ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 15 พฤศจิกายน 2551

พปช. เล็งยื่น ป.ป.ช. สอบ "เทพเทือก" ทำรัฐเสียค่าโง่โฮปเวลล์หมื่นล้าน

เว็บไซต์แนว :  นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ ส.ส.พรรคพลังประชาชนจำนวนหนึ่งจะเดินทางไปยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. เร่งตรวจสอบ 16 โครงการก่อสร้างทางยกระดับและอุโมงค์ลอดสี่แยกใน กทม. มูลค่า 2 หมื่นล้านบาทของกทม. ที่เกิดขึ้นในสมัย นายอภิรักษ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม. และจะยื่นเรื่องให้ตรวจสอบย้อนหลังกรณีโครงการโฮปเวลล์ที่อนุญาโตตุลาการชี้ให้รัฐบาลจ่ายชดใช้ค่าโง่กว่า 1 หมื่นล้านบาทแก่บริษัทเอกชนหลังจากยกเลิกโครงการในสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็น รมว.คมนาคมในขณะนั้น

 

 

พันธมิตรฯจัดกิจกรรม "สะอาด" แต่งดำร่วมอาลัยพระพี่นางเธอฯ

ผู้จัดการรายวัน : ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ซึ่งถือเป็นวันแรกที่จัดงานพระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยผู้ชุมนุมต่างพร้อมใจกันแต่งกายด้วยชุดดำ ได้ทยอยเดินทางมาร่วมชุมนุมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบรรยากาศโดยรอบได้มีการตั้งเต้นท์เพื่อล่ารายชื่อ 20,000 ชื่อ เพื่อถอดถอน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ที่บริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) โดยมีผู้ชุมนุมให้ความสนใจไม่ขาดสาย ซึ่งคาดว่าในช่วงเย็นผู้ชุมนุมจะมีเพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้ นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ แถลงข่าวถึง กรณีงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระพี่นางเธอฯว่า ทางพันธมิตรฯ จะมีการจัดกิจกรรมภายในที่ชุมนุม เพื่อให้สอดคล้องกับงานพระราชพิธีฯ ภายใต้โครงการ "มนุษย์สะอาด" คือร่วมกันรณรงค์ความสะอาดในพื้นที่ชุมนุม เพื่อถวายความจงรักภักดี ขณะที่บนเวทีปราศรัย จะงดการปราศรัยโจมตีเรื่องการเมืองในขณะนี้ แต่จะมีการพูดถึงอนาคตของการเมืองใหม่ รวมทั้งจะมีการถ่ายทอดสด งานพระราชพิธีผ่านสถานีโทรทัศน์ ASTVและผ่านจอโปรเจกเตอร์ ให้แก่ผู้ชุมุนมในทำเนียบรัฐบาลได้รับชม

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายพิภพ แถลงข่าวอยู่นั้น มีนายกฤตโชค จินดาณพล ที่อ้างตนว่าเป็นที่ปรึกษาของ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานคณะกรรมการที่ปรึกษากองทัพไทย และเป็นนักวิชาการของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ได้นำหลักฐานภาพถ่ายความเสียหายบนอาคารสำนักงานคณะกรรมการพลเรือน (กพ.) ที่ถูกแรงระเบิดในวันที่ 7 พ.ย. เวลา 03.00 น. ซึ่งประกอบด้วย ภาพหลังคาพัง ไม้ที่ถูกแรงอัดระเบิด พร้อมภาพถ่ายชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดชนิด M 5 ที่เป็นระเบิดเสียงและสะเก็ดระเบิดชนิด M 79 ให้สื่อมวลชนดู

 

 นายกฤตโชค กล่าวว่า หลังเกิดเหตุระเบิดในวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา ก็ปรากฏเป็นข่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ เป็นคนที่สร้างสถานการณ์ขึ้นมา ตนจึงเข้ามาฟังการปราศรัยในที่ชุมนุม และตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุระเบิดรายวันที่เกิดขึ้นในที่ชุมนุม

 

ต่อมาวันที่ 10 พ.ย. เวลา 03.30 น. ก็ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกครั้ง ในพื้นที่ชุมนุม ซึ่งห่างจากเวทีปราศรัยประมาณ 10 เมตร โดยเสียงดังมาจากบริเวณดาดฟ้าของตึกกพ. ตนจึงได้ขอรปภ.ของตึกขึ้นไปตรวจสอบบริเวณดาดฟ้าที่อยู่บนชั้น 4 พบว่ามีรอยเท้า คล้ายรองเท้าคอมแบต โค้ก 2 กระป๋อง และขี้บุหรี่ที่เพิ่งดูดใหม่ๆ จึงเชื่อว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่การสร้างสถานการณ์ของพันธมิตรฯ แน่นอน

 

"วันที่ 11 พ.ย. ผมได้เข้าพบกับผู้ใหญ่ในกพ. ท่านได้มอบภาพถ่ายความเสียหายบนตึกกพ.วันที่ 7 พ.ย. ที่ผมนำมาให้สื่อดู เป็นสะเก็ตระเบิดเสียงชนิด M 5 ที่ซ้อมยิง มีรัศมียิงได้ระยะไกลถึง 100 เมตร และสะเก็ดระเบิดชนิด M 79 และเป็นระเบิดชนิดเดียวกับที่ตกบริเวณเต็นท์หน้าเวทีทำเนียบฯ ในวันที่ 10 พ.ย. ที่ยิงจากที่สูง โดยใช้ปืนยิงชนิดเดียวกัน และผู้ที่จะยิงปืนชนิดนี้ได้ ต้องเป็นหน่วย ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) หน่วย อรินทราช และ ทหาร แต่ผมไม่ได้เจาะจงว่า จะเป็นหน่วยใด แต่กระสุนที่ใช้ เป็นอาวุธสงคราม ผมจึงเป็นห่วงผู้ชุมนุมที่ไม่รู้เรื่อง และหากระเบิดครั้งล่าสุดที่ยิงมาไม่ติดเต็นท์ ต้องมีคนตายไม่น้อยกว่า1-2 คน" นายกฤตโชคกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม นายกฤตโชค กล่าวว่า เหตุการณ์ระเบิดทั้งสองครั้งที่เกิดขึ้น เป็นระเบิดชนิดเดียวกันที่ทำให้ "น้องโบว์" น.ส. อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ เสียชีวิต ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับนายทหารคนหนึ่งที่ออกมาเคลื่อนไหว ที่ระบุจะดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯ และยังทำหนังสือรายงานการเกิดเหตุไปที่หน่วยงาน กอ.รมน. และแม่ทัพภาคที่ 1 และสน.ดุสิต

 

 

"วิชา" ชี้ เรียก 28 ครม. กำหนดเวลายาก ยัน ใช้เกณฑ์ "อภิรักษ์" เป็นบรรทัดฐาน

เว็บไซต์แนวหน้า : นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่าการให้ระยะเวลาแก่ครม. ทั้ง 28 คน ในการชี้แจงข้อกล่าวหาโดยนำพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารหรือบุคคล ชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ที่ให้กรอบเวลา 15 วัน นั้นอาจจะต้องยืดระยะเวลาออกไป เพราะกว่าที่ครม. ทั้ง 28 คนจะเข้าชี้แจงข้อกล่าวหาเสร็จคงต้องใช้เวลาสักพัก

 

 "แม้ว่าจะกำหนดเวลาไว้ 15 วัน แต่หากมี ครม. คนใดติดธุระ ไม่สามารถชี้แจงได้ก็ต้องยื่นเวลาออกไป โดยไม่มีเวลาที่ตายตัว กำหนดไม่ได้ และผมเองก็คาดเดาไม่ได้ด้วยว่าเรื่องนี้จะเสร็จเมื่อไหร่ แต่เอาเป็นว่าจะพยายามเร่งทำเรื่องนี้ให้เสร็จโดยเร็วก็แล้วกัน" นายวิชา กล่าว

 

