Skip to main content
sharethis


หมายเหตุ - "กลุ่มประชาชนไม่เอาสงครามกลางเมือง" ประกอบด้วยเครือข่ายภาคประชาสังคมจากหลากหลายส่วน อาทิ เครือข่ายผู้บริโภค มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เครือข่ายพนักงานบริการ (SWING) เครือข่ายครอบครัว เครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายจิตอาสา เครือข่ายสุขภาพ เครือข่ายนักศึกษา อดีตสมาชิกวุฒิสภา เครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ตัวแทนนักวิชาการ เป็นต้น ทั้งนี้ ทางกลุ่มได้จัดทำเอกสารมูลเหตุสงครามกลางเมืองเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชน เบื้องต้นจัดพิมพ์ 10,000 เล่ม และจะขยายพิมพ์ให้ครบ 100,000 เล่ม อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังสามารถเปิดอ่านและแสดงความคิดเห็นได้ตามเว็บไซต์ของเครือข่ายภาคประชาสังคม


 


 


บทนำ


 


สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในเวลานี้ ไม่ต่างอะไรกับการเผชิญหน้ากันระหว่างคู่ศัตรูในยามสงคราม...


 


ฝ่ายหนึ่งก็คือ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประกอบไปด้วยบรรดาพลพรรคและลิ่วล้อในรัฐบาลของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (ณ เครือข่ายครอบครัวชินวัตร) พรรคพลังประชาชน รวมไปถึงแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) 


 


อีกฝ่ายหนึ่งได้แก่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีแนวร่วมหลากหลายทั้งเปิดเผย และแอบซ่อน  


 


ถือได้ว่าเป็นการเผชิญหน้าที่พร้อมจะปะทุเป็นสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ หลังจากที่มีการปะทะแบบสงครามย่อย ๆ มาแล้วสองสามครั้ง


 


สถานการณ์เช่นนี้ไม่ต้องเป็นเกจิทางการเมืองก็สามารถมองเห็นได้ว่า คู่ศัตรูทั้งสองฝ่ายต่างจดจ้องชิงความได้เปรียบ ผลัดกันรุกรับ และพร้อมยกระดับความขัดแย้งแบบไม่ประนีประนอมหรือยอมเจรจา เพราะต่างก็ใช้เงื่อนไขของความรุนแรงเป็นยุทธวิธีสำคัญเหมือนกัน


 


 


มูลเหตุ 7 ประการของสงครามกลางเมือง


 


1. แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยใช้ ส.ส.ร.3


ความพยายามของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลในการเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.3 มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ "แบบหน้ามึน" จนถึงความพยายามล่ารายชื่อ 10,000 รายชื่อเพื่อผลักดัน พ.ร.ก.นิรโทษกรรม หวังจะช่วยปลดปล่อย 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยให้ออกมาโลดแล่นในสนามการเมือง "แบบหน้าหนา" ก็ไม่ต่างอะไรกับการจุดชนวนสงครามกลางเมืองนั่นเอง


 


เมื่อฝ่ายหนึ่งเริ่ม อีกฝ่ายก็พร้อมเคลื่อนตัวออกจากที่ตั้งมาคัดค้านแบบถวายหัว อาจรวมแขน...ขา... จนถึงทั้งตัว


 


ยิ่งไปกว่านั้น คำยืนยันในยามเช้าของพรรคร่วมรัฐบาลว่าไม่แก้รัฐธรรมนูญ แต่กลับ "พลิกลิ้น" ประกาศเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญในยามเย็น การเติมเชื้อไฟด้วยปลายลิ้นเช่นนี้คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าในไม่ช้า...ชนวนสงครามครั้งใหม่ก็จะต้องถูกจุดขึ้นอีก ด้วยเหตุว่า การทำสงครามด้วยการจ้องหน้ากันเฉยๆ ไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาชนะได้ จำเป็นต้องมีการยกกำลังสัปประยุทธ์กันให้แตกหักในที่สุด



 


2. การที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรไม่เคารพกติกา


ยังพยายามสนับสนุนกลุ่มการเมืองเพื่อแก้ปัญหาให้ตนเอง สงครามนี้จึงเกี่ยวข้องกับทักษิณ ชินวัตร โดยตรง


 


แน่นอนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักการเมืองที่สร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายอย่าง จนทำให้คนจำนวนมากเข้าใจว่าเป็นคนเก่ง เพราะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้ผลประโยชน์หลายอย่างลงไปถึงหมู่บ้าน 


 


แต่ในหลายๆ อย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำลงไป ก็มีทั้งดีและไม่ดี...ทั้งมีบางอย่างที่ไม่ก่อประโยชน์ กับสังคม มากเท่ากับผลประโยชน์ที่เกิดกับกลุ่มหรือพรรคของตนเองและครอบครัว ดังเป็นที่ประจักษ์ ตามคำพิพากษาของศาลแล้ว


 


แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาจากฝั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือการไม่ยอมรับว่า ตนเองและพรรคมีความผิด ไม่เห็นว่าสิ่งที่ทำนั้น มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม และมีหลักฐานในเรื่อง "ผลประโยชน์ทับซ้อน"  


 


แม้กระทั่งตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณก็มองเห็นแต่มุมดีของตนเอง ปฏิเสธและไม่ยอมรับสิ่งที่กลุ่มทางสังคม องค์กรอิสระ และระบบยุติธรรมของประเทศได้พิจารณา ได้ไต่สวนและได้วิพากษ์วิจารณ์ สิ่งที่เขาทำ


 


ดังนั้น สิ่งที่สังคมเห็นและเข้าใจ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามดิ้นรน เพื่อกลับคืนมาอยู่ในตำแหน่งที่เคยมีอำนาจ ต้องการกลับมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง คนทั่วไปเห็นและเข้าใจว่า คุณทักษิณ ไม่ได้หยุดเหมือนปากว่า แต่กลับยังสนับสนุน และมีส่วนในการดำเนินการของกลุ่มการเมืองในซีกรัฐบาล และนี่ เป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง การแบ่งฝ่าย และการยึดตัวบุคคล มากกว่าความถูกต้อง


 


ตราบใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังดำเนินการทุกอย่างเหมือนที่ผ่านมา สังคมไทยก็ไม่อาจก้าวพ้นความแตกแยกและการแบ่งเป็นสองกลุ่มที่พร้อมจะลงมือใช้ความรุนแรงต่อกันเพื่อห้ำหั่นให้ตาย ให้แพ้กันไปข้างหนึ่ง


 


3. คุณภาพนักการเมือง ขาดจริยธรรม ไร้ธรรมาภิบาล โกหก เชื่อถือไม่ได้


นักการเมืองแบบไทยๆ ทำให้คนที่ห่วงใยบ้านเมืองรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง


 


การศึกษาน้อยไม่ใช่ปัญหา แต่กลับไม่ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมจนกลายเป็นปัญหาบางรายถึงขั้นโกงวุฒิการศึกษา เลือกตั้งก็โกงกันเข้ามา


 


ตำแหน่งรัฐมนตรีที่ต้องบริหารบ้านเมืองกลับถูกแบ่งสรรกันตามโควต้า มุ้งใคร-มุ้งมัน ได้ 5 เอาไป 1 ไม่เคยดูที่ความสามารถ หรือความเหมาะสม


 


...เก้าอี้รัฐมนตรีเสมือนสมบัติผลัดกันชม เอ็งมั่ง ข้ามั่ง แบ่งๆ กันไป


 


โกงกินกระหน่ำ แต่เอาชาวบ้านทั้งรากหญ้า รากหยอยบังหน้า อ้างว่า ผมรักประชาชน แต่หักหัวคิวทั้งตามน้ำ ทวนน้ำ 15-30 เปอร์เซ็นต์ จากทุกโครงการ


 


แต่ถ้ายังไม่สะใจ ก็ชงเมกกะโปรเจคท์ใหม่ให้กินเต็มๆ จนพุงกาง หนำซ้ำโกงแล้วยังกร่าง อวิชชาครอบงำแต่ยังไม่รู้ตัว


 


มีอาชีพนักการเมืองอย่างเดียว แต่ทำไมรวยเอารวยเอา ปั้นน้ำเป็นตัว พูดอะไรไม่เคยรับผิดชอบ จริยธรรมยิ่งเสื่อมโทรม ผิดลูกผิดเมีย นอกใจ มีกิ๊กเรื่องธรรมดา สำมะหาอะไรกับการคิดจะไล่เตะผู้หญิง นักการเมืองไทยทำได้แน่นอน แล้วแบบนี้ใครจะไปไหว้ลง ท่านนักการเมืองผู้ทรงเกียรติ???    



 


4. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย


ทำการรณรงค์ทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน กว่าร้อยวัน !


