Skip to main content
sharethis

รัฐยอมแก้ทีโออาร์รถเมล์เอ็นจีวี


โพสต์ทูเดย์ - นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะประธานร่างเอกสารการประกวดราคา (ทีโออาร์) โครงการเช่ารถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นเชื้อเพลิง (เอ็นจีวี) 4,000 คัน เปิดเผยว่า สัปดาห์นี้จะเสนอร่างทีโออาร์โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ต่อที่ประชุมบอร์ดองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)


         


หลังจากได้เปิดรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายแล้วถึง 3 ครั้ง ล่าสุด รมว.คมนาคม ได้สั่งให้เพิ่มข้อตกลงในร่างทีโออาร์ด้วยว่า ผู้ชนะประมูลต้องใช้รถโดยสารที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวี ซึ่งผลิตในประเทศไม่น้อยกว่า 50% ของจำนวนรถทั้งหมด ตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการต่อรถในประเทศ


         


ร่างดังกล่าวหากผ่านความเห็นชอบจากบอร์ดขสมก. แล้วกรรมการร่างทีโออาร์จะเปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเป็นรอบที่ 4 เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุด โดยเฉพาะประเด็นที่สังคมยังสงสัย เช่น อัตราการเช่ารถ วิธีจัดหารถ วิธีจัดหาก๊าซเอ็นจีวีจะมีพอหรือไม่


         


"เราจะเพิ่มประเด็นให้ผู้ชนะประมูลต้องใช้รถโดยสารของ ผู้ประกอบการในประเทศไม่ต่ำกว่า 50% เมื่อมีการเพิ่มตรงนี้แล้ว  ผู้ประกอบการต่อรถในประเทศจะต้องมีศักยภาพต่อรถด้วย ไม่ใช่ว่าแต่ละเดือนต่อรถได้แค่ 4-5 คัน โครงการก็จะยิ่งล่าช้า ประชาชนก็ต้องรอนาน" นายชัยรัตน์ กล่าว


         


รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมต่อตัวถังรถโดยสาร นำโดยบริษัท ธนบุรีบัสบอดี้ และชมรมอู่ต่อตัวถังบ้านโป่ง ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการนำเข้ารถเอ็นจีวีแบบสำเร็จรูปจากต่างประเทศ เพราะจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อตัวถังรถโดยสารภายในประเทศ ซึ่งมีการจ้างแรงงาน กว่า 5,000 คน


         


ทั้งนี้ ทางกลุ่มยืนยันศักยภาพในการต่อตัวถังรถโดยสารที่มีทั้งคุณภาพ และกำลังการผลิตรวมกันมากกว่า 4,000 คัน


         


สำหรับรัฐจำเป็นต้องส่งเสริมและดูแลอุตสาหกรรมดังกล่าวในประเทศด้วย เพราะเกี่ยวเนื่องไปถึงอุตสาหกรรมอื่นอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการจ้างงาน อาทิ อุตสาหกรรมโรงงานผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศ เช่น กระจก เก้าอี้ ยาง สายไฟ แผ่นเหล็กแปรรูป ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมูลค่านับหมื่นล้านบาท เป็นต้น


 


 


ช่วยแรงงานกลับคืนสู่ภาคเกษตรกรรม


เดลินิวส์ - นายอนันต์ ภู่สิทธิกุล เลขาธิการ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ ส.ป.ก.ได้เตรียมแผนรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผลผลิตภาคการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบราว 30% ของพื้นที่ทั้งหมด รวมถึงการเตรียมแผนรองรับแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมที่จะประสบปัญหาว่างงาน ราว 8 แสนคน และจะหันกลับเข้ามาสู่ภาคการเกษตรกรรม ซึ่งในส่วนของ ส.ป.ก. น่าจะสามารถรองรับได้ราว 4-5 หมื่นคน



ทั้งนี้ โดยอาศัย 3 ขบวนการหลัก คือ การสร้างความพอเพียง เน้นการจัดรูปที่ดินให้เหมาะสม ส่งเสริมการทำเกษตรแบบผสมผสาน แทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว และการใช้ระบบการพึ่งพาตลาด ด้วยการส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน พร้อมกับสร้างระบบการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ คอนแทรคฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) ร่วมกับภาคเอกชน ซึ่ง ส.ป.ก. ได้วางกรอบแนวทางการดำเนินงานไว้แล้วในบางสินค้า เช่น ข้าว ได้ดำเนินการในเขตปฏิรูปที่ดินแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 3 แสนไร่ และในพื้นที่ภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง 22 จังหวัด อีก 1 ล้านไร่



เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวเพิ่มเติมว่า ส.ป.ก. ยังมีแหล่งเงินกู้ระยะสั้นในอัตราดอกเบี้ยต่ำที่พร้อมให้การสนับสนุนเกษตรกรที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ภายใต้การดำเนินงานของกองทุนปฏิรูปที่ดิน ที่ปัจจุบันมีเงินพร้อมปล่อยกู้ราว 1.2 พันล้านบาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันต้องยอมรับว่าภาคการเกษตรมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้น จำเป็นต้องเดินแผนเชิงรุกทั้งในกลุ่มพืชอาหาร และพืชพลังงาน จึงได้มอบนโยบายให้แก่ผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่การให้บริการและการลงพื้นที่ เพื่อพบปะเกษตรกร สามารถช่วยเหลือแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที


 


 


'ลูกจ้างรพ.รัฐ'กว่า 9 หมื่นคนขู่หยุดงาน ขอเงินเดือนเพิ่ม ไม่ได้ประท้วงแน่


บ้านเมือง - เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมเล็ก คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้มีตัวแทนกลุ่มลูกจ้างชั่วคราวของโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศในนามภาคีลูกจ้างชั่วคราวโรงพยาบาลของรัฐแห่งประเทศไทย นำโดยนางกนกพร สุขสนิท ประธานภาคีลูกจ้างชั่วคราวโรงพยาบาลของรัฐแห่งประเทศไทย นายนิติกร กาละดี ประธานสมาคมลูกจ้างชั่วคราวเงินบำรุง พร้อมเครือข่ายกลุ่มลูกจ้างชั่วคราวโรงพยาบาลของรัฐในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดย น.ส.จันทร์เพ็ญ สุวรรณมณี ลูกจ้างชั่วคราวโรงพยาบาลปัตตานี ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์เพื่อเรียกร้องขอความเห็นใจต่อนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ช่วยเหลือกลุ่มลูกจ้างชั่วคราวในโรงพยาบาลรัฐสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ เกี่ยวกับเรื่องสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างชั่วคราวควรที่จะได้รับตามระบบราชการของประเทศไทย ที่ยังไม่สามารถเทียบได้ในระบบกฎหมายแรงงานและมาตรฐานสากลตามรัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทย เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของลูกจ้างชั่วคราวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ในปัจจุบัน


 


นางกนกพร กล่าวว่า ปัจจุบันลูกจ้างชั่วคราวในสังกัด รพ.ของรัฐบาลทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่จำนวนกว่า 9 หมื่นคน จาก รพ.ของรัฐบาลทั้งหมด 875 แห่ง กำลังได้รับความเดือดร้อนจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวันขณะที่เงินเดือนไม่เคยได้รับการปรับขึ้นเลย นับตั้งแต่เข้าทำงานรวมทั้งปัญหาเรื่องของสวัสดิภาพความปลอดภัยต่างๆ ก็ถูกละเลย กลุ่มภาคีลูกจ้างชั่วคราวโรงพยาบาลของรัฐ จึงต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือและขอความเห็นใจจากนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุขและผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข 4 ข้อ ประกอบด้วย ข้อ 1 ให้มีการจัดทำระเบียบของลูกจ้างชั่วคราวสังกัดกระทรวงสาธารณสุขขึ้นมาโดยเฉพาะเนื่องจากในขณะนี้ระเบียบข้อบังคับของลูกจ้างชั่วคราวเงินนอกงบประมาณยังไม่มีใช้อย่างเป็นทางการทำให้ลูกจ้างชั่วคราวทุกคนที่มีจำนวนกว่า 9 หมื่นคน ในสังกัดโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ ขาดสิทธิและสวัสดิการในการดูแลเท่าเทียมกับข้าราชการและลูกจ้างประจำ ทั้งๆ ที่กลุ่มลูกจ้างชั่วคราวบางแห่งนั้นต้องทำงานอย่างหนักมากกว่ากลุ่มข้าราชการและลูกจ้างประจำ และมีโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อโรคง่ายกว่า แต่ยังขาดสวัสดิการ เงินเดือน และที่พัก รองรับทำให้ชีวิตขาดความมั่นคงในอาชีพ ข้อที่ 2 ควรแก้ไขระเบียบกระทรวงสาธารณสุขข้อ 9 วรรค 4 โดยเพิ่มข้อความในระเบียบว่าให้สามารถจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างชั่วคราวนอกงบประมาณได้ตามคำสั่งได้ตามมติ ครม. โดยไม่ขัดต่อระเบียบเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกจ้างชั่วคราวสามารถได้รับเงินค่าครองชีพตามคำสั่งของกระทรวงการคลังที่ กค 0427/103 ลงวันที่ 19 กันยายน 2551 โดยกระทรวงการคลังอนุมัติเพิ่มให้แก่ผู้ที่มีรายได้ไม่ถึง 11,700 บาท แต่ลูกจ้างกระทรวงสาธารณสุขไม่มีโอกาสได้เพราะผิดต่อระเบียบและกฎหมาย ดังนั้นภาคีลูกจ้างชั่วคราวของรัฐแห่งประเทศไทยและสมาคมลูกจ้างเงินบำรุงจึงเห็นว่ารัฐบาลควรจะมีการแก้ไขระเบียบดังกล่าวเพื่อให้ลูกจ้างชั่วคราวทั่วประเทศได้รับผลประโยชน์


 


สำหรับ ข้อ 3 ขอให้มีการจ่ายเงินค่าเสี่ยงภัยให้กับลูกจ้างชั่วคราวนอกงบประมาณสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จว.ชายแดนภาคใต้ ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีการจ่ายให้แต่ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อปี 2548 เพราะระเบียบข้อ 9/4 ทำให้เป็นช่องว่างที่ผู้บริหารไม่สามารถจ่ายค่าเสี่ยงภัยได้ เป็นเหตุให้ลูกจ้างชั่วคราวเสียสิทธิและสวัสดิการต่างๆ ที่เพิ่งจะได้รับตามหนังสือ ปน.00165/1997 ลงวันที่ 18 พ.ย.51 ซึ่งเงินค่าเสี่ยงภัยจะได้รับเพียงกลุ่มข้าราชการและกลุ่มลูกจ้างประจำเท่านั้น ทั้งๆ ที่กลุ่มลูกจ้างชั่วคราวที่ทำงานมีความเสี่ยงเหมือนกัน และข้อ 4 สุดท้าย กลุ่มลูกจ้างชั่วคราวอยากขอความเห็นใจจากกระทรวงสาธารณสุขให้มีการจัดทำแท่งอัตราเงินเดือนของลูกจ้างชั่วคราวให้แล้วเสร็จโดยเร็วโดยยึดหลักค่าใช้จ่ายต่อคนในภาวะค่าครองชีพที่สูงตามความจริงโดยมีการปรับแท่งเงินเดือนให้สูงขึ้น จากเดิมที่มีเพดานค่าจ้างสูงสุดเพียง 6,800 บาท และให้มีการปรับค่าจ้างเพิ่มขึ้นทุกปีสอดคล้องกับค่าครองชีพและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป


 


นางกนกพร กล่าวอีกว่า กลุ่มภาคีลูกจ้างชั่วคราวโรงพยาบาลของรัฐแห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ขอความเห็นใจต่อรัฐบาลแล้ว จะได้ทำหนังสือข้อเรียกร้องดังกล่าวไปยื่นต่อนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ในสัปดาห์หน้า พร้อมให้เวลารัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข 1 เดือน ในการแก้ไขระเบียบและตอบสนองตามข้อเรียกร้อง และหากรัฐบาลยังนิ่งเฉยไม่ไยดี ลูกจ้างชั่วคราว รพ.ของรัฐทั่วประเทศกว่า 90,000 คน จะร่วมกันนัดหยุดงานประท้วงเพื่อให้รัฐบาลทำตามข้อเรียกร้องต่อไป แต่การนัดหยุดงานประท้วงครั้งนี้ จะไม่สร้างความเดือดร้อนหรือละทิ้งผู้ป่วยหรือสร้างความเสียหายให้กับ รพ.แต่อย่างใด


 


ด้าน น.ส.จันทร์เพ็ญ สุวรรณมณี ลูกจ้างชั่วคราว รพ.ปัตตานี ตำแหน่งผู้ช่วยเหลือคนไข้ กล่าวทั้งน้ำตาว่า เมื่อปี 2547 ลูกจ้างชั่งคราว รพ.ของรัฐใน 3 จว.ชายแดนภาคใต้ เคยได้รับเงินค่าเสี่ยงภัยเป็นเวลา 10 เดือนๆ ละ 2,500 บาทต่อคน ต่อมาในปี 2548 ได้ปรับลดลงเหลือคนละ 400 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน หลังจากกลางปี 2548 ก็ไม่ได้รับเงินค่าเสี่ยงภัยอีกเลย และที่ผ่านมาเกิดเหตุผู้ก่อความไม่สงบได้ใช้อาวุธปืนดักยิงลูกจ้างชั่งคราว รพ.ปัตตานี จนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่การช่วยเหลือก็ได้รับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งไม่คุ้มกับการเสี่ยงชีวิตโดยเฉพาะลูกจ้างชั่วคราวจะต้องเข้าเวรในช่วงกลางคืนจะต้องเสี่ยงภัยอย่างมาก อีกทั้งยังไม่มีสวัสดิการในเรื่องที่พักและค่าครองชีพ ในขณะที่เงินเดือนก็น้อยไม่เคยปรับขึ้นตั้งแต่เข้าทำงาน ฉะนั้นจึงวิงวอนให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ได้เห็นใจพวกเรารวมทั้งสวัสดิการของลูกจ้างชั่วคราวในสังกัด รพ.ของรัฐทั่วประเทศ ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนด้วย


 


 


ตะลึงขรก.ติดเอดส์สูง พลเรือน-ทหาร-ตำรวจ


แนวหน้า- เมื่อวันที่ 18มกราคม นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคเอดส์ของไทย ว่า ตั้งแต่ พ.ศ.2527 จนถึงวันที่ 30กันยายน2551 รวม 24 ปี สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค คาดว่ามีผู้ติดเชื้อประมาณ 1.2ล้านคน มีผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 337,989 ราย เป็นชายมากกว่าหญิงในอัตราส่วน 2ต่อ1 เสียชีวิตแล้ว 92,111ราย หรือประมาณ 1ใน4 ของผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งผู้ป่วยโรคเอดส์มีทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะข้าราชการ เป็นกลุ่มประชากรที่มีการศึกษา มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมค่อนข้างสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ จากการวิเคราะห์พบว่า ตั้งแต่ พ.ศ.2527 จนถึงวันที่ 30กันยายน2551 มีข้าราชการป่วยจากโรคเอดส์สะสม ทั้งหมด 10,278ราย คิดเป็นร้อยละ3 ของผู้ป่วยโรคเอดส์ทั้งหมด เป็นชาย 9,043ราย หญิง 1,235ราย เพศชายป่วยสูงกว่าเพศหญิงในอัตราส่วน 7ต่อ1 เสียชีวิตแล้ว 2,448ราย โดยผู้ป่วย 1 ใน 3 เป็นกลุ่มข้าราชการพลเรือน อีกประมาณ 1ใน10 เป็นทหารและตำรวจ สาเหตุใหญ่ของการติดเชื้อเอดส์ เกือบร้อยละ90 เกิดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัยนพ.สุพรรณ กล่าวอีกว่า ข้าราชการที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ ร้อยละ63.8 อายุระหว่าง 30-44ปี มากที่สุดคืออายุ 30-34ปี พบร้อยละ24 ผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ61 แต่งงานแล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้รับรายงานผู้ป่วยเอดส์ที่เป็นข้าราชการรายแรกเมื่อ พ.ศ.2530 มีรายงานป่วยสูงสุด 940ราย ในปี2539 หลังจากนั้นเริ่มลดลงอย่างช้าๆ ในปี2551 นี้ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน มีรายงานผู้ป่วย 303ราย จังหวัดที่ข้าราชการป่วยสะสมสูงสุดคือ กรุงเทพมหานคร 1,622ราย


 


ส่วนต่างจังหวัดพบมากที่สุด 5จังหวัดแรกคือ จ.เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา นนทบุรีและจ.ชลบุรีด้าน พญ.พัชรา  ศิริวงศ์รังสรร ผอ.สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กล่าวว่า สำนักโรคเอดส์ฯ ได้เฝ้าระวังสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีในประชาชนกลุ่มต่างๆ ทุกปี เพื่อประเมินผลการรณรงค์ป้องกัน โดยผลการเฝ้าระวังในปี2550 ใน 8กลุ่ม ใน 76จังหวัด ปรากฏผลดังนี้ 1.กลุ่มหญิงขายบริการทางเพศ พบติดเชื้อร้อยละ5.57 จังหวัดที่ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ จ.ลำปางร้อยละ28.75 รองลงมาคือ จ.สุโขทัย ร้อยละ24 และจ.สมุทรสงคราม ร้อยละ18.32 จากการประเมินพบว่า กลุ่มที่มีแนวโน้มติดเชื้อลดลง ได้แก่ กลุ่มหญิงฝากครรภ์ กลุ่มโลหิตบริจาค กลุ่มชาวประมงและกลุ่มแรงงานต่างชาติ แต่กลุ่มที่มีแนวโน้มติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้แก่ กลุ่มหญิงขายบริการทางเพศตรงและแฝง กลุ่มชายที่มาตรวจกามโรคและกลุ่มชายขายบริการทางเพศ โดยกลุ่มชายที่มาตรวจกามโรค เป็นกลุ่มสำคัญในการนำเชื้อเอชไอวีจากหญิงขายบริการทางเพศมาสู่กลุ่มหญิงทั่วไปได้ จึงต้องเน้นการสร้างพฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัย100% โดยปีงบประมาณ2552 กรมควบคุมโรคได้จัดซื้อถุงยางอนามัย 20ล้านชิ้น บริการกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ เพื่อใช้ในการป้องกัน


 


 


รัฐไต้หวันแจกอั่งเปากระตุ้นเศรษฐกิจ


เดลินิวส์ - รัฐบาลไต้หวันตั้งงบประมาณ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 87,500 ล้านบาท) เพื่อแจกเป็นอั่งเปาให้กับประชาชนเมื่อวันอาทิตย์ ในการกระตุ้นกำลังซื้อและฟื้นเศรษฐ กิจที่ซบเซา ช่วงใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีน โดยชาวไต้หวันทุกคนจากจำนวนประชากรทั้งสิ้น 22.7 ล้านคนจะได้รับบัตรคูปองซื้อของมูลค่า 3,600 ดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 3,745 บาท) ต่อหัว เพื่อนำไปใช้จ่ายหาซื้อสินค้าตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้า ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า



ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทางการ ได้ตั้งจุดแจกอั่งเปากว่า 14,000 แห่งทั่วเกาะไต้หวันเมื่อช่วงเช้าตรู่ คาดว่ามาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นอัตราการเติบโตของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ได้ร้อยละ 0.6 ขณะที่ ประธานาธิบดีหม่า อิง-จิว กล่าวว่า แผนการดังกล่าวจะทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และส่งเสริมให้ออกมาจับจ่ายซื้อของ ก่อนช่วงตรุษจีนวันที่ 26 ม.ค.



ด้าน รองประธานาธิบดีวินเซน ซิว กล่าวว่า แม้ทางการไต้หวันไม่ได้คาดหวังผล สำเร็จอย่างงดงามของการแจกอั่งเปา ท่ามกลาง เศรษฐกิจโลกถดถอย แต่ก็หวังว่ามาตรการ เพื่อกระตุ้นภาคการค้าปลีกนี้จะช่วยชะลอ การดิ่งตัวของเศรษฐกิจ ส่วน นายเพิง ซุน-ชาง วัย 53 ปี อาชีพ รปภ. กล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยกับแผนการแจกเงินครั้งนี้ และเชื่อว่าคนตกงานก็คงอยากได้งานทำมากกว่า



ขณะที่นสพ.พีเพิล เดลีของจีนราย งานว่า ตัวเลขการเติบโตของธุรกิจส่งออกของ เล่นจีนตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ย.ปี 2551 มีมูลค่าราว 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 280,000 ล้านบาท) หรืออยู่ที่ร้อยละ 2.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 20.3


 


 


ไทยติดที่67เสรีภาพ ศก.โลก แต่การเมืองย่ำแย่


พิมพ์ไทย - เฮอริเทจ ฟาวน์เดชั่น กลุ่มคลังสมองของสหรัฐที่เน้นส่งเสริมการวิเคราะห์และวิจัยนโยบายสาธารณะของรัฐบาลประเทศต่างๆ สำรวจเสรีภาพทางเศรษฐกิจของ 183 ประเทศทั่วโลก พบว่า ฮ่องกงเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีเสรีภาพที่สุดในโลก ถือเป็นการครองอันดับ 1 ต่อเนื่องปีที่ 15 ด้วยคะแนน 90.0 จากคะแนนเต็ม 100 ส่วนสิงคโปร์อยู่ที่อันดับ 2 ตามด้วยออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ และนิวซีแลนด์ ส่วนสหรัฐขยับลง 1 อันดับไปอยู่ที่อันดับ 6 ขณะที่เกาหลีเหนือถูกจัดว่ามีความเข้มงวดทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก ตามด้วยซิมบับเว คิวบา พม่า และเอริเทรีย