เมื่อถามว่า กรณีที่รัฐมนตรีบางคนได้ดำรงตำแหน่งใหม่ ในรัฐบาลชุดนี้ แต่ข้อกล่าวหาเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดที่แล้วจะส่งผลต่อการวินิจฉัยหรือไม่ นายวิชากล่าวว่า คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะวินิจฉัยตามมาตรา 55 ของประมวลกฏหมาย ป.ป.ช. ดูจากกรณีของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพฯยังลาออกหลังจากที่ ป.ป.ช. ชี้มูลข้อกล่าวหา ซึ่งถือเป็นบรรทัดฐานให้กับนักการเมืองไปแล้ว ส่วนกรณีของบุคคลที่เป็นข้าราชการ ขณะนี้ยังไม่ชี้แจงข้อกล่าวหา คงต้องพักไว้ก่อน ขณะนี้ต้องดำเนินการเรื่อง ครม. ทั้ง 28 คนเป็นหลัก

 

 

"โอฬาร" เล็งใช้งบแสนล.ช่วยคนตกงาน

เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ : "โอฬาร" มั่นใจรับมือวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปีหน้าได้ แต่ห่วงปัญหาว่างงานจากโรงงานปิด เตรียมหารือ รมว.แรงงาน จันทร์หน้า นำงบแสนล.มาช่วย นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่หลายฝ่ายกังวลปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกจะมีความรุนแรงมากในปี 2552 และจะกระทบต่อไทยรุนแรงตามไปด้วย เหมือนที่เคยพูดไว้เมื่อก่อนว่าสหรัฐมีปัญหา จะทำให้ทั้งโลกกระเทือนไปด้วย แต่ขณะนี้ปัจจัยต่าง ๆเริ่มเปลี่ยนไปมากแล้ว เพราะปัญหารอบนี้สหรัฐเป็นไข้หนักมาแล้วปีครึ่ง แต่ไทยเพียงแต่หวัดหรือจามเท่านั้น ดังนั้น คาดว่า 6 มาตรการของรัฐบาลที่ออกไปทั้งด้านตลาดทุน สภาพคล่อง เมกะโปรเจคท์ การตั้งกองทุนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน น่าจะรับมือปัญหารอบนี้ได้ แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะตลาดหุ้นก็มีกองทุนหลายประเภทดูแลเข้าไปซื้อหุ้นอยู่ ด้านสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ก็ยังมีสภาพคล่องเพียงพอ แต่ต้องดูให้สอดคล้องกับความต้องการสินเชื่อของอุตสาหกรรมในแต่ละช่วง

 

นายโอฬาร กล่าวว่า ที่สำคัญมีความเป็นห่วงปัญหาการว่างงานจากโรงงานต่าง ๆ อาจปิดกิจการ ดังนั้น ในการหารือกับนางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในวันจันทร์ (17 พ.ย.) จะพิจารณาเกี่ยวกับการใช้งบกลางแสนล้านบาทมาช่วยดูแลปัญหาคนตกงาน หลังจากมีความกังวลว่าจะมีผู้ตกงานเป็นจำนวนมากจากปัญหาเศรษฐกิจถดถอย จึงให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปสำรวจข้อมูลว่ามีโรงงานประเภทใดเริ่มมีปัญหาต้องปลดคนงานหรืออาจต้องปิดกิจการ โดยเฉพาะโรงงานในแถบอ้อมใหญ่ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมโรจน พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีแรงงานในต่างจังหวัดเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะใช้งบกลางไปช่วยพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีคุณภาพมากขึ้น และตรงกับความต้องการแรงงานของโรงงานแห่งใหม่ ทำให้ในช่วงที่หยุดงานจะมีการฝึกฝีมือแรงงาน และผู้ตกงานก็ยังได้รับเงินชดเชยถึง 6 เดือนจากกองทุนประกันสังคม เพราะช่วงที่มีการปิดกิจการก็ยังมีโรงงานที่ต้องการแรงงานมีคุณภาพ

 

สำหรับแนวคิดโครงการผู้ส่งออกเอสเอ็มอีตลาดใหม่ ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีก็เป็นแนวคิดที่ดี เพราะหากผู้ประกอบการที่เคยผลิตสินค้าเสื้อผ้า สิ่งทอ การประกอบสินค้า ส่งออกไปต่างประเทศในช่วง 10-20 ปี ที่ผ่านมา เมื่อต้นทุนสูงขึ้นอุตสาหกรรมประเภทดังกล่าว จะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ 1. การปิดกิจการ หรือหันประกอบการธุรกิจประเภทอื่น 2. การพัฒนาสินค้าประเภทเดิม โดยต้องต้องย้ายไปอยู่ในแถบประเทศเพื่อนบ้าน แรงงานไทยจะตามไปก็ไม่ได้ ดังนั้น เอ็กซิมแบงก์หรือรัฐบาลก็ต้องดูแลการย้ายโรงงาน การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเดิมมีความเข้มแข็ง

 

นายโอฬาร กล่าวว่า หลังจากเดินสายรับฟังปัญหาจากเอกชนสาขาต่างๆ ทั้งตลาดทุน ธนาคาร สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ เมื่อรับฟังความคิดเห็นที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลครบทุกด้านแล้ว ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ จะประชุมร่วมกันทั้งหมดในคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อสรุปข้อเสนอและปัญหาของทุกกลุ่ม ในการให้ความช่วยเหลือหรือออกมาตรการอื่นเพิ่มเติม เพื่อให้แต่ละกระทรวงที่รับผิดชอบดูแลเอกชนไปช่วยแก้ปัญหา ทั้งกระทรวงการคลัง พาณิชย์ เกษตร อุตสาหกรรม แรงงาน โดยเฉพาะการส่งออกยอมรับว่าเป็นห่วงเพราะตลาดหลักทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่น ยุโรป มีคำสั่งซื้อน้อยลง จึงต้องหาแนวทางในการช่วยเหลือผู้ส่งออก

 

 

พธม.ล่ารายชื่อ 20,000 ชื่อ ถอน "สมชาย"พ้นเก้าอี้นายกฯ

เว็บไซต์แนวหน้า : ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในช่วงบ่ายวันนี้ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมต่างพร้อมใจกันสวมชุดดำเพื่อร่วมแสดงความอาลัยถวายแด่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยบนเวทีปราศรัยมีการดำเนินรายการตามปกติแต่ไม่มีการปราศรัยโจมตีรัฐบาล เหมือนเช่นทุกวัน ส่วนบรรยากาศโดยรอบได้มีการตั้งเต้นท์เพื่อล่ารายชื่อ 20,000 ชื่อ เพื่อถอดถอน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ที่บริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยมีผู้ชุมนุมให้ความสนใจไม่ขาดสาย ซึ่งคาดว่าในช่วงเย็นผู้ชุมนุมจะมีเพิ่มขึ้น

 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ได้มีกลุ่มข้าราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจำนวนกว่า 10 คน สวมใส่ชุดสีดำ เดินทางเข้ามาเพื่อจะนำของใช้ส่วนตัวออกจากห้องทำงานภายในทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นการ์ดพันธมิตรฯ ก็ยังตรวจสอบอย่างเข้มงวด รวมทั้งไม่อนุญาตให้ออกไปภายนอกได้ทางประตูทางเข้า-ออกด้านหน้า ซึ่งสะดวกกว่า แต่กลับให้ออกไปทางประตูด้านฝั่งตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ ถ.ราชดำเนินนอก แทนทำให้กลุ่มราชการดังกล่าวไม่พอใจ

 

ส่วนบริเวณโดยรอบทำเนียบกลุ่มแม่ค้าพ่อค้า ที่เคยตั้งร้านขายสินค้าบริเวณถนนราชดำเนินและบริเวณโดยรอบได้ย้ายร้านมาตั้งอยู่ที่บริเวณถนนหลังพาณิชย์พระนคร ยาวไปตั้งแต่สะพานชมัยมรุเชฐจนถึงสะพานอรทัย

 

 

ไชยาปัดเกาเหลา "โอฬาร" แต่ไม่คำเชิญกินข้าว

เว็บไซต์สยามรัฐ : นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกระแสข่าวความขัดแย้งกับนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ว่า ขอปฏิเสธข่าวความขัดแย้ง ตนและนายโอฬาร ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ซึ่งในช่วงเที่ยงวันนี้ (14 พ.ย.) นายโอฬาร ได้เชิญตนไปทานข้าวและร่วมประชุมเพื่อร่วมกันเพื่อพิจารณารายละเอียดแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะใช้งบกลางจำนวน 100,000 ล้านบาท แต่ช่วงนี้ทุกคนติดงานพระราชพิธีฯ จึงไม่สามารถเข้าไปร่วมประชุมได้ และขณะนี้สุขภาพไม่ค่อยดี เดินนั่งก็ไม่สะดวก และได้เรียนให้นายโอฬารทราบแล้ว จึงไม่มีปัญหาความขัดแย้งใด ๆ ทั้งสิ้น

 

 

'สมชาย'รับมีความคิดสร้างทำเนียบใหม่

เว็บไซต์เดลินิวส์ : วันนี้(14 พ.ย.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงแนวคิดจัดหาพื้นที่สร้างทำเนียบรัฐบาลแห่งใหม่ว่า ถ้านานเกินไปหาที่อยู่ใหม่ก็ดี แต่ที่พูดเป็นแค่ความคิด ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ ทั้งนี้ ได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนต่างประเทศบ่อย อาทิ ญี่ปุ่น ซึ่งมีระบบการรักษาความปลอดภยอย่างแน่นหนาถาวร เห็นว่าน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งไม่ได้กันว่าใครจะมาประท้วง

 

เมื่อถามว่ามองหาสถานที่ไว้บ้างหรือยัง นายสมชาย กล่าวว่า ยังไม่ได้มอง แต่คิดว่าน่าจะสร้างในกรุงเทพฯแน่ ที่ทำไม่ได้ต้องการจะหลบหนีอะไร แต่บางทีอาจถึงเวลาที่ควร เพราะสภาก็สร้างใหม่แล้ว

 

 

เสธ.แดงแนะตร.ยึดทำเนียบฯคืน 14-19 พย.

เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ : พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวว่า ในช่วงเวลาตั้งแต่ วันที่ 14 - 19 พฤศจิกายนนี้ การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในทำเนียบรัฐบาล มีผู้ร่วมชุมนุมจำนวนไม่ถึง 20 คน ขอให้ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นำกำลังตำรวจเข้ากวาดล้างและยึดทำเนียบรัฐบาลคืน ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสม ตนเห็นว่าเป็นช่วง 04.00 น.คืนนี้ สามารถปฏิบัติการได้ ซึ่งไม่กระทบกับพระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

 

นอกจากนี้ พล.ต.ขัตติยะ ยังกล่าวเตือนกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรด้วยว่า ขอให้เคลื่อนย้ายออกจากทำเนียบรัฐบาลก่อนถึงวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ เพราะหลังจากนั้นอาจจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น

 

 

นายกฯ "สมชาย" ไม่เชื่อ "แม้ว" ตั้งรัฐบาลผลัดถิ่น "บาฮามาส"

เว็บไซต์คมชัดลึก : นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลบาฮามาสออกมาเปิดทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นได้ว่า ตนก็เห็นข่าว แต่มันจะเป็นความจริงหรือไม่เราก็ไม่รู้ เราฟังแล้วก็มาวิเคราะห์

 

เมื่อถามว่าตามกฎหมายจะสามารถตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นได้หรือไม่ เพราะเรามีรัฐบาลอยู่แล้ว นายสมชาย กล่าวว่า "ผมคิดว่าคงไม่ใช่ ในความรู้สึกผมก็คงไม่มีใครตั้งหรอก"

 

ถามว่าคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ถ้าเป็นความคิดของตน คิดว่าไม่น่าใช่ เพราะมันไม่มีเหตุผล ขณะนี้เราก็มีรัฐบาลแล้ว เชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณคงไม่ตั้งรัฐบาลผลัดถิ่น อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาตนก็ไม่เคยคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ

 

เมื่อถามว่าการที่ต่างชาติมาพูดเรื่องการเมืองของไทยถือเป็นการแทรกแซงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่าเพิ่งวิจารณ์ตรงนี้เลย เดี๋ยวจะเกิดผลกระทบ เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีเกรงใจรัฐบาลบาฮามาสหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องเกรงใจหรือไม่เกรงใจ เราก็รักษาผลประโยชน์ของประเทศเรา เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

 

เมื่อถามว่าในการเดินทางไปหลายประเทศ ผู้นำประเทศนั้น ๆ ได้สอบถามถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศและคดีของพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ไม่มีใครถามเลย

 

 

'3 กมธ.วุฒิฯ'เชิญการท่าเรือแจง เปิดประมูลจัดการตลาดคลองเตย

เว็บไซต์เดลินิวส์ : นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ย.นี้ คณะกรรมาธิการ 3 ชุด ของวุฒิสภา ได้แก่ กรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ กรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล กรรมาธิการการยุติธรรมและการตำรวจ ได้ไปตรวจสอบกรณีการปาระเบิดใส่ผู้ชุมนุมพ่อค้าแม่ค้าตลาดคลองเตยเมื่อเวลา 01.30 น.วันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมาและได้ตรวจสอบเอกสารต่างๆเบื้องต้นพบว่า เป็นความขัดแย้งเรื่องการประมูลพื้นที่ตลาดคลองเตย 10.18 ไร่ ราคา 613.59 ล้านบาท ที่การท่าเรือฯเป็นผู้เปิดประมูล โดยเดิมพื้นที่นี้ มีผู้ได้รับการประมูล 3 เจ้า ต่อมาการท่าเรือฯได้ทำโครงการพัฒนาตลาดคลองเตย และได้เปิดประมูลใหม่ มี 6 บริษัทยื่นซองประกวดราคา ปรากฏว่า มี 4 ราย โดนตัดทิ้งเพราะไม่ผ่านการประเมินเทคนิค เหลือ 2 บริษัท ได้รับการพิจารณา ต่อมามีการประกาศผลการพิจารณาเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ปรากฏว่า บริษัท ลีเกิ้ล โปรเฟสชั่นแนล จำกัด ชนะประมูล แต่ปรากฏว่า วันที่ 29 ต.ค. เจ้าของบริษัทดังกล่าว ได้มอบอำนาจบริหารให้อีกบริษัทหนึ่งซึ่งเข้ารอบสุดท้ายแต่ไม่ชนะการประมูล เป็นผู้ดำเนินการขับไล่ผู้เช่าเดิมให้ย้ายออกเมื่อวันที่ 30 ต.ค.นี้ ซึ่งในจุดนี้ มีความผิดปกติว่า ทั้ง 2 บริษัท ที่เข้ารอบสุดท้ายการประมูล ฮั้วกันเอง หรือไม่

 

"ชาวตลาดคลองเตย ร้องเรียนมาเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ว่าได้รับความเดือดร้อนจากการเปิดประมูล เพราะต้องจ่ายค่าเช่าที่สูงมาก และเคยยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ขณะนี้อยู่ในการพิจารณาของศาลสูง และเคยร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคณะกรรมาธิการมีคำสั่งให้การท่าเรือ ชะลอการประมูลออกไปจนกว่าจะพิจารณาเสร็จ แต่การท่าเรือไม่สนใจ และเปิดประมูล จนบริษัทดังกล่าวชนะการประมูล โดยบริษัทนี้ เจ้าของเคยติดคุกคดีฆ่ามาแล้ว มีฉายาว่า "ผู้กองตุ๋ย" จนเมื่อวันที่ 30 ต.ค. มีการนำชายฉกรรจ์ 200 นาย มาไล่ที่ ข่มขู่ผู้ค้าในตลาดให้ไปลงชื่อจดทะเบียนเช่าที่ 70,000 -80,000 บาท ต่อปี มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ ซึ่งในที่สุดก็มีชาวตลาดออกมาประท้วง และถูกปาระเบิดเข้าใส่ขณะชุมนุมเมื่อคืนวันที่ 13 พฤศจิกายน ทั้งนี้เรื่องนี้นอกจากอาจจะมีเรื่องฮั้วแล้ว ยังมีการแจ้งมาว่า มีนักการเมืองระดับชาติ ได้ผลประโยชน์จากการเปิดประมูลครั้งนี้ ซึ่ง ทั้ง 3 กรรมาธิการ จะร่วมกันตรวจสอบ โดยจะเชิญการท่าเรือมาชี้แจงในวันที่ 20 พ.ย.นี้ เวลา 13.00 น." นายสมชาย กล่าว

