Skip to main content
sharethis

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. เวลา 16.00 น. ที่ศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ได้จัดอภิปรายหัวข้อ "วิกฤตสถาบันการเมืองกับวิกฤตสังคมไทย" โดยมีวิทยากรได้แก่ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล, รศ.สมเกียรติ ตั้งนโม, อาจารย์ชำนาญ จันทร์เรือง และ รศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ โดยมีเนื้อหาการอภิปรายดังต่อไปนี้


 


 


000


 


ความขัดแย้ง 3 คู่ และสถาบันที่ไม่สามารถแก้วิกฤต


 


รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อธิการบดี ม.เที่ยงคืน คณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่ เป็นวิทยากรรายแรก กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ดูเหมือนสงบ แต่คิดว่าจะเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว ไม่ว่ารัฐบาลจะนำโดยอภิสิทธิ์หรือเฉลิม สังคมยังจะไม่ไปสู่จุดที่ราบรื่น โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งสามารถเกิดขึ้นได้อีก ถ้าอภิสิทธิ์ได้เป็นรัฐบาล เรื่องที่กลุ่มเสื้อแดงจะออกมาชุมนุมก็คงไม่ยาก


 


แต่เราต้องมองให้กว้างออกไปและช่วยกันพิจารณาร่วมกันว่าสังคมไทยพร้อมรับปัญหาในตอนนี้ขนาดไหน


 


โดยสังคมไทยมีกลุ่มความขัดแย้ง 3 คู่ใหญ่ๆ คู่ที่หนึ่ง นักการเมืองผ่านการเลือกตั้งกับอำมาตยาธิปไตย คู่ที่สอง กลุ่มทุนชาติกับทุนโลกาภิวัตน์ ชนชั้นกลาง และคู่ที่สาม ชนชั้นสูง กับ ชนชั้นรากหญ้า


 


คู่แรก ถ้าเรามองการเมืองไทยในระนาบที่ยาวขึ้น หลังทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา เราพบว่านักการเมืองจากระบบเลือกตั้งมาเบียดขับพลังอำมาตยาธิปไตยให้น้อยลงๆ การก่อตัวของพรรคการเมืองต่างๆ ทำให้อำมาตย์นักการเมืองจากระบบราชการมีอำนาจน้อยลง


 


ข้อเสนอในปี 2535 ที่ว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ทำให้นักการเมืองเริ่มมีอำนาจเหนือพลังอำมาตยาธิปไตย อาจกล่าวได้ว่าการมาของทักษิณเป็นการรุกคืบของนักการเมืองต่อพลังอำมาตยาธิปไตย แต่พอมีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อำมาตยาธิปไตยก็พยายามกลับมาอีกครั้ง


 


คู่ที่สอง กลุ่มทุนชาติหรือทุนจารีต กับ ทุนโลกาภิวัตน์ การเกิดขึ้นของความขัดแย้งระหว่างทุนสองกลุ่มนี้ปรากฏชัดเจนหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งกลุ่มทุนเดิมต้องเผชิญปัญหาค่อนข้างมาก ในขณะที่ทุนโลกาภิวัฒน์สามารถหลุดพ้นจากความหายนะทางเศรษฐกิจที่เกิดในเมืองไทยได้ ทุนดั้งเดิมอย่างทุนธนาคารประสบวิกฤตมาก ในขณะที่ทุนโทรคมนาคมสามารถสถาปนาอำนาจทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งได้ นับเป็นความเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะทุนโลกาภิวัตน์พยายามกินรวบ ผิดกับที่แต่เดิมทุนชาติกินอย่างเผื่อแผ่กัน สนับสนุนทุกพรรค แต่พอในสมัยทักษิณมีการให้เลือกว่าจะอยู่กับอั๊วหรือไม่อยู่ ถ้าไม่อยู่ก็เลิกกิจการไป ทำให้เกิดสภาวะแบบใหม่ที่กลุ่มทุนไม่เคยเผชิญหน้ากันมาก่อน เป็นแรงกดดันต่อกลุ่มทุนดั้งเดิมให้ไปรวมตัวกับพลังอำมาตยาธิปไตย


 


คู่ที่สาม ชนชั้นกลางกับชนชั้นรากหญ้า เดิมชนชั้นกลางเคยมีเสียงดังในการเมืองไทย ถ้ายึดเอาตามข้อวิเคราะห์แบบ "สองนคราประชาธิปไตย" โดยระหว่างทศวรรษที่ 2520-2530 ชนชั้นล่างเป็นผู้ตั้งรัฐบาล แต่ชนชั้นกลางสามารถล้มรัฐบาลได้ คือชนชั้นกลางเป็นผู้กำหนดนโยบายและทิศทางของรัฐบาลได้ค่อนข้างมาก