         


การจัดอันดับครั้งนี้มีหัวข้อพิจารณา 10 หัวข้อ ได้แก่ เสรีภาพธุรกิจ เสรีภาพการค้า เสรีภาพงบประมาณ ขนาดของรัฐบาล เสรีภาพทางการคลัง เสรีภาพในการลงทุน เสรีภาพทางการเงิน สิทธิในทรัพย์สิน การปลอดจากการฉ้อฉล และเสรีภาพแรงงาน ซึ่งฮ่องกงครองอันดับ 1 ในฐานะดินแดนที่มีเสรีภาพที่สุดทางการค้า การลงทุน และการเงิน และยังติดอันดับ 1 ใน 10 ดินแดนที่มีเสรีภาพที่สุดในการดำเนินธุรกิจ การกำหนดนโยบายการคลัง และสิทธิในทรัพย์สิน


         


นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังชี้ถึงความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินในฮ่องกง ที่เอื้อให้การดำเนินธุรกิจในฮ่องกงขยายตัวอย่างงดงาม รวมถึงข้อได้เปรียบอื่นๆ อาทิเช่น การกำกับดูแลด้านธุรกิจของฮ่องกงที่ไม่ซับซ้อน ขณะที่ตลาดแรงงานมีความยืดหยุ่น


         


นายจอห์น ซัง รัฐมนตรีคลังฮ่องกงขานรับผลสำรวจดังกล่าว พร้อมให้เหตุผลสนับสนุนรายงานนี้ว่า ฮ่องกงสามารถรั้งอันดับหนึ่งได้ก็เพราะมีระบบเศรษฐกิจที่มีเสรีภาพมากที่สุดในโลก ขณะที่รัฐบาลมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ทุกฝ่ายสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและราบรื่น


         


ไทยติดที่67โลก อันดับ10เอเชีย ในส่วนของประเทศไทย เสรีภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในอันดับที่ 67 ของโลก และอันดับที่ 10 จาก 41 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยมีคะแนน 63.0 เพิ่มขึ้น 0.7 จุด จากปีที่แล้ว และเหนือกว่าระดับเฉลี่ยทั่วโลกที่ 59.5 ผลจากการปรับตัวดีขึ้นในด้านเสรีภาพการค้า งบประมาณ และแรงงาน โดยเสรีภาพการค้าของไทยมีคะแนน 75.6 จากระดับเฉลี่ย 73.2 เสรีภาพงบประมาณมีคะแนน 74.4 จากระดับเฉลี่ย 74.9 และเสรีภาพแรงงานมีคะแนน 76.5 จากระดับเฉลี่ย 61.3


         


เฮอริเทจ ฟาวน์เดชั่น ระบุว่า เศรษฐกิจไทยมีความยืดหยุ่นพอประมาณ และสามารถรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมทางกฎระเบียบมีประสิทธิภาพมากขึ้น และได้รับปรับปรุงให้กระฉับกระเฉงขึ้น การเปิดธุรกิจใช้เวลาน้อยกว่าเวลาเฉลี่ยทั่วโลก กระบวนการออกใบอนุญาตเรียบง่ายและโปร่งใส ภาคการเงินมีความมั่นคงและเปิดรับการแข่งขันมากขึ้น ทรัพย์สินของเอกชนโดยทั่วไปได้รับการคุ้มครอง แม้ว่ากระบวนการยุติธรรมยังไร้ประสิทธิภาพและมีการฉ้อฉล


         


รายงานชี้ว่า การทำธุรกิจในไทยได้รับการปกป้องอย่างดี กระบวนการก่อตั้งธุรกิจใช้เวลาประมาณ 33 วัน ขณะที่ทั่วโลกใช้เวลาประมาณ 38 วันโดยเฉลี่ย ส่วนการขอใบอนุญาตประกอบกิจการใช้เวลาน้อยกว่าระดับเฉลี่ยของโลก ซึ่งมี 18 ขั้นตอน และใช้เวลา 225 วัน อีกทั้งกระบวนการฟ้องล้มละลายก็ค่อนข้างง่ายและตรงไปตรงมา


         


อย่างไรก็ตาม ไทยมีคะแนนต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในด้านเสรีภาพทางการเงิน การลงทุน และการปลอดจากการฉ้อฉล โดยเสรีภาพทางการเงินมีคะแนน 69.0 จากระดับเฉลี่ย 74.0 เสรีภาพการลงทุน 30.0 จากระดับเฉลี่ย 48.8 และการปลอดจากการฉ้อฉล 33.0 จากระดับเฉลี่ย 40.3 แม้อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับปานกลาง แต่รัฐบาลยังคงอุดหนุนราคาสินค้าโดยตรงหลายรายการ


         


ส่วนการลงทุนของต่างชาติมีข้อเข้มงวดหลายประการที่บังคับใช้อย่างไม่เท่าเทียมกัน ขณะที่การฉ้อฉลเป็นเรื่องเด่นชัด แม้ไม่ได้ใหญ่โตแบบประเทศเพื่อนบ้านบางราย


         


ไทยมีสิทธิทางการเมือง-เสรีภาพย่ำแย่ ฟรีดอม เฮาส์ องค์กรสิทธิมนุษยชนของสหรัฐ เปิดเผยว่า เสรีภาพทางการเมืองลดลงทั่วโลกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันในปี 2551 โดยเสรีภาพลดลงในรัสเซียและกรีซ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ทางการเมือง ขณะที่อิรักและมาเลเซียมีเสรีภาพเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการให้คนกลุ่มต่างๆ เข้ามีส่วนร่วมมากขึ้น


         


ส่วนประเทศไทยมีอันดับด้านสิทธิทางการเมืองย่ำแย่ลง ด้วยคะแนนระดับ 5 และเสรีภาพของพลเมืองอยู่ที่ระดับ 4 จากเกณฑ์การให้คะแนน 1-7 โดยระดับ 1 หมายถึงมีเสรีภาพมากที่สุด และระดับ 7 มีเสรีภาพน้อยที่สุด ขณะที่ไทยถูกจัดอันดับสถานภาพด้านเสรีภาพไว้ที่ประเทศกึ่งเสรี


         


ฟรีดอม เฮาส์ เปิดเผยในรายงานสำรวจเสรีภาพทั่วโลกประจำปี ว่า รัสเซียจัดการเลือกตั้งที่ไม่เสรีและไม่เป็นธรรม และประเทศเพื่อนบ้านของรัสเซียหลายประเทศมีแนวโน้มเลวร้ายที่สุด ส่วนอันดับของกรีซย่ำแย่ลงเนื่องจากเกิดเหตุจลาจลทั่วประเทศในเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว และรัฐบาลไร้ความสามารถในการควบคุมการจลาจลอิรักมีสถานะดีขึ้นจากความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น และการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นของชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ แม้ต้องเผชิญความวุ่นวายมานานหลายปี หลังการบุกโจมตีโดยสหรัฐ ขณะที่มาเลเซียก็มีภาวะดีขึ้น เนื่องจากชัยชนะของพรรคฝ่ายค้านในการเลือกตั้งทั่วประเทศ


         


ในปีที่แล้ว ประเทศหรือภูมิภาค 89 แห่ง ถูกระบุว่า "มีเสรีภาพ" ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่า 42 ประเทศ ที่ถูกระบุว่า "ไม่มีเสรีภาพ" แต่สิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของพลเมืองกลับลดลงไปอย่างมาก ฟินแลนด์มีเสรีภาพทางการเมืองมากที่สุดในบรรดา 193 ประเทศ และภูมิภาคที่ได้รับการสำรวจ ขณะที่เกาหลีเหนือย่ำแย่ที่สุด และจีนเกือบมีอันดับย่ำแย่ที่สุด เนื่องจากแทนที่จะปรับปรุงสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ก่อนการจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งในปีที่แล้ว แต่จีนกลับแสดงให้ทั้งโลกเห็นถึง "ระบบการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ"



ฟรีดอม เฮาส์ จัดอันดับโดยอิงตามการตัดสินโดยรวมจากผลสำรวจ และอันดับดังกล่าวสะท้อนเหตุการณ์ต่างๆ ทั่วโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 2551


 


 


ตะลึง!ทั่วโลกตกงาน 21,000 คนในวันเดียว


พิมพ์ไทย - นิวยอร์ก - บลูมเบิร์ก ระบุ 20 บริษัททั่วโลกประกาศปลดพนักงานในวันเดียว กระทบแรงงาน 21,000 คน คาดเฉพาะในสหรัฐปีนี้มีคนตกงาน 2.1 ล้านคน


         


สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัทต่างๆ ประมาณ 20 แห่ง ตั้งแต่ เฮิร์ทช์ โกลบอล โฮลดิงส์ ผู้ให้บริการรถเช่ารายใหญ่อันดับสองของสหรัฐ อโมนิล ผู้ผลิตปุ๋ยรายใหญ่อันดับสองของโรมาเนีย จนถึง แมกเนติ มาเรลลี ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในเครือ เฟียต ประกาศปลดพนักงานเมื่อวันศุกร์ (16 ม.ค.) คิดเป็นยอดรวมประมาณ 21,000 คน เมื่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ความต้องการสินค้าและบริการลดลงทั่วโลก


         


เฮิร์ทช์ แจ้งว่าจะปลดพนักงานมากกว่า 4,000 คน เนื่องจากบริษัทและประชาชนทั่วไปเดินทางน้อยลง เวลล์พอยต์ บริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่อันดับสองของสหรัฐ จะลดพนักงาน 1,500 คน เคลียร์ แชนแนล คอมมิวนิเคชันส์ บริษัทกระจายเสียงรายใหญ่สุดของสหรัฐ จะปลดพนักงาน 1,500 คนเช่นกัน ส่วนโคโนโคฟิลิปส์ บริษัทกลั่นน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของสหรัฐ จะลดพนักงาน 1,350 คน อโมนิลจะปลดพนักงาน 389 คน และแมกเนติ มาเรลลี จะปลดพนักงาน 800 คนในบราซิล


         


นายจอห์น ลอนสกี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ มูดีส์ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ กรุ๊ป ในนิวยอร์ก กล่าวว่า ผลประกอบการธุรกิจเมื่อไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วออกมาย่ำแย่มาก หลายบริษัทปลดพนักงานเมื่อยอดขายลดลงมากเกินคาด เขาทำนายว่า สหรัฐจะมีคนตกงานประมาณ 2.1 ล้านคนในปีนี้ โดย 80% จะตกงานภายในวันที่ 4 ก.ค. ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐจะร่วงลงอีก อยู่เหนือความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว


         


ทางด้านทำเนียบขาวทำเนียบขาวทำนายว่า สหรัฐจะมีคนตกงานประมาณ 235,000 คนต่อเดือนในปีนี้ เพิ่มขึ้นสองเท่าจากอัตราว่างงาน 114,000 คนต่อเดือนเมื่อปีที่แล้ว โดยรายงานเศรษฐกิจฉบับสุดท้ายของนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง ประมาณว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.7% ในปีนี้ จาก 5.7% เมื่อปีที่แล้ว


         


อย่างไรก็ตาม นายบุชกล่าวในรายงานที่นำเสนอต่อรัฐสภาว่า มาตรการต่างๆ ของคณะบริหาร ในการรับมือวิกฤติการเงิน ช่วยวางรากฐานที่จะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอีกครั้ง และสร้างงานเพิ่มขึ้น ขณะที่คณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งทำเนียบขาว คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะเติบโตในอัตรา 0.6% ต่อปีในปีนี้ หลังจากลดลง 0.2% เมื่อปีที่แล้ว และในอีกสองปีข้างหน้าคาดว่าการเติบโตจะพุ่งขึ้นเป็น 5%


          


ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังสหรัฐ ประกาศให้ความช่วยเหลือ ไครสเลอร์ ไฟแนนเชียล บริษัทสินเชื่อในเครือ ไครสเลอร์ คอร์ป ผ่านการปล่อยกู้ 1,500 ล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นยอดขายด้วยการทำให้ลูกค้าเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อการซื้อรถได้ง่ายขึ้น หลังจากจัดสรรเงินช่วยเหลือเพื่อการปล่อยกู้ให้แก่บริษัทในเครือ เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ไปก่อนแล้ว


         


ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลในการช่วยเหลือภาคเอกชน สร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ขยับขึ้น 68.73 จุด หรือ 0.84% ปิดที่ระดับ 8,281.22 เมื่อวันศุกร์ (16 ม.ค.) ส่วนราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนก.พ.ในตลาดนิวยอร์กดีดตัวขึ้น 1.11 ดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 36.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net