 

 

วสันต์เปิดใจพ้น อสมท. เหตุทำงานต่างสไตล์กับบอร์ด

เว็บไซต์คมชัดลึก : เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท เปิดเผยว่า คณะกรรมการ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือบอร์ด อสมทได้สรุปถึงการทำงานร่วมกันของตนและบอร์ดในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ระบุว่ามีการทำงานที่มีความแตกต่างกัน และเพื่อให้องค์กรเดินหน้าต่อไป จึงมีความเห็นร่วมกันให้ตนยุติหน้าที่ โดยเป็นการออกจากตำแหน่งโดยไม่ผิดสัญญาจ้าง

 

 "แนวทางการทำงานที่บอร์ดและผมเห็นต่างกัน คือการจัดทำแผนธุรกิจของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ที่บอร์ดเห็นว่าแผนที่ทำส่งเป็นแผนปฏิบัติการ อสมท แต่ผมยืนยันว่าเป็นแผนธุรกิจ เมื่อบอร์ดขอให้จัดทำใหม่ ก็ได้ดำเนินการจัดทำแผนส่งให้พิจารณาใหม่ แต่หลังจากนั้นบอร์ดก็ยังไม่เห็นชอบ และขอให้มีการปรับแผน กรณีแผนธุรกิจถือเป็นความคิดเห็นที่ต่างกันมากที่สุด" นายวสันต์กล่าว

 

 นายวสันต์กล่าวอีกว่า การทำงานร่วมกับบอร์ดช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ตนทำหน้าที่ดีที่สุด ทุ่มเทการทำงานตามสัญญา ในฐานะคนที่เติบโตมาจากสื่อ และทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ ช่วงเวลา 1 เดือนที่เหลือในตำแหน่ง จะส่งไม้ต่องานทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อองค์กร

 

ขณะเดียวกัน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ อสมท ได้ออกแถลงการณ์ กรณีบอร์ดมีมติให้นายวสันต์ยุติหน้าที่ด้วยเหตุผล "เป็นเรื่องการทำงานที่มีแนวทางไม่ตรงกัน" ทำให้ อสมท ถูกมองจากบุคคลภายนอกว่ามีความสมประโยชน์เกิดขึ้นทั้งคณะกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เพราะคณะกรรมการสามารถเปลี่ยนตัวกรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่ได้ ขณะที่นายวสันต์ไม่เสียชื่อเสียงเมื่อต้องพ้นจากตำแหน่ง โดยไม่มีความผิดใดๆ

 

สหภาพแรงงาน อสมท จึงข้อเรียกร้อง ดังนี้ 1.ให้คณะกรรมการตระหนักและปกป้อง อสมท จากการแทรกแซงของการเมืองภายนอก รวมทั้งขอให้มีการชี้แจงถึงเหตุผลที่แท้จริงเรื่องนี้ต่อพนักงาน และผู้ถือหุ้น 2.ให้กระบวนการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่จะต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใสและรวดเร็ว 3.การดำเนินการใดๆ ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ จะต้องไม่สร้างความเสียหายหรือเป็นการซ้ำเติมองค์กรในช่วงของการเปลี่ยนแปลง 4.ระหว่างการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสูงสุดของ อสมท ครั้งนี้ หากเกิดความเสียหายใดๆ ขึ้นกับองค์กรแห่งนี้ทั้งปัจจุบันและอนาคต คณะกรรมการ อสมท ต้องรับผิดชอบ

 

 นางอรวรรณ ชูดี ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ อสมท กล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึงนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ประธานบอร์ด อสมท ให้ชี้แจ้งรายละเอียด กรณีการยุติหน้าที่นายวสันต์ ในวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้ ในเวลา 10.00 น. เพราะเหตุผลที่บอร์ดแจ้งไม่ได้สร้างความกระจ่าง และสมเหตุสมผล เพียงพอ และสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้ อสมท เสียภาพลักษณ์ และเสียศักยภาพทางการแข่งขันระหว่างช่วงสุญญากาศ ที่ไม่มีกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริหารองค์กร และสิ่งที่วิตกกังวลมากที่สุดคือการเข้ามาแทรกแซงสื่อของการเมือง โดยจะจับตากระบวนการสรรหาอย่างใกล้ชิด

 

 





คุณภาพชีวิต

 

 

คุณหญิงพรทิพย์บุกค้นโรงเรียนพบกำมะถัน-ถังแก๊สจำนวนมาก-จ่อยิงครูปัตตานีสาหัส

เว็บไซต์สยามรัฐ : แพทย์หญิงคุณฆยิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พ.ต.ท.ธนาพล มีชัย รอง ผกก.สส.สภ.บาเจาะ น.ท.นึกอนันต์ แสนอุบล ผบ.ฉก.นราธิวาส 30 ได้ร่วมสนธิกำลัง จำนวน 80 นาย ใช้กฎอัยการศึกเข้าตรวจค้นบ้านพักนักเรียนชายของโรงเรียนเจริญวิทยานุสรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ ม.7 ต.ลูโบ๊ะสาวอ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ซึ่งต้องสงสัยเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มผู้ไม่หวังดี โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดคลิปวีดีโอที่บันทึกไว้ในเครื่องโทรศัพท์มือถือของนักเรียนคนหนึ่ง ที่มีภาพถ่ายการฝึกอาวุธและทดสอบสมถรรถนะร่างกายของสมาชิกแนวร่วมกลุ่มกลุ่มความไม่สงบไปตรวจสอบ

 

โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาในการตรวจค้นบ้านพักนักเรียนซึ่งสร้างอยู่ภายในโรงเรียน และสามารถตรวจสอบพบว่าที่พื้นภายในบ้านพักมีการขุดเจาะคล้ายเป็นช่องลับ และเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดดินดำ ผงกำมะถัน ดินปะสิว ที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติก รวม 5 ถุง พร้อมด้วยถังแก๊สปิกนิคต้องสงสัย จำนวน 7 ถัง ที่ตั้งอยู่หลังบ้านพัก เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดเพื่อไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์

 

และในระหว่างทำการตรวจค้นพบว่านักเรียนที่อาศัยอยู่ในบ้านพักหลังดังกล่าว เดินทางกลับภูมิลำเนาเนื่องจากเป็นวันหยุดของนักเรียน แต่เจ้าหน้าที่ได้ทำการประสานไปยังผู้ถือใบอนุญาต เพื่อเป็นสักขีพยานในการตรวจค้นครั้งนี้

 

