ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 4 มีนาคม 2552

เบรก'เทือก'ของบฯลับ187ล.

เว็บไซต์ไทยโพสต์ : แหล่งข่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อวันอังคาร นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้เสนอขอใช้งบลับจากงบประมาณรายจ่ายปี 2552 จำนวน 187,500,000 บาท เพื่อจัดทำแผนงาน 2 ส่วน ประกอบด้วย 1.แผนงานการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 2.แผนปฏิรูประบบข่าวกรองเพื่อความมั่นคงและประโยชน์ของประเทศ

 

ทั้งนี้ แผนงานดังกล่าวแบ่งออกเป็นแผนงานหลายส่วน เช่น งบประมาณเพื่อการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติงานข่าว 69 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดูแลสนามบินสุวรรณภูมิ 3 ล้านบาท งานข่าวกรองและต่อต้านงานสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ล้านบาท แผนงานฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประเทศ และการดูแลความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 85 ล้านบาท ฯลฯ

มีรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ให้นายสุเทพนำเรื่องกลับไปทบทวนใหม่ โดยเฉพาะเรื่องของรายละเอียดในการโอนเงินงบประมาณอื่นไปเป็นงบลับ

 

 

ปลัดสำนักนายกยันไม่ถอนฟ้อง พธม.คดีเรียกร้องค่าเสียหาย 18 ล้านบาท

นายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะไม่ถอนฟ้องคดีเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 18 ล้านบาท จากพันธมิตรฯ ที่บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ซึ่งฟ้องไว้ที่ สน.ดุสิต เพราะหากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มาตรวจสอบ ตนเองก็จะเดือดร้อน ต้องชดใช้แทน เพราะการชุมนุมทำให้ทรัพย์สินราชการเสียหาย

 

 

ทูตแฉปาหี่วีซ่าแม้ว'สุเทพ'เลิกให้ราคา!

เว็บไซต์ไทยโพสต์ : กระแสข่าวทางการอังกฤษให้วีซ่าประเภทอยู่อาศัยเป็นเวลา 5 ปีแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษหนีคำสั่งศาลให้จำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตการซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก ล่าสุด เรื่องนี้ได้รับคำตอบจากตัวแทนรัฐบาลอังกฤษว่าเป็นเพียงข่าวลือ

 

นายควินตัน เควลย์ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย พูดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น ยังไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใดจึงไม่อยากพูดถึง

 

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ทางทูตของสหราชอาณาจักรได้ชี้แจงแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องภายในของเขา แต่ไทยมีสนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอยู่

 

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่รัฐบาลจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เพราะมีหลายเรื่องที่รัฐบาลจะต้องใช้สมาธิในการทำงาน ซึ่งหลังจากเสร็จการประชุมอาเซียนซัมมิต ตนเดินหน้าแก้ไขปัญหายาเสพติดและปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมไปถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ปัญหาสังคม รัฐบาลมีงานทำเยอะแยะจึงไม่มีเวลามาคิดเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ

 

"ตอนนี้จะหยุดคุยเรื่องคุณทักษิณสักพัก รัฐบาลมีงานให้ทำเยอะแยะ หยุดเรื่องคุณทักษิณไว้ชั่วคราว ไม่สนใจแล้วครับ เราต้องเร่งทำงานและลงพื้นที่ให้มากสุด"

 

 

หม่อมเต่ามาตามนัด โดดนั่งประธานธปท. ทำงานกับ`กรณ์' ได้

ข่าวหุ้น : นายพุทธิพงษ์ ปุณณกัณฑ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังแล้ว โดยมี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เป็นประธานกรรมการ

 

ขณะที่กรรมการแบงก์ชาติ ประกอบด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 5 คน อาทินายคณิศ แสงสุพรรณนายนนทพล นิ่มสมบุญ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ คุณพรทิพย์ จาละนายศิริ การเจริญดี ส่วนที่เหลืออีก 6 คนเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง อาทิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รองผู้ว่าการ ธปท. 3 คน เลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

 

ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีปัญหาเรื่องสถาบันการเงินที่เข้มแข็ง ยังมีทุนเพียงพอขยายธุรกิจและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ส่วนปัญหาสถาบันการเงินต่างประเทศก็ชัดเจนว่ารัฐบาลประเทศเหล่านั้นได้ดูแลไม่ให้มีผลกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวม

 

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สถานการณ์เงินอ่อนค่าลงในขณะนี้เป็นไปตามค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคเนื่องจากเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดย ธปท.จะเข้าดูแลเงินบาทตามความจำเป็น หากไม่มีปัญหาผันผวนรุนแรงก็จะไม่เข้าไปแทรกแซง โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าไม่มากราว 3% ส่วนเงินริงกิตอ่อนค่า 6% และยูโร 1.5%

 

ส่วนความเห็นว่าเงินบาทอ่อนค่าเกินไปหรือไม่นั้น นางสุชาดา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน อย่างผู้ส่งออกหากเงินบาทอ่อนก็เห็นว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไปถามผู้นำเข้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

วานนี้ ค่าเงินบาทอ่อนค่าสุดของวันที่ระดับ 36.26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากสุดในช่วง 2 ปี และแข็งค่าสุดของวันที่ระดับ 36.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และปิดตลาดที่ระดับ 36.24-36.26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