 


ถามว่า.... คนพอใจหรือไม่  คำตอบ มีทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ


 


ถามว่า.... คนเห็นด้วยหรือไม่  คำตอบ มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย


 


ถามว่า....ทำถูกต้องหรือไม่  คำตอบ มีทั้งถูก และผิด คละเคล้ากันไป


 


ถามว่า....ช่วยปกป้องประเทศชาติหรือไม่  คำตอบ มีส่วน


 


ถามว่า....มีส่วนให้เกิดความตึงเครียดและเผชิญหน้าหรือไม่  คำตอบ มี


 


ถามว่า....รณรงค์ด้วยวาจา ท่วงทำนองที่ดุเดือดรุนแรง หรือไม่  คำตอบ มีมากกว่าไม่มี


 


ถามว่า....คนเบื่อหรือไม่  คำตอบ เบื่อ กับ ไม่เบื่อ


 


ถามว่า .... ถ้าไม่มีพันธมิตรฯ แล้วใครจะออกหน้าแทน  คำตอบ ตอบยาก แต่เชื่อว่าน่าจะมีบ้างแต่ไม่เข้มแข็งเท่า


 


ถามว่า.... แล้วพันธมิตรฯ คงยืนหยัดต่อไปได้หรือไม่  คำตอบ คงจะได้และอาจไม่ได้


 


ถามว่า พันธมิตรฯ..... คือมนุษย์ธรรมดาหรือไม่  คำตอบ ใช่ มนุษย์ที่ทำผิดบ้างถูกบ้าง มีจิตใจความรู้สึกถึงเพื่อนมนุษย์เช่นกัน


 


แล้วทำไม พันธมิตรฯ.....จะหยุดคิด ใคร่ครวญ ไตร่ตรองมากขึ้นไม่ได้


 


......จะพักเวทีชั่วคราวไม่ได้หรือ


 


......จะริเริ่มกิจกรรมการสนทนาหลายฝ่ายไม่ได้


 


......และยืดหยุ่น รับฟัง ลดการตอบโต้ใช้วาจารุนแรงไม่ได้หรือ


           


ถามว่า พันธมิตรฯ ทำได้หรือไม่  คำตอบ ได้และไม่ได้


 


"อยู่ที่พลังของพันธมิตรฯ ทุกคน"



 


5. กลุ่มคัดค้านการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย


ที่พร้อมจะใช้กำลังเข้าจัดการ ไม่ว่าจะขู่ด้วยการใช้อาวุธเข้าสลายทำเนียบ ทั้งนายตำรวจ นายทหารบางคนที่ประกาศเรื่องนี้ต่อสาธารณะ และในหลายเหตุการณ์ เช่น


 


·         การเคลื่อนขบวนชุมนุมของ นปช. ออกจากสนามหลวงมาที่สะพานมัฆวาน จนมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์


·         กระบวนการตาต่อตาฟันต่อฟันในหลายเหตุการณ์  เช่น การทำร้ายพันธมิตรที่ชุมนุมในจังหวัดอุดรธานี


·         การใช้สถานีโทรทัศน์ของรัฐเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์กลุ่มและเครือข่ายในการคัดค้าน ผ่านรายการความจริงวันนี้ทางเอ็นบีที (NBT)


·         ทั้งสองฝ่ายต่างมีอารมณ์เคียดแค้น เกลียดชังฝ่ายตรงข้าม พร้อมจะเป็นผู้ใช้ความรุนแรงหรือสนับสนุนความรุนแรง พร้อมออกมาเผชิญหน้า หากฝ่ายตรงข้ามพยายามเคลื่อนไหวหยุดการแก้รัฐธรรมนูญ


6. NBT สื่อของรัฐ วิทยุชุมชน และASTV


ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชนในสังกัดไหน หรือมีผู้ใดเป็นเจ้าของ สื่อควรทำหน้าที่และบทบาทของตัวเองอย่างเหมาะสม โดยการเสนอข่าวสารข้อมูลที่ไม่มีความเอนเอียง อคติ เสนอข่าวด้านเดียว หรือเสนอข่าวที่ฉาบฉวยที่ปราศจากมูลความจริง หรือ มีความจริงเพียงส่วนเดียว หรือเสนอข่าวที่ขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริง


 


สื่อควรเสนอข่าวที่มีความสมดุล มีมูลความจริงที่ปราศจากอคติ นักข่าว ผู้ประกาศข่าว ผู้ดำเนินรายการข่าว ทำงานอยู่บนฐานของมืออาชีพที่ปราศจากอิทธิพลการเมือง อิทธิพลของทุน หรืออิทธิพลผู้มีอาวุธ


 