ด้านเจ้าหน้าที่กองกำลัง 3 ฝ่าย อ.จะแนะ จ.นราธิวาส เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้นำกำลัง 60 นาย ไปค้นบ้านเลขที่ 302 ม.2 ต.จะแนะ อ.จะแนะ ซึ่งเป็นบ้านพักของนายอาหะมะ มะดง อายุ 56 ปี เป็นโต๊ะอีหม่าม ประจำมัสยิดวาตอนี และนายตูรีดี มะดง อายุ 25 ปี ลูกชาย อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน โดยการตรวจสอบในเบื้อต้นทั้ง 2 คน เครื่อง จี.ที.200 ได้ชี้ว่าพบตามลำตัว และเสื้อผ้าที่เก็บอยู่ภายในบ้านพักมีสารปนเปื้อนวัตถุระเบิด จึงควบคุมตัวมาสอบสวนขยายผลยัง สภ.จะแนะ โดยใช้เวลาสอบสวนอยู่หลายชั่วโมง ซึ่งต่อมานายอาหะมะ ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ว่าเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการจุดชนวนระเบิด จยย.บอมส์ ในวันเกิดเหตุที่บริเวณหน้าร้านน้ำชา ตรงข้ามที่ว่าการอำเภอสุคิริน เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา จากนั้นจึงถูกนำตัวแอบไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพอย่างลับๆ โดยไม่มีการแจ้งให้สื้อมวลชนทราบ ก่อนที่จะนำตัวไปสอบสวนขยายผลยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานีต่อไป

 

ในขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 14 พย. พตอ.มนัส ศิกษมัต ผกก.สภ.เมืองปัตตานี รับแจ้งมีเหตุยิงกันที่บนถนนสาย 410 ปัตตานี-ยะลา ม.1 บ้านตะลูโบ๊ะ ต.ตะลูโบ๊ะ อ.เมือง จ.ปัตตานี (ใกล้กับมัสยิดตะลูโบ๊ะ) จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุและนำกำลังไป พร้อมด้วย พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พบแต่กองเลือด และรถจักรยานยนต์ซูซูกิ สีดำ ทะเบียน ช 7925 พัทลุง ล้มลงในกองหญ้า ข้างถนน ส่วนผู้ถูกยิงทราบชื่อว่า นาย ศักดาวุธ ทองศรีดำ อายุ 33 ปี ข้าราชการ ครู กศ1โรงเรียนบ้านกาฮง ต.บาราเฮาะ อ.เมือง มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้น ขนาด .38 เข้าบริเวณหน้าท้อง ไหล่ และเฉี่ยวที่บริเวณคอ อาการสาหัสนำตัวส่งโรงพยาบาลปัตตานี

 

สอบสวนทราบว่าผู้ถูกยิง เป็นครู สอนวิชาวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โรงเรียนดังกล่าว ก่อนเกิดเหตุ หลังจากที่สอนนักเรียน ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้านพักในตัวเมืองปัตตานี พอขับขี่มาถึงที่เกิดเหตุ กำลังจะเข้าเมือง ได้มีคนร้ายจำนวน 3 คน ขับขี่รถจักรยนต์ไม่ทราบชนิดจำนวน 2 คัน ตามประกบ พอได้จังหวะคนร้ายที่ซ้อนท้ายได้ชักอาวุธปืนยิง ทำให้ครูถูกยิง และเสียหลักลงข้างทาง คนร้ายได้จอดและกระหน่ำยิงซ้ำอีก จากนั้นคนร้ายหลบหนีไป สาเหตุน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์

 

 

ม็อบชาวบ้านบุกปิดโรงหลอมเหล็กเพชรบุรี

เว็บไซต์สยามรัฐ : นายชาย พาณิชพรพันธุ์ ผวจ.เพชรบุรี นายยืน อ่วมสำอาง รักษาการณ์อุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วยหน่วยหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจโรงงานหลอมโลหะของบริษัทไทย อินเตอร์ สตีล กรุ๊ป จำกัด ที่ หมู่๑ ต.หนองชุมพล อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี โดยมีนายชนะชัย โคจรานุศาสน์ หุ้นส่วนกรรมการผู้จัดการโรงงานฯให้การต้อนรับ

 

นายชายเปิดเผยว่า การตรวจโรงงานดังกล่าวสืบเนื่องมาจากโรงงานดังกล่าวได้รับการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ ต.หนองชุมพล และพื้นที่ใกล้เคียงมานานกว่า 1 ปี ว่า โรงงานดังกล่าวดำเนินการก่อสร้างโรงงานโดยผิดกฎหมาย มีการติดตั้งเครื่องจักรมากกว่าปริมาณที่ขออนุญาต อีกทั้งเมื่อมีการทดลองเดินเครื่องจักรปรากฏว่ามีมลพิษ ฝุ่น ควัน เสียงดัง และมีกลิ่นเหม็นในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชุมชนที่อยู่รอบข้าง มีการเดินขบวนคัดค้านของกลุ่มประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด ส่งผลให้โรงงานไม่สามารถเปิดกิจการและเดินทดลองเครื่องจักรได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ผู้บริหารโรงงานฯได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปยัง คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเปิดการทดลองเดินเครื่องจักร ตนซึ่งเข้ามารับหน้าที่ผู้ว่าฯเพชรบุรีจึงเดินทางมาตรวจสอบพื้นที่ก่อนเพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งนี้จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าโรงงานมีการติดตั้งเครื่องจักรเกินที่ขออนุญาต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวบ้านเกิดความไม่ไว้วางใจ

 

อย่างไรก็ตามการทดลอง 2 ครั้งที่ผ่านมาแม้จะเกิดผลกระทบด้านต่างๆ แต่โรงงานมีรายงานว่ามีการปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่ถูกร้องเรียนด้านต่างๆแล้วชาวบ้านควรเปิดโอกาสให้โรงงานทดลองอีกครั้ง และสมควรเชิญผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งตัวแทนชาวบ้าน นักวิชาการ ตัวแทนอุตสาหกรรม ฯลฯ ร่วมตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ตรวจค่าความดัง ความหนาแน่นของฝุ่น และมาตรฐานด้านกลิ่นเหม็น ตลอดจนสารปนเปื้อนต่างๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายทราบและเห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างเป็นรูปธรรมก่อนเพื่อใช้เป็นเหตุผลในการตัดสินใจในการทำประชาพิจารณ์ แต่เมื่อประชาชนไม่ต้องการให้ทดลองเครื่องจักรก่อนจึงได้สั่งการให้สำนักงานอุตสาหกรรมประกาศให้ประชาชนในพื้นที่ 2 กิโลเมตรรอบโรงงานเข้าแจ้งข้อเดือดร้อนก่อนการประชาพิจารณ์ซึ่งตนจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

 

นายชายและคณะใช้เวลาการตรวจโรงงานกว่า 1 ชั่วโมงจึงเดินทางกลับแต่ปรากฏว่าขณะที่ออกจากโรงงานฯได้มีชาวบ้าน ต.หนองชุมพล อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี จำนวนกว่า 50 คน นำโดย นางกรคสรร เวชกุล ส.อบต.หนองชุมพล ประธานกลุ่มพิทักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อ.เขาย้อย ได้เดินทางถือป้ายผ้าข้อความต่อต้านโรงงานหลอมโลหะดังกล่าวมาปิดล้อมที่บริเวณทางเข้าออกของโรงงานและเรียกร้องให้ นายชายและคณะลงมารับฟังข้อร้องเรียนและความเดือดร้อนของชาวบ้าน

 

นางกรคสรรกล่าวว่า เมื่อเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฏรได้เชิญตน และตัวแทนจากกรมโรงงาน สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบุรี เข้าร่วมประชุมพิจารณาหลังจากโรงงานฯได้ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมผ่าน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในพื้นที่ จ.เพชรบุรี ไปยังคณะกรรมาธิการ ซึ่งในที่ประชุมสรุปว่าควรจะให้โรงงานมีการทดลองเดินเครื่องจักรอีกครั้งหนึ่ง และให้อนุกรรมาธิการเดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งนี้โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านหรือพิจารณาข้อความเดือดร้อนของประชาชน

 

"การที่คณะกรรมาธิการ ส.ส.เชิญ ไปร่วมประชุมครั้งนี้เหมือนเป็นการมัดมือชก เชิญเราไปบอกให้ไปชี้แจงข้อมูลแต่ปรากฏว่า ขณะประชุมกลับไม่รับฟังและไม่เปิดโอกาสให้พูดชี้แจงเลยแม้แต่น้อย แถมยังถูก ส.ส.ที่เชื่อใจว่ามีอุดมการณ์เดียวกันในการช่วยเหลือชาวบ้านหักหลัง เมื่อครั้งแรกเข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านและร่วมต่อต้านโรงงานเพราะเห็นด้วยกับผลเสียและมลพิษที่จะเกิดขึ้น แต่ครั้งนี้กลับเข้าข้างฝ่ายโรงงานช่วยเหลือรับเรื่องร้องเรียนให้ทดลองเดินเครื่องจักร และนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของชาวบ้าน นอกจากนี้อุตสาหกรรมจังหวัดยังปกปิดข้อมูลการทดลองเครื่องจักรทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมาไม่มีการชี้แจงให้คณะกรรมาธิการฯรับฟัง เตาหลอมที่เกินกว่าขออนุญาตก็ไม่ได้มีการดำเนินการทางกฎหมายที่ชัดเจน ชาวบ้านไม่ได้ต้องการปิดถนนหรือก่อม๊อบสร้างความเดือดร้อนให้ส่วนรวมแต่เมื่อราชการพึ่งไม่ได้จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการรุนแรง "เบื้องต้นนายชายได้รับเรื่องดังกล่าวไว้และรับจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด และเร่งทำประชาพิจารณ์ก่อนทดลองเครื่องจักร จากนั้นได้เดินทางตรวจสอบสภาพโดยรอบโรงงานก่อนเดินทางกลับ

 

 

สธ.เฝ้าระวังโรคหวัดนกที่ อ.หนองฉาง จ.อุทัยฯ 21 วัน

เว็บไซต์เดลินิวส์ : ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับมาตรการควบคุมการติดเชื้อโรคไข้หวัดนกในคน หลังพบสัตว์ปีกที่ อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี ติดเชื้อไข้หวัดนก ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กำชับให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) เฝ้าระวังการติดเชื้อในคนอย่างใกล้ชิด เป็นเวลา 21 วัน เพื่อความมั่นใจ โดยมีการสอบถามอาการป่วยที่สำคัญคือไข้ ไอ และอยู่ในพื้นที่ที่มีสัตว์ปีกป่วยตายทุกวัน โดยขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขพร้อมป้องกันควบคุมไม่ให้เชื้อไข้หวัดนกในสัตว์ปีกติดต่อสู่คน แม้ว่าพื้นที่นั้นจะมีสัตว์ปีกติดเชื้อ และเชื่อมั่นระบบที่มีอยู่ ว่ามีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะป้องกันคนให้ปลอดภัยจากโรคไข้หวัดนกได้

 

ด้าน นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้สถานีอนามัยและโรงพยาบาลหนองฉาง รวมทั้งหมด 19 แห่ง ได้ทำการตรวจคัดกรองผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ อ.หนองฉาง ทุกรายอย่างละเอียด เพื่อคัดกรองหาผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อไข้หวัดนก โดยเฉพาะที่ ต.ทุ่งโพ ซึ่งเป็นจุดที่พบไก่พื้นบ้านติดเชื้อไข้หวัดนก ได้ตรวจคัดกรองทุกหลังคาเรือน ผลการตรวจคัดกรองทั้ง อ.หนองฉาง พบมีผู้ป่วยอยู่ในข่ายเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกทั้งหมด 21 ราย จาก 8 ตำบล ได้แก่ เขากวางทอง เขาบางแกรก ทุ่งโพ หนองนางนวล หนองยาง หนองสรวง อุทัยเก่า และทุ่งพง ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดนก เป็นเพียงไข้หวัดใหญ่ทั่วๆ ไป ซึ่งเป็นโรคตามฤดูกาลอยู่แล้ว

 

 

"ฮู"เลือก "ไทย-บราซิล" ประเทศต้นแบบควบคุมยาสูบ

เว็บไซต์คมชัดลึก : นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับนายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แพทย์หญิงมอรีน อี.เบอร์มิ่งแฮม (Dr. Maureen E Birmingham)ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย และนายแพทย์อมันโด เปรูก้า (Dr. Armando Peruga )ผู้ประสานงานเสริมสร้างศักยภาพด้านการควบคุมยาสูบ ประจำองค์การอนามัยโลก แถลงข่าวผลการสำรวจความสามารถของประเทศไทยในการปฏิบัติตามนโยบายการควบคุมยาสูบ

 

นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวว่า หลังจากที่องค์การอนามัยโลกประกาศใช้ กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบนานาชาติ และมีประเทศสมาชิก 157 ประเทศ ร่วมลงนามในสัตยาบัน ซึ่งรวมทั้งไทยด้วย แต่จากการติดตามมาตรการควบคุมยาสูบทั่วโลกในรอบ 5 ปี องค์การอนามัยโลกพบว่าหลายประเทศยังดำเนินการควบคุมการบริโภคยาสูบได้ไม่ดีนัก ในปีนี้องค์การอนามัยโลกจึงทำการประเมินผล โดยคัดเลือกประเทศไทยและประเทศบราซิล เพื่อนำผลการสำรวจไปใช้ในการจัดทำแผนและคู่มือการควบคุมการบริโภคยาสูบของประเทศให้สมบูรณ์ ครอบคลุมแต่ละมาตรา ตามนโยบาย ต่อไป โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 2-13 พฤศจิกายน 2551 ในกว่า 80 หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน

 

นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่องค์การอนามัยโลก เลือกประเทศไทยเป็นประเทศนำร่องสำรวจการควบคุมบุหรี่ เนื่องจากประเทศไทย ได้ดำเนินการตามกรอบดังกล่าวมาโดยตลอด และมีผลงานอยู่ในระดับที่ได้ผลดีในอันดับแนวหน้าของโลก และสาระของกฎหมายบุหรี่ของไทย ที่ประกาศใช้ในพ.ศ.2535 จำนวน 2 ฉบับ คือพ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ และพ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ มีความสอดคล้องกับกฎหมายบุหรี่ของโลกเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้การดำเนินงานมีความสอดคล้องกัน

 

ทางด้าน นายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในการประเมินผลงานด้านการควบคุมยาสูบของประเทศครั้งนี้ ได้ทำการสัมภาษณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุข ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่า ไทยยังมีปัญหาและอุปสรรคในการควบคุมการบริโภคยาสูบ ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมาย การควบคุมการโฆษณาและส่งเสริมการขายยาสูบผ่านทางอินเตอร์เน็ต และการจัดเก็บภาษียาเส้นมวนเองเพื่อลดอัตราการบริโภค

 

 "ไทยจะนำร่างผลการสำรวจและข้อเสนอแนะจากคณะผู้เชี่ยวชาญครั้งนี้ เข้าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมยาสูบแห่งชาติ ประมาณเดือนมกราคม 2552 เพื่อปรับปรุงแก้ไขการควบคุมยาสูบในประเทศไทยให้เข้มข้นขึ้นต่อไป" อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

 

นายแพทย์เปรูก้า กล่าวว่า ในการควบคุมการบริโภคยาสูบของไทย ควรเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย ห้ามการโฆษณาและส่งเสริมการขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต ห้ามบริษัทบุหรี่ข้ามชาติและโรงงานยาสูบของไทยด้วย รวมทั้งการจัดเก็บภาษียาเส้นมวนเอง การหาแนวร่วมหรือการสร้างเครือข่ายควบคุมป้องกันนักสูบบุหรี่หน้าใหม่ ทุกเพศ ทุกวัย หลายหลายอาชีพ มากขึ้น และเสนอให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนการดำเนินงานควบคุมการบริโภคยาสูบร่วมกันและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

"การบังคบใช้กฎหมายควบคุมยาสูบของไทยยังมีปัญหาการบังคับใช้อยู่มาก เพราะจากการสำรวจพบว่า ตามร้านสะดวกซื้อยังมีการวางโชว์บุหรี่หลายแห่ง ขณะที่เขตปลอดบุหรี่หลายแห่งก็ยังพบคนสูบบุหรี่อยู่มาก นอกจากนี้เห็นว่าไทยควรปรับทำงานเชิงรุกมากขึ้น แทนการตั้งรับด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชนในการทำตามกฎหมายกำหนด ส่วนการช่วยเหลือผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่มีขั้นตอนการเข้าถึงที่ยุ่งยาก" นพ.เปรูก้า กล่าว และว่า อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับบราซิลเห็นว่า ทั้งไทยและบราซิลมีความสำเร็จในการควบคุมในระดับที่ดีมาก โดยเฉพาะการห้ามโฆษณา การปรับปรุงสิ่งแวดล้อม แต่สิ่งที่ต้องผลักดันต่อ คือทำอย่างไรให้เขตปลอดบุหรี่เป็นพื้นปลอดบุหรี่ร้อยเปอร์เซ็น

 

ด้าน นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ กล่าวว่า สาเหตุที่การบังคับใช้กฎหมายควบคุมยาสูบของไทยไม่ได้ผล ส่วนหนึ่งเพราะขาดงบประมาณดำเนินการ ซึ่งในสหรัฐฯ ให้งบประมาณควบคุมบุหรี่ที่ 12 เหรียญต่อคนต่อปี หรือประมาณ 400 บาท ขณะที่ไทย กรมควบคุมโรคได้งบประมาณเพียง 10 ล้านบาทต่อปี และเมื่อรวมงบประมาณ สสส. 220-230 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 250 ล้านบาท เมื่อนำมาเฉลี่ยประชากร 64 ล้านคน จะอยู่ที่คนละ 4 บาทต่อคนต่อปี น้อยกว่าสหรัฐฯ เป็นร้อยเท่า ส่งผลต่อการดำเนินการรณรงค์ เพราะแม้แต่ป้ายคำเตือนห้ามสูบบุหรี่ก็ยังไม่มีงบประมาณเพียงพอ นอกจากนี้ผู้ถือกฎหมายคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ถือกฎหมายอื่นๆ เป็นพันฉบับ เน้นดำเนินการด้านอาชญากรรม ทำให้ปัญหาการละเมิดกฎหมายบุหรี่เป็นเรื่องรอง และไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร

 

 

ยอดขายคอนโดฯไตรมาส 3 ลดลง 32.2%

ผู้จัดการรายวัน : บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกบทวิจัยเกี่ยวกับตลาดคอนโดมิเนียมว่า จำนวนคอนโดฯเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯในช่วงไตรมาส 3 ของปี 51 มีอัตราลดลง 35.2% หรือมีจำนวนอยู่ที่ 3,744 ยูนิต เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ( 5,778 ยูนิต) และลดลง 23.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ( 4,904 ยูนิต) ของปีเดียวกัน ซึ่งปัจจัยสำคัญเกิดจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และผลรวมตั้งแต่ 3 ไตรมาสที่คอนโดฯเปิดตัวลดลง ทำให้อุปทานสะสมของคอนโดฯในไตรมาส 3 อยู่ที่ 73,598 ยูนิต

 

สำหรับเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยของจำนวนยอดขายเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิตที่เปิดตัวใหม่อยู่ที่ 81% ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์เดียวกันกับในไตรมาสที่ 2 ของปี51 จำนวนยอดขายทั้งหมดลดลงจาก 4,507 ยูนิต ในไตรมาสที่ 1 มาอยู่ที่ 3,972 ยูนิต ในไตรมาสที่ 2 สำหรับในไตรมาสที่ 3 จำนวนยอดขายลดลงมาอยู่ที่ 3,057 ยูนิต หรือยอดขายมีอัตราลดลง 32.2% และ 23% ตามลำดับ

 

บทวิเคราะห์ฯยังระบุว่า แม้ค่าก่อสร้างและค่าวัสดุก่อสร้างมีการปรับราคาลง แต่ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯในกรุงเทพฯ ยังคงเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 เนื่องจากราคาที่ดินมียังคงปรับตัวขึ้น การลดลงในจำนวนคอนโดฯที่ออกสู่ตลาดและการลดลงของจำนวนยอดขาย ไม่ทำให้ผู้พัฒนาโครงการคอนโดฯเกิดความกดดันที่ต้องลดราคาขายลงมาในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ดังนั้น ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯใหม่ที่ออกสู่ตลาดในไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ประมาณ 68,000 บาท ต่อตร.ม.เพิ่มขึ้น 6.8% จากไตรมาสที่ 1

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อแนวโน้มของตลาดคอนโดฯเริ่มเติบโตลดลงนั้น ทางไนท์แฟรงค์คาดว่า อุปทานใหม่ของตลาดคอนโดฯในกรุงเทพฯ ตลอดทั้งปีลดลงประมาณ 15 - 20% ส่วนจำนวนยอดขายในช่วงปลายปี 2551 คาดว่าจะมีจำนวนลดลง

 

 

ยันใช้รางรถไฟฟ้า 'สายสีแดง' 1 เมตร

เดลินิวส์ : นายสุรชัย ธารสิทธิพงษ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังหารือกำหนดแนวทางก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน หลังสำนักนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ตั้งข้อสงสัยรูปแบบการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงที่เลือกใช้ระบบมีเตอร์ เกรท มีความกว้างของราง 1 เมตร แทนสแตนดาร์ด เกรท มีความกว้างของราง 1.435 เมตร ว่าที่ประชุมยืนยันใช้ระบบเดิม คือระบบ มีเตอร์ เกรท เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของโครงการได้ประมาณ 20% และสามารถใช้โครงสร้างเดิมของโครงการโฮปเวลล์ได้ เพื่อรองรับโครงสร้างที่จะยกระดับทางรถไฟ เพื่อแก้ปัญหาจุดตัดบนถนน โดยเป็นการใช้ระบบรางร่วมกันของรถไฟชานเมือง รถไฟทางไกลและรถไฟขนสินค้าด้วย

 

"โดยสรุปแล้วยังยืนยันใช้ มีเตอร์ เกรท เพราะมีความเหมาะสมกับไทย และในอนาคตหากมีการพัฒนาระบบรางเป็นรางมาตรฐานทั่วประเทศ ก็สามารถเชื่อมต่อกับระบบรางของโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงค์ ที่มีแผนที่จะสร้างต่อจากมักกะสัน-ดอนเมือง และผ่านบางซื่อที่จะใช้เป็นศูนย์กลางขนถ่าย และเชื่อมกับสแตนดาร์ด เกรท"

 

อย่างไรก็ตามหากรถไฟฟ้าสายสีแดงจะต้องเปลี่ยนมาใช้สแตนดาร์ด เกรท จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ เพราะต้องออกแบบโครงสร้างทางยกระดับใหม่ทั้งหมด เพราะความกว้างของโครงสร้างโฮปเวลล์เดิม อีกทั้งไม่สามารถรองรับโครงสร้างและน้ำหนักบรรทุกที่เพิ่มขึ้นได้ เพราะมีรัศมีรางที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงจะต้องปรับแก้ไขแบบศูนย์ซ่อมบำรุง รถไฟทางไกลและรถไฟชานเมือง จึงเห็นควรให้ยึดตามแผนเดิม

 

 

TDRI จี้ กทช.รับผิดชอบค่าเชื่อมต่อโครงข่ายหลังพบราคาสูงเกินจริง

เว็บไซต์แนวหน้า : นายสมเกียรติ ตั้งจิตวานิช รองประธานสภาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ( TDRI ) เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กทช. ) ให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์กำหนดอัตราเชื่อมต่อโครงข่าย สำหรับสายเรียกเข้ากันเอง ที่ปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 1 บาท/นาที ซึ่งสูงเกินจริง เนื่องจากการวิเคราะห์ต้นทุนในการเชื่อมต่อ จากข้อมูลบริษัทผู้ให้บริการอัตราค่าเชื่อมต่อน่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 27 สตางค์/นาที ซึ่งอัตราที่เก็บอยู่ในปัจจุบัน สูงกว่าต้นทุนจริงถึง 4 เท่า ดังนั้นจึงเรียกร้องให้ กทช. เร่งแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าว เพราะทำให้ประชาชน เสียค่าโทรศัพท์ที่แพงเกินจริง ซึ่งหากไม่ดำเนินการ กลุ่มผู้บริโภค คงต้องฟ้องศาลปกครอง เนื่องจาก กทช. ทำผิดกฎหมาย ที่ได้กำหนดขึ้นเองทั้งนี้ ปัจจุบันการแข่งขันการบริการของแต่ละเครือข่ายหายไป รวมทั้ง โปรโมชั่นส่วนใหญ่ จะลดราคาเฉพาะในเครือข่ายส่วน นอกเครือข่าย ก็ไม่มีระบบแจ้งให้ทราบว่า ผู้รับสาย อยู่ในเครือข่ายใด

 

 





ต่างประเทศ

 

 

รัฐบาลใหม่ "โอบามา" ทาบ "ฮิลลารี" คุมกต.

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : เจ้าหน้าที่พรรคเดโมแครต 2 คนที่ใกล้ชิดกับคณะรับมอบอำนาจของว่าที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา แห่งสหรัฐ เผยวานนี้ (14 พ.ย.) ว่า วุฒิสมาชิกฮิลลารี รอดแฮม คลินตัน อยู่ในรายชื่อหนึ่งในตัวเลือกรัฐมนตรีต่างประเทศของโอบามา ข่าวเรื่องฮิลลารีแพร่กระจายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ซาลงหลังจากนักเคลื่อนไหวในพรรคตั้งคำถามว่า ฮิลลารีมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดจะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของโอบามาแล้วหรือ

 

ข่าวนี้กระพือขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากโอบามาเอ่ยชื่อคนสนิทหลายคนของอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน โดยระบุว่าจะดึงมาช่วยงาน

 

ส่วนคนอื่นที่ได้รับการเอ่ยถึงว่าอาจได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ คือ วุฒิสมาชิกชัค เฮเกิล จากพรรครีพับลิกัน วุฒิสมาชิกจอห์น เคอร์รี และนายบิลล์ ริชาร์ดสัน ผู้ว่าการรัฐนิวเม็กซิโก

 

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าผู้ต้องการร่วมงานกับโอบามา ต้องพร้อมเปิดเผยความลับ เพราะใบสมัครในตำแหน่งต่างๆ นั้น ประกอบด้วย คำถาม 7 หน้าที่เจาะลึกเข้าไปถึงซอกมุมที่ซุกซ่อนเอาไว้ทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน รวมถึงชีวิตของคู่สมรสและลูกๆ บรรดาคนสนิทของโอบามา กล่าวว่า ใบสมัครที่มีคำถามละเอียดยิบ 7 หน้า เป็นไปตามคำสัญญาที่โอบามาให้ไว้ระหว่างหาเสียง ว่า จะชำระล้างการใช้อิทธิพลในแวดวงการเมือง

 

พฤติกรรมต่างๆ อย่างการมีปัญหาเรื่องภาษี การกระทำความผิดทางอาญา ปัญหาในทางธุรกิจ หรือการเป็นสมาชิกสโมสร ซึ่งไม่รับคนต่างสีผิวหรือต่างเพศ อาจเป็นปัญหาในการเข้าร่วมงานกับโอบามาได้ นอกจากนั้น การขาดระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ต ก็อาจทำให้ผู้สมัคร หมดหวังในการร่วมงานกับโอบามา

"ถ้าคุณเคยส่งการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอีเมล ข้อความทางโทรศัพท์ หรือข้อความด่วน ที่อาจสะท้อนถึงผลประโยชน์ทับซ้อน หรืออาจสร้างความขายหน้าให้คุณ ครอบครัวของคุณ หรือว่าที่ประธานาธิบดี ก็ขอให้อธิบายเรื่องนี้ด้วย" ใบสมัครระบุ

 

 

นายกฯ จีนรับวิกฤติการเงินกระทบหนักเกินคาด

เดลินิวส์ : นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ของจีน ยอมรับว่า เศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกเลวร้ายกว่าที่หลายฝ่ายคาดเอาไว้ ส่วนญี่ปุ่นพร้อมปล่อยเงินกู้แสนล้านดอลลาร์ให้ไอเอ็มเอฟเพื่อช่วยเหลือประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่

 

โดยเดิมทีนั้น ทางการจีนเคยคาดว่า วิกฤติการเงินโลกไม่น่าจะส่งผลกระทบมากมายนักต่อเศรษฐกิจในประเทศ แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ว่า จีนได้เปลี่ยนมุมมอง ดังกล่าวแล้ว และเริ่มหันมารับมือวิกฤติการเงินโลกอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลจีนถึงกับประกาศงบกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน หรือ เกือบ 20 ล้านล้านบาทเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นให้คนในประเทศเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย ชดเชยกับภาคการส่งออกที่กำลังซบเซา

 

หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ของทางการจีนลงพิมพ์คำกล่าวของนายหลี่ หรงหรง ประธานคณะกรรมาธิการบริหารและกำกับดูแลทรัพย์สินของรัฐที่กล่าวในการประชุมสรุปฉุกเฉินกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจว่า อย่ารีบร้อนเข้าซื้อและควบรวมกิจการบริษัทต่างชาติ ยังมีโอกาสอีกมากในอนาคต ซึ่งบ่งชี้ว่าจีนเริ่มกังวลมากขึ้น

 

ส่วนสำนักข่าวจิจิ เพรส และสื่อสำนักอื่นของญี่ปุ่นรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ญี่ปุ่นพร้อมปล่อยเงินกู้ราว 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท) ให้แก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพื่อใช้ปล่อยกู้ให้กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติการเงิน

 

รายงานระบุว่า นายกรัฐมนตรีทาโร อาโสะ จะประกาศแผนนี้ในที่ประชุมสุดยอดว่าด้วยวิกฤติการเงินของกลุ่มจี-20 ที่มีทั้งกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้าและกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ในกรุงวอชิงตัน ของสหรัฐ วันที่ 15 พ.ย. โดยญี่ปุ่น ซึ่งไอเอ็มเอฟถือเป็นผู้บริจาครายใหญ่อันดับ 2 ยินดีจะปล่อยเงินกู้ให้ ไอเอ็มเอฟมากถึงร้อยละ 10 ของทุนสำรอง ระหว่างประเทศที่ญี่ปุ่นมีอยู่ 980,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (34 ล้านล้านบาท) อย่างไรก็ตามยังไม่มีการยืนยันอย่างชัดเจน

 

ด้านสถิติอย่างเป็นทางการของรัฐบาลเยอรมนีระบุเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เยอรมนี ประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดของยุโรป และผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยเศรษฐกิจหดตัวลงร้อยละ 0.5 มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังจากหดตัวร้อยละ 0.5 ในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งเข้ากับคำจำกัดความเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค

 

 

ศาลพม่าสั่งจำคุกพระ9รูป-เหตุต้านรบ.

เว็บไซต์สยามรัฐ : ย่างกุ้ง - นายเนียน วิน โฆษกพรรคสันนิบาตเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติพม่าหรือเอ็นแอลดี เปิดเผยว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ศาลของพม่าได้พิพากษาจำคุกพระภิกษุจำนวน 4 รูป เป็นเวลา 8 ปี ในข้อหา ร่วมกันต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า ระหว่างเหตุชุมนุมประท้วงเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ศาลพม่าก็ได้พิพากษาจำคุกพระภิกษุ 5 รูป ในข้อหาเดียวกันนี้ ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชนชาวพม่า เพราะเห็นว่ากระทำต่อพระภิกษุสงฆ์รุนแรงเกินไป

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท