด้วยตัวตนของผมเอง ผมจะไม่มีวันทำอะไรเช่นนั้นนะครับ โดยพื้นฐานอยู่แล้ว ก็เรียนว่าผมไม่รับเงิน ไม่รับทรัพย์สมบัติจากใคร ไม่มีแน่นอน ในส่วนงานศพของคุณแม่ เนื่องจากผมและครอบครัวได้รับพระมหากรุณาธิคุณอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ตลอด ดังนั้น เรื่องค่าใช้จ่ายก็ไม่มีมากนะครับ เงินที่ผู้มาร่วมบุญทั้งหลายก็มีจำนวนหนึ่ง จนถึงก่อนบรรจุก็มีประมาณ 5.7 ล้านนะครับ คนที่ดำเนินการในส่วนนี้ก็คือพี่สาวผม เขาก็รับไปแล้วก็ลงบัญชีไว้ว่ามีใครบ้าง แล้วก็มอบเงินนี้ให้โรงพยาบาลพระมงกุฎ ซึ่งครอบครัวผมได้พึ่งพาอาศัยมาตลอด ก็มอบให้โรงพยาบาลเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนในวันเผาก็มีอีกประมาณ 1 ล้านเศษๆ ก็ให้วัดที่ทำบุญแล้วก็วัดที่เก็บกระดูก วันโสม กับวัดที่เก็บกระดูก ก็มั่นใจเถอะครับ ผมรับรองด้วยเกียรติของผมและวงศ์ตระกูลว่า ไม่มีการรับเงินไม่ว่าจะที่ผ่านมา ปัจจุบันหรืออนาคต ก็เรียนได้เลยว่าไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้น
 
สรยุทธ์ - คือได้มาก้อนแรก 5.7 ล้านโดยประมาณก็ให้มอบให้โรงพยาบาลพระมงกุฎ วันเผาก็ดำเนินการ ไม่ได้เอาเข้า..
พล.อ.อนุพงษ์ -
ไม่มีหรอกครับ ผมแทบไม่ได้ใช้เงินเลย


 


สรยุทธ์ - ท่านคงได้ยินการปราศรัยโจมตี ครอบครัวของท่าน ลูกเรียนอยู่ที่อังกฤษหรือเปล่าอะไรประมาณนั้น เชิญฮะถ้าอยากจะพูด


พล.อ.อนุพงษ์ - ครอบครัว ผมอยากเรียนกับสังคมว่า ผมกับครอบครัวชินวัตร มีบุคคลที่รู้จักกันเพียงคนเดียว คือผมและท่านนายกทักษิณ ผมเองไม่เคยคุยกับคุณหญิงพจมาน นะครับ ไม่เคยคุยจริงๆ ผมว่าผมจำได้ว่า แม้แต่ทัก ผมว่าผมยังไม่น่าจะเคยคุย ส่วนภรรยาผมนี้ไม่เคยนะครับ ไม่เคยเลย ไม่ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรผมไม่เคยมี มิใช่ว่าท่านถูกคดีแล้วไม่มีที่อยู่แล้วผมจะไปตัดรอนเพื่อน เพื่อนก็เป็นเพื่อนครับ แต่นี่เป็นความจริงว่าไม่เคยมี ยิ่งลูกสาว ลูกชาย ด้วยแล้วไม่เคยรู้จักคนในตระกูลชินวัตร แม้แต่คนเดียว ที่จะหมายถึงรู้จัก มาพูดคุยก็ไม่เคยแม้แต่คำเดียว


 


สรยุทธ์ - ส่งเสีย แล้วก็ดูแล
พล.อ.อนุพงษ์ - อ๋อ ไม่มีครับ ไม่มีแน่นอนนะครับ มีเขาไปเรียนปริญญาโทก็ปีเดียวนะครับ แล้วก็กลับมาเป็นเดือนแล้วนะครับ แล้วก็ไม่ได้ไปรู้จักใคร ซ้ำตอนที่อยู่ ก็พยายามที่จะหลบเลี่ยง ด้วยลูกผู้หญิงตัวคนเดียวอยู่ที่โน่น ก็กลัวมันจะ ต้องรักษาตัวนะครับ ก็เขาไม่ไปยุ่งกับใคร เขาก็คงไม่ไปรู้จักกับคนดังกล่าว
 
สรยุทธ์ - เห็นมีคนขึ้นไปพูดอยู่ตลอดเวลา ท่านก็ยืนยันว่าไม่ใช่
พล.อ.อนุพงษ์ -
ก็เสียใจว่า สังคมเรา ถ้าใช้การโจมตีกันด้วยความไม่บริสุทธิ์ และก็ไปทำให้ใครเสียเกียรติ หรือว่าเกิดความเข้าใจผิดในสังคม ผมว่าสังคมมันก็เริ่มต้นที่จะเป็นไปในทางที่ควรจะเป็นได้ยาก ไม่ใช่ผมคนเดียว ใครโดนอย่างนี้ก็ไม่น่าที่จะ เรียกว่า รับได้ในส่วนนี้นะครับ
 
สรยุทธ์ - บทบาทของกองทัพในการที่จะปกป้องรักษาสถาบันกษัตริย์ เชิญครับผู้บัญชาการทหารบก
พล.อ.อนุพงษ์ -
ก็อยากจะเรียนนะครับว่าไม่ว่าจะเป็นกองทัพ คนไทยทั้งชาติ นะครับ ทุกคนต้องมีความเห็นเช่นเดียวกันแน่ ผมมั่นใจว่า เราเทิดทูนและรักสถาบันพระมหากษัตริย์นะครับ เป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่ได้ ทุกคนโดยพื้นฐาน ในส่วนของตัวผมเองนั้น นอกจากการเป็นทหารซึ่งเป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตัวผมเองเป็นราชองครักษ์ตั้งแต่ปี 2525 โดยไม่เคยออกจากการปฎิบัติหน้าที่เป็นราชองครักษ์เลยนะครับเกือบ 30 ปีนะครับ ยิ่งกว่านั้นก็อยากจะเรียนว่า อยากจะให้สังคมเข้าใจ ได้เห็นภาพผมบ้างนะครับว่า ได้เคยถวายงานใกล้ชิดในหลายเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอารักขา การปฏิบัติงานตามพระราชดำริบ้าง อยากจะเรียนว่า ผมจะเทิดทูนและรักสถาบันยิ่งชีวิต ไม่มีทางที่ผมจะเป็นอื่นได้ และผมยืนยันว่า ทหารทั้งหมดและครอบครัวก็จะรู้สึกเช่นเดียวกันเหมือนกับประชาชนไทยทุกคน กลับมาในส่วนของการปกป้องและการเทิดทูนสถาบันนะครับ
 
สรยุทธ์ - คือต่างฝ่ายต่างอ้างอิง
พล.อ.อนุพงษ์ -
ผมอยากเรียนอย่างนี้ครับ คือว่าแนวทางในการดำเนินการขณะนี้มันมีการอ้างอิงสถาบัน จึงอยากจะเรียนให้พ่อแม่พี่น้องทราบว่า แนวทางคนที่จะถวายความจงรักภักดี จะต้องไม่ดึงพระองค์ท่านเข้ามาเกี่ยว มาอ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงื่อนไขความขัดแย้ง เงื่อนไขของทางการเมือง จะต้องไม่ดึงพระองค์ท่านลงมา เป็นสิ่งที่คนทุกคนจะต้องกระทำ พระองค์ท่านทรงอยู่เหนือ พระองค์ท่านทรงมี พสกนิกร 63 ล้านคน ไม่อาจจะไปอยู่ซีก 30 ใด หรือ 20 ใด หรือ 10 ใด ได้นะครับ พระองค์ท่าน ทรงมีพสกนิกร ซึ่งพระองค์ท่านทรงห่วงใยดูแล ไม่ว่าใครทั้งสิ้น 63 ล้านคนนะครับ จะต้องไม่แบ่งแยกท่าน แล้วก็การที่จะเอามาแต่กลุ่มเดียว ผมว่ามองอีกมุมหนึ่งเหมือนการแยกท่านให้ไม่เหลือ 63 ล้านคน ดังนั้นจึงต้องไม่ดึงพระองค์ท่านลงมาเด็ดขาด จึงอยากเรียนในส่วนนี้ว่า ที่มีเสียงว่ากองทัพไม่ดูแล ไม่ปกป้อง ผมเรียนเลยว่า การดำเนินการของกลุ่มใดในปัจจุบัน ถ้ามีการจาบจ้วงหรือหมิ่มเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กองทัพจะไม่ปล่อย ไม่ว่าจะวิธีใด ขอให้รับทราบไว้ด้วย
 
สรยุทธ์ - สุดท้ายผมถามท่าน ผบ.ตร.ก่อนว่า ถ้ามีการเผชิญหน้ากันอีก การดูแลผู้ชุมนุมในอนาคตให้หลักประกันสักนิดหนึ่งครับ ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์อะไรอีก
พล.ต.อ.พัชรวาท -
ครับก็ต้องเรียนอย่างนี้นะครับ เรื่องศาลปกครอง ก็ได้มีคำสั่งมาแล้วว่าการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุม มันจะต้องมีขั้นตอนอะไรอย่างไร ตรงนี้ ผมดีใจมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติเห็นคุณประโยชน์ของศาลปกครองมาก มันจะมีขั้นตอนการปฏิบัติการที่ชัดเจน และก่อนจะใช้ ก็ต้องประกาศต้องอะไร ค่อนช้างชัดเจนนะครับ ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง ก็เห็นว่าตรงนี้เป็นเรื่องที่ดี แล้วประกอบกับว่าโอกาสที่จะเกิดในอนาคต มันก็ยังมี มันยังมีโอกาสว่าสองฝ่ายยังอาจปะทะกันได้นะครับ


 


ผมก็คิดว่าตรงนี้ก็เป็นประเด็นสำคัญผมก็เลยตั้งคณะกรรมการเรื่องหารือการรักษาความปลอดภัยในการชุมนุม ก็อยากจะเอาสื่อเอาอะไรเข้าไปร่วมด้วยนะครับ อันนี้ผมว่ามีความจำเป็น มุมมองหลายมุม เราจะมองอย่างเดียวว่าการรักษากฎหมายต้องดำเนินการไปตามแผนกรกฎ 48 ตามแผน อย่างนี้อย่างเดียวผมว่ามันจะแข็งเกินไป ถ้าสื่อหรือคณะกรรมการชุดนี้มาให้ความเห็นเราได้ ผมว่าจะหลากหลาย
 
สรยุทธ์ - คือให้คนนอกเข้าไปมีส่วนร่วม เวลาจะยุติเหตุการณ์ อะไร ยังไง
พล.ต.อ.พัชรวาท -
คือจะมีคณะกรรมการ ที่สมมุติว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้ เช่นจะเกิดการปะทะกัน ทั้งสองกลุ่มเราก็จะเรียกประชุมคณะกรรมการชุดนี้ว่า เหตุการณ์อย่างนี้ท่านต้องไปช่วยเราอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้แต่ตำรวจทำหน้าที่อยู่เพียงฝ่ายเดียว
 
สรยุทธ์ - เอาล่ะครับ ปฎิวัติ เมื่อวันศุกร์ท่านบอกกับผมว่า ณ เวลานั้นทุกเหล่าทัพยังไม่มี จนถึงเวลานี้
พล.อ.อนุพงษ์ -
ก็ยังไม่มีครับ อย่างที่เรียนให้ทราบ ยิ่งคุยกันไปเหล่าทัพก็ยิ่งไม่เห็นด้วย แล้วก็สังคมไม่ว่าจะเป็นสื่อ นักวิชาการ ก็ไม่เห็นด้วย
 
สรยุทธ์ - คุณหมอประเวศ (วะสี) ล่าสุดออกมาบอกว่า ถ้าจำเป็นถ้านองเลือดแล้วปฎิวัติต้องรีบ


พล.อ.อนุพงษ์ - ผมเข้าใจว่า ถ้าเป็นนองเลือดกันจริงๆ เป็นกลียุคนะครับ ก็อาจจะมีแต่คงไม่ใช่ปฏิวัตินะครับ คงเป็นการหยุดใช้อำนาจ แล้วก็ให้ใครมาใช้ จะเรียกปฏิวัติ ก็คงไม่ใช่ เป็นการหยุดการใช้อำนาจมากกว่า
 
สรยุทธ์ - เป็นการหยุดใช้อำนาจ ไม่ใช่การปฏิวัติ ไม่มีในความคิดจนถึงนาทีนี้ และนาทีไหน
พล.อ.อนุพงษ์ -
ไม่มีครับ
 
สรยุทธ์ - ตัวท่านถูกบางกลุ่มบางฝ่ายมองว่า จะเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ผมถามท่านตรงๆ พล.อ.ทรงกิตติ
พล.อ.ทรงกิตติ -
ไม่เคยมีในความคิดเลยนะครับ
 
สรยุทธ์ - บางเวทีบอกว่า พล.อ.ทรงกิตติจะเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ
พล.อ.ทรงกิตติ -
อาจจะเป็นความคิดของคนที่พูดครับ ไม่ใช่ความคิดของผม และไม่ใช่ของกองทัพไทยด้วยครับ ไม่มีครับ เรายืนยันว่ากองทัพรักษาบทบาทอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย แล้วก็อยู่กับประชาชน ทำงานให้กับประชาชน ไม่มีฝัก ไม่มีฝ่าย และพันธกิจที่สำคัญที่สุดคือ รักษาอธิปไตยเหนือดินแดน แล้วก็อยากให้ประชาชนมั่นใจว่า กองทัพมีความพร้อม แล้วก็ติดตามแล้วก็ดำเนินการทุกวิถีทาง


 


การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เราดำเนินการอยู่แล้ว แต่มิจำเป็นที่จะต้องประกาศว่า ทำอะไรบ้าง เมื่อไหร่บ้าง คือเราทำงานไปนะครับ ขอให้ผลงานออกมา แล้วในส่วนของความแตกแยกนะครับ ทางการเมือง หรือว่าความแตกต่างทางความคิดนั้น อย่าให้เป็นความแตกต่างของสังคมไทยเลยนะครับ ขอให้กลับสู่ ความเป็นสังคมไทยของเราซึ่งเรามีความสุข อยู่ร่วมกัน เอื้ออำนวยต่อกัน แล้วก็ช่วยกันทำให้ประเทศไทยวัฒนาถาวรครับ
 
สรยุทธ์ -  รัฐบาลแห่งชาติ ไม่ใช่บทบาทของกองทัพ 
พล.อ.ทรงกิตติ -
คือมีอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการนะครับ แล้วก็มีกลุ่มชน สภาก็มี บทบาทของกองทัพไม่ใช่ครับ
 
สรยุทธ์ - ท่าน ก็จะเข้ามาเห็นบอกว่าท่านจะถามกลับผม จะถามอะไรครับ
พล.อ.ทรงกิตติ -
ท่านอยากให้ปฏิวัติเหรอครับ เห็นถามบ่อยเหลือเกิน
สรยุทธ์ - ไม่อยากครับ ถ้าถามผม ผมไม่อยากให้ปฎิวัติ แต่เป็นกระแสข่าวออกมา ก็เลยต้องถาม เอาล่ะครับนี่คือจุดยืนของทุกเหล่าทัพนะครับ นี่เป็นการสัมภาษณ์ครั้งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาบอกเล่าความในใจและท่าทีของทุกเหล่าทัพครับ สวัสดีครับ


 


 


เบื้องลึก ผบ.เหล่าทัพ "ปฏิวัติเงียบ" ผ่านจอ?
คนสนิท "สมชาย" วิ่งวุ่นขอเวลาโต้ตอบ
ส.ส.พปช.โทรต่อว่าช่อง
3


วันเดียวกัน เว็บไซต์มติชนออนไลน์ รายงานว่า การออกรายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" ของผู้บัญชาการ (ผบ.) เหล่าทัพ นำโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พ่วงด้วย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เมื่อเย็นวันที่ 16 ตุลาคม จนกลายเป็น "เรื่องร้อนเย็นนี้" มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเริ่มจากผู้ผลิตรายการติดต่อขอให้ พล.อ.อนุพงษ์ มาออกอากาศให้สัมภาษณ์ เป็นเวลา 15 นาที เกี่ยวกับศึกชายแดนเขมรที่กำลังระอุอยู่



ช่วงที่ติดต่อไปเป็นเวลาประมาณ 14.00 น. พล.อ.อนุพงษ์เพิ่งเสร็จสิ้นจากการประชุม ผบ.เหล่าทัพ จึงถามว่าจะสัมภาษณ์เรื่องอะไร ทีมงานแจ้งว่าเรื่องเขมร แต่เนื่องจากการหารือระหว่างทหารฝ่ายไทยและเขมรยังไม่ได้ข้อสรุป พล.อ.อนุพงษ์ จึงแจ้งทีมงานว่า ขอให้ ผบ.เหล่าทัพคนอื่นไปร่วมออกรายการด้วยได้หรือไม่ ซึ่งหมายรวมถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ผบ.ตร.



นอกจากนี้ หลังจากที่ ผบ.เหล่าทัพเดินทางมาถึงสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกได้แจ้งผู้ผลิตขอขยายเวลาการให้สัมภาษณ์ พร้อมกำชับอย่าเพิ่งแจ้งผู้สื่อข่าว



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่เสร็จสิ้นการออกรายการของ ผบ.เหล่าทัพ ได้มีคนสนิทของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี โทร.มาขอออกรายการตอบโต้ แต่ไม่สามารถจัดให้ได้เนื่องจากหมดเวลารายการแล้ว นอกจากนี้ยังมี ส.ส.พรรคพลังประชาชนโทร.มาต่อว่าช่อง 3 ว่าเป็นเครื่องมือให้กองทัพมาเล่นงานรัฐบาล ซึ่งทีมงานช่อง 3 แจ้งว่า ผบ.เหล่าทัพต้องการมาออกทีวีพร้อมกันเพื่อแสดงให้เขมรเห็นศักยภาพ และความเป็นเอกภาพของกองทัพที่พร้อมรับมือปัญหาเขมร



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นนายสมชายเก็บตัวอยู่ภายในบ้านพักในหมู่บ้านเบเวอร์รี่ฮิลล์ ย่านแจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพออกรายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" กระทั่งเวลา 19.00 น.ชุดรักษาความปลอดภัยนายกฯถอนกำลังออกจากบ้านพัก


 


ต่อมาเวลา 19.30 น.นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเข้าพบ และอีก 5 นาทีถัดมา นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าพบนายกฯ จนเวลา 20.00 น.นายยงยุทธจึงเดินทางกลับ


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net