 

โดยทิศทางค่าเงินบาทในช่วงนี้ ยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง หากแบงก์ชาติยังปล่อยให้เงินบาทเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด และทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าขึ้น โดยคาดว่าในช่วงสัปดาห์นี้เงินบาทจะแตะที่ระดับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

 

ขณะที่ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงแข็งค่าอยู่ ซึ่งส่วนหนึ่งเนื่องจากมีการขายทรัพย์สินในต่างประเทศเพื่อนำเงินสดเข้าไปช่วยบริษัทที่ขาดทุนอยู่ในสหรัฐฯ จึงทำให้ทิศทางของค่าเงินบาทจะยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง แม้จะขายดอลลาร์ทำกำไรออกมาบ้าง แต่ในท้ายที่สุด ก็ยังคาดการณ์ว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงและหันกลับมาซื้อเงินดอลลาร์ ต่อไปอีก

 

 

พท.ไม่พ้นส่ง"เหลิม"ชิงนายกฯ

ข่าวหุ้น : นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายวิทยา บุรณศิริประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน ร่วมกันแถลงมติพรรคเพื่อไทยที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีวันที่ 11 มีนาคมนี้ สำหรับบุคคลที่พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นส.ส.พรรคเพื่อไทยมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้เสนอชื่อร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี โดยระบุเหตุผลสำคัญที่พรรคมีมติเสนอชื่อร.ต.อ.เฉลิม เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายวิทยากล่าวว่า "ก็ร.ต.อ.เฉลิม เป็นขุนหมู่ทะลวงค่าย ซึ่งเราจะต้องให้เกียรติ เมื่อทำหน้าที่ต้องให้เกียรติ" ทั้งนี้จะมีการนำมติส.ส. เข้าสู่ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อรับรองมติอีกครั้งวันที่ 11 มีนาคม เวลา 10.00 น.

 

ส่วนการชี้แจงกับพรรคร่วมโดยเฉพาะหัวหน้าพรรคประชาราช พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคเพื่อแผ่นดิน กลุ่มของพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินจะนำเรียนเพื่อทราบ ตามมารยาททางการเมือง แต่ตรงนี้เป็นมติพรรคเพื่อไทยจะอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ดำเนินการตามกระบวนการตรวจสอบ

 

 

มติเพื่อแผ่นดินไม่ร่วมซักฟอก

ข่าวหุ้น : นายวัลลภ ไทยเหนือ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อแผ่นดิน(พผ.) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 9 ส.ส.ของกลุ่มพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จากจำนวนส.ส.ของพรรคเพื่อแผ่นดินทั้งหมด 29 คนเปิดเผยเมื่อวันที่ 3 มีนาคมว่า กลุ่มมีมติที่จะไม่เข้าร่วมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลไปแล้ว เพราะกลุ่มยังไม่มีข้อมูลว่า รัฐบาลได้บริหารงานผิดพลาด หรือมีการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่หากกลุ่มได้ข้อมูลใหม่จากพรรคเพื่อไทย ที่แสดงให้เห็นว่า มีหลักฐานที่ชัดเจนระบุถึงความผิดพลาดในการบริหารประเทศของรัฐบาล ก็อาจมีการพิจารณาทบทวนจุดยืนในเรื่องนี้อีกครั้ง แม้ว่ากลุ่มจะไม่ร่วมอภิปรายครั้งนี้ แต่จะรับฟังข้อมูลของพรรคเพื่อไทย หากรัฐมนตรีชี้แจงได้ไม่ชัดเจนอาจยกมือสนับสนุนฝ่ายค้านแต่ขณะเดียวกันก็พร้อมยกมือให้รัฐบาล หากสามารถตอบข้อกล่าวหาได้ชัดเจน

 

 

รัฐบาลปล่อยใจหมิ่นเบื้องสูงคำนูณสุดทนยื่นกระทู้ถามนายกฯ

ASTV ผู้จัดการรายวัน : นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ได้ทำหนังสือถึงประธานวุฒิสภา เพื่อยื่นกระทู้ถามด่วนนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกระทำอันเป็นการให้ร้ายประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ของนายใจ อึ๊งภากรณ์

 

กระทู้ถามด่วนระบุว่า ตามที่นายใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ต้องหาในคดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้ดำเนินการเผยแพร่ ข้อเขียนเรื่อง แถลงการณ์สยามแดง หรือ Red Siam Manifesto อันมีลักษณะผิดประมวลกฎหมายอาญาหลายบทหลายมาตรา ไปทั่วประเทศ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2552 ก่อนที่จะเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ และยังได้ดำเนินการเผยแพร่ความคิดอันมีลักษณะให้ร้ายประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่องในประเทศอังกฤษ โดยการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ The Guardian ซึ่งตีพิมพ์ในประเทศอังกฤษ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่าง ๆ เผยแพร่ทางเว็บไซต์ไปทั่วโลก เขียนบทความส่งเข้าเผยแพร่ในประเทศไทย และล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2552 ไปบรรยายพิเศษที่วิทยาลัยอาฟริกันและบูรพศึกษา (SOAS) มหาวิทยาลัยลอนดอน มีลักษณะให้ร้ายประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ และอาจเข้าข่ายความผิดฐานความมั่นคงต่อรัฐ เนื้อหาคำบรรยายดังกล่าวยังได้รับการเผยแพร่ต่อทางระบบอินเตอร์เน็ตไปทั่วโลก แต่จวบจนบัดนี้ไม่ปรากฏว่ารัฐบาล ได้ดำเนินการแก้ไขเยียวยาโดยมาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางการเมือง แต่ประการใด จึงขอถามนายกรัฐมนตรีรวม 3 ข้อ

 

1. นอกเหนือจากข้อหาเดิม (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112) แล้ว รัฐบาล โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการพิจารณาตั้งข้อหาใหม่แก่นายใจ กรณีเผยแพร่ข้อเขียนเรื่อง แถลงการณ์สยามแดง และการกระทำอื่นในประเทศอังกฤษหรือไม่

 

2. รัฐบาลมีแนวทางในการชี้แจงความจริงตอบโต้การให้ข้อมูลเท็จของนายใจ อย่างไร ทั้งในขอบเขตประเทศไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างประเทศ และ3. รัฐบาลมีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมอย่างไรในการปฏิบัตินโยบายพิทักษ์ปกป้องสถาบันพระมหา กษัตริย์ อันเป็นทั้งนโยบายสำคัญข้อแรกของรัฐบาล และคำประกาศแรกหลังรับพระบรมราชโองการให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี

 

นายคำนูณเปิดเผยว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ว่ากระทู้นี้จะได้รับการบรรจุเมื่อไร แต่มีกระทู้ทำนองเดียวกันนี้ของ นายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ส.ว.สรรหา ได้รับการบรรจุในระเบียบวาระการประชุมวันที่ 6 มี.ค. 2552 นี้แล้ว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานในวันเดียวกัน ได้มีการประชุมของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา โดยได้พิจารณารายงานความคืบหน้าของคณะอนุกรรมาธิการ 3 คณะ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีมติเห็นด้วยกับมติของคณะอนุกรรมาธิการติดตาม คดีความที่เสนอว่ากรณีของนายใจ อึ๊งภากรณ์และขบวนการเกี่ยวเนื่องที่เริ่มต้นมาจาก กรณี แถลงการณ์สยามแดง เป็นคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ไม่ใช่แต่เพียง คดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เท่านั้น เพราะเป็นการเสนอให้เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยไปเป็นระบบสาธารณรัฐ โดยมีข้อเสนอให้จัดตั้งพรรคการเมือง มีการระบุยุทธศาสตร์และยุทธวิธีการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน

 

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมให้ตั้งข้อสังเกตให้จับตาการตัดสินสั่งคดีของเจ้าพนักงานอัยการในคดีที่นายจักรภพ เพ็ญแข ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการไปปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษที่สโมสร ผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งฟ้องเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2551 และส่งเรื่องไปยังเจ้าพนักงานอัยการเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2552 และเชื่อว่าจะมีการสั่งคดีโดยเจ้าพนักงานอัยการภายในวันที่ 5 มี.ค.2552 นี้

 

มีอนุกรรมาธิการบางท่านเชื่อว่าเจ้าพนักงานอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง หลังจาก ได้พูดคุยกับเจ้าพนักงานอัยการระดับสูงหลายคน แต่กรรมาธิการส่วนใหญ่ไม่เชื่อ เพราะยังเชื่อในการทำงานที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม เคร่งครัดต่อกฎหมาย รวมถึง การมองเห็นภาพรวมของประเทศ ของเจ้าพนักงานอัยการ แต่ก็ขอให้ กรรมาธิการทุกท่านช่วยกันจับตาดู

 

 

มติครม.2548 ทำลายวิทยุชุมชนแท้

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : ศูนย์ศึกษานโยบายสื่อคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสหพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติ และมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม จัดเวทีเสวนานำเสนอผลงานวิจัยวิทยุชุมชนภาคประชาชน วานนี้ (3 มี.ค.) โดยนายวีระพล เจริญธรรม ผู้ประสานงานสมาพันธ์วิทยุชุมชนคนอีสาน กล่าวว่า วิทยุชุมชนภาคประชาชน หรือวิทยุชุมชนแท้ ต้องเป็นสื่อของชุมชน ดำเนินการโดยชุมชน เพื่อใช้สื่อสารกับคนในชุมชน โดยไม่แสวงหากำไร แต่มติคณะรัฐมนตรี 16 ส.ค. 2548 อนุญาตให้วิทยุชุมชนมีโฆษณาได้ 6 นาทีต่อชั่วโมง ทำให้เกิดวิทยุชุมชนมีโฆษณากว่า 3,000 สถานีในปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่หลักการที่ถูกต้อง ทำให้วิทยุชุมชนแท้ ลดลงจาก 287 สถานี ในปี 2547 เหลือ 158 สถานี

 

รศ.ดร.จุมพล รอดคำดี ผู้อำนวยการสถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาของวิทยุชุมชนในปัจจุบัน เกิดจากภาครัฐไม่มีกติกาและระเบียบในการควบคุมดูแลที่จัดเจน และการเกิดของวิทยุชุมชน มีโฆษณา ทำให้ภาพลักษณ์ของวิทยุชุมชน ภาคประชาชน ถูกมองในเชิงลบ

 

แนวทางแก้ปัญหาเบื้องต้นจะต้องมีการแยกวิทยุชุมชน มีโฆษณาออกจากวิทยุชุมชนภาคประชาชน โดยให้เรียกเป็นชื่ออื่น อาจจะเป็น วิทยุท้องถิ่น เพราะมีเจตนารมณ์ในการหารายได้จากโฆษณา ต่างจากวิทยุชุมชน ที่ต้องการเป็นสื่อของชุมชน

 

หลังจากนั้น ให้ภาครัฐ จัดโซนนิ่ง คลื่นความถี่วิทยุแต่ละประเภทใหม่ ไม่ให้ทับซ้อนกัน โดยอาจจะแบ่งตามสัดส่วนคลื่นความถี่ ที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ปี 2543 ที่กำหนดสัดส่วนสื่อภาคประชาชน 20% สื่อธุรกิจ 40% และสื่อสาธารณะ 40% เพื่อนำมาแบ่งคลื่นความถี่ให้วิทยุชุมชน ไม่ให้ทับซ้อนกับวิทยุชุมชน มีโฆษณาที่จะต้องอยู่ในกลุ่มสื่อธุรกิจ

 

ปัจจุบันที่ยังไม่มีองค์กรอิสระจัดสรรคลื่น หน่วยงานที่ดูแลวิทยุชุมชน คือ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.) ที่มีคณะอนุกรรมการ วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ เป็นคณะทำงานอยู่นั้น น่าจะพิจารณาการแก้ปัญหาคลื่นวิทยุชุมชนทับซ้อนกัน ด้วยการทำคลื่นวิทยุหลักที่มีอยู่ มา Reuse คือ การนำคลื่นความถี่เดิมมาใช้ใหม่ อาทิเช่น เลขที่คลื่นความถี่ที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก็ใช้ในจังหวัดอื่นๆ ได้ อาทิเช่น คลื่น 102 ในกรุงเทพฯ ก็นำมาใช้เป็น 102 เชียงใหม่ ได้ด้วย โดยไม่ถือเป็นการจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่ที่กฎหมายห้ามไว้ แต่เป็นการนำคลื่นความถี่เดิมมาใช้ ซึ่งจะช่วยให้มีจำนวนคลื่นความถี่ใช้ในชุมชนได้มากขึ้น

 

ทางด้านนายธีรพล อันมัย อาจารย์สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า ที่ผ่านมา สังคมมีความรู้สึกแง่ลบกับคำว่า "วิทยุชุมชน" โดยมองว่าเป็นวิทยุเถื่อน จากปัญหาของวิทยุชุมชน ที่มีโฆษณา และวิทยุชุมชน ที่อยู่ภายใต้อำนาจทุนและการเมือง

 

 

ครม.ให้แก้หมอกควันภาคเหนือ

เว็บไซต์ไทยโพสต์ : นายศุภรักษ์ ควรหา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.ได้รับทราบผลการดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรณีการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในที่โล่งและมลพิษหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ และเห็นชอบให้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

 

โดยให้กรมควบคุมมลพิษเฝ้าระวังและติดตามตรวจสอบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ พร้อมทั้งรายงานข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ สำหรับกรณีมลพิษหมอกควันข้ามแดนให้ประสานเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคี ตามข้อตกลงอาเซียน

นายศุภรักษ์กล่าวต่อว่า ครม.ได้ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพืชพันธุ์ ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ปี 2552 และให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพืชพันธุ์ กับกรมป่าไม้ดำเนินการขยายผลแนวพระราชดำริป่าเปียก ซึ่งเป็นแนวทางการอนุรักษ์ป่าไม้ โดยใช้ความชุ่มชื่นเพื่อให้ป่าเขียวตลอดปี

 

ซึ่งสามารถป้องกันไฟป่าในพื้นที่ที่รับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน และให้กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงมหาดไทย กลาโหม เกษตรและสหกรณ์ คมนาคม สาธารณสุข เทคโนโลยีฯ และสำนักนายกรัฐมนตรีให้การสนับสนุนด้วย

 

 

สธ.ชงห้ามขายเหล้าสงกรานต์

สยามรัฐ : นายมานิตย์ นพอมรวดี รมช.สาธารณสุข กล่าวถึงมาตรการห้ามขายเหล้าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ว่า ทางกระทรวงฯได้เชิญผู้ประกอบการทั้งสมาคมท่องเที่ยว ร้านอาหาร รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาหารือในวันที่ 4 มี.ค.นี้เพื่อวางมาตรการการในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากสถิติอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์สูงมาก ประกอบกับ จำนวนผู้ติดสุราหรือเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังเพิ่มขึ้น โดยเข้ารับการรักษามากกว่า 2-3 เท่า เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาก่อนเสนอให้นายกรัฐมตรีลงนามต่อไป

 

 

จุฬาฯสารภาพเมินแอดมิสชั่นส์

สยามรัฐ : นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่หลายคณะในมหาวิทยาลัยต่างๆ เริ่มเปิดรับนิสิต นักศึกษาด้วยระบบรับตรงเพิ่มขึ้น ในปีการศึกษา 2553 เนื่องจากไม่เชื่อมั่นระบบแอดมิสชั่นส์ ว่าเรื่องคุณภาพของนิสิต นักศึกษา มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะระบบการศึกษา ฉะนั้นจะโทษแอดมิสชั่นส์อย่างเดียวคงไม่เป็นธรรมส่วนข้อกังวลว่า ในปีการศึกษา 2553 อาจจะมีปัญหาเพิ่มขึ้น เพราะมีการทดสอบความถนัดทั่วไป หรือ GAT และทดสอบความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ หรือ PAT ก็ต้องบอกว่าทั้งสองส่วนนี้ เพิ่งจะเริ่มใช้จึงยังไม่มีข้อมูล และระบบที่เป็นรูปธรรม ที่ผ่านมาก็พูดด้วยความรู้สึกว่า อาจไม่แม่นยำพอจะทำนายความถนัดแต่ละวิชาชีพได้ ทั้งนี้ ทปอ.จะมีการหารือเรื่องนี้ ช่วงเดือน มิ.ย.52

 

ประธาน ปทอ.กล่าวและว่า ในอนาคตถ้าพบว่า PAT ไม่แม่นยำพอที่จะทำนายความถนัดทางวิชาชีพได้ ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน แต่สำหรับจุฬาฯ มีแนวคิดว่าหลังจากรับนิสิตโดยใช้ข้อสอบ GAT และ PAT เข้ามาแล้ว คณะวิทยาศาสตร์ จะจัดทดสอบเพิ่มในวิชาชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมี ที่เรียกว่า CU-Science เพื่อดูความสัมพันธ์กับผลการเรียน และยังสามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อสอบ GAT และ PAT มีความแม่นยำหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในปีการศึกษา 2553 จุฬาฯ จะเปิดรับตรงถึง 52% แยกเป็นรับตรงปกติ 36% รับตรงแบบพิเศษ 16% หลักสูตรนานาชาติ 13% ที่เหลือเป็นแอดมิสชั่นส์กลาง ด้านนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) รวบรวมข้อมูลสัดส่วนรับตรง ต่อแอดมิสชั่นส์กลาง ของมหาวิทยาลัยรัฐทั่วประเทศ เพื่อมาวิเคราะห์สถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร และจะแก้ไขในส่วนของนโยบายที่มีต่อมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ต้องทำความเข้าใจว่า การสอบตรง คือคณะออกข้อสอบใหม่ ส่วนรับตรง คือคณะรับเองแต่ยังใช้ข้อสอบกลางคือ GAT PAT เพียงแต่กำหนดค่าน้ำหนักใหม่ ซึ่งเด็กสอบเพียงครั้งเดียว แต่ถ้าไปเพิ่มสัดส่วนอีกจนทำให้เด็กวิ่งสอบหลายที่ตนก็ไม่เห็นด้วย

 

 

การบินไทยกลับสุวรรณภูมิ29มี.ค.

สยามรัฐ : พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สำนักเลขานุการ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า การบินไทยยังยืนยันตามแผนเดิม ในการย้ายเที่ยวบินภายในประเทศกลับไปให้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันที่ 29 มี.ค. นี้ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นสนามบินเพียงแห่งเดียว ( ซิงเกิล แอร์พอร์ต ) โดยเบื้องต้นสำหรับค่าใช้จ่ายในการย้ายไปสนามบินสุวรรณภูมิมีจำนวนทั้งสิ้น 2 ล้านบาท

 

นายรัช ตันตนันตา ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในวันที่ 29 มี.ค.นี้หลังจากการบินไทยเปิดให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว คาดว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องความแออัดของจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการ เนื่องจากปัญหาสภาพเศรษฐกิจของโลกที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ปริมาณผู้โดยสารมีจำนวนลดลงกว่า 8 %และพิจารณาถึงศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิในขณะนี้ ยังสามารถที่จะรองรับจำนวนผู้โดยสารได้

 

ส่วนแผนการกู้เงินจำนวน 15,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องนั้น จะเป็นการกู้เงินระยะยาว เพื่อชำระหนี้ในระยะสั้น โดยจะกู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศแบ่งเป็น การกู้เงินจากธนาคารกรุงไทยจำนวน 10,000 ล้านบาท และจากธนาคารออมสินจำนวน 5,000 ล้านบาท

 

 

กบง.ไฟเขียวอุ้มปตท.

ปตท.ยิ้มออก บอร์ดกบง.อนุมัติยอยจ่ายชดเชยนำเข้าก๊าซแอลพีจีปี 51 เริ่มเม.ย.นี้ไปจนครบ 8 พันล้านบาทใน 2 ปี

 

นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน ในฐานะคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน(องค์การมหาชน)พิจารณาจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี)จากการนำเข้าในปี 51 จำนวนเงินประมาณ 7,948 ล้านบาท โดยทยอยจ่ายคืนเงินชดเชยให้กับ บมจ.ปตทตั้งแต่เดือน เม.ย.52ให้ครบภายใน 2 ปีหลังจากสิ้นสุดมาตรการด้านภาษีสรรพสามิตแล้ว

 

ส่วนภาระหนี้ใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ก.พ.) เดือนละ 240ล้านบาทนั้นให้นำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซแอลพีจีตั้งแต่เดือน ม.ค.52 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาทโดยให้จ่ายคืน ปตท.ทันที รวมทั้งหนี้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไป โดยคาดว่าปีนี้จะมีการนำเข้าราว 2 แสนตันลดลงจากปีก่อนเนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาก ทำให้คนหันไปใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้ เป็นไปตามมติของคณะกรรมนโยบายแห่งชาติ(กพช.) เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมาในเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซแอลพีจีซึ่งในที่ประชุมมีมติให้ชะลอการปรับราคาก๊าซแอลพีจีออกไปก่อน เนื่องจากราคายังอยู่ในระดับต่ำและสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนสำหรับฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณวันที่ 26 ก.พ.52 มีเงินสุทธิ 19,840 ล้านบาท มีหนี้สิน 3,223 ล้านบาท ซึ่งแยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 3,011 ล้านบาท และงบประมาณบริหารและโครงการซึ่งได้รับอนุมัติแล้ว 212 ล้านบาท

 

 

ปตท.สั่งทบทวนลงทุนมาบตาพุด

ข่าวหุ้น : นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงานในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า จากรณีที่ศาลพิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศพื้นที่มาบตาพุด เป็นเขต ควบคุมมลพิษนั้น ปตท.จะต้องมีการทบทวนแผนการลงทุนโครงการต่างๆในพื้นที่ดังกล่าวใหม่ จากเดิมที่โครงการลงทุนจะเป็นของบริษัทลูก อาทิ โรงแยกก๊าซ และปิโตรเคมีส่วนขยาย โดยการปรับแผนลงทุนดังกล่าว จะต้องรอให้ผู้บริหารของบริษัทลูกเสนอรายละเอียดข้อมูลก่อน จากนั้นก็จะพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการตามคำสั่งศาลอย่างไรบ้าง

 

 "ปตท. เคารพในคำสั่งของศาล แต่เราต้องการให้บริษัท ซึ่งเดิมวางโปรเจกต์ลงทุนในพื้นที่นิคมมาบตาพุดไว้แล้วก่อนหน้านี้ ว่าจะสามารถดำเนินการตามคำสั่งศาลได้อย่างไรบ้าง หรือสามารถทำอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง ขณะที่โครงการที่ได้รับอีไอเอแล้วสามารถดำเนินการต่อได้"นายณอคุณ กล่าว

 

 

เผยซีไอเอทำลายเทปสอบนักโทษ

เว็บไซต์ไทยโพสต์ : อัยการสหรัฐเผย ซีไอเอทำลายเทปการสอบสวนผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายอื้อฉาวไปมากถึง 92 ม้วน ขณะที่ก่อนหน้านี้ซีไอเอระบุว่าทำลายเทปดังกล่าวไปเพียง 2 ม้วนเท่านั้น

 

ในจดหมายของ เลฟ แดสซิน รักษาการอัยการสหรัฐ ที่ส่งถึง แอลวิน เฮลเลอสเตน ผู้พิพากษานิวยอร์กผู้ทำหน้าที่พิจารณาคดีล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สหภาพเพื่อเสรีภาพพลเรือนอเมริกัน (เอซีแอลยู) ยื่นฟ้องสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐ (ซีไอเอ) เมื่อปี 2550 ระบุว่า ล่าสุดซีไอเอสามารถให้ข้อมูลได้แล้วว่าได้ทำลายเทปการสอบสวนผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายไปทั้งสิ้น 92 ม้วน

 

รักษาการอัยการแดสซินบอกว่า ซีไอเอพร้อมที่จะชี้แจงข้อมูลตามที่ศาลต้องการ พร้อมร้องขอศาลให้เวลาซีไอเอจนถึงวันศุกร์นี้ ในการเตรียมเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับเทปที่ถูกทำลาย และรายชื่อของผู้ที่อาจเคยครอบครองหรือเคยดูเทปก่อนที่จะมีการทำลาย

 

ก่อนหน้านี้ ซีไอเอยอมรับว่าทำลายเทปไปเพียง 2 ม้วนเท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม อย่างไรก็ดี จากรายงานของนิวยอร์กไทมส์ระบุว่า เทปทั้งสองม้วนดังกล่าวได้บันทึกวิธีการสอบสวนของเจ้าหน้าที่สหรัฐที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมทารุณต่อผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย 2 คน คนแรกคือ อาบู ซูเบดาห์ ที่ถูกสงสัยว่าเป็นแกนนำของเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ส่วนอีกคนคือ อับเดล ราฮิม อัลนาสฮีรี ที่เชื่อว่ามีส่วนพัวพันเหตุระเบิดเรือดำน้ำยูเอสเอสโคลที่นอกชายฝั่งเยเมนเมื่อปี 2543

 

ในปี 2550 ไมเคิล เฮเดน ผู้อำนวยการซีไอเอในขณะนั้นยอมรับว่าเทปการสอบสวนทั้งสองม้วนมีอยู่จริง และมีการบันทึกไว้ตั้งแต่ปี 2545 แต่ไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้เนื่องจากได้ทำลายไปแล้วตั้งแต่ปี 2548

อัยการสหรัฐในสมัยที่จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นประธานาธิบดี ออกโรงปฏิเสธรายงานข่าวที่ระบุว่าเทปการสอบสวนทั้งหมดได้แสดงภาพการกระทำทารุณกรรมผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกวนตานาโม

 

แต่เมื่อบารัก โอบามา เข้ามารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐต่อจากบุช เขาระบุชัดว่าการสอบสวนนักโทษด้วยวิธีการต่างๆ เช่นการโยนบกนั้นถือเป็นการทารุณกรรม พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลของเขาจะไม่สนับสนุนการสอบสวนที่ป่าเถื่อนเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้เขายังแต่งตั้งนายลีออน ปาเนตตา ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการซีไอเอคนใหม่ เพื่อปรับปรุงภาพพจน์ที่อื้อฉาวของหน่วยงานนี้ที่มีมาอย่างต่อเนื่องหลังเหตุวินาศกรรมสหรัฐเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544

 

 

นิวยอร์ก ไทมส์เปิดบล็อกท้องถิ่นรับนักข่าวชุมชน

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : หนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทมส์ ของสหรัฐ เปิดตัวโครงการ "เดอะ โลคอล" เครือข่ายสังคมออนไลน์ เมื่อวันจันทร์ (2 มี.ค.) อันเป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง เพื่อขยายมูลค่าของสื่อสิ่งพิมพ์ รวมทั้งเพิ่มช่องทางใหม่ ในการให้บริการและเชื่อมต่อกับลูกค้า

 

เดอะ โลคอล นำเสนอข้อมูลประจำวันในพื้นที่ จากนักข่าวของนิวยอร์ก ไทมส์ และสมาชิกในชุมชน รวมถึงข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียน ร้านอาหาร ภาคเอกชน และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ อาทิเช่น เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน อาชญากรรม บริการของรัฐบาล การขนส่ง งานอาสาสมัคร กิจกรรมกลางแจ้ง ครอบครัว และอื่นๆ

 

ในเบื้องต้น เว็บไซต์ เดอะ โลคอล จะครอบคลุมพื้นที่ส่วนหนึ่งในนิวยอร์ก และนิวเจอร์ซีย์ โดยความร่วมมือจากคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (ซียูเอ็นวาย) เพื่อสอนเกี่ยวกับการรายงานข่าวและการใช้เครื่องมือสื่อสารแก่ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ และขอความร่วมมือจากนักศึกษาภาควิชาวารสารศาสตร์ ของซียูเอ็นวาย ให้เข้ามามีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ด้วย

 

นายจิม สแคชเตอร์ บรรณาธิการฝ่ายความริเริ่มดิจิทัลของนิวยอร์ก ไทมส์ ระบุว่า จะมอบอำนาจการรายงานข่าวแก่ชาวชุมชน และเปิดให้คนเหล่านี้มีส่วนร่วม ทั้งในเชิงความคิดสร้างสรรค์และความคิดเห็น โดยสมาชิกสามารถโพสต์ปฏิทินกิจกรรมในท้องถิ่น ประกาศงานแต่งงาน ประกาศมรณกรรม และรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น

 

ปัจจุบัน หนังสือพิมพ์ในสหรัฐ รวมถึง นิวยอร์ก ไทมส์ หันมาให้ความสำคัญกับการรายงานข่าว ที่มาจากผู้ที่อาศัยในท้องถิ่น หลังจากรายได้จากโฆษณาในหนังสือพิมพ์ และยอดจำหน่ายลดลงอย่างหนัก เนื่องจากผู้อ่านหันไปอ่านข่าวจากเว็บไซต์ ที่ให้บริการฟรี

 

 

โพลล์ชี้ผู้หญิง58%ใน12ชาติ มั่นใจมี"อิสรภาพทางการเงิน"

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ : ผลสำรวจชี้ 58% ของผู้หญิงใน 12 ประเทศ เชื่อตัวเองมีอิสรภาพทางการเงิน สตรีฝรั่งเศสนำโด่ง 80% ส่วนบัลแกเรีย อินโดนีเซีย รั้งท้าย

 

ไซโนเวต เผยผลการสำรวจอิสรภาพทางการเงินของผู้หญิงใน 12 ประเทศทั่วโลก พบเกือบ 6 ใน 10 หรือ 58% ของผู้หญิง เชื่อว่าตัวเองมีอิสรภาพทางการเงิน โดยผู้หญิงฝรั่งเศสถึง 80% มองว่าตัวเองมีอิสระทางการเงิน ตามด้วยสตรีอังกฤษ (76%) และสตรีแอฟริกาใต้ (69%)

 

เธียร์รา ไพโล กรรมการผู้จัดการไซโนเวตในฝรั่งเศส กล่าวว่า ไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงฝรั่งเศสอยู่อันดับต้นๆ พร้อมระบุว่าสตรีฝรั่งเศสรับผิดชอบการเงินของตัวเองมาหลายปีแล้ว และมีหลายกรณีที่ผู้หญิงดูแลการเงินของทั้งครอบครัว

 

สตรีที่มองว่าตัวเองมีอิสรภาพทางการเงินน้อยที่สุด คือ สตรีบัลแกเรีย (37%) และอินโดนีเซีย (47%)

รวมแล้วผู้หญิงในประเทศแล้วมักมองตัวเองว่ามีอิสรภาพทางการเงินมากกว่าผู้หญิงในประเทศตลาดเกิดใหม่ (68% ต่อ 51%)

 

ที่น่าสนใจ คือ สถานการณ์ในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยใหม่แต่เป็นหนึ่งใน 6 ประเทศกำลังพัฒนาที่เต็มไปด้วยผู้หญิง ซึ่งสามารถพึ่งพาตัวเองได้ โดย 7 ใน 10 ระบุว่า ตัวเองมีอิสรภาพทางการเงิน ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้าของไซโนเวตในแอฟริกาใต้ ระบุว่า นับแต่แอฟริกาใต้มีประชาธิปไตย ก็ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันทางเพศอย่างมาก โดยให้โอกาสผู้หญิงได้มีความก้าวหน้าด้านการงาน

ในการสำรวจนี้ ได้มีการขอให้ผู้หญิงเลือกให้ความหมายของคำว่า "อิสรภาพทางการเงิน" ปรากฏว่าคำตอบอันดับต้นๆ คือ การไม่พึ่งพาสามีหรือคู่รัก ทางการเงิน รองลงมา คือ ระบุความหมายว่า คือ การมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีหนี้สิน และท้ายสุดมองความหมายว่า คือ การสามารถซื้อหาสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องราคา การสำรวจพบว่าการไม่มีหนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสตรีมาเลเซีย 42% และสตรีเม็กซิกัน 40%

 

 

ปินส์คุยยึดทรัพย์"มาร์กอส64,000ล้านบ.

ASTV ผู้จัดการรายวัน : เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ เผย สามารถยึดทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านเปโซ (1,830 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 64,000 ล้านบาท) จากครอบครัวและพวกพ้องของอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จอมเผด็จการผู้ปกครองประเทศอยู่ถึง 20 ปี

 

นาร์ซิโซ นาริโอ กรรมาธิการผู้หนึ่งแห่งคณะกรรมาธิการของประธานาธิบดีว่าด้วยการเป็นรัฐบาลที่ดี (พีซีจีจี)กล่าวว่า ทรัพย์ที่พีซีจีจียึดมาได้ เป็นข้อพิสูจน์ที่หักล้างคำกล่าวหาของพวกสมาชิกรัฐสภาบางคน ที่บอกว่าหน่วยงานของเขาควรถูกยุบ เนื่องจากไม่ได้ทำตามหน้าที่ของตน

 

"เราสามารถติดตามเงินสด และทรัพย์สินอื่นๆ อาทิ ที่ดิน และบ้าน มูลค่ากว่า 90,000 ล้านเปโซ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่ำรวยผิดปกติของมาร์กอสคืนมาได้ นับตั้งแต่ก่อตั้งพีซีจีจีขึ้นมา" นาริโอกล่าวกับบรรดาพนักงานในหน่วยงานของเขา

 

พีซีจีจีก่อตั้งขึ้นในปี 1986 เพื่อยึดทรัพย์จากมาร์กอสและพวกพ้องบริวาร หลังจากเกิดเหตุการลุกฮือของประชาชนขึ้นในปีเดียวกันนั้น ซึ่งทำให้เขาถูกขับออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศ

 

นาริโอ ยังอ้างว่า ในเดือนที่ผ่านมา หน่วยงานของเขาเพิ่งยึดทรัพย์ 261 ล้านเปโซ ที่อดีตประธานาธิบดีมาร์กอส ได้จากเงินปันผลของบริษัทโทรคมนาคมแห่งหนึ่งของฟิลิปปินส์ หลังจากศาลตัดสินเมื่อไม่นานมานี้ว่า เงินเหล่านั้นเป็นเงินที่สมุนบริวารของมาร์กอสได้มาโดยผิดกฎหมาย

 

มาร์กอสนั้นปกครองฟิลิปปินส์ ตั้งแต่ปี 1965-1986 โดยส่วนใหญ่เป็นการปกครองภายใต้กฎอัยการศึก และระหว่างเวลาดังกล่าวเขาถูกกล่าวหาว่ากระทำทุจริตและฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับตนเอง ครอบครัว และพวกพ้อง

 

เขาเสียชีวิตในปี 1989 ระหว่างลี้ภัยในต่างประเทศ ทว่าเมื่อมาถึงเวลานี้ ครอบครัวของเขาก็ยังมีหน้ามีตาในทางการเมืองอยู่

 

ไม่มีใครรู้ทราบมาร์กอสและพรรคพวกโกงเงินประเทศไปเท่าไร แต่มีการประเมินกันว่าน่าจะประมาณ 5,000 - 10,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่ซุกซ่อนไว้ที่ธนาคารในต่างประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ หลังจากเขาถูกโค่นอำนาจ รัฐบาลสวิสก็อายัดทรัพย์สิน รวมทั้งเงิน 683 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในบัญชีของเขาไว้ด้วย ซึ่งทรัพย์สินส่วนใหญ่ถูกโอนกลับมาเป็นของรัฐบาลฟิลิปปินส์แล้ว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท