คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (เอเอชอาร์ซี) ออกแถลงการณ์ "ประเทศไทย: หัวเลี้ยวหัวต่อประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐไทย" ลงวันที่ 26 พ.ย.51 ระบุการบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญสำหรับประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐของประเทศไทย และการแสดงออกด้วยการกระทำต่างๆ ของกลุ่มพันธมิตรที่ผ่านมาส่ออันตรายอย่างรุนแรงต่ออนาคตของประชาธิปไตยไทยที่กำลังง่อนแง่นอยู่ในขณะนี้ โดยที่ระบบยุติธรรมของไทยไม่สามารถดำเนินการแสวงหาทางออกของประเทศได้
นอกจากนี้แถลงการณ์ยังได้เรียกร้องให้ทั้งโลกให้ความสนใจต่อเหตุการณ์ในประเทศไทย ที่ได้ดำเนินมาหลายเดือนโดยแทบไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากองค์กรระหว่างประเทศเลย โดยเฉพาะสหประชาชาติซึ่งได้เคยลังเลกับการรัฐประหาร 19 กันยามาแล้ว
"คราวนี้ประชาคมโลกไม่สามารถปล่อยเลยตามเลยโดยปราศจากการแทรกแซงได้อีกแล้ว หากประเทศไทยต้องถอยหลังลงคลองเข้าไปอีก ก็จะส่งผลร้ายไม่เพียงแต่ต่อประชาชนไทยหลายสิบล้านคนเท่านั้น หากยังต่อทั้งภูมิภาคด้วย ในช่วงเวลาที่พลังปฏิปักษ์ประชาธิปไตยกำลังกลับมาผงาดหรือกำลังลงหลักปักฐานให้แข็งแกร่งในเกือบทุกแห่งเช่นนี้ ประเทศไทยไม่อาจจะแพ้ได้" แถลงการณ์ระบุ
แถลงการณ์ที่ : AHRC-STM-298-2008-TH
26 พฤศจิกายน 2551
แถลงการณ์โดย คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (เอเอชอาร์ซี) (Asian Human Rights Commission: AHRC)
ประเทศไทย: หัวเลี้ยวหัวต่อประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐไทย
การบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญสำหรับประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐของประเทศไทย หลังจากที่ได้ดำเนินยุทธศาสตร์ที่ก้าวร้าวมากขึ้นทุกทีมาเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อไล่รัฐบาลและขัดขวางไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 ที่ร่างขึ้นมาภายใต้การดูแลของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และผู้สนับสนุน และผลักดันให้มีการประกาศใช้โดยอาศัยการลงประชามติที่บกพร่องอย่างรุนแรง
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พันธมิตรฯ ได้ยกระดับจากการยึดถนนและพื้นที่สาธารณะมาเป็นการยึดสถานที่ราชการคือ ทำเนียบรัฐบาล มีการจัดตั้งการ์ดติดอาวุธเพื่อป้องกันพื้นที่จากฝ่ายตรงข้ามและเจ้าหน้าที่รัฐ พวกเขาพกพาอาวุธอย่างผิดกฎหมายโดยเปิดเผย รวมถึงปืนจากคลังอาวุธภายในทำเนียบด้วย พวกเขายังได้มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวประชาชนอย่างผิดกฎหมายอีกด้วย มีการทำลายและขโมยทรัพย์สินของราชการและเอกชน ในช่วงหนึ่งถึงสองวันที่ผ่านมา มีรายงานว่านอกจากการยึดสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว พวกเขายังได้ยึดรถเมล์ และปฏิเสธไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปในสนามบินเพื่อสืบสวนเหตุระเบิดที่เกิดในเวลากลางคืน พวกเขาขณะนี้กำลังเตรียมการณ์ช่วงสุดท้ายใน "สงครามครั้งสุดท้าย" ที่กำลังมีการปลุกระดมกันอยู่โดยใช้สำนวนว่าปฏิบัติการฮิโรชิมาและนางาซากิ ที่เป็นเมืองที่สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในการปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2
พันธมิตรฯ ได้แสดงลักษณะต่างๆ ออกมาจำนวนมากที่ (จากบทเรียนในอดีตของไทยและประเทศอื่นทั่วโลก) ส่ออันตรายอย่างรุนแรงต่ออนาคตของประชาธิปไตยไทยที่กำลังง่อนแง่นอยู่ในขณะนี้ เท่าที่ยกมากล่าวได้คือ
1.พันธมิตรฯ ยึดอุดมการณ์ขวาจัดที่เป็นอุดมการณ์ขับเคลื่อนระบอบอมาตยาธิปไตยมายาวนานหลายทศวรรษ อันเป็นระบอบที่ถูกคุกคามถอยร่นมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
2.การบุกยึดและโจมตีที่ทำอย่างเป็นกระบวนการโดยใช้ข้ออ้างการป้องกันตนเองและการทำเพื่อชาตินั้นเป็นการวางแผนเพื่อให้เกิดความระส่ำระสายในวงกว้าง และเปิดทางให้กลุ่มอภิชนปฏิกิริยาพาประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบแบบเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
3.แกนนำพันธมิตรฯ มีเสียงดังในสังคมและบังคับให้ประชาชนต้องเลือกข้าง หรือไม่ก็ต้องเงียบไป จึงเป็นการกีดกันประชาชนนับล้านไม่ให้พวกเขาได้มีปากเสียงในปัญหาสังคมและการเมืองที่สำคัญของยุคสมัย
