Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

เดชรัตน์ สุขกำเนิด-ศุภกิจ นันทะวรการ พูดถึงภาระเงินลงทุนส่วนเกิน 4 แสนล้านที่มาจากการพยากรณ์ล้นเกินเพื่อมุ่งสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทั้งที่ไม่จำเป็น ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ

 

 

ชื่อบทความเดิม : ความ (ไม่) จำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่: อย่าสร้างภาระซ้ำเติมเศรษฐกิจ

 

 

เดชรัต สุขกำเนิด
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 tonklagroup@yahoo.com
ศุภกิจ นันทะวรการ
มูลนิธินโยบายสุขภาวะ

 suphakijn@yahoo.com

 

 

ปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลโดยตรงต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในปัจจุบัน และจะส่งผลกระทบต่อความจำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ.2550 - 2564 (แผน PDP2007) ทำให้กำหนดไว้หลายสิบโครงการ ทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซ ถ่านหิน เขื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน และนิวเคลียร์ ควรจะต้องเลื่อนออกไป

 

ปัญหาการพยากรณ์ความต้องการเกินความเป็นจริง เป็นปัญหาเรื้อรังของระบบไฟฟ้าไทย ในช่วงระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าได้เกินจากความเป็นจริงมาโดยตลอด ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมา (ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจยังไม่เกิดในช่วงเวลาดังกล่าว) การพยากรณ์ความต้องการที่ผ่านมาเกินจากความต้องการไฟฟ้าสูงสุดที่เกิดขึ้นถึง 1,389 เมกะวัตต์ (คิดเป็นเงินลงทุนส่วนเกินกว่า 40,000 ล้านบาท)

 

ยิ่งเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นแล้ว ความต้องการใช้ไฟฟ้ายิ่งลดลงอย่างชัดเจน ภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในเดือนสิงหาคมเป็นต้นมาตกลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนธันวาคม 2551 ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เวลา18.30 น. มีค่าเท่ากับ 18,394.10 เมกะวัตต์ ลดลงจากเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาร้อยละ 8.94 และเป็นความต้องการใช้ไฟฟ้าที่น้อยกว่าปีพ.ศ. 2549 และปีพ.ศ. 2550 เสียอีก ที่สำคัญที่สุด ความต้องการใช้ไฟฟ้าในเดือนธันวาคมต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ในเดือนเดียวกันถึง 3,000 เมกะวัตต์

 

ดังนั้น เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปรับค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าเสียใหม่ มิฉะนั้น เราก็จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าโดยไม่มีความจำเป็นไปอีกเรื่อยๆ

 

ข้อกำหนดพื้นฐานในการพยากรณ์ความต้องการครั้งใหม่

l       ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปี 2552 = 22,681 เมกะวัตต์ (เพิ่มขึ้น 0.5% จากความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปี 2551)

l       อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาว = 4.8 %

l       ความยืดหยุ่นในการใช้ไฟฟ้าต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ = 1 : 1

 

ผลจากการวิเคราะห์เพื่อปรับค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ พบว่า ความต้องการไฟฟ้าสูสุดในปีพ.ศ. 2565 ลดลงจากที่ประมาณการณ์ไว้เดิมถึง 9,148 เมกะวัตต์ (ภาพที่ 2) ทำให้สามารถลดความจำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในอนาคตลงได้ถึง 10,520 เมกะวัตต์ (เนื่องจากต้องมีการสำรองไฟฟ้าไว้อีกร้อยละ 15 ของความต้องการสูงสุด)

 

ดังนั้น หากจะยังมีการลงทุนตามแผนที่กำหนดขึ้น กำลังการผลิตสำรองของระบบไฟฟ้าจะพุ่งสูงกว่าร้อยละ 40 ในแต่ละปี (ภาพที่ 3) และจะกลายเป็นการสร้างการลงทุนล้นเกินในภาระทางเศรษฐกิจมากกว่า 400,000 ล้านบาทในช่วงระยะเวลา 15 ปี

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ โครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ หลายโครงการ ไม่ว่า โครงการโรงไฟฟ้าของเอกชนหรือ IPP โรงไฟฟ้าถ่านหิน ของกฟผ. และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (ตามภาพที่ 4) สามารถยกเลิกหรือเลื่อนออกจากแผนได้ เนื่องจากความจำเป็นในด้านตอบสนองต่อความต้องการไฟฟ้าสูงสุดลดลง โดยจะเห็นว่า เมื่อเลื่อนโครงการเหล่านี้ ร้อยละของกำลังการผลิตสำรองของระบบยังคงสูงกว่าร้อยละ 15 ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้อยู่ดี

 

ทั้งนี้ การวิเคราะห์ความ (ไม่) จำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าครั้งนี้ ยังมิได้นับรวมศักยภาพด้านการจัดการความต้องการไฟฟ้า (หรือ DSM) และศักยภาพพลังงานหมุนเวียน พลังงานขนาดเล็ก (ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก SPP และ VSPP)

 

ดังนั้น หากเศรษฐกิจเกิดฟื้นตัวเร็วมากๆ (ดังที่บางฝ่ายกังวลใจกัน) ระบบไฟฟ้าของเราก็ยังมีแนวทางในการรองรับได้ ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพด้าน DSM 2,200 MW ภายในปี 2554 และศักยภาพพลังงานหมุนเวียนที่คุ้มค่าทางการเงิน 2,900 MW ภายในปี 2554 (จากการคำนวณของ Peter du Pont, 2005) ล่าสุดพบว่า มีผู้ผลิตรายเล็กและรายเล็กมากยื่นข้อเสนอเพื่อขายไฟฟ้าเข้าระบบอีกหลายพันเมกะวัตต์ เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องกังวลใจไปว่า เราจะมีไฟฟ้าเพียงพอสำหรับการเติบโตในอนาคต

 

เพราะฉะนั้น โดยสรุปแล้ว

·         โครงการเหล่านี้สามารถยกเลิกหรือเลื่อนออกจากแผน PDP ได้ และหากไม่ปรับแผน PDP โครงการลงทุนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจของประเทศ

·         กระทรวงพลังงานควรปรับค่าพยากรณ์และปรับแผน PDP ภายในปีพ.ศ. 2552 และไม่ควรดำเนินการใดๆ ที่จะกลายเป็นผูกมัด หรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้ลงทุนก่อนที่จะสรุปแผน PDP ใหม่

·         ในการปรับค่าพยากรณ์และในกระบวนการปรับแผน PDP ครั้งใหม่ ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

·         รัฐบาลและองค์กรอิสระควรสอบสวนสาเหตุการเร่งการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้า IPP 3 โครงการ ทั้งที่เอกชนไม่สามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอนที่กำหนด และเราก็ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในด้านคามมั่นคงของระบบไฟฟ้า

 

 

ภาพที่ 1 สถานการณ์ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปี 2551
            ที่มา: กฟผ., 2551, ข้อมูลสำคัญรายเดือน เดือนธันวาคม

 

 

 

 

ภาพที่ 2 การเปรียบเทียบค่าพยากรณ์ใหม่กับการคาดการณ์ตามแผน PDP2007

ที่มา: จากการคำนวณและจากแผน PDP2007

 

 

 

 

 

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net