 


แต่พอเกิดรัฐบาลทักษิณได้ทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า ชนชั้นล่างไม่เพียงแต่ตั้งรัฐบาลด้วยคะแนนเสียงอันกว้างขวางในชนบทได้เท่านั้น แต่ยังค้ำยันรัฐบาลด้วย ลำพังเสียงของชนชั้นกลางอย่างเดียวไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ ดูกรณีรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของพันธมิตรไม่สามารถล้มรัฐบาลทักษิณได้ จนต้องเสนอมาตรา 7 เช่นเดียวกับการขับไล่รัฐบาลสมัคร หรือสมชาย ก็ล้มไม่ได้ สุดท้ายต้องยืมมือกลไกตามรัฐธรรมนูญใหม่มาล้มรัฐบาล เช่น การยุบพรรคด้วยเงื้อมมือของศาลรัฐธรรมนูญเป็นต้น


 


การเมืองตอนนี้ ชนชั้นกลางที่เคยมีอำนาจกำกับรัฐบาลอยู่มาก ขณะนี้เกิดฐานเสียงของรัฐบาลที่กว้างขวางที่สามารถตั้งขึ้นและค้ำยันด้วยมวลชนอันไพศาลอย่างเสื้อแดง ในแง่หนึ่งอาจสั่นคลอนอำนาจชนชั้นกลาง เลยต้องหันไปหาวิธีอื่นเพื่อโค่นรัฐบาล ลำพังเสียงสะท้อนชนชั้นกลางผ่านสื่อ หรือการชุมนุมก็ล้มรัฐบาลไม่ได้แล้ว


 


เมื่อเกิดความขัดแย้งถึงจุดวิกฤต คู่ขัดแย้งต่างๆ จึงหันมาจับมือกันปรากฏตัวมาเป็นพันธมิตร กับรัฐบาลทักษิณ-สมชาย-สมัคร นี่คือการจับขั้วทางการเมือง สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยน แม้รัฐบาลจะล้มไป แต่พวกเขาพร้อมกลับมาเผชิญหน้าเมื่อมีขัดแย้งกันอีก


 


ดังนั้น สภาวะความขัดแย้งนี้ยังคงอยู่ แต่เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งอย่างไร ขอเสนอให้เราพิจารณาสถาบันการเมืองที่จะทำให้วิกฤตคลี่คลายได้ คือ รัฐสภา ตุลาการ รัฐธรรมนูญ และสถาบันจารีต


 


หนึ่ง รัฐสภา รัฐสภาจะสามารถใช้เป็นเวทียุติข้อขัดแย้งหรือแก้ไขปัญหาข้อต่างๆ ได้หรือไม่ บัดนี้เป็นที่ยอมรับว่า รัฐสภาไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าจะแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะถูกโต้แย้งจากชนชั้นกลาง ที่รู้สึกว่าเลือกตั้งทีไรก็สู้ฐานเสียงต่างจังหวัดไม่ได้


 


เราจึงเจอข้อเสนอที่น่าสยดสยองเช่น ที่นายจรัสพงษ์ สุรัสวดี หรือ ซูโม่ตู้ เสนอให้คนจบปริญญาตรี กับคนจ่ายภาษีเท่านั้นเลือกตั้งได้ ไม่ให้คนจนมีสิทธิเลือกตั้ง


 


ดังนั้น เพราะถูกชนชั้นกลางต้านเช่นนี้ ตัวระบบรัฐสภาในบ้านเราเมื่อเกิดวิกฤตจึงไม่มีความหมาย


 


ส่วนพรรคการเมืองในสภา เราคงลืมไปแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน แต่พอคุณเนวินโผล่ขึ้นมา ทำให้เราเพิ่งคิดได้ว่าเรายังมีคุณอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าฝ่ายค้านอยู่


 


ปัญหาของระบบพรรคการเมืองไทยไม่ถูกทำให้เชื่อมโยงกับพลังทางสังคม กรรมกรชาวนาไม่สามารถเชื่อมโยงกับฐานเสียงการเมืองได้ สหภาพแรงงานมีกฎหมายห้ามยุ่งกับการเมือง สภาจึงเป็นเรื่องของนักการเมืองที่ไม่มีพลังทางสังคมมาขับเคลื่อน พอมีความไม่ไว้ใจระบบรัฐสภา จึงทำให้ความชอบธรรมของตัวรัฐบาลต่ำลง


 


ผมจึงไม่คิดว่าสถาบันรัฐสภาจะแก้วิกฤตได้ เพราะอ่อนแอเกินไป


 


สอง สถาบันตุลาการ สถาบันตุลาการควรช่วยจัดการความยุ่งยากได้ ถ้าดำเนินการตรงไปตรงมา มีเหตุผลทางวิชาการรองรับ มีความชอบธรรม สถาบันตุลาการในบ้านเราถ้าเทียบสามสถาบัน ดูเหมือนจะได้รับการยอมรับมากกว่าสถาบันอื่น แต่เราจะเห็นว่าในช่วงที่ยุ่งยากนี้ สถาบันตุลาการถูกตั้งคำถาม คดีหลายคดีเมื่อตัดสินทำให้หลายคนเริ่มโต้แย้งกับสถาบันตุลาการ ทั้งในแง่การตัดสินและในแง่ความชอบธรรมของบุคคลที่ดำรงตำแหน่งตุลาการ กรณีการตัดสินให้สมัคร สุนทรเวช ขาดคุณสมบัติจากการเป็นนายกรัฐมนตรี คนก็ถามว่าจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเองก็ไม่ได้มีสถานะต่างจากสมัคร


 


แต่คำถามนี้ ก็ไม่มีคำตอบออกมาชี้แจงจากฝ่ายตุลาการ


 


ส่วนการตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน แม้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย แต่ไม่ชอบธรรมที่จะตัดสินคดีทันที หลังปิดคดีในระยะเวลาอันสั้น


 


ดังนั้นจึงเห็นว่า สถาบันตุลาการไม่มีความชอบธรรม หรือมีความน่าเชื่อถือเพียงพอจะตอบคำถามต่อปัญหาในขณะนี้


 


สาม รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นที่ประจักษ์ชัดนับตั้งแต่ลงประชามติว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทำปัญหาให้สังคมไทย มาบัดนี้ข้อเสนอของผมที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่มีเงาหัวแน่ ก็ชัดเจนว่าไม่มีเงาหัวมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำลายพรรคการเมือง และการเอื้อให้อำมาตยาธิปไตยมาควบคุมการเมือง


 


รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ไม่ว่าช้าหรือเร็ว แม้พันธมิตรฯ จะบอกอย่าแก้ แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ล้าหลังเกินจะอยู่ในสังคมไทยได้ เราคงต้องคิดถึงการปรับแก้รัฐธรรมนูญที่ทุกคนจะได้มาร่วมกันใช้และยอมรับผลที่เกิดขึ้นได้


 


สี่ สถาบันจารีต หลัง 14 ตุลาคม 2516 สถาบันจารีตได้รับความคาดหวังสูงในการคลี่คลายวิกฤต และมีความพยายามดึงสถาบันจารีตมาใช้ ทุกวันนี้ก็ได้รับความคาดหวังอยู่


 


แต่มีสองเรื่องที่ต้องคิดถึงว่าสถาบันจารีตมีข้อจำกัดในการยุติวิกฤตการณ์ในสังคมไทย หนึ่ง คงเป็นที่ตระหนักว่าสถาบันจารีตของไทยอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ทำให้เกิดความไม่มั่นคง ไม่ชัดเจนในสถาบัน การเปลี่ยนผ่านนี้ทำให้ความคาดหวังว่าจะทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปไม่ได้


 


สอง ช่วงวิกฤตที่ผ่านมา มีคนนำเรื่องสถาบันมาใช้ปิดปากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายตน การไม่พูดถึงสถาบันทำให้มีแรงต้านนอกระบบเกิดมากขึ้น เราไม่รู้ว่าสถาบันจารีตอยู่บนความขัดแย้งในสังคมมากขนาดไหน สถาบันจารีตจึงไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่เฉกเช่นที่เคยเป็นมา


 


จากทั้งสี่สถาบัน ผมจึงไม่มีคำตอบ และความขัดแย้งยังดำรงอยู่ ตัวสถาบันต่างๆ ไม่สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงได้โดยลำพัง สิ่งที่สังคมไทยจะเผชิญ 10 ถึง 20 ปีข้างหน้าเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง คงต้องช่วยกันคิด


 


 


000


 


สงครามครั้งสุดท้ายของ National Robber Baron


รศ.สมเกียรติ ตั้งนโม คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ ม.เชียงใหม่ กล่าวว่า วิกฤตการเมืองไทยทั้งหมดเกิดจากขบวนการโลกาภิวัตน์ ขอให้ทราบว่าหลังปี ค.ศ. 1990 ที่เกิดฉันทามติวอชิงตันและเสรีนิยมใหม่ ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก สังคมไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงตั้งแต่ปี 2540 สมัยชวน หลีกภัยเปิด BIBF ปล่อยให้ทุนต่างประเทศไหลเขามาในประเทศไทย และมีผลกระทบต่อทุนชาติในไทย


 


กลุ่มทุนชาติ ประกอบด้วย กลุ่มทุนเก่า ส่วนใหญ่เป็นทุนจีน ต้องการการปกป้องทุนของตนเอง วิธีการปกป้องทุนของตนเองคือสวามิภักดิ์กับทหารและชนชั้นสูง ตลอดมา จะเห็นว่าในอดีตมีแต่ พล.อ. และคนมีราชทินนามมาเป็นนายธนาคาร ทุนชาติถือเป็น National Robber Baron เป็นคนกินรวบ เป็นเจ้าของทรัพยากรทั้งหมดทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ


 


อีกคู่หนึ่งคือทุนโลกาภิวัตน์ มีทุนใหม่บวกทุนข้ามชาติ เป็นการประสมรวมตัวกัน เป็นการระดมทุนชนิดหนึ่งที่ไม่ผ่านธนาคาร วิธีการปกป้องกลุ่มทุนของกลุ่มนี้ใช้วิธีการแก้กฎหมายให้เอื้อประโยชน์ Deregulation หลายอย่าง เป็น Global Robber Baron


 


วิธีการต่อสู้ใช้นโยบายสองมาตรฐาน อยากให้ดูที่ชนชั้นสูง พยายามดึงรากหญ้าด้วยวิธีการอย่างหนึ่ง ผ่านสื่อและโรงเรียน ในขณะที่ทุนใหม่ ดึงรากหญ้าผ่านนโยบาย เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค หมู่บ้านละล้าน และอื่นๆ เป็นการต่อสู้เชิงนโยบายต่อชนชั้นสูงที่พยายามเข้าถึงรากหญ้า


 


การสะสมทุนของทุนชาติ ได้สัมปทานทรัพยากร ป่าไม้ แร่ธาตุ ภูเขา แม่น้ำ สอง สะสมที่ดิน ทำเกษตรกรรมขนาดใหญ่ และผูกขาด และทำอุตสาหกรรมตะวันตกดิน ทำโรงงานที่ปลดระวางมาจากโลกที่ 1 และ 2 ระดมทุนผ่านธนาคารและสถาบันการเงิน ทุนชาติต้องการการปกป้องจากทหาร ชนชั้นสูง นักการเมือง จึงจ่ายตลอดทางและจ่ายทุกพรรค


 


ทุนชาติกับสงครามครั้งแรก คือ ทุนชาติไม่ใช่เพิ่งมาต่อสู้ครั้งนี้ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ทุนชาติสู้กับคอมมิวนิสต์ มียุทธวิธีใจกลางคือ "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" บอกว่าคอมมิวนิสต์จะมาทำลายสามสถาบันหลักนี้ สงครามครั้งนี้จบลงด้วยนโยบาย 66/2523 ที่เปรมและชวลิตออกนโยบายให้ฝ่ายซ้ายคืนเมือง ระดมผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย


 


ส่วนฝ่ายซ้ายที่คืนเมือง ก็ไปร่วมสังฆกรรมกับกลุ่มทุนชาติ และบางส่วนอยู่กับกลุ่มทุนใหม่ จะเห็นว่าทั้งฝ่ายเสื้อแดง และเสื้อเหลืองล้วนมีอดีตฝ่ายซ้ายสังกัดทั้งสิ้น


 


มาถึงทุนชาติ กับ สงครามครั้งสุดท้ายที่ประกาศบนเวที


 


ผมตั้งต้นไว้ว่าทุนชาติไมใช่ไม่มีประสบการณ์ ทุนชาติมีประสบการณ์สูงมาก ทุนชาติสามารถดำรงอยู่ได้ต่อมา จนกระทั่งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 เป็นการเปิดเผยให้เห็นว่าทุนชาติไปไม่ได้กับโลกาภิวัตน์อย่างไร


 


ครั้งนี้ก็ใช้วิธีเดิมคือ "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" ผมกล้าพูดแบบนี้เพราะวันที่เวทีพันธมิตรตั้งเวทีที่สะพานมัฆวาน อาจารย์ไชยันต์ ไชยพรซึ่งจัดรายการทางสถานีวิทยุจุฬาฯ โทรศัพท์มาสัมภาษณ์ผม ก่อนสัมภาษณ์ ไชยันต์ได้อ่านแถลงการณ์พันธมิตรให้ผมฟัง ผมบอกเลยว่าเป็นแถลงการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เหตุผลคล้ายการรัฐประหาร 19 กันยา วิกฤตครั้งนี้ผมเห็นด้วยกับอาจารย์สมชาย (ปรีชาศิลปะกุล) ว่า เป็นการสงบแค่ชั่วคราว


 


ตัวละครครั้งก่อนมีเปรม ชวลิต ครั้งนี้ก็เหมือนกัน และชวลิตก็สึกมาแล้ว มี Big 5 คือ 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปรากฏตัวและอยู่ในปรากฏการณ์


 


เมื่อ 20 ปีก่อนทุนชาติเป็นศัตรูกับคอมมิวนิสต์ และตอนนี้ทุนชาติเสมือนเป็นศัตรูกับประชาธิปไตยและโลกาภิวัตน์


 


อย่างไรก็ตามคนที่รักประชาธิปไตยไม่มีที่ยืน สำหรับข้อเสนอของผม เสนอเลยว่ามีทางออกสองทาง ว่าสงครามครั้งสุดท้ายจะจบลงอย่างไร คือ หนึ่ง นองเลือดบนถนน เป็นแบบสงครามกลางเมือง คล้าย 6 ตุลา 2519 ทำให้คนถอยหนีไปสู่ชายขอบ สอง ถ้าไม่ปะทะจะประนีประนอม ผมใช้หลักวิภาษวิธีวิเคราะห์ ถ้าจบแบบที่สอง ทุนชาติแบ่งเค้กกับทุนโลกาภิวัตน์ผลประโยชน์ลงตัว เกิดดุลยภาพของผลประโยชน์เท่ากับ OK Nation


 


ขอโทษนี่คือคำถามที่เราต้องถาม เพราะว่าทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง เป็นนอมินีของทุนทั้งสอง


 


หนึ่ง สงครามครั้งสุดท้ายมีการโฆษณาชวนเชื่อเป็นปี ใช้นโยบายปลอมๆ โดยนักผลิตสื่อระดับชาติหลายคน และทั้งพรรคการเมืองพรรคการเมืองหนึ่งที่ข้างล่างทำประชานิยมและข้างบนทำโลกาภิวัตน์


 


สอง ประชาชนตกเป็นเหยื่อตามแห่คำโฆษณาชวนเชื่อบนเวที และนโยบายปลอมๆ


 


สาม ประชาชนได้อะไร ได้ทุนชาติคืนมาหรือ หรือได้โลกาภิวัตน์มาครอง ส่วนใหญ่แล้วประชาชนไม่ได้ประโยชน์เลยจากเกมนี้ ทุนชาติกลับมารวยขึ้นหรือ ตั้งแต่ 2500-2540 คนจนของไทยลดลงแค่ไหน ตั้งแต่ 2540-2550 คนยากจนยากจนลงมากน้อยแค่ไหน ผมคิดว่าประชาชนกลับสงครามครั้งสุดท้ายคือ การรับมือกับทุนชาติ กับทุนโลกาภิวัตน์ในอนาคต นี่คือของแท้ของจริง ประชาชนต้องเผชิญตลอดเวลา


 


วิธีการที่ประชาชนจะเผชิญกับสงครามโลกาภิวัตน์ในอนาคต เพราะทุนชาติ ทุนโลกาภิวัตน์ จะแบ่งเค้กกันเรียบร้อย ได้จัดสรรผลประโยชน์


 


ข้อที่ 1 การเป็นผู้กำหนดนโยบายขึ้นมาเอง เดิมประชาชนแค่ซื้อนโยบายพรรคการเมือง ต่อไปเราต้องเป็นคนกำหนดนโยบายด้วยตัวเอง ให้นักการเมืองทำตามที่เราต้องการ


 


ข้อที่ 2 การเรียกร้องหารัฐสวัสดิการ เพราะในอนาคตทุนโลกาภิวัตน์ไม่ปรานีกับคนจนคนชายขอบ รัฐสวัสการจะเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญในการสร้างหลักประกันว่า ข้าว ผ้า ยา บ้าน หรือปัจจัยสี่จะอยู่กับเรา


 


ข้อที่ 3 ต้องยืนยันประชาธิปไตยทางตรง และประชาธิปไตยแบบตัวแทน


 


ข้อที่ 4 ประชาชนต้องครองพื้นที่สื่อมากขึ้นเพื่อรับมือกับรัฐ เดิมเราทะเลาะกันมาตลอด 40 ปีว่าใครควรจะเป็นเจ้าของสื่อ และวันนี้การจัดสรรคลื่นความถี่ก็ยังจัดสรรกันไม่เสร็จ


 


ในอนาคตรัฐไทยต่อไปนี้จะทำหน้าที่อะไร รัฐไทยจะทำหน้าที่แค่นอมินีของทุนข้ามชาติเท่านั้น คือแก้กฎหมายให้เอื้อประโยชน์ให้ทุนข้ามชาติ ทุนเสรีนิยมใหม่เข้ามาลงทุน เช่น มาลงทุนในรัฐวิสาหกิจที่มีกำไร


 


000


 


 


แก้รัฐธรรมนูญ ให้รัฐสภาสามารถถ่วงดุลอำนาจได้


ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระกล่าวว่า ตั้งแต่เรามีระบบรัฐสภาเป็นต้นมา รัฐสภาไทยเต็มไปด้วยสมาชิกที่มาจากชนชั้นที่ได้เปรียบทางสังคม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองอาชีพตลอดจนอดีตข้าราชการที่โยงใยใกล้ชิดกัน โดยเฉพาะอย่างวุฒิสภาที่มีการกำหนดคุณสมบัติที่เอื้ออำนวยต่อชนชั้นนำมากกว่าชนชั้นล่าง มิหนำซ้ำยังมาจากการลากตั้งอีก ๗๔ จาก ๑๕๐ คน


 


ทั้งนี้ เนื่องมาจากรัฐธรรมนูญที่ออกโดยชนชั้นนำและแนวทางการพัฒนาประเทศที่ขาดการสมดุล ทำให้คนส่วนใหญ่ถูกกันออกไปจากเวทีแข่งขันทางการเมืองโดยอัตโนมัติ คนส่วนใหญ่จึงไม่สามารถมีส่วนกำหนดนโยบายใดๆของรัฐ ตัวระบอบรัฐสภาเองจึงมีความจำกัดในการตอบสนองความต้องการของประชาชน


 


ตัวรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็มุ่งแต่กลั่นกรองตัวบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง มากกว่าการกระจายโอกาสทางการเมืองให้แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนของสมาชิกรัฐสภาปัจจุบันที่ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นนำที่ครอบงำรัฐสภาอยู่


 


ในหลักการของระบบรัฐสภานั้นฝ่ายบริหารอาจถูกลงมติไม่ไว้วางใจหรือสภาผู้แทนอาจถูกยุบเพื่อให้ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้แสดงบทบาทของผู้ตัดสิน ประชาชนจึงต้องพร้อมเสมอที่จะใช้สิทธินั้น ดังนั้น จึงมีความจำเป้นอย่างยิ่งที่ประชาชนจะต้องได้รับการศึกษา และการศึกษาไม่เกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตย เพราะอย่างอินเดีย อัตราการรู้หนังสือต่ำกว่าไทย แต่ตั้งแต่เขาได้รับเอกราชมาไม่เคยมีการปฏิวัติรัฐประหารเลย และประชาชนควรได้รับโอกาสในการรับรู้ข่าวสารทางการเมือง ตลอดจนโอกาสในการแสดงความคิดเห็นซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการควบคุมการดำเนินงานขององค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตย และหากประเทศใดขาดหลักเกณฑ์ที่ว่านี้ ก็ย่อมกล่าวไม่ได้ว่าประเทศนั้นมีการปกครองในระบบรัฐสภาที่แท้จริง และประเทศที่ว่านี้ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่ารวมประเทศไทยของเราในปัจจุบันนี้เข้าไปด้วย


 


นอกจากปัญหาสำคัญที่ได้ชี้ให้เห็นมาแล้วว่ารูปแบบการปกครองแบบรัฐสภา ซึ่งก็หมายความว่ารัฐสภาเป็นใหญ่หรือมีอำนาจสูงสุด แต่ระบบรัฐสภาของไทยในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ แต่กลับกลายเป็นรัฐบาลที่เป็นใหญ่กว่ารัฐสภา


 


แล้วปัจจุบันขณะที่วิ่งกันฝุ่นตลบยังมีคนใหญ่กว่ารัฐบาลคือทหาร ที่มีข่าวขี่รถตู้ไปน่ะ มีพันธมิตรที่เป็นใหญ่ มีแกนนำของกลุ่มพรรคที่ติดโทษแบนห้ามยุ่งเกี่ยวทางการเมือง แต่มีว่าที่นายกรัฐมนตรีต้องซื้อดอกกุหลาบเนเธอร์แลนด์ช่อละ 3,000 ไปให้ ซึ่ง พรบ.พรรคการเมือง มาตรา 96-98 เขาห้ามนะครับ เพราะอยู่ๆ ก็ไปหาพรรคที่ถูกยุบ ชาติไทย บรรหาร ไปมัชฌิมา แถมยังแถลงข่าวหน้าตาเฉย


 


พรรคการเมืองต่างๆ ของไทยจึงล้วนแล้วแต่ บกพร่องในบทบาทต่อสังคม เพราะทำตัวแปลกแยกจากสังคมมาโดยตลอด แสวงหาหรือเล่นบทบาทเฉพาะบทบาททางการเมืองในสภาเท่านั้น


 


มิหนำซ้ำเมื่อเกิดปรากฏการณ์พันธมิตรฯขึ้นมา พรรคการเมืองทั้งหลายก็กลับละทิ้งหน้าที่ในทางการเมืองในสภาไปเสียอีก หันไปเล่นทางลัดนอกสภาโดยคอยหนุนหลังกลุ่มเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงอย่างโจ๋งครึ่ม พรรคการเมืองจึงหมดความหมายจากประชาชนไปโดยสิ้นเชิงเพราะไม่ได้ทำหน้าที่ทั้งในทางสังคมและในทางการเมืองแต่อย่างใด โอกาสในการพัฒนาประชาธิปไตยโดยพรรคการเมืองจึงเสื่อมสูญไปอย่างน่าเสียดาย กอปรกับการมีมาตรการยุบพรรคซ้ำเติมเข้าไปอีก ก็เป็นอันว่าสิ้นหวังได้เลยว่าพรรคการเมืองจะเป็นจักรกลที่จะขับเคลื่อนการเมืองในระบบรัฐสภาของเราให้พัฒนากว่านี้ไปได้


 


ถึงเวลาแล้วที่รัฐสภาไทยจะต้องปรับปรุงกันอย่างขนานใหญ่ ด้วยการ  ยกร่างรัฐธรรมนูญเสียใหม่ เพราะพิสูจน์ได้ชัดเจนแล้วว่ารัฐสภาซึ่งใช้อำนาจนิติบัญญัตินั้นตกเป็นเบี้ยล่างของรัฐบาล ไม่ได้เป็นอิสระและไม่อาจถ่วงดุลเพื่อควบคุมตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพเลย เป็นแต่เพียงการแสดงละครฉากใหญ่เท่านั้นเอง


 


000


 


 


ความขัดแย้ง 2 ทุน เปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์กลุ่มคน


รศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวว่า ความขัดแย้งในการแย่งชิงผลประโยชน์ของทุนเก่าทุนใหม่ ได้มาสั่นคลอนสถาบันทางการเมืองต่างๆ ทั้งรัฐสภา ตุลาการ รวมถึงสถาบันจารีต ถ้าพวกเราไม่สามารถหาทางอออกที่สังคมยอมรับได้ มันจะนำไปสู่ปัญหาที่หนักหน่วงมากขึ้น ทันทีที่มีการต่อสู้ของทุนและเก่าใหม่ ได้มาเปลี่ยนตำแหน่งแห่งที่ของคนในสังคมการเมืองและสถาบันทางการเมืองปรับตัวไม่ทัน


 


เราพบว่า ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทำให้เกิดชนชั้นรากหญ้า ประชาชนที่มีส่วน 20% ของประเทศ ที่มีรายได้ 3% จากรายได้ประชาชาติ ซึ่งไม่เคยได้ผลประโยชน์จากการเมืองที่ผ่านมา แต่พอทักษิณเข้ามา ทำให้คน 20% ข้างล่างได้รับผลประโยชน์ และเปลี่ยนอัตลักษณ์มาเป็นชนชั้นรากหญ้า ซึ่งพวกเขาเกาะติด ผูกตัวเองกับประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความหวัง จากคนจนมาเป็นผู้รักประชาธิปไตย


 


ส่วนคนชั้นกลางและคนชั้นสูง ทำได้อย่างเดียวคือหันไปเกาะอุดมการณ์เก่า "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์"


 


ความขัดแย้งใหญ่นี้ได้ลากคนเข้ามาอยู่ในอัตลักษณ์ดังกล่าวและพร้อมจะฆ่ากันได้ พลเมืองผู้รักประชาธิปไตยรับไม่ได้ที่รัฐธรรมนูญเอื้อทุนเก่า ขณะที่ชนชั้นกลาง ชนชั้นสูงกลายเป็นผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเกิดการรบกันขึ้นมาระหว่างสองฝ่าย ภาวะนี้ไม่ได้เกิดลอยๆ เพราะคนชื่อทักษิณและสนธิ แต่มันเป็นการเปลี่ยนทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และมันเปลี่ยนตำแหน่งแห่งที่ของคน และสถาบันหลักๆ ควบคุมไม่ได้


 


ทุกวันนี้เราทั้งหมดพูดไม่ได้ อีกฝ่ายไม่มีพื้นที่ให้แต่ละฝ่าย เสื้อเหลืองไม่มีพื้นที่ให้เสื้อแดง เสื้อแดงไม่มีพื้นที่ให้เสื้อเหลือง เหลือเรื่องที่คิดจะขยี้คนอื่น ขยี้คนที่ไม่รักประชาธิปไตย ส่วนคนเสื้อเหลืองก็จะขยี้คนที่ไม่รักสถาบัน รศ.ดร.อรรถจักรกล่าว


 


000


 


 


หวังว่าคนที่ตรวจสอบความจริงจะไม่ถูกเผาไปเสียก่อน


ในช่วงแลกเปลี่ยน อาจารย์ชัชวาล ปุนปัน ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวว่า ขอมองในแง่ดีของวิกฤตที่ผ่านมาว่าได้เกิดพลังการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการตรวจสอบทักษิณช่วงที่ทักษิณมีอำนาจ และพอมีพันธมิตรมีอำนาจก็มีการตรวจสอบเบื้องหลังพันธมิตร และมีการตรวจสอบอย่างเข้มแข็งจากสื่อต่างประเทศ และไม่สามารถปิดกั้นการสื่อสารได้ นอกจากนี้คนรากหญ้าสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอินเตอร์เน็ตได้ ขณะนี้จึงเป็นโอกาสของการรักษาสมดุลของการตรวจสอบนี้ไว้ หากรักษาสภาพเช่นนี้ได้ สังคมจะก้าวไปสู่การตรวจสอบที่ดีมากขึ้น จะมีการคลี่คลายของอวัยวะในโครงสร้างเดิมซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่ๆ


 


อาจารย์ชัชวาลยังกล่าวว่าตอนที่นิโคลัส โคเปอร์นิคัสบอกว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาลมีแต่คนไม่เชื่อ ต้องใช้เวลาถึง 100 ปี ถึงจะมีการตรวจสอบและพบว่าสิ่งที่เขาเสนอเป็นความจริง แต่ก่อนหน้านี้มีคนถูกเผาไฟเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เขาจึงหวังว่าคนที่คิดจะตรวจสอบความจริงจะไม่ถูกเผาไปเสียก่อน


 


ผศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช กล่าวว่า หวังว่าสังคมไทยจะเป็นเสรีนิยมทางการเมืองมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาการเมืองจำกัดอยู่ที่ชนชั้นนำ ประชาชนไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรจากนโยบายการเมือง ที่มักจะกล่าวหาว่าประชาชนซื้อสิทธิขายเสียง จริงๆ แล้วที่ประชาชนขายเสียงก็เพราะระบบการเมืองไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเขา


 


แต่พอมาถึงระยะหลัง การที่ทักษิณสามารถระดมซึ่งขอใช้คำว่า "คนชนบทใหม่" คือ ไม่ใช่คนชนบทแบบเดิมต่อไป เพราะเขาให้ความสำคัญต่อความรู้ ต่อสิ่งต่างๆ มากขึ้น เขาต้องการมีส่วนร่วมด้านผลประโยชน์จากระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นมันเลี่ยงไม่ได้ที่จะเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้เข้ามามีส่วนแบ่งในผลประโยชน์ที่จะได้จากประชาธิปไตย ซึ่งไม่มีหนทางอื่น เราต้องขยายพื้นที่ประชาธิปไตยให้มากขึ้น


 


ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาในยุโรปก็เป็นแบบนี้ คือเดิมเป็นประชาธิปไตยแบบชนชั้นนำ ที่จำกัดสิทธิเลือกตั้งกับกลุ่มที่ไม่มีทุน ซึ่งไม่ต่างจากสังคมไทยขณะนี้เท่าไหร่ แต่หลังศตวรรษที่ 19-20 มันเริ่มคลี่คลายมาเสรีนิยมมากขึ้น


 


ในแง่นี้ ขอเสนอว่า จำเป็นต้องให้คนรากหญ้าเข้าสู่ระบบการเมือง เข้ามาจัดสรรผลประโยชน์กับระบบการเมืองมากขึ้น และมีความจำเป็นที่สังคมไทยต้องยอมรับคนกลุ่มที่เรียกว่า Concerned Citizens ที่เคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เขาจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเมืองปรับตัวได้ ไม่สุดขั้วไปข้างใดข้างหนึ่ง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net