ผู้วิจารณ์และฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ บางส่วนได้เรียกวาระทางการเมืองของพันธมิตรฯ ว่าเป็นฟาสซิสต์ ซึ่งไม่ใช่คำกล่าวที่เกินเลย ประสบการณ์แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบและระบอบที่จะเกิดตามมาหลังขบวนการเช่นว่านี้มีลักษณะความเป็นฟาสซิสต์ (แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้อธิบายตนเองว่าเป็นฟาสซิสต์ก็ตาม) ที่จริงแล้ว เผด็จการที่สืบเนื่องมาในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทยล้วนชื่นชอบ แสดง และใช้สัญลักษณ์และนโยบายแบบฟาสซิสต์จำนวนมาก และคราบไคลของสิ่งเหล่านี้สามารถพบได้ในภาษาและพฤติกรรมของแกนนำพันธมิตรในวันนี้
หากมีการยินยอมให้เหตุการณ์เหล่านี้ดำเนินต่อไป ซึ่งก็ชัดเจนว่ามีการยินยอมอยู่ ก็จะเป็นการลบล้างทุกสิ่งที่ได้กระทำกันมาเพื่อสร้างวัฒนธรรมแห่งสิทธิและการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากน้ำมือของพันธมิตรฯ จะมากมหาศาลกว่าความเสียหายใดๆ ก็ตามที่เกิดจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกโค่นล้มไป และจะสามารถสร้างหายนะได้มากกว่าการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และการฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 เสียอีก ความก้าวหน้าใดๆ ในเชิงสถาบันและกฎหมายที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งถึงสองทศวรรษที่ผ่านมาจะสูญสลายไป
ระบบยุติธรรมของไทยได้กลายเป็นเรื่อง "ตลก" ไปแล้ว หน่วยงานและบุคลากรของตุลาการไทยทั้งไม่สามารถหรือไม่ยอมทำการแทรกแซงเพื่อปกป้องทรัพย์สินสาธารณะและชีวิตประชาชน หรือกระทั่งดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด การที่กองทัพสามารถก่อการรัฐประหารได้เพียงนายพลนึกอยากจะทำ และเปิดฉากรบด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ไม่รับผิดชอบปกป้องทำเนียบหรือสนามบินนั้นเป็นเรื่องปาหี่จริงๆ การที่หน่วยงานรัฐบาลถูกบังคับให้ต้องเจรจาและยอมถอยแทนที่จะยืนยันการบังคับใช้กฎหมายนั้นเป็นความเขลาที่อันตราย และการที่ตุลาการภิวัฒน์ที่มีคำพิพากษาแบบการเมืองออกมาอย่างต่อเนื่องและมีส่วนสำคัญในการสร้างความยุ่งเหยิงที่เป็นอยู่ในเวลานี้ กลับไม่มีน้ำยาเลยในยามที่ชีวิตของผู้คนถูกใช้เป็นเดิมพันและประเทศต้องการสติปัญญาเพื่อหาทางออก ช่างน่าละอายแท้ๆ
การประท้วงอย่างสันติไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประชาธิปไตย หากเป็นส่วนที่ขาดเสียมิได้ แต่การชุมนุมและบุกยึดในช่วงที่ผ่านมานั้นไม่ได้เป็นไปโดยสันติ ไม่ควรเรียกว่าเป็นการประท้วงเสียด้วยซ้ำไป เพราะมันไม่ใช่เป็นแค่การชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้อง แต่เป็นการกระทำที่มุ่งบรรลุเป้าหมายโดยไม่สนว่าจะต้องแลกกับอะไร ใช้ต้นทุนแค่ไหน ซึ่งต้นทุนสำหรับประเทศไทยนั้นแพงลิบลิ่วไปแล้ว และจะแพงขึ้นไปอีก และต้องจ่ายด้วยชีวิตและเสรีภาพของประชาชนทุกคนในประเทศหากไม่ถูกทำให้ยุติ ประชาชนทุกคนในประเทศไทยมีสิทธิที่จะต่อต้านการครอบอำนาจรัฐของฝ่ายขวาจัดสุดขั้วเหล่านี้
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียขอเรียกร้องให้ทั้งโลกให้ความสนใจต่อเหตุการณ์ในประเทศไทย ที่ได้ดำเนินมาหลายเดือนโดยแทบไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากองค์กรระหว่างประเทศเลย โดยเฉพาะสหประชาชาติ หลังจากลังเลกับการรัฐประหาร 19 กันยามาแล้ว คราวนี้ประชาคมโลกไม่สามารถปล่อยเลยตามเลยโดยปราศจากการแทรกแซงได้อีกแล้ว หากประเทศไทยต้องถอยหลังลงคลองเข้าไปอีก ก็จะส่งผลร้ายไม่เพียงแต่ต่อประชาชนไทยหลายสิบล้านคนเท่านั้น หากยังต่อทั้งภูมิภาคด้วย ในช่วงเวลาที่พลังปฏิปักษ์ประชาธิปไตยกำลังกลับมาผงาดหรือกำลังลงหลักปักฐานให้แข็งแกร่งในเกือบทุกแห่งเช่นนี้ ประเทศไทยไม่อาจจะแพ้ได้
เกี่ยวกับ AHRC เอเอชอาร์ซี : คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย หรือ เอเอชอาร์ซี (The Asian Human Rights Commission : AHRC) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในระดับภูมิภาค ซึ่งทำงานตรวจสอบและรณรงค์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชีย เอเอชอาร์ซีมีสำนักงานอยู่ที่ฮ่องกง โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2527
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)