แม้ ASTV จะเป็นสื่อมวลชนที่มีจุดยืนเฉพาะตน ขณะที่ NBT ก็มีสังกัดว่าเป็นสื่อของรัฐ แต่สถานภาพของการเป็นสื่อสารมวลชน ไม่ควรละเลยการนำเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงและตรวจสอบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลต้องไม่แทรกแซง NBT หรือใช้ NBT เป็นเครื่องมือทางการเมือง


 


สถานีวิทยุชุมชน ควรทำโดยความเป็นมืออาชีพ ปราศจากการครอบงำโดยนักการเมืองท้องถิ่นและนักการเมืองดับชาติ วิทยุชุมชน ควรตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างกว้างขวางมากกว่าการเป็นเครื่องมือทางการเมือ


 


7. มีรัฐแต่ไร้ประสิทธิภาพ ไม่กำกับดูแล ไม่บริหารจัดการ แต่ยังดึงดันบริหารประเทศต่อไป ทั้ง ๆ ที่หมดความชอบธรรม ไร้ความรับผิดชอบ


มีรัฐแต่เสมือนไร้รัฐเป็นเช่นไร ดูตัวอย่างได้จากเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีประกาศกับสาธารณะว่า ตำรวจมีหน้าที่ต้องจัดการให้รัฐบาลสามารถแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งไม่แตกต่างอะไรกับการ "เปิดไฟเขียว" ให้ใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ชุมนุมโดยตรง


 


ดังนั้น การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อหาข้อเท็จจริงและชดเชยความเสียหายจึงไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นการสอบสวนตนเองหรือให้ลูกน้องตามจับเจ้านาย โอกาสที่จะได้ความจริงและหาคนผิดมาลงโทษคงยากส์


 


หลายฝ่ายจึงออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา หรือลาออก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอธิการบดีหลายมหาวิทยาลัย นักวิชาการ และองค์กรต่าง ๆ ทางสังคมมากมาย


 


แต่รัฐบาลยังวางเฉย หลบซ้าย หลีกขวา เอาตัวให้รอดไปวันต่อวัน ทั้งๆ ที่รัฐบาลหมดความชอบธรรมที่จะเดินหน้าบริหารประเทศมานานแล้ว


 


แต่ดูเหมือนทุกฝ่ายยังเดินหน้าทำตามผลประโยชน์ของกลุ่มมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะ สงครามกลางเมืองก็เป็นสิ่งที่ไม่เกินความจริง 


 


และถึงเวลาแล้วผู้ที่กำลังขับเคลื่อนให้สังคมไทยก้าวไปสู่สงครามกลางเมือง ต้องกล้าหาญแสดงความรับผิดชอบ แล้วบอกกับคนทั้งสังคมว่าสิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ล่อแหลมอย่างยิ่งที่จะกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง


 


 


ทางออกสุดท้าย "ยุบสภา" ทุกฝ่ายกลับที่ตั้ง


ประชาชนอย่างเรา ๆ ต้องไม่เบื่อการเมือง เพราะการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน


 


รัฐบาลควรจะต้องยุบสภาก่อน โดยไม่ต้องกังวลว่า รัฐธรรมนูญ ปี 50 นั้น ไม่ดี มาจากเผด็จการ เพราะว่าส่วนใหญ่จะเหมือนกับ ปี 40 แต่จะต่างกันในเรื่องที่มาของ สว. และ สส. การจัดการพรรคการเมืองที่โกงการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้ง รับไม่ได้ที่สุดใช่ไหม...


 


แต่ละพรรค แต่ละกลุ่ม องค์กร ต้องลงไปให้การศึกษากับประชาชน แสดงจุดยืนทางการเมืองให้กับประชาชนรับรู้ ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญ ก็บอกเลยว่า จะแก้อะไร เช่น การได้มาซึ่ง ส.ส. ส.ว.  เป็นต้น    


 


ดังนั้น รัฐบาลสามารถยุบสภาซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งในวิถีประชาธิปไตย ทุกฝ่ายกลับที่ตั้ง เร่งรีบทำกระบวนการศึกษาทางการเมืองให้กับประชาชน บางคนคิดไปไกลว่า คนที่เราไม่ชอบจะกลับมาอีก หากจะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน อย่างน้อยเราสามารถหยุดสงครามกลางเมืองไม่ใช่อย่างที่คิดกันว่า เป็นการเลื่อนสงครามกลางเมือง


 


ที่สำคัญการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ....ซึ่งเรายอมเสียเวลา แต่เราไม่ต้องการเห็นประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมือง ที่เข้าร่วมการชุมนุมไม่ว่ากับฝ่ายไหนก็ตาม ต้อง "เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก" 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net