Skip to main content
sharethis

13 ธ.ค. 51 - คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพออกแถลงการณ์ขอให้เคารพหลักนิติธรรมในการควบคุมตัวประชาชน เรียกร้องต่อผู้รับผิดชอบการนำตัวประชาชนเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ให้คำนึงถึงหลักกฎหมายหลักการสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การกล่าวหาว่าเป็นผู้ใดเป็นผู้หลงผิดควรมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน มีความโปร่งใส


 






 


คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ Working Group on Justice for Peace


๒๔ / ๑๕๘ ซอยลาดพร้าว ๒๑ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐  email: wgjp.bkk@gmail.com


 


ที่ กรุงเทพ ๒๐/๒๕๕๑


วันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


 


แถลงการณ์


ขอให้เคารพหลักนิติธรรมในการควบคุมตัวประชาชน


 


จากที่เป็นข่าวตามสื่อต่างๆ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม  ๒๕๕๑ ว่า พล.ต.วีรชัย นาควานิช ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีรับรายงานตัวชาวบ้านผู้หลงผิดที่แสดงความบริสุทธิ์ใจเข้าร่วมโครงการประชาร่วมใจ ทำความดีเพื่อแผ่นดิน ซึ่งผู้หลงผิดดังกล่าวมีทั้งชาวบ้าน ผู้นำศาสนา และผู้นำท้องถิ่น รวม ๑๕๘ คน อาศัยอยู่ในพื้นที่ ๖ หมู่บ้านของ ๒ ตำบล คือ ต.สาวอ ๕๘ คน และ ต.บาตง จำนวน ๑๐๐ คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวผู้หลงผิดทั้ง ๑๕๘ คน แยกย้ายไปยังโรงเรียนวิวัฒน์พลเมือง ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และโรงเรียนวิวัฒน์พลเมือง ค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อเข้าอบรมเปลี่ยนแปลงทัศนคติเป็นเวลา ๒ สัปดาห์


 


ต่อมาคณะทำงานฯได้รับการร้องเรียนจากญาติของผู้ถูกควบคุมตัวว่า บรรดาผู้ถูกควบคุมตัวได้รับแจ้งจากหน่วยทหารเฉพาะกิจ จังหวัดนราธิวาสให้ไปรายงานตัวโดยไม่แจ้งวัตถุประสงค์  และโดยที่ผู้ถูกควบคุมตัวมิได้เคยกระทำความผิด หรือให้ความช่วยเหลือแก่ผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด  แต่เมื่อไปถึงกลับถูกนำไปแถลงข่าวว่าเป็นผู้หลงผิดที่กลับใจ  ทำให้เกิดความเสื่อมเสียทั้งแก่ตนเองและครอบครัว  อีกทั้งการถูกส่งไปเข้าค่ายอบรมเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ เป็นไปด้วยความไม่สมัครใจ  และทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนอย่างยิ่ง  เนื่องจากปัจุบันเป็นช่วงหลังน้ำท่วม บ้านเรือน รวมถึงพืชเพาะปลูก และสัตว์เลี้ยงได้รับความเสียหายอย่างหนัก


 


คณะทำงานฯรู้สึกกังวลต่อการควบคุมตัวประชาชนเข้ารับการฝึกอบรมในโครงการต่างๆโดยไม่สมัครใจและไม่มีกฎหมายรองรับเป็นอย่างยิ่ง  เพราะที่ผ่านมา  การที่เจ้าหน้าที่เคยนำตัวประชาชนไปอบรมอาชีพ ๔ เดือนนั้น  ศาลจังหวัดระนอง จังหวัดชุมพร และจังหวัดสุราษฎร์ธานี เคยมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๐ (โปรดดูคำสั่งศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี คดีหมายเลขดำที่ ร.ป. ๑/๒๕๕๐ คดีหมายแดงที่ ร.ป. ๑/๒๕๕๐) ให้ระงับการฝึกอบรมตามโครงการอบรมศาสนาและพัฒนาศักยภาพแก่บุคคลซึ่งไม่ยินยอมหรือไม่สมัครใจเข้ารับการฝึกอบรม  เนื่องจากเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๒ วรรค ๕   อีกทั้งพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาตรา ๒๑ วรรค ๒ และวรรค ๓ การนำตัวประชาชนเข้ารับการฝึกอบรมนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากศาล และเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้นั้น


 


คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ จึงมีข้อเรียกร้องต่อผู้รับผิดชอบการนำตัวประชาชนเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติ  ดังนี้


 


๑.   ขอให้ปล่อยตัวประชาชนผู้ถูกบังคับให้เข้ารับการอบรมโครงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติโดยไม่สมัครใจโดยเร็ว  เพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวได้ตามปกติ


๒.   ในการจัดโครงการฝึกอบรมต่างๆควรเป็นไปด้วยความสมัครใจของประชาชนอย่างแท้จริง  และต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับครอบครัวของผู้เข้ารับการอบรมด้วย


๓.   ขอให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้หลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด  ในการควบคุมตัวประชาชน  โดยคำนึงถึงหลักกฎหมายหลักการสิทธิมนุษยชน  และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การกล่าวหาว่าเป็นผู้ใดเป็นผู้หลงผิดควรมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน  มีความโปร่งใส  เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และเรียกความเชื่อมั่นศรัทธาต่อภาครัฐให้กลับคืนมา


 


ทั้งนี้เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นระหว่างรัฐ และประชาชนและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม


 


*************************


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net