ม.เที่ยงคืนวอนคืนความเป็นมนุษย์และนำหลักนิติรัฐกลับสู่สังคมไทย

ม.เที่ยงคืนวอนคืนความเป็นมนุษย์และหลักนิติรัฐสู่สังคมไทย

วันนี้ (29 พ.ย.) ที่ จ.เชียงใหม่ คณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ออกแถลงการณ์ "คืนความเป็นมนุษย์และนำหลักนิติรัฐกลับสู่สังคมไทย" เรียกร้องให้สังคมร่วมกันผลักดันสองประการคือ นำหลักนิติรัฐมาบังคับใช้อย่างเป็นธรรม และ คืนความเป็นมนุษย์ให้สังคมไทย โดยให้นำบทเรียนจาก 6 ตุลา 2519 มาเตือนสติ โดยมีรายละเอียดของแถลงการณ์ดังต่อไปนี้

 

 






แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

เรื่อง คืนความเป็นมนุษย์และนำหลักนิติรัฐกลับสู่สังคมไทย

 

            ท่ามกลางความขัดแย้งที่กำลังขยายตัวออกอย่างกว้างขวางในสังคมไทย ดังปรากฏให้เห็นจากการเข่นฆ่าและการทำร้ายกันระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนและต่อต้านพันธมิตรฯ ทั้งที่เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพและในต่างจังหวัด และจนบัดนี้ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะยุติลงได้อย่างไร แต่มีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

 

            ไม่ว่าความขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลและพันธมิตรจะดำเนินไปหรือยุติลงในลักษณะเช่นไร แต่สิ่งที่มีความหมายสำหรับสังคมไทยและจะเป็นหนทางหนึ่งในการธำรงรักษาให้สังคมไทยไม่ให้บอบช้ำไปมากกว่านี้ นั่นคือต้องร่วมผลักดันและเรียกร้องดังต่อไปนี้

 

            ประการแรก นำหลักนิติรัฐมาบังคับใช้อย่างเป็นธรรม

 

            สภาวะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมาของหน่วยงานรัฐรวมถึงการเพิกเฉยของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งทำให้สังคมตกอยู่ในสภาวะของการทำสงครามระหว่างผู้คน หากยังปล่อยให้สภาพดังกล่าวดำเนินต่อไปก็จะมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตของผู้คน

 

            จำเป็นที่จะต้องทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายโดยองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อผู้ที่กระทำผิดกฎหมายไม่ว่าผู้กระทำจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม หากหน่วยงานรัฐใดไม่กระทำตามหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตน อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดต้องดำเนินไปตามกรอบของความชอบด้วยกฎหมายและความเหมาะสมตามมาตรฐานของอารยะประเทศ มิใช่เป็นการใช้อำนาจด้วยความรุนแรงตามอำเภอใจเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก

 

ประการที่สอง คืนความเป็นมนุษย์ให้กับสังคมไทย

 

ในห้วงเวลาแห่งความขัดแย้งที่ผ่านมา ได้มีการปลุกเร้าและสร้างความหมายให้ฝ่ายที่คิดต่างจากตนกลายเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด จึงทำให้สามารถที่จะลงมือต่ออีกฝ่ายได้เมื่อเผชิญหน้ากัน สังคมไทยเคยมีบทเรียนของการแบ่ง "ซ้าย/ขวา" จากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เมื่อมาถึงบัดนี้การแบ่งแยกระหว่าง "แดง/เหลือง" กำลังนำพาสังคมไทยย้อนกลับไปสู่โศกนาฏกรรมแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง

 

ควรตระหนักว่าไม่ว่าจะมีความเห็นไปในทิศทางใดก็ตาม แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับตนก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเฉกเช่นเดียวกับเรา อุดมการณ์ทางการเมืองที่ทั้งสองฝ่ายกำลังยึดมั่นและปลุกปั่นอยู่ในขณะนี้ ล้วนแต่ไม่มีคุณค่าพอต่อชีวิตและเลือดเนื้อของผู้คน ต้องเรียกร้องให้หวนกลับมาตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ของเพื่อนร่วมสังคมให้มากขึ้น รวมทั้งประณามการกระทำที่มีผลต่อการสร้างความเป็นศัตรูให้เกิดขึ้นระหว่างผู้คนในสังคมไทยด้วยกันไม่ว่าการกระทำนั้นจะมาจากฝ่ายใดก็ตาม

           

            เงื่อนไขทั้งสองประการจะเป็นสิ่งที่ช่วยประคับประคองสังคมไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงใคร่ขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการคืนความเป็นมนุษย์และนำหลักนิติรัฐกลับสู่สังคมไทยโดยเร่งด่วนที่สุด

 

                                                                                    มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

                                                                                    29 พฤศจิกายน 2551

 

 

 

ให้นำ 6 ต.ค. 19 เตือนสติ

รศ.สมชาย ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า คำเตือนที่สังคมไทยต้องคิดถึงมากๆ คือ เราเคยผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 19 มาแล้ว ซึ่งคนฝ่ายหนึ่งสามารถฆ่าอีกคนที่ไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่ก่อนมีฝ่ายซ้ายมีฝ่ายขวา ตอนนี้มีฝ่ายเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง กระทั่งหลังเหตุการณ์ประทุษร้ายต่อกันผ่านไปทุกฝ่ายถึงจะรู้ว่านี่เป็นรอยด่าง เป็นโศกนาฏกรรมของสังคม ดังนั้น เราควรจะมองให้เห็นความเป็นมนุษย์ระหว่างเพื่อนร่วมสังคมให้มากขึ้น คนที่ถือหางข้างใดข้างหนึ่งอาจจะยากที่จะเปลี่ยนใจ แต่คนที่อยู่รอบๆ เขา ทั้งแดงจาง เหลือขาง หรือพวกเป็นกลาง ต้องพูดให้ทุกคนในสังคมเห็นถึงความเป็นมนุษย์ให้มากขึ้น

 

 

เชื่อ พปช. ชิงยุบสภาตั้งหลักก่อนเจอยุบพรรค

รศ.สมชาย มองทิศทางการเมืองหลังจากนี้ว่า หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคในวันที่ 2 ธ.ค. พรรครัฐบาลเมื่อรู้ว่าโดนยุบพรรคแน่ก็อาจชิงยุบสภาตั้งรัฐบาลรักษาการ และให้มีการเลือกตั้ง ส่วนพันธมิตรก็คงต้องถอนการชุมนุม เพราะพันธมิตรจะอยู่ยึดสนามบิน 60 วันจนถึงวันเลือกตั้งคงเป็นไปได้ยาก

 

หากรัฐบาลชิงตัดหน้ายุบสภาก่อนถึงวันที่ 2 ธ.ค. จริง จะทำให้เงื่อนไขและความชอบธรรมที่จะชุมนุมของพันธมิตรน้อยลง ต้องถอย ถ้าไม่ถอยก็ลำบาก

 

"หากรัฐบาลยุบสภาจริง แรงกดดันจะไปที่พันธมิตรมากขึ้น เพราะข้อเสนอยุบสภา เป็นข้อเสนอที่หลายส่วนเสนอมา รวมทั้งนักวิชาการซีกเป็นใจให้พันธมิตรอย่าง ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ และ ผบ.ทบ. หากรัฐบาลยุบสภาจริงจะทำให้กลุ่มที่มีใจให้พันธมิตรพอใจ ส่วนพันธมิตรถ้าไม่เลิกชุมนุม ก็จะยิ่งโดดเดี่ยวตัวเอง แม้ว่าแกนนำพันธมิตรจะมีมวลชนที่อยู่พร้อมจะขึ้นสวรรค์ ลงนรกไปตามแกนนำด้วย แต่ท่าทียอมรับจากสาธารณะคงลดน้อยลง" รศ.สมชายกล่าว

 

รศ.สมชาย วิเคราะห์ว่าหากมีการชิงยุบสภาและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ คงทำให้เกิดแรงกดดันต่อพันธมิตรเยอะพอสมควร และหนทางยุบสภาน่าจะทำให้พรรคพลังประชาชนยังอยู่ในอำนาจทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งครั้งต่อไปในนามพรรคการเมืองชื่อใหม่ได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท