ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 2 มกราคม 2551

การเมือง

ชวรัตน์พร้อมตอบคำถามหากถูกอภิปราย

ไอ.เอ็น.เอ็น.- นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงข่าวการถูกวางตัวว่าจะเป็นผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในประเด็นความเกี่ยวโยงที่มีผู้วิจารณ์ว่า เข้าไปมีส่วนได้เสียใน บริษัท ชิโนไทย ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ ว่า ตนเองพร้อมที่จะตอบคำถามทุกอย่าง หากมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจจริง และแม้ว่ารัฐบาลจะเพิ่งมีการแถลงนโยบายไปไม่นาน แต่ก็เชื่อว่า เป็นสิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย ที่จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และยืนยันว่า ตนเองไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทนี้ ตั้งแต่ปี 2539 แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนา ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนนี้ โดยยืนยันว่ามีหลักฐานที่มีน้ำหนักพอจะสามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ทันที ซึ่งพร้อมจะอภิปรายแบบหมดเปลือก ว่าใครทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายกระทรวงคมนาคม รวมถึง นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปัจจุบัน ที่ตนเองมีประเด็นเรื่องความไม่ชอบมาพากลในโครงการเช่ารถ NGV 4,000 คันด้วยเช่นกัน

 

 

นายกรัฐมนตรีพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกคน

สำนักโฆษก - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจสถานที่เพลิงไหม้ซานติก้าผับถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าพร้อมจะพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ความจริงเป็นเรื่องของการที่เรายืนยันว่าเราพูดคุยได้กับทุกคน แต่การพูดคุยนั้นต้องอยู่บนหลักของความถูกต้อง โดยจะอธิบายว่า ถ้ามีความกังวลว่ารัฐบาลนี้จะไปกลั่นแกล้งอะไรนั้น ไม่มี รัฐบาลนี้จะให้ความเป็นธรรมทุกอย่าง และก็อยากให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ส่วนกรอบการพูดคุยมีอะไรบ้างนั้น มีเท่านี้ แต่รายละเอียดการพูดคุยนั้นยังไม่ทราบ

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีการประสานงานไปหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ทราบ ส่วนในการพูดคุย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ไปเจรจา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายสุเทพคงพยายามติดต่อประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน ต่อข้อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่มีกลุ่มคนเสื้อแดงมาตะโกนขับไล่ระหว่างทำบุญตักบาตรเมื่อเช้านี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีอะไร ก็เป็นธรรมดา เขาอยากมาแสดงออกก็เท่านั้นเอง ต่อข้อถามว่ากังวลหรือไม่ในการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ แล้วกลุ่มเสื้อแดงยังตามไปก่อกวน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไร

 

ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลหรือไม่ โดยเฉพาะการเดินทางไปยังภาคเหนือและอีสาน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไร จะเดินทางไปเมื่อมีภารกิจ แต่ในช่วงสัปดาห์แรกของปีใหม่นี้คงเดินทางไปยาก เพราะยังมีงานที่จะต้องทำในส่วนกลาง ทั้งเรื่องการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และมาตรการต่างๆ ต่อข้อถามว่า กังวลเรื่องของความปลอดภัยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ไม่ประมาท แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร และการที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแสดงความเป็นห่วง และเตือนเรื่องของความปลอดภัยนั้น ก็เพราะท่านเป็นห่วง ซึ่งก็ได้คุยกันแล้ว

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีรายงานข่าวทางลับเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็มีอยู่บ้าง ซึ่งตนก็ไม่ประมาทแต่ก็ไม่เป็นไรไม่ต้องเป็นห่วง และไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแต่อย่างใด ส่วนถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยประกาศจะออกมากดดันรัฐบาลมากขึ้นหลังปีใหม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็เป็นหน้าที่ที่เขาจะตรวจสอบ

 

 

เพื่อนเนวินเชื่อทักษิณไม่ปิดประตูเจรจาสุเทพ

คมชัดลึก- นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกฯและสมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวิน กล่าวกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์จะเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า หลังการแถลงนโยบายรัฐบาลเสร็จสิ้น ส.ส.และสมาชิกกลุ่มได้แยกย้ายลงพื้นที่โดยไม่มีการวิเคราะห์การเมืองในปีนี้เลย แต่สิ่งที่นายสุเทพเสนอแนวคิดนี้นั้น ตนมองว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะนายสุเทพกับอดีตนายกฯมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมายาวนาน เมื่อนายสุเทพจะดำเนินการเช่นนี้ โดยเริ่มเจรจาแบบเพื่อนซึ่งยึดประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลักนั้น ตนคิดว่าทั้งสองคนนี้น่าจะคุยกันได้และไม่เชื่อว่าอดีตนายกฯจะปิดประตูในเรื่องนี้

 

นายศุภชัยกล่าวว่า ความขัดแย้งในบ้านเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วนั้นเรียกได้ว่าแต่ละฝ่ายยังไม่เคยมาเจรจากันแบบเป็นทางการเลย แต่ละฝ่ายต่างยึดมุมมองของตัวเองโดยไม่ฟังความคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง มันจึงคุยกันไม่ได้ ที่ผ่านมาอดีตนายกฯเรียกร้องความเป็นธรรมและยึดหลักกฎหมาย รัฐบาลชุดนี้ก็ประกาศยึดหลึกนิติรัฐและนิติธรรม แสดงว่าทั้งสองฝ่ายมีแนวคิดเดียวกันที่น่าจะทำให้บ้านเมืองยึดหลักประชาธิปไตยและกฎหมาย เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วก็น่าจะพูดจากันได้และเป็นสิ่งที่ดีที่ควรเร่งดำเนินการ 1 ปีที่ผ่านมามีการแบ่งพวกเขา-พวกเราโดยฝังรากลึกลงสู่ระดับครอบครัวแล้ว หากปีนี้ยังคงเป้นเช่นนั้นอีกถือว่าจะอันตรายมาก

 

เมื่อถามว่า นปช. ระบุว่าประชาชนไม่ยอมรับคนทรยศอดีตนายกฯ นายศุภชัยกล่าวว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าส.ส.ทำหน้าที่ผู้แทนปวงชนหรือไม่ แต่พวกตนยืนยันว่าไม่ได้ทรยศอดีตนายกฯ แต่สังคมควรแยกแยะว่าเมื่อพรรคพลังประชาชนโดนยุบพรรค กลุ่มของพวกตนตัดสินใจว่าจะไม่ไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย และใช้เอกสิทธิ์ส.ส.โหวตเลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ

 

"อย่าลืมว่าช่วงที่ผ่านมาพวกผมช่วย และสู้เพื่ออดีตนายกฯเต็มที่ให้กลับเมืองไทย เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณกลับมาได้สักพัก อดีตนายกฯก็ออกนอกประเทศไปอีกท่ามกลางหลายเงื่อนไข และอดีตนายกฯประกาศวางมืองทางการเมืองไปแล้ว พวกผมที่อยู่ที่นี่ต้องทำงานกันต่อไป แม้ไม่มีอดีตนายกฯ ช่วงที่ผ่านมาบ้านเมืองมีความวุ่นวายมากมาย และเริ่มมีการโจมตีสถาบันกันแล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไปประชาชนจะอยู่กันอย่างไร พวกผมก็ต้องตัดสินใจช่วยแก้ไขปัญหา" นายศุภชัยกล่าว

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าล่าสุดอดีตนายกฯประกาศจะกลับมาทำงานการเมืองอีกครั้ง นายศุภชัยกล่าวว่า ในฐานะคนไทยนั้นอดีตนายกฯสามารถคิดที่จะช่วยเหลือบ้านเมืองได้ แต่เงื่อนไขหลายอย่างที่ติดตัวอดีตนายกฯ เช่น การอยู่นอกประเทศ การโดนตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี และคดีความต่างๆในชั้นศาลนั้น อดีตนายกฯต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน เมื่อเรื่องราวในข้างต้นเรียบร้อยพวกตนก็จะกลับไปช่วยงานอดีตนายกฯแน่นอน

 

 

จตุพรมั่นใจทักษิณไม่หันหลังให้นปช.

คมชัดลึก- นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯระบุพร้อมจะเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯให้ยุติบทบาทและยกเลิกการสนับสนุนนปช.เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุขว่า พวกตนยังไม่ได้คุยกับอดีตนายกฯ แต่ทราบว่าเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2551 นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช.ได้คุยกับอดีตนายกฯโดยได้รายงานบรรยากาศการชุมนุมของนปช.ให้พ.ต.ท.ทักษิณรับทราบเท่านั้น โดยอดีตนายกฯได้ให้กำลังใจกับการเคลื่อนไหวดังกล่าว ส่วนสิ่งที่นายสุเทพระบุไว้นั้นนายสุเทพมีสิทธิที่จะคิดและคุยกับใครก็ได้ แต่ความตั้งใจดังกล่าวอาจสูญเปล่า

 

นายจตุพรกล่าวว่า ต้องเข้าใจว่านปช.นั้นสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ไม่ได้ผูกติดกับใคร แต่การเคลื่อนไหวในช่วงปลายปีนั้น นปช.มีการแสดงจุดยืนไปแล้ว โดยเฉพาะนักการเมืองที่เปลี่ยนจุดยืนนั้นประชาชนก็แสดงออกให้เห็นเช่นกันว่าไม่ต้อนรับคนพวกนี้และทิ้งไปเลย ฉะนั้นนปช.จะอยู่ได้ด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย และศรัทธาในตัวของอดีตนายกฯที่ยึดหลักการเดียวกัน แม้จะมีคนทรยศที่มากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าคนเสื้อแดงจะลดลง

 

"นปช.ไม่ได้ขึ้นกับใคร ไม่มีหัวหน้า แต่มีความเห็นร่วมกัน โดยอดีตนายกฯเป็นคนๆหนึ่งที่มีความคิดร่วมกันและเป้นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ในคราวนี้ หากอดีตนายกฯยอมรับชะตากรรมทางการเมืองตามแรงบีบหรือการเจรจานั้น ชะตากรรมของอดีตนายกฯในวันนี้คงไม่เป็นเช่นนี้ แต่อดีตนายกฯยึดความถูกต้องและหลักประชาธิปไตย ชีวิตเลยเป็นเช่นนี้และก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อคนเสื้อแดงยังสนับสนุนแบบนี้เชื่อว่าอดีตนายกฯไม่มีทางหันหลังให้นปช.และประชาธิปไตยเลย จึงไม่มีความกังวล"นายจตุพรกล่าว

 

ความมั่นคง

บึ้มหน้าร้านซ่อมรถนราฯตาย1เจ็บ1

ไอ.เอ็น.เอ็น.- เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวน ลอบวางระเบิดที่บริเวณหน้าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ถนนพาดทางรถไฟ หน้าสถานีรถไฟเจาะไอร้อง หมู่ 1 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส แรงระเบิดส่งผลให้ชาวบ้านเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 คน คือ นายมาโนช อาแว ได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 นาย คือ ส.ต.ต.ฉัตรชัย ทองสงค์ ตำรวจสายตรวจสถานีตำรวจเจาะไอร้อง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้นำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลอำเภอเจาะไอร้อง ล่าสุดขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุแล้ว

 

 

คุณภาพชีวิต

"ไกรศักดิ์" แฉมาเลเซียพร้อมดึง "ชาวเล" ไปอยู่ด้วยหากไม่มีที่ไป "วธ." เด้งรับลูกตั้งศูนย์วัฒนธรรมชาวเล

มติชน- นายไกรศักดิ์ ชุณหวัน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตยและประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สภาผู้แทนราษฏร กล่าวเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2552 ถึงปัญหาของชนชาวเลซึ่งประกอบด้วยมอแกน มอแกลนและอูรักลาโว้ยในท้องทะเลอันดามันกว่า 1 หมื่นคน ที่กำลังประสบความยากลำบากเข้าขั้นวิกฤต เพราะไม่สามารถดำเนินชีวิตตามวิถีดั้งเดิมได้เนื่องจากถูกรุกรานอย่างหนัก นอกจากไม่สามารถจับปลาได้แล้วยังถูกฟ้องร้องขับไล่ไม่ให้อาศัยอยู่ตามเกาะต่างๆ ว่ารัฐบาลควรเร่งเข้าไปแก้ไข เพราะคนเหล่านี้อยู่กันมานาน ดังนั้นจึงควรเร่งหาวิธีการให้ชาวเลอยู่กันอย่างมีศักดิ์ศรีและถูกต้องตามกฎหมาย

 

