Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล


ที่มา: กระดานข่าวฟ้าเดียวกัน


วันที่ 15 ธ.ค. 2551 เวลา 19.05 น.


 


วันนี้ ระหว่างขับรถกลับบ้าน ผมนั่งนึกไปว่า ในที่สุด ทักษิณก็สามารถ  "กลับมา" ได้อย่างจำกัดมากๆเพียงปีเดียว ไม่ครบปีนักด้วยซ้ำ คือนับจากเลือกตั้ง 23 ธันวา (ตั้งรัฐบาลจริงช่วงปีใหม่)


 


ผมนึกไปถึงว่า ช่วงปีที่แล้ว หลังจากความล้มเหลวในการบริหารงานของ รัฐบาลสุรยุทธ์ และหลังจากชัยชนะในการเลือกตั้ง (และการได้เสียงมากในการลงมติ รธน.) มีบางคนรู้สึกว่า  "คมช. แพ้แล้ว" หรือ "รัฐประหาร 19 กันยา แพ้/ล้มเหลว"


 


ตอนนั้น ผมได้เขียนกระทู้เสนอว่า ขึ้นอยู่กับว่า วัดกันตรงไหน ทีว่า  "แพ้" หรือ "ชนะ "


 


ถ้า นับว่า รัฐประหาร 19 กันยา ได้ล้มรัฐบาลเลือกตั้งที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากทั่วประเทศอย่างมหาศาล (แม้จะถึงช่วง รปห. เสียงสนับสนุนนี้ ก็ยังมากอยู่ในระดับทั่วประเทศอย่างปฏิเสธไม่ได้) ล้มรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงสนับสนุนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และแบน นักการเมืองสำคัญๆของพรรคนี้ 5 ปี ทั้งยัง ในที่สุด สร้างรัฐธรรมนูญ ที่วางโครงสร้าง ที่เป็นหลักประกันว่า อำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง จะไม่ใช่อำนาจที่เข้มแข็งอีก และอำนาจของตุลาการ วุฒิสมาชิกแต่งตั้ง ที่อยู่เหนือการควบคุมของประชาชน จะมีบทบาทสำคัญต่อไป


 


อันที่จริง แม้แต่เรื่อง งบประมาณทหาร, การที่อำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายทหารหลุดจากมือรัฐบาลเลือกตั้ง การที่รัฐบาลต้องยอมอ่อนข้อกับทหาร แม้จะเลือกตั้งมา - นึกถึงสมัคร ต้องเอาอนุพงษ์ไปไหนมาไหนด้วยในเดือนแรกๆ เพื่อป้องกันการยึดอำนาจ และต้องปล่อยให้อนุพงษ์จัดการโยกย้ายตำแหน่งอย่างเสรี


 


ถ้ามองในแง่นี้ รัฐประหาร 19 กันยา และ คมช. ก็ได้รับชัยชนะอย่างใหญ่หลวง อย่างไม่ต้องสงสัย


 


ใน แง่นี้ การที่นักวิชาการอย่างเกษียร ยังคงพูดถึงการ "ไม่เอาทั้ง 2 ขั้ว" ราวกับว่า ทั้ง "2 ขั้ว" อยู่ในฐานะ และดุลย์กำลังที่ใกล้เคียงกันนั้น จึงนับเป็นการมองที่ "หรี่ตาข้างหนึ่ง" โดยแท้ (เกษียรใช้คำว่า "หลับตาข้างหนึ่ง "มาวิพากษ์คนที่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของเขา ผมเลียนแบบ และ return the compliment!)


 


1 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ผลสะเทือนของชัยชนะของพวกรัฐประหารมีมากกว่าที่คิดกันเมื่อปีที่แล้ว


 


อีกอย่างที่ผมนึกย้อนไปในปีที่ผ่านมา คือ ตลอด 1 ปีนี้ กล่าวได้ว่า รัฐบาล แทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะต้องเป็นฝ่ายรับมือกับการรุกอย่างหนักของ  "พลังเทวดาอุปถัมภ์" และที่สำคัญคือ เรื่องใหญ่ๆ ที่ฝ่าย "พลังเทวดาอุปถัมภ์" เป็นฝ่ายรุก 2 เรื่อง ล้วนเป็นเรืองเกี่ยวพันหรืออิงกับประเด็นสถาบันกษัตริย์ โดยตรงโดยอ้อม คือ กรณีจักรภพ และ กรณีเขาพระวิหาร


 


ทั้ง 2 กรณีนี้ ได้ทำให้กำลังรัฐบาลอ่อนลงไปอีกมาก เพราะผลจากรัฐประหารเช่นกัน ทำให้ คนที่ขึ้นเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง 23 ธันวา เป็นนักการเมือง "ระดับมือรอง" ลงมา (หรือที่สมัครใช้คำว่า "ขี้เหร่หน่อย") ทั้งกรณีจักรภพ และ เขาพระวิหาร ได้ทำให้นักการเมืองทีค่อนข้างมีความสามารถหรือมีศักยภาพมากที่สุด 2 คน ต้องหลุดจากตำแหน่งไปอีก


 


และในที่สุด ผมนึกถึง ช่วงกลางปี ที่บรรดานักวิชาการทั้งหลาย ที่สำคัญ รวมถึงพวก ที่อ้างว่า  "เป็นกลาง" หรือ  "ไม่เอาทั้งสองขั้ว" ทั้งหลาย เช่น สมชาย อรรถจักร ประภาส นฤมล ฯลฯ ฯลฯ ออกมาโวยวาย เรื่อง  "เราต้องหาทางออกจากการเมือง 2 ขั้ว " เมื่อรัฐบาลเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ก็พวกนี้ แหละ ที่ออกมาประสานเสียงกับ  "พลังเทวดาอุปถัมภ์" ทำนองว่า "ไม่เห็นด้วยที่จะเป็นการช่วยพวกตัวเองให้พ้นผิด เป็นการเห็นแก่ตัว ต้องพยายามให้ภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม"


 


และก็เช่นเดียวกับ เหตุการณ์ก่อนรัฐประหาร สิ่งที่นักวิชาการที่  "เป็นกลาง" ที่อ้างเรื่อง "ก้าวให้พ้นการเมือง 2 ขั้ว" ทั้งหลาย สามารถ contribute ได้จริงๆ คือ ทำให้ขั้วรัฐบาลอ่อนแอลงไปอีก และช่วยให้ "พลังเทวดาอุปถัมภ์" เข้มแข้งขึ้นอีก (เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในปี 49)


 


และในด้านกลับกัน ในที่สุด เมื่อพวก "พลังเทวดาอุปถัมภ์" deliver the final blow ในรูปแบบของการ "ยุบพรรค" ทีเดียว 3 พรรค ปิดสนามบิน ทำให้ประเทศเป็นอัมมะพาต และ ใช้การแบล็กเมล์ ให้เกิดการรัฐประหารแอบแฝง ในรูปของ "ความถูกต้องทางกฎหมาย" ("legality") ดังที่ได้เห็นกันในวันนี้


 


นักวิชาการที่อ้างเรื่อง  "ก้าวพ้นการเมือง 2 ขั้ว" ทำอะไร? หรือ ทำอะไรได้บ้าง? คำตอบคือ เปล่าเลย


 


สรุปคือ เช่นเดียวกับปี 49 นักวิชาการเหล่านี้ ให้การช่วยเหลือกับ  "พลังเทวดาอุปถัมภ์" โดย "ไม่ตั้งใจ" หรือถ้าพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้นคือ โดยที่ควรจะรู้ แต่แกล้งหลอกตัวเองว่า "ไม่ได้ทำ"  "ความจริง คัดค้านทั้งสองฝ่าย" นั่นเอง


 


(ขออธิบายเพิ่มเติมหัวข้อเล็กน้อยว่า แน่นอนว่า ประชาธิปัตย์เอง ความจริง มีฐานอยู่ทีการเลือกตั้ง แต่ใน 3 ปีนี้ พรรคนี้ ในทางเป็นจริง ทำตัวเป็น  "โฆษก" หรือกระบอกเสียง ให้กับ "พลังเทวดาอุปถัมภ์" ล้วนๆ ในทุกๆ เรื่อง การขึ้นสู่อำนาจครั้งนี้ ก็อาศัยการแบล็กเมล์ของ "พลังเทวดาอุปถัมภ์" ช่วยเป็นหลัก... ลักษณะที่เหมือน paradox นี้ จะนำมาสู่อะไร เมื่อพรรคนี้ ได้ขึ้นเป็นรัฐบาล? ผมยังไม่มีไอเดีย ต้องขอเวลาคิดนานกว่านี้)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net