Skip to main content
sharethis


การเมือง


 


"สาทิตย์" เปิดผลสอบเหตุ7ต.ค.ไร้ใครถูก-ผิด


เว็บไซต์สยามรัฐ - วันนี้ (20ก.พ.52) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลรายงานผลการตรวจสอบเหตุสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ยืนยันผลสรุปอยู่ในความรับผิดชอบในรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ไม่ชี้ชัดว่าใครถูกหรือผิด เอกสารของบทสรุปมีจำนวนกว่า 2,000 แผ่น ผู้สนใจสามารถขอรับข้อมูลได้ที่ทำเนียบรัฐบาล แต่มีบางส่วนที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ทั้งการให้ข้อมูลของพยาน และแผนปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผลสรุปได้ระบุถึงปัญหาในการตรวจสอบ อาทิ ไม่ได้รับความร่วมมือจากพยาน รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง



ขณะเดียวกัน การเปิดเผยข้อมูลระบุด้วยว่า การใช้แก๊สน้ำตาเป็นการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติกันขณะนั้น ส่วนการเสียชีวิตของสารวัตรตำรวจและน้องโบว์ ยังมีข้อมูลที่ขัดแย้งกันระหว่างที่มาของระเบิด และสารที่พบในตัวผู้เสียชีวิต ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีแนวคิดขยายผลการตรวจสอบ โดยขอให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม ที่จะไต่สวนหาข้อสรุป


 


"โฆษกมาร์ค" ยันไม่มีปัญหา ปปช.สอบทรัพย์สิน


เว็บไซต์แนวหน้า - นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหน้าหน้าพรรคประชิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย เตรียมยื่นคณะกรรมการป้งกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบทรัพย์สินนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะนายกฯ เป็นคนรอบคอบ และน่าจะแสดงบัญชีทรัพย์สินครบถ้วน อีกทั้ง ตั้งแต่นายอภิสิทธิ์เล่นการเมือง ตั้งแต่เป็นส.ส.ธรรมดาจนถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ผ่านการแสดงบัญชีทรัพย์สินมาโดยตลอด จึงคิดว่าไม่น่ามีปัญหา อย่างไรก็ตาม ตนได้โทรศัพท์พูดคุยถึงประเด็นนี้กับนายกฯ โดยนายกฯระบุว่า หลังจากกลับจากประเทศอินโดนีเซีย จะขอชี้แจงประเด็นนี้ด้วยตัวเอง


 


นปช.ยืนกราน ชุมนุมใหญ่ 24 ก.พ. เคลื่อนพลบุกทำเนียบฯ


เว็บไซต์แนวหน้า - นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีคำสั่งย้ายที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ไปที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 24 ก.พ.ซึ่งเป็นวันเดียวกับกลุ่มเสื้อแดง จะเดินทางไปทวงถาม 4 เงื่อนไขที่ทำเนียบรัฐบาล โดยยืนยันว่า ทางกลุ่มได้มีมติเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า จะไม่มีการเคลื่อนย้ายการชุมนุมตาม ครม.แน่นอน การที่รัฐบาลประกาศย้ายสถานที่การประชุม ครม. เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่กล้าเผชิญหน้าความเป็นจริง กับกลุ่มประชาชนคนเสื้อแดง อีกทั้งยังเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า รัฐบาลเมินเชยและไม่รักษาสัจจะต่อนโยบายของตนเอง ดังที่กล่าวแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา ที่ระบุว่าจะดำเนินการบริหารประเทศตามหลักนิติรัฐและนิติธรรม


 



นพ.เหวงกล่าวชี้แจงว่า 4 ข้อเสนอที่กลุ่มเสื้อแดงทำการเรียกร้องไปนั้น ล้วนเป็นหลักนิติรัฐและนิติธรรม อีกทั้งยังให้กฎหมายยังคงความศักดิ์สิทธิ์แทบทั้งสิ้น โดยการเรียกร้องให้ปลด นายกษิต ภิรมย์ ออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศนั้น ก็เป็นไปตามหลักนิติรัฐ ส่วนการเรียกร้องให้พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.)นั้น เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของรัฐสภา ตามกฎหมายในรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากมีการรับร่างฉบับดังกล่าว ก็จะนำไปสู่การยุบสภาและคืนอำนาจให้กับประชานอย่างแท้จริง


 



 "โดยที่รัฐบาลไม่ต้องเสียเวลาในการปฎิรูปการเมืองแต่ปรากฏว่ามี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และ ส.ว.บางกลุ่ม ลงมติไม่รับร่างดังกล่าวไว้พิจารณาในการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่17ก.พ.ที่ผ่านมานั้น เป็นการแสดงได้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ซื่อตรงต่อนโยบายของตนเองดังกล่าวไว้ในข้างตน นี่ถือว่า เป็นเรื่องอัปยศของรัฐบาลที่ไม่เดินหน้าแก้ไขปัญหาตามระบอบประชาธิปไตย"แกนนำ นปช.ย้ำ


 



ทั้งนี้ แกนนำ นปช.ยังกล่าวตำหนิพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรีมีพฤติกรรมไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยรัฐบาลไม่ทำการเปิดเผยผลสอบเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจปะทะกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณหน้าอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งตนเดาว่าการไม่เปิดเผยผลการสอบสวนต่อสาธารณะชนเนื่องมากจากอาจมีข้อสรุปบางประเด็นที่ชี้ได้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯมีความผิด หรือเป็นผลเสียหาย อีกทั้ง กรณีที่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นหัวหน้าชุดสอบสวนสืบสวนคดีของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นเครื่อง ยืนยันว่ามีการกดดันทางการเมืองในการพิจารณาคดีความดังกล่าว รวมถึงกระแสการขู่โยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับสูงไปอยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย


 



เมื่อถามว่าจากรณีที่คณะกรรมการปฏิบัติการทางการเมือง(วอร์รูม)ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้เตือนสัญญาณ 5 วันอันตราย ตั้งแต่ 24-28 ก.พ. แต่ช่วงดังกล่าวเกี่ยวพันกับการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน นพ.เหวงกล่าวว่า เรื่องนี้ เป็นความชำนาญของพรรคประชาธิปัตย์ ในลักษณะเอาดีใส่ตัว ชั่วใส่คนอื่น กลุ่มเสื้อแดง ไม่เคยขัดขวางการประชุมดังกล่าวแต่อย่างใด เราให้การสนับสนุน อย่างเต็มที่ แต่ที่ผ่านมา เราทำการต่อต้าน รมว.ต่างประเทศ คนปัจจุบันมากกว่า


 



"นอกจากนี้ เราได้ทำการเคลื่อนไหวตามสิทธิในรัฐธรรมนูญมาตรา 63 และมีการเคลื่อนตัวในกรุงเทพมหานคร ดังนั้น ถ้าใคร หรือกลุ่มไหนเดินทางไปขัดขวางการประชุม ครม.ในวันที่ 24 และในช่วงระหว่างการประชุมอาเซียนที่ อ.หัวหิน และขอยืนยันว่า ไม่ใช่คนของเรา เพราะเราไม่ดำเนินการนอกเหนือจากกฎหมายที่กำหนด" นพ.เหงวง กล่าว


 


ผบช.น.คนใหม่ประชุมวางมาตรการรับมือม็อบเสื้อแดง


ว็บไซต์สยามรัฐ - เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 20 ก.พ. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล( ผบช.น.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนใหม่ ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ควบคุมสั่งการดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยการชุมนุมเรียกประชุมนายตำรวจระดับ รอง ผบช.น. ผู้บังคับการตำรวจนครบาล (ผบก.น. 1 -9) ผู้บังคับการตำรวจจราจร ( ผบก.จร.) ผู้บังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ ( ผบก.ตปพ.) วางแนวทางปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยชี้แจงทำความเข้าใจแผนปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันพร้อมประเมินสถานการณ์การเคลื่อนไหวกลุ่ม นปช. ร่วมกับผู้แทนจากกองทัพ แม่ทัพภาคที่ 1 ตัวแทนสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตัวแทนจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ปลัด กทม.พร้อมคณะทำงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงเข้าแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารอย่างพร้อมเพรียงท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นมีอดีต ผบช.น.และ ผบช.น.คนใหม่ นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานคู่กัน


 



พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ตำรวจมีมาตรการดำเนินการอยู่แล้วและพร้อมปฏิบัติดูแลความสงบเรียบร้อยผู้ชุมนุมตลอดเวลา โดยเชิญ พล.ต.ท.วรพงษ์ ผบช.น. คนใหม่เข้ารับฟังแผนปฏบัติด้วยเพื่อให้สามารถสานต่องานได้ในทันที เพราะการดูแลผู้ชุมนุมนั้นเป็นภารกิจสำคัญของตำรวจนครบาล ซึ่งในทางปฏิบัติตำรวจยันคงยืนยันไม่ใช้ความรุนแรง เน้นการเจรจา ดำเนินการไปตามขั้นตอนหลักสากล ส่วนการเปลี่ยน ผบช.น. นั้นไม่มีผลต่อการทำงานเพราะผู้ปฏิบัติเข้าใจแผนงานอยู่แล้ว และตามมารยาทคงต้องเป็นหน้าที่ของ ผบช.น.คนใหม่ที่จะให้ข่าวต่อไป แต่หากผู้บังคับบัญชาระดับสูงเห็นควรให้ตนเองมาช่วยดูแลม็อบเสื้อแดงก็ยินดี


 


ส.ส.เพื่อไทยบินสู่ฮ่องกงพบ "ทักษิณ" ถกซักฟอกรัฐบาล


เว็บไซต์สยามรัฐ วันนี้(20ก.พ.52)ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าว ก่อนออกเดินทางไปขึ้นเครื่องบินเพื่อพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เกาะฮ่องกง โดยมี ส.ส. พรรคเพื่อไทย จำนวนมาก เดินทางไปรอก่อนหน้านี้แล้วว่า การพบเพื่อเป็นการหารือเรื่องเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับ การสนับสนุนกลุ่มเสื้อแดง และ นปช. ที่กำลังจะชุมนุมใหญ่ 24 ก.พ.นี้ที่ทำเนียบรัฐบาล รวมทั้ง ไม่ได้เป็นการคุย เพื่อหาตัวหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ เพราะยังไม่มีความจำเป็น


 



ร.ต.ท.เชาวริน ยอมรับด้วยว่า ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณจำเป็นต้องหลบซ่อนตัวตามประเทศต่าง ๆ เพราะอาจถูกลอบสังหาร ซึ่งที่ผ่านมา ต้องกบดานอยู่ประเทศนิการากัว และล่าสุดมาที่ ฮ่องกง แต่ตนไม่ขอบอกจุดที่พบกัน เพราะอาจมีกลุ่มลอบสังหารพ.ต.ท.ทักษิณ ตามไปทำร้าย ในการรวมตัวของ ส.ส. ที่ไปพบครั้งนี้


 


"สดศรี" ตั้งข้อสังเกต "แมซไซอะ" บริษัทเฉพาะกิจ


เว็บไซต์แนวหน้า - ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง แจ้งวัฒนะ นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีเงินบริจาค 250 ล้านให้พรรคประชาธิปัตย์ ว่า ในส่วนข้อมูลของ กกต. พบว่า ตั้งแต่ปี 41-50 กองทุนพัฒนาพรรคการเมืองได้สนับสนุนเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ประมาณ 800 กว่าล้านบาท โดยในส่วนของปี 48 ที่กำลังเป็นปัญหาขณะนี้ กกต.สนับสนุนไป 38 ล้านบาท และพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้มีการแสดงรายการการใช้จ่ายอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตามหากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เห็นว่ากรณีดังกล่าวมีปัญหาต้องการให้ กกต.ตรวจสอบตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองก็สามารถยื่นเรื่องมาให้กกต.ตรวจสอบได้ เพราะในช่วงปี 48 นั้นการตรวจสอบงบการเงินของพรรคการเมือง กกต.ยังให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ แต่ขณะนี้พ.ร.บ.การเมืองกำหนดให้ 4 หน่วยงานประกอบด้วย สรรพากร สตง. กรมบัญชีกลาง ป.ป.ง. เข้ามาช่วยตรวจสอบแล้ว


 



อย่างไรก็ตามกรณีที่มีข้อมูลว่ามีการโอนเงินให้กับตัวบุคคลใกล้ชิดพรรคประชาธิปัตย์ หากมีการยื่นเรื่องมาให้กกต.ตรวจสอบก็คิดว่าสามารถตรวจสอบได้ เพราะตามกฎหมายกำหนดให้กกต.มีหน้าที่ในการตรวจสอบทั้งงบดุล และงบการเงิน ซึ่งก็ต้องดูว่าเงินนั้นโอนมาจากใคร และถูกใช้ไปในการทำเรื่องอะไร เช่นถ้าหากใช้ในเรื่องของการเลือกตั้ง ก็ต้องไปดูว่า ที่กกต.กำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายให้กับส.ส.นั้น เงินดังกล่าวที่อ้างว่ามีการโอนมานั้น มีการนำไปสมทบเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้กับส.ส.หรือไม่ และมีการแสดงบัญชีค่าใช้จ่ายต่อกกต.หรือไม่


 



"ถ้ามีการร้องเรียนเข้ามาว่าบริษัทแมซไซอะ เป็นบริษัทเฉพาะกิจตั้งขึ้นมาเพื่อผ่านเงินให้กับประชาธิปัตย์ ไม่ได้รับงานประชาสัมพันธ์จริง ก็คงต้องตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ เนื่องจากบริษัทได้ปิดกิจการไปแล้ว ขณะนี้ที่กกต.มีข้อมูลคือพรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้เงินกองทุนเมื่อปี 48 ไปจ้างบริษัทแมซไออะ ทำประชาสัมพันธ์ ซึ่งก็ต้องดูเหมือนกันว่ามีการใช้เงินนั้นไปทำประชาสัมพันธ์จริงหรือไม่ เพราะจากข้อมูลที่กกต.ให้กับดีเอสไอไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสำเนาเช็คของพรรคประชาธิปัตย์สั่งจ่ายให้บริษัทแมซไซอะ แต่ยังไม่เห็นสัญญาว่าจ้าง ซึ่งทางดีเอสไอเองก็สามารถนำหลักฐานมายื่นให้กกต.ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้" นางสดศรี กล่าว


 



เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยอ้างว่ามีสำเนาแฟกซ์เป็นหลักฐานการโอนเงินเข้าบุคคลใกล้ชิดพรรคประชาธิปัตย์ส่งไปยังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นางสดศรี กล่าวว่า กกต. คงต้องขอหลักฐานไปยังพรรคเพื่อไทยตามที่มีการอ้าง แต่จากที่ กกต.ตรวจสอบการแสดงบัญชีการเงินอย่างเปิดเผยของพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่พบความผิดปกติ


 


 


เศรษฐกิจ


 


ส่งออกพินาศม.ค.ติดลบ 26.5%


เดลินิวส์ - นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือน ม.ค. 52 มีมูลค่า 10,496 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากเดือน ม.ค. 51 ประมาณ 26.5% เป็นการลดลงต่อเนื่องติดต่อกัน 3 เดือน นับจาก พ.ย.51 และติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 9,119 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 37.6% ส่งผลให้เดือน ม.ค. 52 ไทยเกินดุลการค้า 1,377 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการส่งออกที่ลดลงเหมือนกับประเทศอื่นในโลก เพราะเศรษฐกิจโลกเกิดปัญหา ทำให้การค้าการส่งออกนำเข้าโลกชะลอตัวตาม


 


"การส่งออกที่ลดลง ไม่ใช่แค่ไทยประเทศเดียว แต่หลายๆ ประเทศในโลกก็ส่งออกลดลง ไม่ว่าจะเป็นจีนลดลง 17.4% ญี่ปุ่น ลดลง 46.1% สิงคโปร์ ลดลง 33.3% เวียดนาม ลดลง 24.2% และไต้หวัน ลดลง 40% และประเทศเหล่านี้ยังนำเข้าลดลงด้วย โดยจีนลดลง 43.1% ญี่ปุ่นลดลง 25.5% สิงคโปร์ ลดลง 23.32 เวียดนามลดลง 44.8% ซึ่งหลาย ๆ ประเทศเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย"


 


สำหรับแนวโน้มการส่งออกสินค้าไทยในช่วงครึ่งปีแรกยังไม่ดี แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะกลับมาส่งออกได้ดีขึ้น เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจโลก จะกลับมาขยายตัวได้ แต่ยังไม่ยืนยันว่ากระทรวงจะทำเป้าหมายส่งออกทั้งปีได้ 0-3%


 


"ตอนประกาศเป้าหมายครั้งแรก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวได้ดี การส่งออกโลกยังเป็นบวกมาก แต่ตอนนี้คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียง 0.5% การค้าโลกขยายตัวติดลบ 2.8% ทั้งประเทศพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา จึงต้องมีการประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง ถึงจะบอกได้ว่าจะทำได้ตามเป้า 0-3% หรือไม่"


 


นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า การส่งออกในเดือนม.ค. เป็นไปตามที่คาดไว้ว่าจะติดลบ ทั้งในแง่ตัวสินค้า และตลาด แต่ก็ยังมีสินค้าหลายๆ รายการที่ยังส่งออกได้ดีขึ้น เช่น ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป เพิ่มขึ้น 13.6% อาหารอื่นๆ เพิ่มขึ้น 7% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสินค้าอาหารยังเป็นจุดแข็งของไทย


 


สำหรับตลาดส่งออก ลดลงต่อเนื่องจากปลายปี 51 โดยตลาดหลักลดลง 28.2% ได้แก่ อาเซียน สหภาพยุโรป สหรัฐ และญี่ปุ่น ลดลง 34.8%, 28.4%, 27.7% และ 18.8% ตามลำดับ ตลาดใหม่ ลดลง 24.7% เช่น ไต้หวัน ลดลง 53% ลาตินอเมริกา ลดลง 41.2% จีน ลดลง 40.1% อินโดจีน ลดลง 38% ฮ่องกง ลดลง 31.6% อินเดีย ลดลง 29.8% เกาหลีใต้ ลดลง 25.9% ยุโรปตะวันออก ลดลง 25.3% แอฟริกา ลดลง 25.1% ออสเตรเลีย ลดลง 13.5% และแคนาดา ลดลง 15.3%


 


นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 25 ก.พ.นี้ เตรียมลดประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกซึ่งแย่กว่าที่คาดไว้ เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าลงทุกประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น สหรัฐ และยุโรป ดังนั้นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้ที่เคยคาดว่าขยายตัว 0-2 % คงเป็นไปได้ยาก นอกจากนี้เห็นว่าเศรษฐกิจไทย 1-2 ปีนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง และไม่มีใครกล้าฟันธงว่าจะเป็นอย่างไรขึ้นกับเศรษฐกิจโลกจะลงลึกแค่ไหน เพราะความเชื่อมั่นหายไป การดึงกลับมาเหมือนเดิมต้องใช้เวลา


 


ส่วนค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ แต่เห็นว่าเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีผลต่อการส่งออกมากกว่าค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง โดยถ้าเศรษฐกิจคู่ค้าลง 1% การส่งออกลดลง 1.6%


 


โฆษกรัฐบาล พาสื่อทำเนียบฯ บุกหัวหิน โชว์ความพร้อมสถานที่จัดประชุมอาเซียน


เว็บไซต์แนวหน้า - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างวันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ ทางสำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยคณะรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เชิญสื่อมวลชน ประจำทำเนียบรัฐบาลกว่า 40 คน เดินทางเยี่ยมชมสถานที่จัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี พร้อมเยี่ยมชมศูนย์สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งจัดไว้ที่โรงแรมเชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา โอกาสนี้คณะรองโฆษกประจำสำนักนายกฯและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศได้ร่วมกันบรรยายสรุปภาพรวมความพร้อมในการจัดประชุมสุดยอดอาเซียนให้สื่อมวลชนรับทราบ ซึ่งทางสำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พอใจการจัดเตรียมความพร้อมของสถานที่ในการจัดประชุมดังกล่าว เนื่องจากขณะนี้ทุกอย่างพร้อมต้อนรับผู้นำจาก 10 ประเทศที่จะเข้ามาร่วมประชุมในไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 27 ก.พ.- 1 มีนาคม นี้


 



ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 แล้ว ทั้งเรื่องการจัดเตรียมสถานที่และมาตรการรักษาความปลอดภัยรวมทั้งการบริการอื่นๆ แต่การจัดประชุมดังกล่าวถือเป็นหน้าตามของประเทศ อยากให้คนไทยทุกภูมิภาคให้ความร่วมมือกันให้การต้อนรับและสร้างภาพลักษณ์ที่น่าประทับใจกลุ่มประเทศอาเซียนที่เดินทางเข้ามาร่วมประชุม การเป็นเจ้าภาพจัดประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราจะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาหลังจากที่บ้านเมืองเกิดวิกฤตการเมืองภายใน ตรงนี้จะทำให้นักลงทุนนานาประเทศเกิดความเชื่อมั่นที่จะมาลงทุนและเที่ยวไทย ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจในประทศดีขึ้น


 


"นายกฯ" ถึง "อินโดฯ" พรัอมพบปะทีมไทยแลนด์ ยันนำพาประเทศสู่ความสมานฉันท์


เว็บไซต์แนวหน้า - วันนี้ เวลา 11.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและคณะ พร้อมด้วยบุคคลระดับสูงอาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติ Soekamo-Hatta กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซียเพื่อไปเยือนอย่างเป็นทางการ


 



จากนั้น เวลา 13.00 น. นายกรัฐมนตรีได้พบปะกับทีมประเทศไทยในอินโดนีเซีย ณ โรงแรม Grand Hyaat กรุงจาการ์ตา ซึ่งเป็นโรงแรมที่พัก โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสถานการณ์ภาพรวมของไทยว่า รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศ ท่ามกลางปัญหาสภาพวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาทางการเมือง โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว คือ การนำพาประเทศกลับสู่ภาวะสงบและปกติ ซึ่งผลการดำเนินการเป็นที่น่าพอใจที่ปัจจุบันสภาวะต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้น


 



นายกฯ กล่าวด้วยว่า การดำเนินการเรื่องต่างๆ จะต้องมีความละเอียดอ่อน และสามารถกล่าวได้ว่า มีรัฐบาลที่กลับมาทำงานตามปกติแล้ว โดยมีผลที่พิสูจน์ คือ ร่างกฎหมายงบประมาณกลางปี ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว รวมถึงข้อตกลงในกรอบอาเซียนทั้งหมด 41 ฉบับที่ผ่านความชอบจากรัฐสภาแล้ว ทั้งนี้ การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ก็จะยิ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศกลับสู่ภาวะปกติแล้ว อย่างไรก็ดี รัฐบาลจะเดินหน้าสร้างความสมานฉันท์ต่อไป เช่น การปฎิรูปการเมือง และการดำเนินทางกฎหมายในคดีต่างๆ


 



นอกจากนี้ ภารกิจที่สำคัญของรัฐบาลอีกด้านหนึ่งคือการแก้ปัญหาและการรับมือจากผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างๆ และยอมรับว่าจะต้องมีการทบทวนตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น โดยพยายามให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด


 


ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน ของบ 1.6 พันล้านบาท ฝึกอาชีพให้คนว่างงาน


เว็บไซต์แนวหน้า - ที่กระทรวงแรงงาน นายวีระชัย ถาวรทนต์ ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน ในฐานะอนุกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในสังคมและชุมชน 6 .9 พันล้านบาท กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงแรงงานได้ทำเรื่องเสนออนุกรรมการชุดดังกล่าวให้พิจารณางบในส่วนของกระทรวงแรงงาน โดยได้นำเสนอ 2 โครงการ ใช้งบทั้งสิ้น 1.6พันล้านบาท


 


ประกอบด้วย โครงการชะลอการเลิกจ้าง ด้วยการฝึกอบรมคนในสถานประกอบการ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เลิกจ้างพนักงานเป็นเวลา 1 ปี มุ่งเป้าหมาย 1.5 แสนคน ใช้งบประมาณ 1 พันล้านบาท ซึ่งจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้คนงานระหว่างการฝึกอบรมให้วันละ 200 บาท ฝึกระยะเวลา 28 วัน ในช่วง 4 เดือน (เฉลี่ยฝึกอบรมเดือนละ 7 วัน) โดยจะเน้นไปที่ 6 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วน ยานยนต์ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิคส์ อุตสาหกรรมสิ่งทอ- เครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ อุตสาหกรรมรองเท้า อุตสาหกรรมเครื่องไม้ เครื่องเรือนเฟอร์นิเจอร์ ทั้งนี้ จะรวมถึงการจ่ายเงินให้กับลูกจ้างที่อยู่ในมาตรา 75 ซึ่งนายจ้างยังไม่เลิกจ้าง แต่ขอจ่ายค่าแรงเพียง 75 % ดังนั้น เงินจำนวน 200 บาทต่อวัน จึงเป็นเงินในส่วน 25 %ที่รัฐบาลช่วยจ่ายแทน


 



ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน กล่าวต่ออีกว่า ส่วนอีกโครงการ คือ โครงการอบรมอาชีพให้กับผู้ถูกเลิกจ้างและว่างงาน มุ่งเป้าหมายจำนวน 7 หมื่นคน ใช้งบประมาณ 600 ล้านบาท โดยจะให้เบี้ยเลี้ยง วันละ 200 บาท เป็นเวลาประมาณ 20 วัน ซึ่งอาจยืดหยุ่นตามความจำเป็น ทั้งนี้ จะพยายามให้มีการฝึกอบรมแล้วได้งานทำทันที สำหรับหลักสูตรที่ใช้ในการอบรม อาทิ ช่างเขียนแบบ ช่างทำกระเบื้อง ซ่อมแซมอาคาร เป็นต้น


 


 


คุณภาพชีวิต


 


ประกันสังคมพร้อมจ่ายเช็ค 2 พัน


เว็บไซต์แนวหน้า - นางสุจิตรา บุญชู รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า ขณะนี้ สปส.มีความพร้อมเกินกว่าร้อยละ 60 ในการจ่ายเงิน 2,000 บาทให้กับผู้ประกันตนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งขณะนี้มีลูกจ้างผู้ประกันตนที่ได้รับสิทธิมากรอกแบบฟอร์มขอรับเงินแล้วจำนวนกว่า 1 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การขึ้นทะเบียนของลูกจ้างนั้นหลายพื้นที่โดยเฉพาะในจังหวัดใหญ่มีปัญหา เนื่องจากมีผู้มาลงทะเบียนในแต่ละวันจำนวนไม่ต่ำกว่า 2,000 คน ทำให้สถานที่คับแคบ จนต้องระดมเจ้าหน้าที่ประกันสังคมจากส่วนกลางไปช่วยรับลงทะเบียนและในวันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ สปส.จะทำการประชุมหารือเพื่อนำเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือออกไปรับขึ้นทะเบียนให้ผู้ประกันตนที่มีสิทธิรับเงิน 2,000 บาท ตามห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาเก็ต เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกอีกทางหนึ่ง


 



นางสุจริตรา กล่าวว่า สำหรับการจ่ายเงินให้กับผู้ประกันคาดว่าในวันที่ 26 มีนาคม จะสามารถส่งถึงมือผู้ประกันตนได้อย่างน้อย 4 ล้านคน ส่วนที่เหลืออีกกว่า 4 ล้านจะทยอยจ่ายให้ทันภายในวันที่ 8 เมษายน ส่วนรูปแบบของเช็คที่จะให้นั้นทราบว่าเป็นของธนาคารกรุงไทย แต่ สปส.ยังไม่ได้รับการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งต้องรอความชัดเจนในส่วนนี้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามสำหรับงบประมาณจำนวน 40 ล้านบาท เพื่อให้มาบริหารในการแจกจ่ายเช็คซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าธรรมเนียมการออกเช็คนั้น ถ้าหาก สปส.เห็นว่าไม่เพียงพอต่อการจัดการก็จะเสนอขอเพิ่มอีกครั้ง


 


กรมการขนส่งทางบก ระบุ ได้กำหนดอายุการใช้งาน "รถตู้ประจำทาง" ไม่เกิน 10ปี


เว็บไซต์แนวหน้า - นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ได้มีมติเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2551 กำหนดอายุการใช้งานของรถตู้โดยสารประจำทาง เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานและรักษาคุณภาพการให้บริการประชาชน โดยกำหนดให้รถตู้โดยสาร ประจำทางมาตรฐาน 2(จ) มีอายุการใช้งานไม่เกิน 10 ปี นับจากวันจดทะเบียนครั้งแรก จำนวนทั้งสิ้น 8,931 คัน เป็นรถตู้โดยสารปรับอากาศร่วมบริการขสมก. และรถเอกชนวิ่งในเส้นทางภายในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 6,295 คัน รถตู้โดยสารประจำทางที่มีเส้นทางเริ่มต้นจากกรุงเทพมหานคร ไปต่างจังหวัด (รถหมวด 2) จำนวน 37 คัน รถตู้โดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด (รถหมวด 3) จำนวน 1,490 คัน และรถตู้โดยสารประจำทางภายในจังหวัด (รถหมวด 1 และ หมวด 4) จำนวน 1,109 คัน ส่วนผู้ประกอบการขนส่งที่ใช้รถอายุเกินกว่า 10 ปีให้บริการอยู่ในขณะนี้ ได้รับการผ่อนผันให้ดำเนินการจัดหารถมาเปลี่ยน แทนคันที่หมดอายุ ภายในวันที่ 1 มิ.ย. 2553


 



ทั้งนี้ ผู้โดยสารที่พบเห็น รถตู้โดยสารที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการให้บริการ สามารถร้องเรียนได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ หมายเลข 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง


 


 


ต่างประเทศ




บ.เหมืองแร่อังกฤษประกาศปลดพนง.19,000 คน
มติชนออนไลน์ - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า "แองโกล อเมริกัน"บริษัทเหมืองแร่ของอังกฤษ ประกาศจะปลดพนักงาน 19,000 คน ในปีหน้า หลังจากรายได้ของบริษัทตกลง 26 % หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 5,200 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยการปลดพนักงานครั้งนี้ จะเท่ากับจำนวนพนักงาน 10 % ของทั้งหมด ทั้งนี้ มาตรการนี้มีขึ้นเนื่องจากบริษัทวางแผนที่จะประหยัดรายจ่ายมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี 2011


 


รบ.มาเลย์ชงข้อหากบฏฝ่ายค้าน


เดลินิวส์ - ความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านของมาเลเซียปะทุอีกรอบ จากศึกแย่งชิงอำนาจเหนือรัฐเประ ฝ่ายค้านเพิกถอนตำแหน่งมุขมนตรีและคณะผู้บริหารที่เป็นคนของฝ่ายรัฐบาล ขณะที่นายกฯ บาดาวีกล่าวหาฝ่ายค้านดูหมิ่นสุลต่าน ซึ่งอาจมีความผิดถึงขั้นเป็นกบฏ


 


นายวี. ศิวะกุมาร ประธานสภารัฐเประ ทางตอนเหนือของมาเลเซีย มีคำสั่งเมื่อวันพุธ (18 ก.พ.) ให้เพิกถอนตำแหน่งมุขมนตรีรัฐเประของนายแซมบรี อับดุล คาดีร์ และคณะผู้บริหาร (รัฐมนตรีของรัฐ) ทั้ง 6 คน ซึ่งเป็นสมาชิกแนวร่วมแห่งชาติ พรรครัฐบาลผสมของมาเลเซีย โดยคำสั่งดังกล่าวให้มีผลทันที นอกจากนี้ยังสั่งห้ามนายแซมบรีเข้าร่วมการประชุมของสภาแห่งรัฐเป็นเวลา 12 เดือน ส่วนคณะผู้บริหารทั้ง 6 คนห้ามเข้า 12 เดือน พร้อมกับเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพื่อยุติความขัดแย้งและภาวะชะงักงันทางการเมืองในเขตรัฐเประ


 


การเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซียเมื่อเดือน มี.ค. 2551 พันธมิตรพรรคฝ่ายค้าน 4 พรรค ที่รวมตัวกันอย่างหลวม ๆ ในนาม ปากาตัน รัคยัต สามารถยึดครองอำนาจจากฝ่ายรัฐบาลได้ 5 รัฐรวมทั้งรัฐเประ ซึ่งความขัดแย้งในรัฐนี้เริ่มขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อสมาชิกพรรคฝ่าย ค้าน 3 คนแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายรัฐบาล ทำให้แนวร่วมแห่งชาติมีเสียงข้างมากในสภาของรัฐ และสุลต่านอัสลาน ชาห์ ผู้ครองรัฐได้แต่งตั้งนายแซมบรีเป็นมุขมนตรีรัฐคนใหม่ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของฝ่ายค้าน ที่ระบุว่าการกระทำของสุลต่านขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากแต่งตั้งโดยไม่รอการลงมติไม่ไว้วางใจในสภาของรัฐ


 


ด้านนายกรัฐมนตรีอับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ของมาเลเซีย กล่าวว่า นายแซมบรีและคณะผู้บริหารรัฐ ได้รับการแต่งตั้งจากสุลต่านโดยถูกต้องตามกฎหมาย การกระทำของนายศิวะกุมารถือเป็นการไม่ให้ความเคารพต่อการตัดสิน ใจของสุลต่าน พร้อมกันนี้นายบาดาวีได้เรียกร้องให้สมาชิกสภารัฐเประในซีกรัฐบาล แจ้งความต่อตำรวจ


 


ตามกฎหมายของมาเลเซีย การกระทำใดที่ก่อให้เกิดการดูหมิ่นเกลียดชัง หรือไม่ซื่อสัตย์ต่อผู้ปกครองรัฐ ถือเป็นความผิดอาญาฐานกบฏ กำหนดโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 3 ปี


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net