นายไกรศักดิ์กล่าวว่า ตนกำลังประสานไปยังนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)เนื่องจากขณะนี้มีชาวเลถูกจับเพราะไปจับกุ้งจับเคยในพื้นที่ที่ทำกินมานาน แต่พื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศเป็นเขตอุทยานในภายหลัง จริงๆแล้วอุทยานควรอนุญาตให้คนเหล่านี้ได้ทำมาหากินต่อไป ขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมเองก็ต้องเข้าไปปกป้องเพื่อให้วิถีวัฒนธรรมของชาวเลคงอยู่ต่อไป ขณะที่กระทรวงมหาดไทยก็ควรเข้าไปดูแลให้ชาวเลได้บัตรประชาชนเหมือนคนทั่วไป

 

"จริงๆแล้วเรื่องนี้แก้ไขไม่ยากเลย ถ้าเราตั้งใจจริง ที่ยากกว่านั้นคือเรื่องอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มว่าไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น หลายพื้นที่กีดกันคนท้องถิ่นไม่ให้ทำมาหากิน เรื่องนี้ผมเจอมากับตัวเอง ชาวบ้านที่สตูลเอาเรือไปจอดหาปลาหน้ารีสอร์ทแห่งหนึ่ง กลับถูกเจ้าของไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ที่เกาะอาดัง-หลีเปะชาวเลก็ถูกคุกคามอย่างหนัก ชาวเลบางพื้นที่ถูกจำกัดให้อยู่แต่ในหมู่บ้านเหมือนสัตว์อนุรักษ์ "นายไกรศักดิ์กล่าว

 

ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมฯกล่าวว่า รัฐบาลควรแก้ไขปัญหาชาวเลให้เป็นตัวอย่างของการปกป้องคนกลุ่มน้อย ขณะที่การท่องเที่ยวเองควรให้เกียรติ์และยึดเอาชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง ตนทราบมาว่าขณะนี้ทางการมาเลเซียได้ติดต่อมายังชุมชนชาวเลว่ายินดีต้อนรับ หากคนเหล่านี้ไม่มีที่ไป หรือต้องการย้ายไปอยู่มาเลเซีย

 

ด้านนายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่าเห็นด้วยที่ควรอนุรักษ์วิถีชีวิตของชนชาวเลเอาไว้ เพียงแต่ใช้กลไกลอย่างไรเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องมาร่วมกันคิด แต่เพื่อความยั่งยืนต้องให้คนในท้องถิ่นเป็นผู้ระดมสมองในลักษณะการทำประชาคมเพื่อให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในวัฒนธรรมและประเพณีของตัวเอง ขณะเดียวกันองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในระดับต่างๆซึ่งมีงบประมาณอยู่แล้วก็ต้องช่วยกันสนับสนุน

 

นายธีระกล่าวว่านโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมนั้น จะมีการตั้งศูนย์วัฒนธรรมประจำชุมชนต่างๆอยู่แล้ว ดั้งนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของชาวเลขึ้นมา โดยมีการทำงานเป็น 3 เส้า คือชาวเล องค์กรท้องถิ่นและกระทรวงวัฒนธรรม โดยกระทรวงเพียงแต่มีหน้าที่เป็นตัวกลางคอยประสานให้

 

"ผมตั้งใจว่าจะลงไปเจาะในกลุ่มชนต่างๆเหล่านี้อยู่แล้ว เพราะอยากให้เขารักษาวิถีชีวิตและชาติพันธุ์ของตัวเองเอาไว้ และควรเผยแพร่ให้สังคมไทยได้เห็นความงดงามอันหลากหลายนี้ ผมเห็นด้วยกับคุณกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ที่บอกว่าชาวเลไม่ควรเป็นสมุนรับใช้การท่องเที่ยว ผมคิดว่าการท่องเที่ยวต้องไปเป็นลูกสมุนชาวเลมากกว่า"นายธีระ กล่าว และว่าการแก้ปัญหาสำคัญของชาวเลคือเรื่องที่ดิน ซึ่งรัฐบาลชุดนี้มีนโยบายออกโฉนดชุมชนให้สำหรับคนที่อยู่มาก่อน ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยที่เจ้าหน้าที่รัฐไปไล่จับคนเหล่านี้เพราะเข้าไปทำมาหากินในทะเล แต่ถูกประกาศเป็นเขตอุทยานในภายหลัง

 

เศรษฐกิจ

ศาลเผยแนวโน้มปีหน้า "คดีแพ่ง" พุ่งสูง เหตุศก.ทรุด เตรียมแผนรับมือปรับเกลี่ยกำลังผู้พิพากษาใหม่รองรับ

มติชน- นายศราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2552 ถึงปริมาณคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลแพ่งทั่วประเทศทั้งสิ้นประมาณ 560,000 คดี และคดีอาญา 480,000 คดี สำหรับคดีแพ่งที่มีสถิติการฟ้องร้องสูงเป็นอันดับ 1 ในปี 2551 คือ เรื่องเกี่ยวกับการยืม มีการฟ้องร้องทั้งสิ้นประมาณ 180,000 คดี เรื่องเกี่ยวกับการยืมและการค้ำประกันมีการฟ้องร้องกันประมาณ 110,000 คดี อันดับ 3 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเช่าซื้อประมาณ 36,000 คดี

 

นายศราวุธ กล่าวว่า ภาพรวมคดีแพ่งในปี 2552 ที่มีแนวโน้มจะเกิดภาวะเศรษฐกิจไม่ดี คาดว่าคดีในส่วนที่เกี่ยวกับการยืมมีแนวโน้มสูงขึ้นกว่า ปี2551 รวมทั้งคดีที่เกี่ยวกับการเช่าซื้อทั้งบ้าน รถยนต์ ก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากผู้เช่าชื้ออาจขาดกำลังในการผ่อนส่งจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี รวมไปถึงคดีที่เกี่ยวกับผู้บริโภคและคดีบัตรเครดิต

 

นายศราวุธ กล่าวว่า นอกจากคดีแพ่งแล้วในส่วนของศาลชำนัญ อาทิ ศาลล้มละลายกลาง ก็น่าจะมีแนวโน้มสูงที่จะมีคดีเข้าสู่การพิจารณาเพิ่มมากขึ้น ขึ้นเนื่องจากบริษัทร้านค้าต่างๆอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ โดยในปี 2551 มีเข้าสู่การพิจารณาของศาลล้มละลายกลางประมาณ 24,000 คดี ทั้งคดีฟื้นฟูกิจการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และคดีล้มละลาย ในส่วนของศาลแรงงานก็เป็นอีกศาลหนึ่งที่น่าจะมีปริมาณคดีเพิ่มขึ้น เนื่องจากเมื่อบริษัทร้านค้าเกิดภาวะขาดทุน อาจเป็นเหตุให้มีการเลิกจ้าง คดีประเภทฟ้องนายจ้างให้จ่ายค่าจ้าง ฟ้องเรียกค่าชดเชยต่างๆ ก็จะมากขึ้นกว่าปี 2551 ที่มีคดีเข้าสู่การพิจารณาประมาณ 23,000 คดี

 

นายศราวุธ กล่าวว่า สำนักงานศาลยุติธรรมเตรียมพร้อมรับมือกับปริมาณคดีที่จะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2552 ด้วยการปรับเกลี่ยอัตรากำลังผู้พิพากษาในศาลที่มีปริมาณคดีน้อย ไปปฏิบัติหน้าที่ในศาลที่มีปริมาณคดีที่เพิ่มขึ้น ให้อัตรากำลังผู้พิพากษาแต่ละศาลเหมาะสมกับปริมาณคดี รวมทั้งใช้หลักการบริหารจัดการคดี อาทิเรื่องการนัดความต่างๆ ให้รวดเร็วขึ้นเพื่อให้สามารถพิจารณาพิพากษาคดีให้เสร็จสิ้นได้โดยเร็ว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานจำนวนข้อหาที่ขึ้นสู่การพิจารณาคดีในศาลแพ่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม - ตุลาคม 2551 ในส่วนของคดีมีข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวม 15.359 คดี ประกอบด้วย ลาภมิควรได้ 5 คดี ละเมิด 716 คดี ซื้อขาย 638 คดี แลกเปลี่ยน 3 คดี ให้ 14 คดี เช่าทรัพย์ 140 คดี เช่าซื้อ 7,486 คดี จ้างแรงงาน 65 คดี จ้างทำของ 325 คดี รับขน 7 คดี ยืม 3,207 คดี ฝากทรัพย์ 80 คดี ค้ำประกัน 52 คดี จำนอง 61 คดี จำนำ 14 คดี เก็บของในคลังสินค้า 134 คดี ตัวแทน 76 คดี นายหน้า 14 คดี ประนีประนอมยอมความ 12 คดี การพนันขันต่อ 6 คดี บัญชีเดินสะพัด 123 คดี ประกันภัย 77 คดี ตั๋วเงิน 333 คดี หุ้นส่วนและบริษัท 49 คดี สัญญาต่างๆ 76 คดี ที่ดิน 3 คดี ขับไล่ 1,505 คดี ทางสาธารณะ 1 คดี ทางจำเป็น 9 คดี กรรมสิทธิ์ 50 คดี ขอให้ส่งมอบที่ดิน 5 คดี ครอบครอง 1 คดี ภาระจำยอม 41 คดี สิทธิอาศัย 1 คดี มรดกและพินัยกรรม 30 คดี

 

นอกจากนี้ ยังมีคดีไม่มีข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อีก 3,510 คดี ประกอบด้วย ขอจัดการมรดก 2,131 คดี ขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน 1,357 คดี และสาบสูญ 22 คดี และข้อหาอื่นๆนอกเหนือจากบัญชี อีก 1,910 คดี ประกอบด้วย นิติกรรมอำพราง 15 คดี เพิกถอนนิติกรรม 79 คดี หนี้ 5 คดี รับสภาพหนี้ 96 คดี รับช่วงสิทธิ 19 คดี เพิกถอนการฉ้อฉล 14 คดี แปลงหนี้ใหม่ 1 คดี สัญญา 448 คดี ผิดสัญญาประกัน 5 คดี ผิดสัญญาเล่นแชร์ 10 คดี และอื่น 1,218 คดี รวมจำนวนคดีทั้งหมดทุกประเภทที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลแพ่ง 20,779 คดี

 

ส่วนศาลล้มละลายกลาง ตั้งแต่เปิดทำการเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2542 จนถึง วันที่ 17 ธันวาคม 2551 มีคดีเข้าสู่การพิจารณา แบ่งเป็นคดีล้มละลาย 67,203 คดี พิจารณาแล้วเสร็จ 52,040 คดี คดีฟื้นฟูโครงสร้าง 608 คดี เสร็จไป 589 คดี ส่วนคดีขอศาลสาขา 1,822 คดี เสร็จไป 1,669 คดี ส่วนการยื่นขอรับชำระหนี้จำนวน 27,230 คดี เสร็จไป 25,799 คดี รวมคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลล้มละลายกลางทั้งสิ้นจำนวน 96,863 คดี พิจารณาเสร็จสิ้นไป 80,097 คดี เหลือคดีคงค้างที่อยู่ระหว่างการพิจารณา 17,994 คดี รวมจำนวนทุนทรัพย์คดีล้มละลายประมาณ 2,647,000,000,000 บาท ส่วนคดีฟื้นฟูกิจการ 2,000,000,000,000 บาท ค่าขอรับชำระหนี้ 2,300,000,000 บาท โดยศาลล้มละลายกลางจะย้ายจากถนนสาธร ไปเปิดทำการที่ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ ในวันที่ 5 มกราคม 2552 เป็นต้น

 

 

ต่างประเทศ

โสมแดงเลือกตั้งเตรียมหลังสิ้มคิม

เดลินิวส์ -เกาหลีเหนือเตรียมจัดการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในปี 2552 วางรากฐานที่มั่นคงให้แก่การปกครองในยุคหลังนายคิม จอง-อิล ผู้นำคนปัจจุบัน ด้วยการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจที่อายุไม่มาก ส่วนเกาหลีใต้ต้องการฟื้นการเจรจากับเกาหลีเหนือที่ระงับไปหลายปี และจับตาเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิด

 

สำนักข่าวยอนฮัพและหนังสือพิมพ์ดองอาในเกาหลีใต้ เผยแพร่รายงานของสถาบันยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ สังกัดสำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ว่า นโยบายซองกุนของเกาหลีเหนือที่ให้ความสำคัญกับกองทัพเป็นอันดับแรกจะค่อยๆ หลีกทางให้แก่นโยบายเชิงปฏิบัติ นักการเมืองอาวุโสบางคนจะถูกแทนที่ด้วยนักการเมืองวัยกลางคนที่จะเข้ามาด้วยการเลือกตั้ง ขณะที่ผู้มีความสามารถทางเศรษฐกิจจะได้รับเลือกเป็นสมาชิกรัฐสภามากขึ้น ทางสถาบันคาดว่าเกาหลีเหนือจะจัดการเลือกตั้งสมาชิกสมัชชาประชาชนสูงสุดในเดือนกรกฎาคม หรือสิงหาคม แม้ว่ารัฐสภาชุดนี้จะครบวาระ 5 ปีในปีนี้แล้วก็ตาม

 

รายงานระบุด้วยว่า เกาหลีเหนือจะพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐและจีน โดยหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือเพิ่มขึ้น แต่จะกดดันเกาหลีใต้ให้เปลี่ยนแปลงนโยบายที่มีต่อเกาหลีเหนือด้วยการ สร้างสถานการณ์เพิ่มความตึงเครียด

 

อย่างไรก็ตาม เอกสารนโยบายของเกาหลีใต้เผยว่า ในปีนี้เกาหลีใต้ต้องการฟื้นการเจรจากับเกาหลีเหนือที่ระงับไปหลายปี และจะเพิ่มศักยภาพในการจับตาเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิดด้วยการร่วมมือกับรัฐบาลนายบารัค โอบามา ของสหรัฐกระทรวงรวมชาติเกาหลีเผยใน เอกสารนโยบายประจำปี 2552 ที่เผยแพร่พร้อมกับกระทรวงกลาโหมและกระทรวงต่างประเทศว่า รัฐบาลจะขอเกาหลีเหนือด้วย ความจริงใจให้ตอบรับข้อเสนอฟื้นการเจรจา 2 เกาหลี ขณะที่กระทรวงต่างประเทศเผยว่า จะประสานงานกับสหรัฐเสริมการรับมือหากถูกเกาหลีเหนือรุกรานและเพิ่มการจับตาเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิด

 

 

ทั่วโลกกดดันอิสราเอลยุติโจมตีฉนวนกาซา

เดลินิวส์ -กองทัพอิสราเอลยังส่งฝูงบินรบบุกถล่มเป้าหมาย ในเขตฉนวนกาซาของชาวปาเลสไตน์ เพื่อกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงฮามาสติดต่อกันเป็นวันที่ห้า นับถึงวันพุธ (31 ธ.ค.) ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นใกล้ 400 และนานาชาติออกโรงเรียกร้องให้ยุติปฏิบัติการ ล่าสุด ครม.อิสราเอลกำลังหารือเพื่อหาแนวทางหยุดยิงแบบถาวร

 

ฝูงเครื่องบินไอพ่นรบและเฮลิคอปเตอร์โจมตีของกองทัพอิสราเอล บุกโจมตีเป้าหมายต่างๆ ทั่วเขตฉนวนกาซาเมื่อวันพุธ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ขณะที่ทางการปาเลสไตน์เผยตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ ล่าสุดอยู่ที่ 374 คน และบาดเจ็บอีกเกือบ 2,000 คน อิสราเอลกำลังเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากนานาชาติ ให้ยุติปฏิบัติการทางทหารโดยเร็ว ซึ่งเรื่องนี้นายมาร์ค เรเกฟ โฆษกรัฐบาลอิสราเอล เผยว่า คณะรัฐมนตรีด้านความมั่นคงของอิสราเอล จะพบหารือกันที่กรุงเทลอาวีฟใน วันพุธ (31 ธ.ค.) เพื่อพิจารณาข้อเสนอหยุดยิงของบรรดาผู้นำโลก โดยจะยึดถือความปลอดภัยของประชาชนชาวยิวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศที่ถูกโจมตีด้วยจรวดจากกลุ่มฮามาส อย่างต่อเนื่องเป็นหลัก

 

โฆษกกระทรวงกลาโหมอิสราเอล เปิดเผยว่า อิสราเอลจะส่งกำลังภาคพื้นดินเข้าโจมตีปาเลสไตน์ หากปาเลสไตน์ยังคงยิงจรวดเข้ามาในดินแดนของอิสราเอล และเจ้าหน้าที่อิสราเอลยังเตือนด้วยว่า การโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธ ฮามาส จะดำเนินต่อไปอีกหลายสัปดาห์

 

กลุ่มนักรบของฮามาสยังคงยิงจรวดข้ามแดน โจมตีเป้าหมายชุมชนชาวยิวในอิสราเอลอีกเมื่อวันพุธ โดยยิงจรวดแบบกราด 2 ลูก ลึกเข้าไปในเขตชายแดน จรวดตกในเขตเมืองเบียร์ชีวา ห่างจากเขตแดนฉนวนกาซาราว 40 กม. กลุ่ม ฮามาสประกาศจะโจมตีอิสราเอลด้วยจรวดให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น หากอิสราเอลยังไม่ยอมยุติการโจมตีปาเลสไตน์ด้านนายยีกัลป์ พาลเมอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล เปิดเผยว่า มีข้อเสนอแก้ไขความขัดแย้งหลากหลายแนวทาง จากหลายฝ่ายทั่วโลก และได้มีการเจรจาหารือกันในระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางบรรลุข้อตกลงหยุดยิงแบบถาวรอย่างจริงจัง และภายใต้เงื่อนไขที่แน่ชัด

 

ประชาคมโลกพยายามกดดันให้อิสราเอลยุติความรุนแรง โดยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และ ดร.คอนโดลีซซ่า ไรซ์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เรียกร้องให้บรรดาผู้นำประเทศในตะวันออกกลาง อย่ามองเพียงแค่การหยุดยิง แต่ควรร่วมกันหาทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ขณะเดียวกัน 4 มหาอำนาจโลก ประกอบด้วย สหรัฐ สหประชาชาติ สหภาพยุโรป และรัสเซีย ต่างเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการโจมตีปาเลสไตน์ในทันที และหันหน้าเข้าสู่กระบวนการสันติภาพ นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังเรียกร้องให้อิสราเอลเปิดพรมแดน เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ เข้าถึงประชาชนชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซาด้วย

 

 

จีนตรวจจานชามเมลามีน ผู้บริหารบริษัทนมขึ้นศาล

เดลินิวส์ - เจ้าหน้าที่ทางการจีนทำการตรวจสอบภาชนะพลาสติกที่ใช้ในการรับประทานอาหาร หลังมีข่าวว่าอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเมื่อใส่ของร้อน เพราะมีส่วนผสมของเมลามีน ส่วนอดีตผู้บริหารบริษัทผลิต ภัณฑ์นมปนเปื้อนสารเมลามีน ที่เคยเป็นข่าวอื้อฉาว ถูกนำตัวขึ้นศาลแล้วเมื่อวันพุธ (31 ธ.ค.)

 

เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของสำนักงานควบคุมดูแลและตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์จีน เผยว่า สำนักงานกำลังจับตาและดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง หลังจากรายงานของสื่อจีนระบุว่า ภาชนะพลาสติกใช้ใส่อาหารรับประทาน ที่วางขายตามห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น และตลาดค้าปลีก มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจเป็นพิษเมื่อถูกความร้อน โดยสารเคมีดังกล่าวถูกระบุว่าเป็น คาร์บาไมด์ และเมลามีน โดยคาร์บาไมด์สามารถสร้างความระคายเคืองต่อผิวหนัง ตา และระบบการหายใจ ส่วนเมลามีนก่อให้เกิดโรคนิ่วในไต และปัญหาต่อระบบท่อปัสสาวะอย่างรุนแรง

 

นางเทียน เหวินฮัว อดีตประธานบริษัท ซานหลู่ กรุ๊ป พร้อมด้วยอดีตคณะผู้บริหารบริษัท ซึ่งเป็นผู้ผลิตนมปนเปื้อนสารเมลามีน ถูกนำตัวขึ้นศาลดำเนินคดีที่ศาลเมืองฉือเจียจวง ทางตอนเหนือของประเทศ โดยมีบรรดาญาติของเด็กที่ตกเป็นเหยื่อ ทั้งเสียชีวิตและล้มป่วยจากการดื่มนมผงของบริษัท ได้ไปรวมตัวกันที่ศาลเพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม และเงินค่าชดเชยจากบริษัท อย่างไรก็ตาม ทนายความฝ่ายโจทก์ได้กล่าวยอมรับว่า ข้อหาที่ฟ้องร้องจำเลยและคณะ มีน้ำหนักน้อยกว่าที่คาดไว้ตอนแรก และอาจทำให้จำเลยรอดพ้นโทษประหารชีวิต

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท