Skip to main content
sharethis

 






การเมือง


"ป๋าเหนาะ"ยอมอ่อน ร่วมหารือ "พท."ถกยื่นญัตติอภิปรายซักฟอกรัฐบาล "วิทยา"หอบแฟ้มข้อมูลซื้อใจ แถม"สมชาย"โผล่แจม


เมื่อเวลา19.00น. ที่รร.อินเตอร์คอนติเนนตัล ร้านอาหารจีนซัมเมอร์พาเลส นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน ในฐานะแกนนำคณะทำงานในการเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจ นัดหารือกับนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เกี่ยวกับการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยการหารือครั้งมีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย เดินทางเข้าร่วมในการหารือในครั้งนี้ด้วย


ต่อมาในเวลา 19.30 น. นายเสนาะ พร้อมด้วยนายสรวงศ์ เทียนทอง บุตรชาย นายฐานิส เทียนทอง และน.พ.สุทธิชัย จันทรอารักษ์ อดีตส.ส.ยโสธร พรรคไทยรักไทย เดินทางมาถึงโรงแรม


นายสมชายให้สัมภาษณ์ว่า เดินทางมาเพราะได้รับแจ้งจากนายวิทยาว่าได้นัดนายเสนาะรับประทานอาหารเย็น ตนจึงได้เดินทางมาด้วย และที่มาไม่ได้มาเป็นกาวใจอย่างที่ได้มีข่าวออกมา ตนเคารพนับถือนายเสนาะเป็นการส่วนตัว ส่วนเรื่องภาระกิจเรื่องการเมืองอื่นๆ นั้นตนไม่ทราบ อย่างไรก็ตามในเร็วๆ นี้ตนจะมีการนัดรับประทานอาหารกับอดีตคณะรัฐมนตรีในสมัยที่ตนเป็นนายกฯ


มีรายงานว่า ก่อนหน้าที่จะมีการนัดหารือ นายวิทยาได้พยายามประสานผ่านนายฐานิส เพื่อให้ติดต่อประสานกับนายเสนาะ ให้มาร่วมหารือในครั้งนี้ ซึ่งก่อนหน้าที่นายเสนาะได้กล่าวแสดงความไม่เห็นกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทย อีกทั้งการหารือในครั้งนี้มีรายงานข่าวแจ้งอีกว่านายวิทยาได้นำข้อมูลที่จะนำไปใช้ในการอภิปรายมาให้นายเสนาะดูด้วย


ที่มา: http://www.naewna.com


แนวร่วมพันธมิตรฯ จวกแนวคิดตั้งพรรค ชี้ เสียสัจจะที่เคยให้ไว้กับบ้านเมือง


นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมพันธมิตรฯ กล่าวถึงแนวคิดในการจัดตั้งพรรคพันธมิตรฯ ว่า ภารกิจของพันธมิตรฯ เป็นภารกิจเฉพาะกิจที่จะทำเมื่อประเทศชาติบ้านเมืองเกิดเรื่องใหญ่ โดยจะระดมกำลังทุกส่วนเพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เอาไว้ ส่วนภาระกิจการตั้งพรรคการเมืองไม่น่าจะใช่ ภารกิจของแกนนำพันธมิตรฯ ที่จะสามารถตั้งพรรคการเมืองเสียเอง


"ภารกิจหลักของพันธมิตรฯทำเพื่อส่งเสริมการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ให้อำนาจแก่ประชาชน ในการปกครองประเทศ ดังนั้นการออกมาตั้งพรรคการเมืองเสียเองของ 5 แกนนำ ไม่ได้มีผลดีเลย มีแต่ผลเสีย เพราะจากการปราศรัยบนเวทีของพันธมิตรฯทุกครั้งได้ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ตั้งพรรคการเมือง แต่มาวันนี้ กลับเสียสัจวาจา ที่เคยสัญญากับประชาคม กับประเทศชาติบ้านเมือง" นายไชยวัฒน์ กล่าว


เมื่อถามว่า การออกมาตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ จะทำให้ฐานเสียงลดลงหรือไม่ นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า มันจะทำให้ภาคประชาชนที่ระดมคนได้เรือนหมื่นเรือนแสนคน และคุณูปการต่างๆที่พันธมิตรฯเคยทำไว้หายไป ถ้าหากพันธมิตรฯตั้งเป็นพรรคการเมือง แล้วสัญลักษณ์ของการต่อสู้ เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองก็จะหายไป แล้วจะมีองค์กรใดออกมาขับเคลื่อนต่อสู้ กับระบบทุจริตในบ้านเมือง  ความจริงมีพรรคการเมืองที่รองรับความแนวคิดของพันธมิตรฯอยู่แล้ว พันธมิตรฯเองไม่จำเป็นที่จะต้องออกมาตั้งพรรคการเมืองเองก็ได้


ที่มา: http://www.naewna.com


ปชป.หนุนพธม.ตั้งพรรค


นาย สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการจัดตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนอุดมการณ์การเมืองใหม่ เพราะหากพิจารณาจากพรรคการเมืองในปัจจุบันไม่มีศักยภาพพอที่จะเปลี่ยนแปลง หรือปฎิรูปการเมืองได้ แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังมีข้อจำกัดมากมาย ทำให้ติดอยู่ในวงจรเดิม ขณะที่การชุมนุมของพันธมิตรฯกว่า 190 วันได้สร้างคุณูปการมากกว่าพรรคการเมืองหลายพรรคเสียอีก บวกกับเสียงเรียกร้องจากมวลชนทำให้แกนนำหลายคนเห็นว่าถึงเวลาที่ควรจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมารองรับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ


อย่างไรก็ตาม การตั้งพรรคของพันธมิตรฯนั้นทำไม่ง่าย ไม่ใช่ว่าแค่หัวหน้าพรรค กรรมการ แล้วหาสมาชิก เหมือนพรรคทั่วไปแต่ต้องมีกระบวนการจัดทำนโยบายแบบมีส่วนร่วมซึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อย


ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการระบุหรือยังว่าใครจะเป็นหัวหน้าพรรครวมทั้งตำแหน่งอื่นๆ ภายในพรรค นายสุริยะใส กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นกำหนดเป็นเรื่องเป็นราวว่าใครจะอยู่ตำแหน่งใด ซึ่งสูตรการตั้งมีหลายแบบ อาจะเป็น 5 แกนนำ หรืออาจจะมีคนนอกมาร่วมด้วยก็ได้ ซึ่งก็ต้องดูเสียงจากมวลชนด้วยว่าจะยอมรับหรือไม่


นายสมบูรณ์ อุทัยเวียงกุล ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าพันธมิตรฯ อยากเห็นภาพของพรรคการเมืองที่เป็นของประชาชนจริงๆ ถ้าพันธมิตรฯตั้งพรรคการเมืองขึ้นจริงก็ยินดี เพราะคงเห็นอดีตที่ผ่านมาแล้วว่ามีกลุ่มทุน ที่ต่างก็เข้ามาแล้วกอบโกยหรือเอื้อประโยชน์ให้เฉพาะกลุ่ม บางพรรคการเมืองก็ล่มสลายไป


ส่วนที่พันธมิตรฯมีเงื่อนไขว่าห้าม ส.ส.ของพรรคแย่งตำแหน่งรัฐมนตี และให้รัฐมนตรีทุกคนบริจาคเงินเดือนให้กับองค์กรสาธารณกุศลนั้น นายสมบูรณ์ กล่าวว่า คงเปก้นเรื่องยากในทางปฏิบัติ เพราะการทำงานนอกจากได้คนที่มีความรู้ ความสามารถ มีความทุ่มเททำงานทั้งสติปัญญาและแรงกายแล้ว กำลังทรัพย์ก็มีความสำคัญ และคนที่มีความสามารถทุกคนได้ใช่ว่าจะมีกำลังทรัพย์ที่พร้อม การตั้งกฏเกณฑ์เช่นนี้คิดว่าคงเป็นการสร้างภาพลักษณ์เพื่อปลุกขวัญกำลังใจในการริเริ่มตั้งพรรคมากกว่า


ส่วนที่พันธมิตรฯประกาศจะส่งผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศยกเว้นจ.ตรังและพื้นที่ กทม.เพื่อเว้นให้นายชวน หลีกภัยและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น นายสมบูรณ์กล่าวว่า คงเพราะเห็นว่านายชวน และนายอภิสิทธิ์เป็นต้นแบบของนักการเมืองที่ได้รับการยอมรับในผลงานและความดีที่ทำมา ที่ควรได้รับการยกย่องและเห็นเป็นแบบอย่างของส.ส.ที่ดี ซึ่งต้องขอขอบคุณโดยเฉพาะที่จะไม่ส่งคนลงสมัครที่จ.ตรัง


หากพรรคพันธมิตรฯตั้งขึ้นมายอมรับว่ากระทบพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน เพราะฐานสนับสนุนส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้ แต่ถ้ามองในแง่ดีคือผลประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชน ที่ ส.ส.ของพรรคต้องขยันทำงานเพื่อชาวบ้านให้ยอมรับในผลงาน ถือเป็นมวยถูกคู่


ด้านนาย ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมพันธมิตรฯ กล่าวว่า ภารกิจของพันธมิตรฯ เป็นภารกิจเฉพาะกิจที่จะทำเมื่อประเทศชาติบ้านเมืองเมื่อเกิดเรื่องใหญ่ โดยจะระดมกำลังทุกส่วนเพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เอาไว้ ส่วนภาระกิจการตั้งพรรคการเมืองไม่น่าจะใช่ ภารกิจของแกนนำพันธมิตรฯ ที่จะสามารถตั้งพรรคการเมืองเสียเอง


ภารกิจหลักของพันธมิตรฯทำเพื่อส่งเสริมการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ให้อำนาจแก่ประชาชน ในการปกครองประเทศ ดังนั้นการออกมาตั้งพรรคการเมือง เสียเองของ 5 แกนนำ ไม่ได้มีผลดีเลย มีแต่ผลเสีย เพราะจากการปราศรัยบนเวทีของพันธมิตรฯทุกครั้งได้ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ตั้งพรรคการเมือง แต่มาวันนี้ กลับเสียสัตย์วาจา ที่เคยสัญญากับประชาคม กับประเทศชาติบ้านเมือง


นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า การออกมาตั้งพรรคการเมืองจะทำให้ภาคประชาชนที่ระดมคนได้เรือนหมื่นเรือนแสน และคุณูปการต่างๆที่พันธมิตรฯเคยทำไว้หายไป ถ้าหากพันธมิตรฯตั้งเป็นพรรคการเมือง แล้วสัญลักษณ์ของการต่อสู้ เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองก็จะหายไป แล้วจะมีองค์กรใดออกมาขับเคลื่อนต่อสู้ กับระบบทุจริตในบ้านเมือง ความจริงมีพรรคการเมืองที่รองรับความแนวคิดของพันธมิตรฯอยู่แล้ว พันธมิตรฯเองไม่จำเป็นที่จะต้องออกมาตั้งพรรคการเมืองเองก็ได้


นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีถ้าพันธมิตรฯจะตั้งพรรคการเมือง แทนที่จะเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แบบแอบๆ ซ่อนๆ ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ลำเลิกว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขึ้นวอได้เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ แต่นายสุเทพก็ไม่ตอบโต้อะไร ต่อจากนี้ตนจะขอเป็นผู้ชมที่ดี ยืนยันว่า คนเสื้อแดงจะไม่ตั้งพรรคการเมืองแต่เราจะปูระดับประชาธิปไตยไปเรื่อยๆ


ที่มา: ASTV ผู้จัดการรายวัน


"อภิสิทธิ์" ฝันปฏิรูปการเมือง จับตา "พระปกเกล้า" รับเจ้าภาพวันจันทร์นี้


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอยืนยันจะสนับสนุนการทำงานของสื่อมวลชนเพื่อให้กำกับดูแลกันเอง เพื่อเป็นมาตรฐานวิชาชีพในการสร้างสรรค์สังคม ประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามการปาฐกถา เรื่อง "การปฏิรูปการเมือง"ตนตั้งใจจะมอบให้องค์กรที่เป็นกลางกำหนดเป็นนโยบายรัฐบาลในการตัดสินใจ ดังนั้นจึงได้เสนอให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพในการปฏิรูปการเมือง   แต่นักนักการเมืองยังไม่เดินไปไหน  อยากยืนยันว่าสภาพการเมืองติดกับดักอยู่ในวงจรที่น่าตกใจ


นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตลอด 20 ปีที่ลงเล่นการเมือง เห็นว่าทิศทางยังวนไปวนมา ทั้งนี้ยอมรับว่า การปฏิรูปการเมืองที่ผ่านมามีข้อจำกัดในหลายๆด้าน ในเรื่องของการแทรกแซงองค์กรอิสระ ใช้อำนาจโดยมิชอบ มีกลโกง ขณะเดียวกันตนได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องการปฏิรูปการเมืองกับหลายฝ่าย ซึ่งมีการเสนอวิธีต่างๆนานา โดยตนระบุว่า ความจริงเราได้ลองมาทุกอย่างแล้วทั้งการเลือกตั้ง หรือการมีองค์กรอิสระ แต่ระบบการเมืองยังไม่มีการตอบสนอง เหมือนกับการเมืองที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของการปฏิรูปการเมือง คือ การปฏิรูปรัฐธรรมนูญต้องใหญ่กว่าการปฏิรูปกฎหมาย จะต้องตีโจทย์อย่างหลากหลาย ซี่งสิ่งที่ต้องทำคิด ต้องทำให้นิ่ง มีความยอมรับในกระบวนการให้ได้เสียก่อน เพราะหากไม่ได้รับความไว้วางใจจากทั้ง 2 ฝ่ายก็จะเกิดปัญหา หากไม่ยอมรับก็เดินต่อไปไม่ได้


"ความวุ่นวายเกิดจากความไม่ไว้ใจกัน พอฝ่ายใดทำก็ไม่เกิดการยอมรับกันจนเป็นปมปัญหาใหม่ ช่วงแรกที่เข้ามาทำยอมรับว่าลำบากมาก ดังนั้นในวันจันทร์ที่ 9 มี.ค. นี้ ทางสถาบันพระปกเกล้าจะจัดประชุมดูว่าจะรับหรือไม่รับเป็นเจ้าภาพในการปฏิรูปการเมือง" นายอภิสิทธิ กล่าว


นายอภิสิทธิ กล่าวอีกว่า การวางระบบการเมืองจะต้องทำความเข้าใจในวิถีของประชาธิปไตย ซึ่งเชื่อว่าเสรีนิยมประชาธิปไตยเป็นหลักใหญ่ โดยต้องกำหนดให้มีขอบเขตอำนาจจำกัด ซึ่งถือเป็นหัวใจ ต้องรู้ว่าแค่ไหนเป็นการเมือง แค่ไหนนอกเหนือการใช้อำนาจการเมือง ซึ่งในระบบประชาธิปไตยนักการเมืองเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น ปัญหาที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพราะทุกคนนำปัญหาไปกองกับนักการเมือง คิดว่าหัวหน้ารัฐบาลต้องทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง จนแต่ละฝ่ายทำให้เกิดความขัดแย้ง เพราะถูกกำหนดมาว่าฝ่ายที่ได้เสียงข้างมากทำได้ทุกอย่าง โดยบอกเพียงว่าคนที่ชนะแล้วก็จะได้อำนาจ ขณะเดียวกัน การใช้อำนาจจะต้องฝ่ายที่จะตรวจสอบประกอบกันไปด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าฝ่ายที่ตรวจสอบจะมีที่มาอย่างไร ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้งเท่านั้น ต้องมีกลไกที่มาตรวจสอบ หัวใจคือจะต้องหาเส้นแบ่งนี้ให้เป็นประชาธิปไตยอย่างไร


ขณะเดียวกัน นายกฯ ยังยกต้นแบบประชาธิปไตยในประเทศอังกฤษ และประเทศญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับเสียงข้างมาก หากมีความผิดแม้แต่นิดเดียวก็จะลาออกไม่ให้เป็นภาระกับสังคม เพราะมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ดีรองรับอยู่ ไม่ต้องออกมาไล่กันทุกวัน หรือมีความขัดแย้งอย่างรุนแรง สำหรับตนไม่ได้สนใจในรายละเอียด เพราเรื่องใหญ่กว่านั้นคือการกำหนดขอบเขตให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับหลักเสรีนิยมประชาธิปไตย รัฐบาลจะต้องมีอำนาจขอบเขตที่จำกัด "ผมขอเสนอระบบอำนาจการเมืองด้วยความพอเพียง หรือมีภูมิคุ้มกันอย่าเอาประเทศไปเสี่ยง ถ้าทำเช่นนี้เราก็จะไม่เจอกับปัญหาสับสนวุ่นวายเกี่ยวกับการเมืองแบบนี้ ไม่ว่าเราจะออกแบบรัฐธรรมนูญอย่างไร แต่ก็ไม่มีหลักประกันได้ว่าการเมืองของเราจะพัฒนาต่อไปได้ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการเมือง เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้ประชาชนสามารถที่จะเข้ามาตัดสินใจในเรื่องนโยบายระดับชาติ และเลือกผู้นำ ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาการซื้อเสียงได้โดยไม่ต้องมี กกต. ซึ่งผู้เลือกตั้งเองก็จะต้องมีพัฒนาการ รวมถึงสื่อมวลชนเองก็มีบทบาทที่สำคัญที่จะสร้างวัฒนธรรมการเมือง ถ้าสื่อกระพือค่านิยมที่ผิด ก็ไม่ต้องคิดว่าบ้านเมืองจะดีขึ้น หรือได้การเมืองอย่างที่เราต้องการ"  นายอภิสิทธิ กล่าว


นายอภิสิทธิยังกล่าวว่า ตนเชื่อว่าความสำเร็จของระบบประชาธิปไตยสามารถทำขึ้นได้ เพราะกระบวนการตรงนี้ทุกฝ่ายต้องเข้ามาร่วมมือกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง อาจมีปัญหาขลุกขลักบ้าง แต่สุดท้ายเชื่อว่าจะสำเร็จ ซึ่งตนจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ อย่างน้อย ไม่กลับไปสู่ความรุนแรง หรือช่วยประสานบาดแผลของประเทศที่ผ่านมาได้


ที่มา: http://www.naewna.com


 






เศรษฐกิจ


พิษถดถอยมะกัน-อียูฟาดหาง ส่งออก "เอเชีย" วูบยกแผง


เดือนมกราคมกลายเป็นเดือนที่น่าผิดหวังสำหรับผู้ส่งออกในประเทศเอเชีย โดยพบว่า การจัดส่งสินค้าจากอินเดียได้ลดลง 16% ในเดือนมกราคม จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการลดลงติดต่อกัน เป็นเดือนที่ 4 เช่นเดียวกับการส่งออกของอินโดนีเซียที่ดิ่งวูบ 35.5%


สถานการณ์ไม่ต่างจากเกาหลีใต้ ซึ่งพบว่า การค้าในต่างประเทศได้ทรุดฮวบลง 17.1% ในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากที่ตกต่ำมากถึง 33.8% ไปแล้วในเดือนมกราคม และถือเป็นการลดลงของการ  ส่งออกเกาหลีใต้ ถือเป็นการลดลงที่ยาวนานที่สุดนับจากปี 2545


เชอร์แมน ชาน นักเศรษฐศาสตร์จากมูดีส์ อีโคโนมี ดอตคอมในซิดนีย์ ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจในเอเชียส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะเผชิญกับการหดตัวทางเศรษฐกิจในปี 2552 หากพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจที่ยุ่งยากกว่าเมื่อปีที่แล้ว และมีแนวโน้มจะเสื่อมถอยลงอีกใน   หลายเดือนข้างหน้า โดยเฉพาะกับบางประเทศ ปี 2552 จะเป็นปีที่ยากลำบากมากที่สุดนับจากเกิดวิกฤตการเงินในเอเชีย แต่สำหรับประเทศอื่นๆ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจอาจจะเลวร้ายที่สุดในรอบ  หลายสิบปี


ภาวะถดถอยในสหรัฐและยุโรปซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาคนี้ กำลังลดทอนความต้องการสินค้าที่ผลิตจากเอเชีย โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วญี่ปุ่นรายงานตัวเลขส่งออกเดือนมกราคมว่า ทรุดลงอย่างฮวบฮาบถึง 45.7% ขณะที่ในช่วงก่อนหน้านี้จีนเปิดเผยว่า การส่งสินค้าไปต่างประเทศได้ดิ่งลง 17.5% ในเดือนเดียวกันถือเป็นการลดลงของการส่งออกมากที่สุดในรอบ 13 ปี


ทั้งนี้ธนาคารโลกได้คาดการณ์ในเดือนธันวาคมว่า การค้าระหว่างประเทศจะหดตัวลงในปี 2552 เป็นครั้งแรกในรอบมากกว่า 25 ปี อันเป็นผลมาจากการ  ชะลอตัวทางเศรษฐกิจและราคาสินค้าคอมโมดิตี้ลดลง


ในแง่ของปริมาณการค้าอาจหดตัวใน  ปีนี้ประมาณ 2.1% จากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนและความต้องการสินค้าส่งออกซบเซาลงมาก


สำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า รัฐบาลในเอเชียได้สนองตอบภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกด้วยการนำแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ารวมกันเกือบ 7 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและการใช้จ่ายของภาคธุรกิจเอกชน


ดังกรณีรัฐบาลอินเดีย นายกรัฐมนตรีมานโมฮัน ซิงห์ ได้ประกาศมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การชดเชยภาษี และการผ่อนปรนกฎเกณฑ์การค้าก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกสามารถรักษาผลกำไรและลดการเลิกจ้างให้เหลือน้อยที่สุด


ในส่วนของเกาหลีใต้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณกว่า 51 ล้านล้านวอนหรือ 3.36 หมื่นล้านดอลลาร์ ผ่านมาตรการ  ลดภาษี และเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล ขณะที่ นายยุน เจิง-ฮุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เขาเตรียมจัดทำแผนงบประมาณพิเศษ ซึ่งจะเปิดเผย ในเดือนมีนาคมนี้ ส่วนธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจปรับลดอัตรา  ดอกเบี้ยเงินกู้ลงสู่ระดับต่ำสุด 2% เมื่อ      วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 6 นับจากเดือนตุลาคม



สำหรับอินโดนีเซีย สำนักงานสถิติกลางรายงานว่า การส่งออกของประเทศได้   ลดลงมากที่สุดในรอบ 22 ปี โดยการ    ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศลดลงเหลือ 7.15 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมกราคม จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


การทรุดตัวของภาคการส่งออก ได้สร้างแรงกดดันให้กับค่าเงิน ในเอเชียหลายสกุล อาทิ ค่าเงินวอน   และค่าเงินรูปีของอินเดียที่อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุด นับจากปี 2541 จากความวิตกกังวลที่ว่าธนาคารจะต้องดิ้นรน เพื่อให้ได้เงินตราต่างประเทศมาใช้ ในการชำระหนี้ การทรุดตัวของยอดส่งออกจะเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลในเอเชียให้ต้องดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกเช่นเดียวกับประเทศอื่น ในโลก



ประชาชาติธุรกิจฉบับวันที่ 5 - 8 มี.ค. 2552


ที่มา: http://www.matichon.co.th/prachachart


ผบ.ตร.สั่งตำรวจทั่วประเทศจับแก๊งเงินกู้นอกระบบ


วันที่ 5 มี.ค. พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้มีคำสั่งกำชับการป้องกันและปราบปรามการให้กู้เงินนอกระบบที่ผิดกฎหมาย โดยได้สั่งการให้ รอง ผบ.ตร. ปป 1-3 ,ผบช.น.,ผบช.ก. และบช.ภ. 1- 9.และ ศูนย์ปฎิบัติการจังหวัดชายแดนภาคใต้  โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า ให้ทุก สน. และสภ.สืบสวนหาข่าว และตรวจสอบพฤติการณ์ของบุคคล กลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ปล่อยเงินกู้นอกระบบในอัตราที่ดอกเบี้ยที่สูงกว่ากฎหมายกำหนดและส่งบุคคล(กลุ่มชายฉกรรจ์)ไปตามทวงหนี้ โดยวิธีที่ผิดกฎหมายอาญา ทำลายทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ให้หวาดกลัว โดยให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จัดทำเป็นบัญชีรายชื่อและประวัติให้เป็นปัจจุบัน เพื่อสะดวกในการตรวจสอบหรือติดตามพฤติกรรม



และให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และป้องปรามกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวให้ยุติการดำเนินการที่ผิดกฎหมายดังกล่าว ,หากกลุ่มบุคคลดังกล่าวไม่เลิกพฤติการณ์ และกระทำการใดๆ ที่ผิดกฎหมายในการให้กู้เงินและการทวงหนี้ ให้ดำเนินการสืบสวน จับกุมผู้เกี่ยวข้องทุกรายตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเฉียบขาด และกำชับสอดส่องข้าราชการตำรวจทุกนายไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ให้กู้เงินและการทวงหนี้โดยผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด หากพบข้าราชการตำรวจคนใดมีส่วนเกี่ยวข้องร่วมมือ หรือกระทำความผิดให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางกฎหมายและวินัย พร้อมทั้งให้พิจารณาข้อบกพร่องกับผู้บังคับบัญชา


พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. กล่าวว่า  ขณะนี้ได้มีบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ประกอบธุรกิจ ในลักษณะที่เอาเปรียบประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยการให้กู้เงินในอัตราดอกเบี้ยสูงกว่ากฎหมายกำหนด หากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตรงตามที่กำหนดก็จะส่งกลุ่มชายฉกรรจ์ไปทวงหนี้โดยการข่มขู่และใช้กำลังทำลายทรัพย์สิน และทำร้ายลูกหนี้ให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนในการดำรงชีพปกติ ซึ่งการกระทำดังกล่าวนอกจากจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแล้วยังเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำให้ได้รับความเดือดร้อนทางด้านร่างกายและจิตใจมากขึ้น และเพื่อให้ประชาชนมีความอุ่นใจที่จะได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน  รวมทั้งจะมีการมาตรการเด็ดขาดกับเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นเป็นใจกับแก๊งทวงหนี้


พล.ต.ท. วัชรพล ประสารราชกิจ  โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มีอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น ตำรวจต้องใช้กำลังเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อยของกลุ่มคนที่มีความคิดต่างกัน อย่างกรณีแก็งทวงหนี้ที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบ สน.เตาปูน มีการเข้าทำร้ายร่างกายแม่ค้าที่ไปกู้เงินนอกระบบ และคิดอัตราดอกเบี้ยสูงเกินจริง ซึ่ง  พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ตำรวจทุกสถานีตำรวจสอดส่องดูแลว่ามีใครปล่อยกู้เงินในลักษณะนี้ เพราะถ้ามีจะได้หาทางแก้ไขสืบสวนจับกุมก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา  กรณีที่ สน.เตาปูน มีตำรวจจากหน่วยอื่นเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย  ทำให้รู้ว่า อาจมีตำรวจบางคนให้ความร่วมมือกับกลุ่มบุคลลที่ให้กู้ยืมอย่างผิดกฎหมาย คือให้อำนาจหน้าที่ของการเป็นตำรวจไปร่วมมือในการจะไปเรียกเก็บเงิน ใช้การเป็นตำรวจไปทำผิดกฎหมายเอง ตรงนี้ผู้บังคับบัญชา ต้องสอดส่องดูแล อย่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำอย่างนั้น เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และหากมีพยานหลักฐานเพียงพอว่าผิดวินัย หากตำรวจคนนั้นทำผิดวินัยผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องก็ต้องรับผิดชอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติห่วงใย และเห็นว่าเศรษฐกิจอย่างนี้คงมีคนที่อยากหารายได้มากให้การกู้ยืม ชาวบ้านเดือดร้อนคิดว่ากู้เงินมาใช้จ่ายแต่พอเกิดปัญหาส่งดอกเบี้ยไม่ได้ก็ไปตามเรียกเก็บเงินโดยใช้กำลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


จีนมั่นใจ"ฝ่ามรสุมวิกฤติศก." ตั้งเป้าปี52จีดีพีโต8%-สวนทางมะกันจ่อซบยาว


นายกรัฐมนตรีจีนลั่นพร้อมนำประเทศพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ  ตั้งเป้าจีดีพีปีนี้โต ร้อยละ 8 ขณะที่เฟดเผยมะกันเศรษฐกิจซบเซายาวถึงต้นปีหน้า  ด้านทีมงานโอบามาประกาศแผนอุ้มลูกหนี้บ้านใกล้หลุดจำนองมูลค่า 7.5 หมื่นล้านดอลล์


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเหวิน เจีย เปา นายกรัฐมนตรีของจีน ออกมาแสดงความเชื่อมั่นในระหว่างการแสดงสุนทรพจน์ในการประชุมสภาประชาชนหรือรัฐสภาของจีน  ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีว่า  จีนแผ่นดินใหญ่จะสามารถฟันผ่ามรสุมวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังคุกคามประเทศต่างๆ    ทั่วโลกในเวลานี้ได้อย่างแน่นอน   แม้ว่าจีนจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในศตวรรษนี้จากวิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าว


พร้อมกันนี้  นายเหวิน  ยังประกาศในที่ประชุมสภาฯ ด้วยว่า เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้ อยู่ที่ร้อยละ 8 ทั้งนี้ ทางการจีนจะพุ่งเป้าสนับสนุนอุปสงค์การบริโภคของภาคครัวเรือนให้เพิ่มมากขึ้น  เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกเหนือไปจากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  จำนวน 5.85 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


นอกจากนี้    นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของจีน   ยังระบุด้วยว่า   ตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน จะสร้างงานภายในประเทศจำนวน 9 ล้านตำแหน่งด้วย โดยจะกระจายการสร้างงานไปตามเมืองต่างๆ   รวมทั้งจะเพิ่มการอัดฉีดงบประมาณไปยังรัฐบาลท้องถิ่นของมณฑลต่างๆ ให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกร้อยละ 25 ด้วย


ขณะเดียวกันทางด้านสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ   ต้นตอปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้  ปรากฏว่า  ทางธนาคารกลางหรือเฟด  เปิดเผยรายงานฉบับล่าสุด  ระบุว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ   ยังประสบกับความเลวร้ายต่อเนื่องไปถึงปลายปีนี้หรืออาจจะถึงต้นปีหน้า ขณะที่  คณะทำงานของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยแผนการช่วยเหลือลูกหนี้ที่กำลังจะประสบปัญหาบ้านถูกยึดจากการนำไปจำนองกับธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ คิดเป็นมูลค่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


บริษัทจดทะเบียนทำกำไรปี 2551 กว่าสามแสนหนึ่งหมื่นล้านบาท


บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ทำกำไรงวดปี 2551 รวมกัน 313,068 ล้านบาท และมียอดขายรวม 7,376,036 ล้านบาท ขณะที่บริษัทจดทะเบียนมีอัตราเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ยถึงร้อยละ 6.65 กลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงสุด ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเงิน มีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 396 รองลงมาได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารมีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 67 ในขณะที่ PTT PTTEP SCB BBL และ SCC ครองแชมป์บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก


สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 ปี 2551 ขาดทุนสุทธิรวม 83,401 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 104,819 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 180 โดยส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการของบริษัทในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคที่ขาดทุนสุทธิร้อยละ 77 ของขาดทุนสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม ซึ่งมีสาเหตุมาจากผลขาดทุนของสต็อกน้ำมันจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน


นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 532 บริษัท หรือร้อยละ 97 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 546 บริษัท (รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 21 กองทุน) ได้ส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 แล้ว โดยมีกำไรรวมกัน 313,068 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 109,086 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 25 ทั้งนี้ หากไม่รวมผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม NC (Non-Compliance) และ NPG (Non-Performing Group) ในงวด ปี 2551 บริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 309,973 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 27 สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง


สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่ส่งงบการเงินประจำปี 2551 จำนวน 481 บริษัท (จากทั้งหมด 495 บริษัท) มีกำไรสุทธิรวม 310,549 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 25 โดยมียอดขายรวม 7,326,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 22


"สาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนโดยรวมมีกำไรลดลงจากปี 2550 มาจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานของกลุ่มพลังงานในไตรมาสที่สี่ และการอ่อนค่าของเงินบาทส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนที่มีภาระหนี้ต่างประเทศขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 15,456 ล้านบาท ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีแนวโน้มตกต่ำในช่วงปลายปี ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าผลประกอบการโดยรวมงวดปี 2551 ลดลง แต่บริษัทจดทะเบียนรวม SET และ mai ยังสามารถทำยอดขายสูงถึง 7.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 22 นอกจากนี้ ถ้าพิจารณาในด้านอัตราเงินปันผลตอบแทน ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียน 272 บริษัท ประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปี 2551 แล้ว พบว่ามีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงถึงร้อยละ 6.65" นางภัทรียากล่าว


สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET50 มีกำไรสุทธิ 260,498 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 83 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม (313,068 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 22 ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จึงทำให้กำไรขั้นต้นลดลงเป็นร้อยละ 16


ส่วนบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 266,085 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 85 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม (313,068 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 30 ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จึงทำให้กำไรขั้นต้นลดลงเป็นร้อยละ 16


ทั้งนี้ หากพิจารณากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจการเงินมีกำไรสุทธิ 89,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 396 และกลุ่มเกษตรและกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร มีกำไรสุทธิ 18,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 67


สำหรับบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และบมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)


ผลการดำเนินงานปี 2551 ของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) (ที่นำส่งงบการเงินและไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) จำนวนรวม 463 บริษัท มีกำไรสุทธิลดลงเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีกำไรสุทธิ 307,454 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 ร้อยละ 27 ขณะที่มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 แต่อัตรากำไรขั้นต้นก็ปรับลดจากร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 16


ทั้งนี้หากพิจารณาผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2551 ของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรมพบว่ามีเพียงกลุ่มธุรกิจการเงินเท่านั้นที่มีกำไรสุทธิปรับเพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 19,532 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นมีกำไรสุทธิลดลง สำหรับผลการดำเนินงานปี 2551 เรียงลำดับตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ดังนี้


          1. กลุ่มธุรกิจการเงิน (FINCIAL) ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิ 89,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 396


          ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง ในงวดปี 2551 มีกำไรสุทธิรวม 83,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 75,144 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 907 โดยมีสาเหตุหลักมาจากปี 2550 มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับ IAS 39 ของธนาคารพาณิชย์ ทำให้ธนาคารมีหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ปี 2551 ธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องตั้งสำรองจำนวนมากเช่นปีก่อน ส่งผลให้ปี 2551 มีหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลงร้อยละ 52 อีกทั้งธนาคารพาณิชย์มีการขยายตัวของรายได้และเงินปันผลสุทธิที่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน


ส่วนบริษัทในหมวดธุรกิจหลักทรัพย์ (ไม่รวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจเช่าซื้อและลิสซิ่ง) จำนวน 16 บริษัท มีผลประกอบการงวดปี 2551 ขาดทุนสุทธิ 14 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 101 จากที่มีกำไรในงวดปี 2550 ที่ 2,273 ล้านบาท เป็นผลจากการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 1,296 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 260 ล้านบาท และการลดลงของกำไรจากพอร์ตการลงทุน 708 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 72 จากงวดปี 2550 ซึ่งอยู่ที่ 988 ล้านบาท นอกจากนี้ รายได้ค่านายหน้ารวม ซึ่งเป็นรายได้หลักลดลงจาก 9,180 ล้านบาท มาอยู่ที่ 8,367 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 9


สำหรับบริษัทประกันภัย 15 บริษัทและบริษัทประกันชีวิต 1 บริษัท มีกำไรสุทธิปี 2551 จำนวน 3,511 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับปี 2550 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 4,087 ล้านบาท เนื่องจากรายได้และกำไรจากการลงทุนลดลงกว่าร้อยละ 46 จาก 4,340 ล้านบาทในปี 2550 เหลือ 2,326 ล้านบาทในปีปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เบี้ยประกันภัยรับสุทธิยังคงเพิ่มขึ้นจาก 37,012 ล้านบาท เป็น 43,274 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17


          2. กลุ่มทรัพยากร (RESOURC) ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ มีกำไรสุทธิ 89,670 ล้านบาท ลดจากปี 2550 ร้อยละ 55


          3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (PROPCON) ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 42,150 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 ร้อยละ 39


          4. กลุ่มเทคโนโลยี (TECH) ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 31,883 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 ร้อยละ 25


          5. กลุ่มบริการ (SERVICE) ประกอบด้วย หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดบริการเฉพาะกิจ หมวดพาณิชย์ และหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ มีกำไรสุทธิ 19,413 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 ร้อยละ 53


          6. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (AGRO) ประกอบด้วย หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิ 18,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 67


          7. กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม (INDUS) ประกอบด้วย หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 11,341 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 ร้อยละ 67


          8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CONSUMP) ประกอบด้วย หมวดของใช้ในครัวเรือน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 4,974 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 ร้อยละ 29


ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์


 






ความมั่นคง


วธ.ผุด21โครงการ1.2พันล. มิติวัฒนธรรมแก้ปัญหาใต้


สยามรัฐ - ศิลปวัฒนธรรม 5 มี.ค. นายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) กล่าวจัดทำโครงการและร่างแผนงบประมาณประจำปี 2553 ว่า ตามที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการใช้มิติวัฒนธรรมแก้ปัญหาความไม่สงบใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล มี รมว.วธ. เป็น 1 ใน 18 ในคณะกรรมการรัฐมนตรีพิเศษในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือครม.ภาคใต้ และวธ.เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีส่วนร่วมแก้ปัญหาจึงจัด ทำโครงการและร่างแผนงบปี 53 จำนวน 21 โครงการ อาทิ ศึกษาเรียนรู้ภาษายาวี ชุมชนตัวอย่างวัฒนธรรมสันติวิธี ศาสนิกสัมพันธ์ วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน ส่งเสริมการเฝ้าระวังและสร้างสรรค์วัฒนธรรมชุมชน พิพิธภัณฑ์วิถีชุมชน และโครงการบูรณปฏิสังขรณ์ เป็นต้น ใช้งบประมาณ 1,293,193,800 บาท อย่างไรก็ตามจะมีการประชุมหารือกับทั้ง 7 หน่วยงานของวธ.เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน จากนั้นจะนำร่างแผนงบประมาณดังกล่าวเสนอต่อสำนักงบประมาณต่อไป


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


 






พลังงาน-สิ่งแวดล้อม


28มี.ค. "นายกฯ"นำปิดไฟ1ชม.


นายประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าฯกทม.เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับสำนักสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และผู้เกี่ยวข้องถึงงานรณรงค์ Earth Hour 2009 "หยุดให้โลกพัก ลดใช้ไฟถ้าไม่จำเป็น" ว่าเป็นการสานต่อและขยายการรณรงค์ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน ปีที่ผ่านมาที่กทม.ร่วมกับ WWF ประเทศไทย ส่วนราชการ และภาคเอกชนร่วมรณรงค์ซึ่งไทยเป็น 1 ใน 77 ประเทศทั่วโลก และเมืองต่างๆ มากกว่า 680 เมืองทั่วโลก โดยปีที่ผ่านมาหลังปิดไฟ 1 ชั่วโมงคือ 20.00-21.00 น.สามารถลดพลังงานได้ 30% หรือ 1,384 เมกกะวัตต์ และหวังว่าทุกภาคส่วนจะร่วมทำสถิติให้ได้มากกว่าปีที่ผ่านมา


สำหรับการจัดงานจะจัดวันที่ 28 มี.ค.52 เวลา 20.00-21.00 น. โดยจุดหลักที่ถนนข้าวสาร โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นอกจากนี้ ยังมีการจัดงานในถนน 4 เส้น ได้แก่ สีลม รัชดาฯ เยาวราช และเพชรบุรีตัดใหม่ โดยระหว่างการปิดไฟ กฟน.จะโชว์ผลการใช้พลังงานที่ลดลงผ่านจอแสดงผลขนาดใหญ่ ส่วนเรื่องความปลอดภัยได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ช่วยดำเนินการ  อย่างไรก็ตาม ในอนาคตจะขยายการรณรงค์ไปยังเมืองใหญ่ของไทย เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต เพื่อให้ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศของโลกที่ลดการใช้ไฟได้มากสุด


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


ทุ่ม 600 ล้านลดโลกร้อนในไทย "ท่องเที่ยว-พลังงาน-กรอ." ขานรับ 3 ปีเห็นผล.!


เยอรมันทุ่ม 600 ล้านคลอด 6 โครงการลดโลกร้อนในไทย ด้านอุตสาหกรรมหลักทั้ง "ท่องเที่ยว-พลังงาน-กรมโรงงาน" ขานรับรีบหามาตรฐานลดก๊าซเรือนกระจก - พร้อมผุดแผนยุทธศาสตร์ 3 ปีทำงานอย่างเป็นระบบ ขณะที่จังหวัดนำร่อง "ตราด"ท่องเที่ยวแบบยั่งยืน


ปัญหาโลกร้อนหรือที่รู้จักกันนาม Global warming อาจจะดูไกลตัวเมื่อหลายปีก่อนแต่ขณะนี้กลับมีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราแทบจะทุกเวลา และปัญหานี้มีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้นก็ด้วยน้ำมือมนุษย์ ดังนั้นนประเทศไทยคือหนึ่งประเทศที่ทำ ให้ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) ซึ่งสำนักงานความร่วมมือทางวิชาการของเยอรมัน (GTZ) ได้ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวและรัฐบาลเยอรมันที่เล็งเห็นผลกระทบข้างหน้าทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและประเทศเยอรมันนีที่จะร่วมฝ่าวิกฤติโลกร้อนไปด้วยกัน


ทุ่ม 600 ล้านช่วยไทยลดโลกร้อน


โดยกรอบความร่วมมือดังกล่าวมี 6 โครงการด้วยกันคือ 1.โครงการนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ 2.โครงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในวิสาหกิจขนาดกล่างและขยาดย่อม 3. โครงการปกป้องสภาพภูมิอากาศในภาคการท่องเที่ยว 4. โครงการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนเพื่อใช้เป็นพลังงานชีวภาพ โดย 4 โครงการแรกจะมีGTZ เป็นผู้ได้รับมอบหมายงาน ขณะที่โครงการที่ 5. โครงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในพื้นที่เกาะคอเขาจังหวัดพังงา มีองค์การการท่องเที่ยวแห้งสหประชาติ (UNWTO) เป็นผู้ดูแล และโครงการสุดท้าย 6. โครงการผลิตไฟฟ้าความร้อนร่วมจากพลังงานแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงพลังมวลจะมีบริษัท โซลาไลท์ จำกัดเป็นผู้ดำเนินโครงการ


มร.ไมเคิล มึลเลอร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม คุ้มครองธรรมชาติ และความปลอดภัยทางปรมาณูแห่งสหพันธรัฐ เยอรมันนี กล่าวว่า เงินดังกล่าวที่จะนำมาสนับสนุนทั้ง 6 โครงการจะมาจากรายได้จากการขายคาร์บอนไดออกไซด์ตามระบบการค้าก๊าซเรือนกระจกในประเทศเยอรมันมาสนับสนุนโครงการ ซึ่งรัฐบาลเยอรมันได้ให้เงินไปทั่วโลกในปีหนึ่งๆกว่า 1,000 ยูโร/ปีเพื่อลดสภาวะโลกร้อน ส่วนความร่วมมือกับรัฐบาลไทยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 9 ล้านยูโรหรือคิดเป็นเงินบาทประมาณ 600 ล้านบาท โดยมุ่งหวังว่าจะส่งเสริมเกิดการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน และลดผลกระทบและเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก อย่างไรก็ดีรัฐบาลเยอรมันนียังให้การสนับสนุนประเทศเวียดนาม อินโดนีเชีย อินเดีย และจีนเป็นต้น เพราะทุกประเทศที่ว่ามาล้วนมีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเขตนี้


"กรอ.-พลังงาน-ท่องเที่ยว"ขานรับ


โดย 4 โครงการในความดูแลของGTZประกอบด้วย 1. นโยบายด้านสภาพภูมิอากาศซึ่งมีสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาและการดำเนินการงานนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ 2.โครงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในวิสาหกิจขนาดกลาง โครงการนี้จะมีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เข้ามาดูแลร่วมกับ GTZ สำหรับโครงการที่ 3. เพื่อปกป้องการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศและการท่องเที่ยว โครงการนี้จะมีองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน (อพท.) เป็นผู้ดำเนินโครงการ เบื้องต้นจะนำร่องที่จังหวัดตราด ส่วนโครงการที่ 4 .เป็นโครงการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนเพื่อใช้เป็นพลังงานชีวภาพ โดยการส่งเสริมการปลูกปาล์มที่ได้มาตรฐานสนองความต้องการของตลาดยุโรปที่เพิ่มสูงขึ้น และแสดงให้เห็นว่าการปลูกปาล์มอย่างยั่งยืนและเป็นแหล่งพลังงานทางชีวภาพสามารถป้องกันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมได้โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เป็นผู้รับผิดชอบ


ที่มา: ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 มี.ค. 2552

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net