ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 17 มีนาคม 2552





การเมือง

 

"เสธ.หนั่น" เย้ย "ทักษิณ" อีกหน่อยโฟนอินงานศพ

ไทยรัฐ - ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 12.30 น. วานนี้ (16 มี.ค.) พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายนกรัฐมนตรี และ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึง กณีที่ผลโพลระบุประชาชนเชื่อว่าอายุรัฐบาลจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี ว่า ไปถามโหร ที่ไหน ทำไมไม่มาถาม โหรเสธ.หนั่น บ้าง ทั้งนี้โดยส่วนตัวเชื่อว่ารัฐบาลนี้อยู่ได้นานครบเทอมแน่นอน เพราะรัฐบาลตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ และขณะนี้นโยบายและผลงานต่างๆ ก็เริ่มออกมาแล้ว พี่น้องประชาชนก็พอใจ และอยากให้ดำเนินการช่วยเหลือแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ โดยเราก็พยายามทำทุกวิถีทาง ไม่ใช่การช่วยเหลือไม่ถึง ทั้งพี่น้องเกษตรกร และแรงงาน ผู้ประกันตนก็ได้รับทั่วถึง

 

เมื่อถามถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถี่ขึ้น และเข้มข้นขึ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้หรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า คงไม่ถึงขั้นนั้น แค่กวนใจกันเท่านั้นเอง ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินลงไปทุกงานแม้กระทั่งงานวัดนั้น "อีกหน่อยคงถึงขนาดโฟนอินลงไปแสดงความเสียใจในพิธีฝังศพ" พล. ต.สนั่น กล่าวพร้อมกับหัวเราะแล้วจึง กล่าวว่า แต่ตนเชื่อว่าการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถทำอะไรรัฐบาลได้ เพราะถ้ารัฐบาลทำงานอย่างนี้ และเร่งที่จะแก้ปัญหา ตนว่าทำอะไรไม่ได้หรอก

 

เมื่อถามถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า จะเดินทางกลับมาประเทศไทยในสิ้นปีนี้ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ความจริงท่านก็เกิดที่นี่ และเป็นคนไทย สามารถเดินทางกลับประเทศไทยมาได้เลย เวลาไหนก็ได้ คนไทยเดี๋ยวก็ใจอ่อน เมื่อถามว่า แต่พ.ต.ท.ทักษิณ มีเงื่อนไขว่า รัฐสภาจะต้องมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม จะเป็นไปได้หรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า เนื่องนิรโทษกรรมมันเกินกว่าอำนาจที่ใครจะไปกำหนดได้ ถ้าให้สภาฯ ดำเนินการ ใครจะออกให้ ผู้แทนราษฎรจะทำอะไรก็ต้องอยู่ในกรอบ และทำให้ประชาชนไม่ด่า จะไปทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองไม่ได้

 

เมื่อ ถามว่า ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินให้คนเสื้อแดงมาชุมนุมใหญ่ที่ถนนราชดำเนิน พอจะมีแรงปลุกกระแสขึ้นมาได้หรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า คงไม่มี สำหรับกรณีที่คนเสื้อแดงต่อต้านการลงพื้นที่ของรัฐมนตรี มีความรุนแรงมากขึ้นนั้น ต้องโยนให้เจ้าหน้าที่เข้มงวด ถึงขนาดนี้แล้วจะปล่อยปละละเลยไม่ได้ ถ้าทำผิดกฎหมายตำรวจต้องดำเนินการ

 

 

"สมชาย-จิ๋ว-ผบ.ตร." โดนคดีสลายชุมนุม 7 ต.ค.

ไทยรัฐ - นาย วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนคดีเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิ ชอบ สั่งการให้ใช้อาวุธร้ายแรงเข้าปราบปรามประชาชนที่มาชุมนุมอยู่บริเวณหน้า รัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. พ.ศ. 2551 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ กล่าววันนี้ (16 มี.ค.) ว่า หลังจากที่ป.ป.ช.ไต่สวนพยาน ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนิติวิทยาศาสตร์ รวมทั้งพิจารณาสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และคณะกรรมการอิสระเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์ความไม่สงบที่รัฐบาลแต่ง ตั้งขึ้น เห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอต่อการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้เกี่ยวข้อง 7 คน ประกอบด้วย 1.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี มีความผิดทางอาญา ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 2.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี มีความผิดอาญา มาตรา 157 3.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีความผิดทางวินัย ฐานประมาทเลินเล่อ 4.พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รองผบ.ตร. มีความผิดทางวินัยเช่นเดียวกับผบ.ตร.5.พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผบช.น. มีความผิดทั้งทางวินัยและอาญา 6.พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นนวล รองผบช.น.มีความผิดทั้งทางวินัยและอาญา 7. พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รองผบช.น. มีความผิดทางวินัยและอาญา

 

นาย วิชา กล่าวว่า ส่วนพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. ไม่มีความผิด เนื่องจากมีหลักฐานว่า ในวันดังกล่าว พล.ต.ต.อำนวยขอผลัดเวรกับพล.ต.ต.เอกรัตน์ เพื่อไปเยี่ยมมารดาที่ป่วยอยู่ จึงไม่ถูกตั้งข้อกล่าวหา ทั้งนี้ จะให้ผู้ถูกกล่าวหาทุกคนมารับทราบข้อกล่าวหาพร้อมชี้แจงในปลายเดือนมีนาคม นี้ 

 

 

โฆษกกลาโหมไม่รู้แผนตากสิน รับมีขบวนการทำลายรัฐบาล

ไทยรัฐ - ในวันที่ 17 มี.ค. เวลา 10.00 น. คณะกรรมการปฏิบัติการทางการเมือง (วอร์รูม) ที่มีนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานฯ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในช่วงที่ผ่านมาโดยการประชุมครั้งนี้จะเชิญ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน รองประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมด้วย โดยหัวข้อที่จะร่วมหารือจะวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ทางการเมืองและความ เคลื่อนไหว การขับเคลื่อนทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศแผนใช้แผนตากสิน เพื่อกลับคืนสู่อำนาจตามที่ได้ประกาศอย่างชัดเจนในคืนวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ในการโฟนอินที่สนามกีฬาสามเหลี่ยมทุ่งนาเชย จ.จันทบุรี โดยจะใช้ทุกวิถีทางที่ขับเคลื่อนเพื่อล้มรัฐบาล ทั้งผ่าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ขับเคลื่อนในสภา และส.ส.พรรคเพื่อไทย บางส่วน รวมถึงแกนนำ นปช.และมวลชนกลุ่มเสื้อแดง ที่มีการเคลื่อนไหวในและนอกสภาไปในระนาบเดียวกัน โดยเป็นการเคลื่อนไหวระดับอินเตอร์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ซื้อสื่อ และใช้สื่อต่างชาติ ให้ข่าวด้านลบกับประเทศไทยและดิสเครดิสนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและรัฐบาลในภาพรวม โดยการให้ข่าวตีสองหน้า คือ ให้ข่าวในต่างประเทศมุมหนึ่ง และมาแก้ข่าวต่อสื่อผ่านคนใกล้ชิดและส.ส.พรรคเพื่อไทยอีกมุมหนึ่ง อาทิ กรณี ให้ข่าวผ่านหนังสือพิมพ์เจแปน ไทม์ ที่ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษเรื่องการทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ แต่กลับมาให้โฆษกส่วนตัวแก้ข่าวในประเทศว่า เป็นการเข้าใจผิดของสื่อประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการตรวจสอบโดยตรงไปยังหนังสือพิมพ์เจแปน ไทม์แล้ว โดยผู้สื่อข่าวที่สัมภาษณ์กับพ.ต.ท.ทักษิณในเรื่องนี้ได้ยืนยันมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้กล่าวเรื่องนี้ตรง ซึ่งนักข่าวผู้เขียนเรื่องนี้ก็ใช้เครื่องหมายคำพูด ถอดคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณลงตีพิมพ์ตามที่พูด

 

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นอกจากนี้ จะมีการหารือเน้นประเด็นการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กระจายในระดับรากหญ้าผ่าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่า ได้เงินสนับสนุนมาจากที่ไหน เพราะการจัดงานแต่ละพื้นที่ต้องใช้เงินทั้งในการจัดสถานที่ การรวมพล การรับรองด้านอาหาร เสื้อที่นำมาแจก การจัดตั้งเวที ระบบเสียง ศิลปินที่มาแสดงให้ความบันเทิงในงาน เพราะทุกขั้นตอนต้องใช้เงินจำนวนมากในการจัดงานแต่ละเวที ประมาณอย่างต่ำเป็นหลักหลายแสนถึงหลักล้าน รวมถึงพฤติกรรมมวลชนเสื้อแดงที่มีความฮึกเหิมและใช้ความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเกินขอบเขตของกฎหมายและการแสดงออกทางการเมือง รวมทั้งมีวัตถุประสงค์ประทุษร้ายต่อทรัพย์ ร่างกายและชีวิต

 

ด้าน พ.อ.จิตตสักก์ เจริญสมบัติ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสข่าวการจัดตั้งขบวนการพยายามปลุกปั่นและสร้างความวุ่นวายให้ เกิดขึ้น โดยมุ่งเป้าไปที่สถาบันเบื้องสูง กองทัพและรัฐบาล ภายใต้ "แผนตากสิน" ว่าการปลุกปั่นและสร้างความวุ่นวายเพื่อทำลายรัฐบาลนั้นมีอยู่ แต่เรื่อง แผนตากสิน นั้นยังไม่ทราบและไม่เคยเห็นรายละเอียด เชื่อว่า มีความพยายามทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและกองทัพ ซึ่งเราต้องติดตามดู เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะมีสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องจึงต้องดูข้อเท็จจริง

 

เมื่อถามว่า จากการประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองในช่วงนี้มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีการวางแผนดัง กล่าวไว้ พ.อ.จิตตสักก์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่า แผนดังกล่าวมีหรือไม่มี แต่เท่าที่รู้ก็คือมีคนที่ไม่หวังดีหลายกลุ่ม ที่พยายามสร้างความไม่สงบให้เกิดขึ้นในประเทศ โดยนำประชาชนมาเป็นเครื่องมือ

 

"หากดูจากการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถี่ขึ้น ผู้ใหญ่หลายท่านให้ติดตามสถานการณ์ แม้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะออกมาระบุว่า จะไม่ขัดขวางการโฟนอินแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เคยเปรยๆ ว่า ไม่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเข้ามาในประเทศ ไม่อยากให้พูด เพราะทุกครั้งที่โฟนอินเข้ามา จะมีการพูดชักจูงให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดความวุ่นวาย เรื่องโฟนอิน สามารถทำได้ พูดได้ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่ใช่เป็นการพูดเพื่อสร้างความไขว้เขวกับประชาชน" โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าว

 

 

เสื้อแดงเล็งเลื่อนชุมนุมใหญ่ตามศึกซักฟอกรัฐบาล

ไทยรัฐ - วานนี้ (16 มี.ค.) นายสุนัย จุลพงศธร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ประธานสภาฯ เลื่อนการพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลขึ้นมา ว่า ชี้ให้เห็นว่าเป็นเทคนิคทางการเมืองในสภาฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องการเอาเปรียบฝ่ายค้าน ปกติต้องหารือร่วมกัน แต่การอภิปรายเร็วขึ้นก็ไม่มีปัญหา เพราะข้อมูลพร้อมแล้ว เช่น การกระทำของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ที่เกิดขึ้นในหลายกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงที่มีรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยเข้าไปบริหาร โดยไปออกคำสั่งให้อธิบดีดำเนินการเอาเรื่องการใช้งบประมาณโครงการต่างๆ มาตรวจสอบดูว่าอันไหนยักได้บ้าง เรื่องนี้มีหลักฐานเป็นเอกสารในคำสั่งเป็นวันที่ไล่กันในแต่ละกระทรวง

 

นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีหลักฐานเป็นใบเสร็จที่เป็นพฤติกรรมของรัฐมนตรีที่มีหัว แต่ไม่มีสมองถูกมนต์ขลังสั่งให้ทำโครงการต่าง ๆ คือ คนที่มีอำนาจบริหาร แต่ไม่ได้ทำ คนที่สั่งทำเอง สั่งไปสั่งมาจนมีหลักฐานเป็นใบเสร็จ จึงขอให้รัฐมนตรีที่ไม่มีสมองเตรียมตัวชี้แจงให้ดี อย่ากลัวจนเกินเหตุ

 

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในฐานะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) และ กลุ่มคนเสื้อแดง และคณะทำงานด้านการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลเลื่อนวันอภิรายไม่ไว้วางใจ เข้ามาเป็นวันที่ 19-21 มี.ค. กลุ่มเสื้อแดงจะหารืออีกครั้งว่าจะเลื่อนวันชุมนุมใหญ่ที่จากเดิมจะชุมนุมใน วันที่ 29 มี.ค. อาจจะเลื่อนเข้ามา ส่วนจะเป็นวันที่เท่าไหร่จะแถลงให้ทราบต่อไป อย่างไรก็ตาม ในการชุมนุมสัญจรของกลุ่มเสื้อแดงที่เชียงใหม่ ในวันที่ 22 มี.ค.จะมีเช่นเดิม

 

ขณะที่ เมื่อเวลา 14.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย ได้มีการเปิดอบรมหลักสูตรอาสาสมัครพัฒนาทางการเมืองไทย ให้แก่ผู้สมัครส.ส.ประมาณ 100 คน โดยมีนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน เป็นวิทยากรบรรยาย ภายหลังการอบรมเกือบ 4 ชั่วโมง นายสุนัย กล่าวว่า หลังจากได้เปิดอบรม ส.ส.ไปแล้ว วันนี้ได้เปิดอบรมผู้สมัคร ส.ส.กว่า 100 คน เพื่อให้มองการเมืองในมิติใหม่ ไม่ใช่แค่เรื่องรักชอบธรรมดา ต้องเข้าใจโครงสร้างสังคมการเมืองไทย เพื่อไปชี้แจงต่อแกนนำและประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากต่อไปการเมืองไม่ใช่แค่สู้บนเวทีปราศรัย ต้องสู้กันผ่านสื่อมวลชนด้วย เนื่องจากประชาชนตื่นตัวทางการเมืองที่ต้องการเรียนรู้มากขึ้น จนเกิดขบวนการช่วงชิงทางความคิด ดังนั้นเราต้องทำให้ประชาชนเห็นว่าพรรคเพื่อไทยสร้างประโยชน์ให้ประชาชน อย่างไร และต้องทำนโยบายให้เป็นจริง เพื่อประชาชนจะได้ฝากความหวังได้ สุดท้ายมีคำถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะชนะหรือไม่ รับรองชนะแน่

 

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำนปช. และ กลุ่มคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายความมั่นคงระบุว่าขณะนี้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลใช้แผน ตากสินล้มรัฐบาล โดยอ้างว่านักการเมือง นักธุรกิจ นักเคลื่อนไหวกลุ่มหนึ่งในระบบทักษิณ ไปประชุมที่ฮ่องกง เน้นเคลื่อนไหวทุกรูปแบบ เพื่อสร้างความปั่นป่วนในบ้านเมืองว่า ส่วนตัวไม่ทราบว่าฝ่ายความมั่นคงที่อ้างเป็นส่วนราชการหน่วยงานไหน เพราะไม่มีเหตุผลที่จะต้องบินไปประชุมวางแผนถึงต่างประเทศอย่างที่เป็นข่าว เชื่อว่าเป็นการแต่งเรื่องขึ้นมามากกว่า เพราะกลุ่มคนเสื้อแดง ทำอะไรทำอย่างตรงไป ตรงไป คิดอะไรก็คิดดังๆ พูดออกไปให้ได้รับรู้ ไม่มีทำอะไร ซับซ้อนหรือแอบแฝง พวกเราคงไม่บ้าพอที่จะบินไปวางแผนถึงต่างประเทศ ดังนั้นขอท้าเลยว่าถ้าหากมีข้อ

 

 

ยุติธรรมชง ครม.ล้อมคอกแนวทางส่งตัวบุคคลออกประเทศ

ไทยรัฐ - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 มี.ค. ทางกระทรวงยุติธรรม เสนอให้ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่อง การพิจารณาส่งคนออกนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและกฎหมายว่า ด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งนี้สาระสำคัญทางคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติได้พิจารณา และให้ความเห็นชอบในหลักการให้มีการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาการพิจารณาส่ง คนออกนอกราชอาณาจักร โดยมอบให้คณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศได้พิจารณา และรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเห็นตรงกันและได้ข้อสรุปว่าเห็นควรมีการกำหนดแนวทางเพื่อการพิจารณา ดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกัน

 

โดยกรณีดังกล่าวจะไม่กระทบต่อกรณีอื่น ๆ ในการส่งคนคนออกนอกราชอาณาจักร โดยเฉพาะกรณีคนสัญชาติประเทศเพื่อนบ้านกับประเทศไทย ดังนี้คือ การดำเนินการส่งคนออกนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองควรดำเนิน การด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยเฉพาะในกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองทราบว่า บุคคลที่ต้องส่งออกนอกราชอาณาจักรมีรัฐต่างประเทศต้องการตัวบุคคลนั้นเพื่อ นำไปดำเนินคดีอาญาหรือรับโทษทางอาญา และทราบด้วยว่าการส่งตัวออกนอกราชอาณาจักรเช่นว่านั้น จะเป็นการส่งตัวไปอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ประเทศนั้น เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองควรต้องหารือกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเช่น อัยการสูงสุด กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงต่างประเทศก่อนจะมีคำสั่งส่งตัวบุคคคลดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักร

 

อย่างไรก็ตามทางสำนักงานศาลยุติธรรมมีความเห็นว่าในแนวทางดังกล่าวสมควรต้องปรับถ้อยคำโดย กำหนดให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่มีหน้าที่ดำเนินการกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งได้รับเรื่องการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว แจ้งรายชื่อและข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลนั้นไปยังเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคน เข้าเมือง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนมีคำสั่ง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการส่งผู้ร้ายข้าม แดน เห็นควรแก้ไขกฎหมายเพื่อให้อำนาจของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในการกักตัว บุคคลต่างด้าวเพื่อรอส่งกลับ และให้การกักตัวตามกรณีดังกล่าวเป็นการกักตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย.

 

 

กยต.อนุมัติงบกลาง 2 พันล้าน ช่วยผู้ได้รับผลเหตุ 3 จังหวัดใต้

มติชนออนไลน์ - นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบ เนื่องจากสถานการณ์ความ ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กยต.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ภายหลังการประชุมว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 31พฤษภาคม 2578 เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบ เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการให้ความช่วยเหลือจะประกอบด้วย

 

1) ผู้ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติราชการประจำในพื้นที่หรือประชาชนที่อยู่ใน พื้นที่ กรณีได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต/ทุพพลภาพ และพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย

 

2) ผู้ได้รับผลกระทบซึ่งเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เป็นครั้งคราว กรณีได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต/ทุพพลภาพ

 

3) ผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบการขนาดกลาง และผู้ประกอบการรายใหญ่  กรณีอาคาร สินค้าและทรัพย์สินเสียหาย

 

4) การให้ความช่วยเหลือกรณีอื่นๆ  เช่น กรณีทุนการศึกษารายปีต่อเนื่องเงินอุดหนุนสงเคราะห์ครอบครัว การส่งเสริมอาชีพ การฟื้นฟูด้านจิตใจ เงินช่วยเหลือผู้พิการ  เงินจ่ายยังชีพรายเดือน ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยต. ได้ให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ เป็นเงินช่วยเหลือชดเชยตามหลักเกณฑ์ของคณะรัฐมนตรีดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2548- ปัจจุบัน 2552 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,069,666,309 บาท และในส่วนของแผนงาน/โครงการของคณะอนุกรรมการ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 944,444,159 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,014,110,468 บาท

 

ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรีในครั้งนั้น ได้เห็นชอบแหล่งเงินที่ใช้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบฯ โดยให้ใช้จ่ายลักษณะเป็นโครงการพิเศษจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาล และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยการประสานและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบฯ เบื้องต้น จำนวน 700 ล้านบาท และงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นภายในกรอบวงเงินอีกไม่เกิน  200 ล้านบาท

 

สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ที่ประชุมโดยความเห็นของสำนักงบประมาณเห็นว่า ขณะนี้ระยะเวลาการดำเนินการได้ผ่านมาสองไตรมาสแล้วโดยใช้วงเงินงบประมาณงบ กลางปี2551 ดำเนินการไปก่อน ดังนั้น จึงควรอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น ในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบฯ วงเงินจำนวน 400 ล้านบาท สำหรับให้การช่วยเหลือระหว่างเดือนมีนาคม - กันยายน 2552

 

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแผน ปฏิบัติการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ตามที่คณะอนุกรรมการคณะต่างๆ ภายใต้ กยต. ศูนย์ปฏิบัติการเยียวยาประจำจังหวัด (จังหวัดยะลา  ปัตตานี  นราธิวาส และสงขลา) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เสนอ จำนวน 72 แผนงาน/โครงการ เนื่องจากเป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2551 ซึ่ง กยต. ได้เคยพิจารณาให้ความเห็นชอบไว้แล้ว อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความรอบคอบเห็นควรแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อพิจารณากลั่นกรอง โดยมี ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนิตยา วงศ์เดอรี)  เป็นประธาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย  ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ผู้แทนสำนัก-งบประมาณ ผู้แทน ศอ.บต. ผู้แทนจังหวัดยะลา  ปัตตานี  นราธิวาส และสงขลา เพื่อร่วมกันพิจารณาในรายละเอียดและนำเสนอ ประธาน กยต. พิจารณาให้ความเห็นชอบวงเงินงบประมาณเพื่อเบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตาม แผนงาน/โครงการของคณะอนุกรรมการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

ที่ประชุมยังได้อนุมัติงบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ นอกเหนือหลักเกณฑ์ฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 จำนวน 19 ราย 5,225,000 บาท อนุมัติโครงการส่งเสริมการประกอบอาชีพเกษตรและการส่งเสริมการพัฒนาอาชีพ เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3๓ จังหวัด 19 โครงการ งบประมาณ 27,276,290 บาท อนุมัติงบประมาณในการช่วยเหลือนางสาวนัจวา สะนิ บุตรนายอับดุลการีม  สะนิ นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยรถไฟ โดยให้ความช่วยเหลือนายอับดุลการีม สะนิ และครอบครัวเป็นกรณีพิเศษ เป็นเงิน 1,000,000 บาท ให้ความช่วยเหลือทุนการศึกษาให้กับนางสาวอาตีก๊ะห์  สะนิ บุตรสาวลำดับที่ 5 ครอบครัวเดียวกัน จำนวน 1 ทุน เป็นเงิน 20,000 บาท รวม 4 ปี เป็นเงิน 80,000 บาท และให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำนวน 4 รายๆ ละ 50,000 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,280,000 บาท ดังนั้น รวมเป็นเงินงบประมาณที่อนุมัติในการช่วยเหลือเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบฯ สำหรับโครงการส่งเสริมอาชีพ การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบฯ นอกเหนือหลักเกณฑ์ และการช่วยเหลือกรณีทหารพรานยิงนักศึกษาพยาบาลเสียชีวิตบนรถไฟเป็นเงินทั้ง สิ้น 33,781,290 บาท

 

 





เศรษฐกิจ

 

กบข. แจงมูลค่าเงินลงทุนไม่ได้ลดลง 58,093 ล้านบาท

มติชนออนไลน์ - ตามที่ได้มีข้อมูลปรากฏทางสื่อมวลชนว่า "มูลค่าเงินลงทุนของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ในระหว่างปี 2550-2551 ลดลงจำนวน 58,093 ล้านบาทนั้น "

 

กบข. ขอชี้แจงข้อเท็จจริงในวันที่ 16 มีนาคมนี้ว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง โดยในข้อเท็จจริงนั้น อัตราผลตอบแทนส่วนของสมาชิกติดลบ 5.12% หรือคิดเป็นจำนวน 16,832 ล้านบาท สอดคล้องตามที่ กบข. ได้เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวผ่านสื่อสวลชน และ www.gpf.or.th รวมทั้งสื่อต่างๆ ของ กบข. ไปแล้วก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมถึงเงินลงทุนที่ กบข. บริหารทั้งหมดทั้งในส่วนของเงินกองทุนสมาชิกและส่วนเงินสำรอง* ผลตอบแทนลดลง 4,216 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนติดลบ 1.12%   (*เงินสำรอง ตาม พ.ร.บ. กบข. มาตรา 72 ให้รัฐตั้งงบประมาณรายจ่ายเป็นรายปีเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า ร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายบำเหน็จบำนาญของข้าราชการประจำปีเข้าบัญชี เงินสำรองทุกปี...)

 

หากพิจารณาเปรียบเทียบผลการเจริญเติบโตของ กบข. ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ( 49-51 ) จะพบว่าในปี 2549 กบข. มีสินทรัพย์สุทธิในส่วนของสมาชิกทั้งสิ้น 275,315.89 ล้านบาท ในปี 2550 กบข. มีสินทรัพย์สุทธิในส่วนของสมาชิกทั้งสิ้น 315,926.30 ล้านบาท และในปี 2551 มีสินทรัพย์สุทธิในส่วนของสมาชิกทั้งสิ้น 308,240.94 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าตัวเลขดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งในทางที่เพิ่มขึ้นหรือลด ลง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี และขึ้นอยู่กับการจ่ายเงินคืนสมาชิกพ้นสมาชิกภาพในแต่ละปี

 

ซึ่งในปี 2551 นอกจากการเกษียณอายุราชการตามเกณฑ์ปกติแล้ว ยังมีผู้เกษียณอายุก่อนกำหนดอีกด้วย อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาผลประโยชน์สะสมตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบัน กบข. ยังสามารถสร้างผลตอบแทนให้สมาชิกได้อย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง เห็นได้จากตัวเลขอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสุทธิย้อนหลังสำหรับสมาชิกแต่ละคน ตั้งแต่ตั้งกองทุนเท่ากับ 7.04 %ต่อปี ซึ่งยังสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ 3.26 % ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์เฉลี่ยที่ 2.06 % ต่อปี

 

สำหรับมูลค่าเงินลงทุนของ กบข. ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าลดลงเป็นจำนวนมากนั้น กบข. ขอชี้แจงว่าการลดลงดังกล่าวมีสาเหตุเกิดจากการขาย และไถ่ถอนตามกำหนดอายุของตราสารหนี้สถาบันการเงิน ตราสารหนี้บริษัทเอกชน และการขายหุ้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในช่วงที่เศรษฐกิจมีสภาวะชะลอตัว โดยนำเงินจำนวนดังกล่าวไปซื้อตราสารหนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การลดลงยังมีสาเหตุจากการที่ราคาหลักทรัพย์ที่ถือครองอยู่ปรับลดลงตามภาวะ ตลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งยังมิได้มีการขายออกแต่อย่างใด เนื่องจาก กบข. เห็นว่าหลักทรัพย์ดังกล่าวยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และมีแนวโน้มที่ราคาหลักทรัพย์นั้น ๆ จะปรับตัวสูงขึ้น หากภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นในอนาคต

 

สำหรับประเด็นเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทแห่งหนึ่งในกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์นั้น กบข. ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงกับสมาชิกว่า ในการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ตราสารทุนนั้น กบข. จะพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์แต่ละตัวประกอบกับราคาหลักทรัพย์ใน ขณะนั้น กล่าวคือ กบข. จะทำการขายหลักทรัพย์เมื่อเห็นว่าราคาหลักทรัพย์นั้นสูงกว่าราคาปัจจัยพื้น ฐานที่ควรจะเป็น ในทางกลับกัน กบข. จะซื้อหลักทรัพย์เมื่อ เห็นว่า ราคาหลักทรัพย์นั้นต่ำกว่าราคาพื้นฐาน ดังจะเห็นได้จากการที่ กบข. ได้ทำการซื้อขายหุ้นธนาคารพาณิชย์ และหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2551 โดยมีราคาซื้อเฉลี่ยที่ต่ำกว่าราคาขายโดยเฉลี่ย

 

ทางกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการมีเป้าหมายที่จะบริหารเงินลงทุนให้มี ความมั่นคง และมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อสมาชิกในระยะยาว เพื่อให้สมาชิกมีเงินเพียงพอต่อการเกษียณอายุในอนาคต

 

 

แบงก์กรุงเทพ ตั้งโต๊ะรับเช็คช่วยชาติจ่ายเป็นเงินสด

ไทยรัฐ - ผู้สื่อข่าวรายงานวานนี้ (16 มี.ค.) ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรียกธนาคารพาณิชย์หารือเรื่องระบบการเคลียร์ริ่งเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท ซึ่งรัฐบาลจะนำเข้าสู่ระบบในวันที่ 26 มี.ค. - 8 เม.ย.นี้ และจะมีเช็คเข้าสู่ระบบ 10.4 ล้านฉบับ โดยเมื่อรวมกับเช็คของภาคธุรกิจที่ใช้จ่ายประจำวันแล้ว อาจจะทำให้ระบบเคลียร์ริ่งเช็คระหว่างธนาคาร มีปัญหาล่าช้า

 

นายธีระ อภัยวงศ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังการประชุมว่า วันที่ 26 มี.ค.-8 เม.ย.ถือเป็นช่วงพิเศษ ที่จะมีเช็คจำนวนมากเข้าสู่ระบบการเคลียร์ริ่ง ทำให้หากประชาชนที่ได้รับเช็คยังไม่ใช้เงินทันที ต้องการที่จะนำเงินเข้าบัญชี ในกรณีเป็นเช็คข้ามธนาคารอาจจะต้องใช้เวลาในการเคลียร์ริ่งนานกว่าปกติ โดยอยู่ที่ประมาณ 5 วันทำการ จึงจะได้เงินเข้าบัญชี แต่หากเป็นบัญชีธนาคารกรุงเทพ เงินจะเข้าบัญชีในวันรุ่งขึ้น

 

"และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ต้องการเงินสด สำหรับนำไปใช้จ่ายใช้สอยในทันที ธนาคารกรุงเทพได้ประสานกับทุกสาขาของธนาคารกรุงเทพทั่วประเทศ ให้ประชาชนสามารถนำเช็คช่วยชาติมาแลกเป็นเงินสด 2,000 บาท ได้ทันที โดยไม่ต้องรอระบบการเคลียร์ริ่งเช็ค ได้ที่เคาน์เตอร์ของธนาคารกรุงเทพทุกสาขา โดยธนาคารกรุงเทพได้เตรียมเงินสด และพนักงานไว้พร้อมที่แลกเช็คให้ประชาชนไว้อย่างเพียงพอ" นายธีระ กล่าว และว่า  ธนาคารกรุงเทพยังมีแนวคิดที่จะออกไปตั้งโต๊ะรับแลกเช็คช่วยชาติเป็นเงินสด ในจุดเดียวกันกับที่รัฐบาลเปิดให้ประชาชนที่ลงทะเบียนไว้มารับเช็ค เพื่อสร้างความสะดวก และทำให้เงินเข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ทางธนาคารกรุงเทพจะหารือกับรัฐบาลในรายละเอียดว่า ประชาชนจะเดินทางมารับเช็คในวันที่ 26 มี.ค.-8 เม.ย.ในจุดใดบ้าง ธนาคารจะได้พิจารณาว่า จะจัดโต๊ะมาตั้งเพื่อรับแลกเช็คเป็นเงินสดที่ใดบ้าง โดยจะพยายามตั้งโต๊ะรับแลกในจุดใหญ่ๆ ให้ได้มากที่สุด

 

นายธีระ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 26 มี.ค.ซึ่งเช็คช่วยชาติจะออกมาลอตใหญ่ 6-7 ล้านฉบับนั้น ธนาคารกรุงเทพจะพยายามให้เกิดปัญหาน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อยากจะขอความร่วมมือกับประชาชนที่ได้รับเช็ค ถ้าต้องการแลกเป็นเงินสดเพื่อนำไปใช้จ่าย ขอให้มาแลกเป็นเงินสดที่สาขาของธนาคารกรุงเทพ หรือโต๊ะที่ตั้งไว้รองรับ เพราะหากนำไปขึ้นเงินหรือเข้าบัญชีต่างธนาคารอาจจะเสียเวลาหลายวัน ทั้งนี้ นอกเหนือจากแลกเป็นเงินสดแล้ว เช็คช่วยชาติยังสามารถนำไปใช้จ่ายได้ที่ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าที่ร่วมรายการ นอกจากได้รับเงินทอนแล้ว ยังจะได้รับส่วนลดตามที่แต่ละร้านจัดโปรโมชั่นอีกด้วย

 

ด้านนายฉิม ตันติยาสวัสดิกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) สายระบบข้อสนเทศ กล่าวว่า ในที่ประชุมมีข้อสรุปชัดเจนการจัดการเช็คช่วยชาติว่า จะแยกระบบชัดเจนจากระบบเคลียร์ริ่งเช็คตามปกติ เพราะระบบเคลียร์ริ่งเช็คอิเลคทรอนิกส์ ของ ธปท.สามารถรับเช็คได้สูงสุดประมาณ 800,000 ฉบับต่อวัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้กระทบกับระบบการใช้เช็คของภาคธุรกิจ ซึ่งในช่วงปลายเดือนมี.ค.จะมีเช็คสั่งจ่ายภาษีจำนวนมาก ทำให้ที่ประชุมแยกการจัดการออกมาตั้งหาก โดยหากธนาคารพาณิชย์รายอื่นที่ได้รับขึ้นเงินเช็คช่วยชาติ ให้นำใบเช็คที่ได้รับมาส่งให้ธนาคารกรุงเทพเป็นใบๆ หลังจากนั้น ธปท.จะช่วยสนับสนุนธนาคารกรุงเทพ โดยให้ธนาคารกรุงเทพนำเช็คช่วยชาติที่ได้มาใช้เครื่องคัดแยกเช็คความเร็วสูง ที่ธปท.ซึ่งสามารถคัดแยกเช็คแยกวงเงิน และธนาคารผู้รับเงินได้สูง 1 ล้านฉบับต่อวัน และจะทำให้การสั่งจ่ายเงินตามเช็คของธนาคารกรุงเทพ ไปยังธนาคารอื่นๆ รวดเร็วมากกว่า ให้ธนาคารกรุงเทพดำเนินการคัดแยกเอง

 

"ยืนยัน ระบบที่แยกออกมาจะสามารถดูแลเช็คปลอม และทำให้ความสับสนในการสั่งจ่ายเงินตามเช็คมีน้อยลง และการแยกระบบดังกล่าวจะทำให้ภาคธุรกิจที่ต้องใช้เช็คสั่งจ่ายไม่เกิดปัญหา ความล่าช้า" นายฉิม กล่าว

 

 





คุณภาพชีวิต

 

บอร์ดนมมีมติยกเลิกโซนนิ่งนมโรงเรียน-ซื้อขายอิสระ

ไทยรัฐ - วานนี้ (16 มี.ค.) นายเฉลิมพร พิรุณสาร รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์โคนม หรือมิลค์บอร์ด ว่า คณะกรรมการมีมติยกเลิกระบบโซนนิ่งที่มีอยู่ทั้งหมด 3 โซน ได้แก่ โซนภาคเหนือ  ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้การดำเนินการซื้อนมโรงเรียนเป็นไปอย่างเสรี ผู้ประกอบการสามารถเสนอขายได้ทั่วประเทศ

 

 นายเฉลิมพร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติยกเลิกคณะอนุกรรมการบริหารอาหารเสริมนมโรงเรียนและคณะ อนุกรรมการรับรองสิทธิในการจัดจำหน่ายอาหารเสริมนมโรงเรียน และจัดตั้งคณะกรรมการจัดระบบอาหารเสริมนมโรงเรียนขึ้นมาแทน เพื่อดูแลการบริหารจัดจำหน่ายนมโรงเรียนทั้งระบบ โดยมี นายยุคล ลิ้มแหลมทอง อธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธาน ซึ่งจะต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์และระเบียบต่างๆ ในการบริหารจัดการนม รวมถึงคุณสมบัติของผู้ประกอบการที่จะสมัครเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายนมโรงเรียน ให้แล้วเสร็จก่อนโรงเรียนเปิดเทอมประมาณ 1 เดือน 

 

ส่วนปัญหาน้ำนมดิบที่ล้นตลาดอยู่ 288 ตันต่อวันนั้น รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า  ในการบันทึกข้อตกระหว่างผู้ประกอบการและเกษตร ได้มีการกำหนดให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) รับซื้อจากเกษตรกร 200 ตันต่อวัน สหกรณ์วังน้ำเย็นรับซื้อไป 50 ตันต่อวัน  และที่เหลืออีก 38 ตัน ให้สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี (ในพระบรมราชูปถัมภ์) รับซื้อ เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดได้อย่างแน่นอน

 

รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าวด้วยว่า ยังไม่มีการหารือถึงข้อกำหนดในการปรับลดการผลิตนมพาสเจอร์ไรส์หรือนมถุงที่ แน่นอน แต่คาดว่าจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดิมของมติ ครม. ที่กำหนดให้มีการปรับการผลิตนมถุงเหลือร้อยละ 30 และนมกล่องร้อยละ 70 ทั้งนี้ อาจปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมได้ นอกจากนี้ ยังจะจัดสรรงบประมาณอีก 25 ล้านบาท เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนหันมาบริโภคนมสดแท้มากขึ้น โดยเน้นเป้าหมายไปที่กลุ่มเด็กและเยาวชน เพื่อส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงขึ้น

 

 





วิทยากร-โบราณคดี

 

ตราประทับสำริดราชวงศ์ฮั่นช่วยยืนยัน 5 จังหวัดใต้แหล่งค้าโบราณเชื่อมเส้นทางสายไหม

มติชนออนไลน์ - กรณีการตรวจสอบลูกปัดและแก้วที่ใช้ผลิตลูกปัดโบราณขุดพบในพื้นที่ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ และเขาสามแก้ว ต.นาชะอัง อ.เมืองชุมพร ด้วยวิธีการทางเคมีวิเคราะห์ที่สหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส พบมีอายุราว 2 พันปี และการผลิตลูกปัดในยุคนั้นใช้เทคนิคขั้นสูงนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 16 มีนาคม นักโบราณคดียังพบร่องรอยหลักฐานที่สำคัญ ได้แก่ พบเศษภาชนะและตราประทับสำริดจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น ในพื้นที่เขาสามแก้ว และที่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี รวมทั้งบริเวณบ้านบางกล้วย อ.สุขสำราญ จ.ระนอง ทำให้ข้อสันนิษฐานที่ว่าบริเวณ 5 จังหวัดภาคใต้ตั้งแต่ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี กระบี่ และพังงา เป็นแหล่งการค้าเชื่อมโยงกับเส้นทางสายไหมทางทะเลระหว่างโลกตะวันออกและ ตะวันตกในยุคโบราณมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ หลักฐานสมัยราชวงศ์ฮั่นพบบริเวณเขาสามแก้วเป็นตราประทับสองชั้น รูปเต่า มีอักขระจีนโบราณ 4 ตัว นายโอลิวิเย่ เวนจูเร่ นักวิจัยจากปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส นำไปวิเคราะห์พบเป็นตราประทับสำริดรูปแบบเก่าแก่ที่สุดที่ใช้ในแผ่นดินจีน ช่วงพุทธศตวรรษที่ 5-9 โดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์ฮั่นนิยมใช้แพร่หลาย

 

นักวิจัยจากฝรั่งเศสแปลอักขระจีนโบราณทั้ง 4 ตัวได้ว่า ตรงของหลู่ ยู่กง (Seal of Lu Yougong) เป็นตราประทับของเอกชน ไม่ใช่ของราชการหรือราชสำนัก คาดน่าจะใช้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 5-7

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลักฐานราชวงศ์ฮั่นยังค้นพบใน อ.คลองท่อม เป็นเศษคันฉ่องสำริด ปัจจุบันนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์วัดคลองท่อม ส่วนที่ อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช ขุดพบเป็นเครื่องสำริด เดิมนักวิชาการสันนิษฐาน พื้นที่ภาคใต้ของไทยที่เป็นแหล่งผลิตลูกปัดอยู่ในสมัยทวารวดีและศรีวิชัย หรืออยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-15 เทียบเท่าช่วงราชวงศ์ถังของจีน แต่เมื่อค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์เหล่านี้เพิ่มเติม ทำให้ข้อสันนิษฐานเปลี่ยนไปเพราะเป็นหลักฐานที่มีอายุเก่าแก่กว่าเกือบ 500 ปี

 

ทางด้านพระครูรัตนสุธี รองเจ้าอาวาสวัดแก้วโกวราราม อ.เมือง จ.กระบี่ ให้สัมภาษณ์ว่า ชุมชนคลองท่อมโบราณน่าจะมีอายุไม่น้อยกว่าช่วงพุทธศตวรรษที่ 10-12 ตามหลักฐานการกำหนดอายุสมัยจากโบราณวัตถุที่พบในชุมชน ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2516

 

นายมานิต วัลลิโภดม และนายศรีศักร วัลลิโภดม นักโบราณคดีชั้นนำ อ้างถึงควนลูกปัดในพื้นที่ อ.คลองท่อม ว่า แหล่งโบราณคดีแห่งนี้น่าจะเป็นเมืองท่าโบราณแห่งหนึ่งในภาคใต้โดยเป็นแหล่ง อุตสาหกรรมทำแก้วและหลอมโลหะดีบุก เป็นเส้นทางข้ามคาบสมุทร ราวพุทธศตวรรษที่ 8-9 ลงมา น่าจะเป็นเมืองท่า "ตักโกลา" ในอดีต เนื่องจากบริเวณดังกล่าวทั้ง จ.ตรัง และ จ.กระบี่ อยู่ในตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมเหมือนกันนั่นคือ อยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เรียกว่าอ่าวพังงา และเป็นที่ราบลุ่มเหมาะกับทำการค้าและเพาะปลูก โดยเส้นทางคลองท่อมเชื่อมต่อฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามัน

 

นายกลิ่น คงเหมือนเพชร นักวิชาการศูนย์วัฒนธรรม จ.กระบี่ กล่าวว่า ชื่อตักโกลาบันทึกอยู่ในจดหมายเหตุของนายคลอดิอุส ปโตเล นักปราชญ์ชาวกรีก เมื่อราว พ.ศ.800 มีความหมายเป็นสถานีการค้าที่อยู่ในตำแหน่ง ต.คลองท่อม อ.คลองท่อม จ.กระบี่

 

"อ.คลองท่อม แม้จะไม่มีใครพบร่องรอยการก่อสร้างอาคารโบราณสถานใหญ่โตเหมือนเมืองโบราณ อื่นๆ แต่พบหลักฐานต่างๆ มากมายที่ขุดพบ แสดงว่าในอดีตเคยเป็นชุมชน เป็นสถานีการค้า ทำหน้าที่เป็นประตู (Gatway) ทางฝั่งทะเลตะวันตกที่เปิดไปสู่ทะเลฝั่งตะวันออกที่อ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี" นายกลิ่นกล่าว

 

นายกลิ่นกล่าวว่า คลองท่อมเหมาะเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณเพราะสามารถติดต่อทางทะเลได้สะดวก โดยอาศัยลำคลองท่อมซึ่งสมัยก่อนคงลึกเข้าไปในแผ่นดินอีกมาก เรือขนาดใหญ่สามารถเข้าจอดได้เพื่อขนถ่ายสินค้า สังเกตจากการขุดพบซากเรือหลายลำที่จม หลักฐานต่างๆ ที่พบล้วนเชื่อมโยงกับยุคกรีก โรมัน อินเดีย อาหรับ จีน และอียิปต์

 

"หลักฐานที่วัดคลองท่อมเก็บรวบรวมไว้บ่งบอกถึง ความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี อาทิ วัตถุที่ทำด้วยหิน เช่น เครื่องมือหิน หินสลัก แม่พิมพ์ ตราประทับ ลูกปัดหิน ก้อนรัตนชาติ วัตถุทำด้วยแก้ว เช่น ลูกปัดแก้ว กำไล แก้วหล่อ แหวน เศษภาชนะ วัตถุที่ทำด้วยดินเผา อาทิ ภาชนะดินเผา ตะคันดินเผา แม่พิมพ์ลายประทับ วัตถุทำด้วยสำริด เช่น แหวน กำไล ตุ้มหู รูปสัตว์ต่างๆ เหรียญรูปสัตว์ต่างๆ วัตถุที่ทำด้วยทอง เช่น ลูกปัดทองคำแท่งหรือแผ่นแหวนทองคำ" นายกลิ่นกล่าว

 

นายกลิ่นกล่าวว่า นอกจากการขุดพบลูกปัดและแก้วแล้วยังพบหลักฐานซากไม้กระดาน สมอเรือจมอยู่ในลำคลองหลายลำบ่งบอกว่าเป็นเรือสินค้า แสดงถึงความสัมพันธ์ด้านการค้า

 

นายพิริยะ ศรีสุขสมวงค์ นายกเทศมนตรีตำบลคลองท่อมใต้ อ.คลองท่อม ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจาก จ.กระบี่ จัดเสวนา เรื่องโอกาสการพัฒนาคลองท่อมสู่จุดหมายการท่องเที่ยว ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแล้วก้าวต่อไปจะเชิญทีมบริหารของเทศบาล และทางนายอำเภอคลองท่อม จัดทำแผนพัฒนา อ.คลองท่อม ให้เป็นเมืองสุริยเทพ เมืองที่สำคัญทางประวัติศาสตร์

 

นายภคพล พฤฒปภพ วัฒนธรรมจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า สำนักงานวัฒนธรรม จ.กระบี่จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมด จัดทำแผนเพื่อนำเสนอทางผู้ว่าราชการจังหวัดต่อไป

 

 





ต่างประเทศ

 

ผู้นำอินโดฯจี้พม่าเร่งแก้ไขปัญหาโรฮิงญา

ไทยรัฐ - สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน วันนี้ (17 มี.ค.) นายกรัฐมนตรี เต็ง เส็ง ของพม่า เดินทางถึงกรุงจาการ์ตาแล้ว เพื่อเริ่มต้นการเดินทางเยือนอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 2 วัน โดยมีประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุดโดโยโน ผู้นำอินโดนีเซีย ให้การต้อนรับและนำตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะพบหารือทวิภาคีเกี่ยวกับการกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง กันในด้านต่างๆ

 

คาดว่าประธานาธิบดียุดโดโยโน จะเรียกร้องไปยังรัฐบาลพม่าผ่านนายกรัฐมนตรีเต็ง เส็ง ให้เร่งแก้ไขปัญหาผู้อพยพชาวมุสลิมโรฮิงญา ที่อพยพออกจากพม่าไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และไทย จนกลายเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายให้ความสนใจอย่างมาก นอกจากนี้ ผู้นำอินโดนีเซียยังจะเรียกร้องให้พม่าเร่งเดินหน้าปฏิรูปประชาธิปไตย และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้าอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมด้วย

 

 

โรงงานเกาหลีใต้เริ่มงดการผลิตหลังพรมแดนถูกปิด

ไทยรัฐ - สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน วันนี้ (17 มี.ค.) โรงงานเกาหลีใต้ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมแคซองเริ่มระงับการผลิตชั่วคราว เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบ หลังจากเกาหลีเหนือยังไม่ยอมให้ยานพาหนะกลับข้ามพรมแดนเข้าไปในเกาหลีเหนือ

 

รายงานข่าวระบุว่า แม้ทางการเกาหลีเหนือจะอนุญาตให้ชาวเกาหลีใต้ 453 คน และยานพาหนะ 200 คันจากนิคมอุตสาหกรรมแคซองเดินทางข้ามพรมแดนกลับมาที่เกาหลีใต้ หลังจากที่สั่งปิดไปนาน 3 วัน แต่เกาหลีเหนือยังไม่ยอมตอบรับคำร้องขอของเกาหลีใต้ที่ต้องการให้อนุญาตให้ คนจากฝั่งเกาหลีใต้เดินทางกลับเข้าไป ทำให้บรรดาโรงงานชาวเกาหลีใต้เกือบครึ่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในนิคม อุตสาหกรรมแกซองต้องระงับการผลิตชั่วคราว เนื่องจากรถบรรทุกไม่สามารถนำวัตถุดิบสำหรับการผลิตเข้าในภายในนิคม อุตสาหกรรมได้

 

เกาหลีเหนือสั่งปิดพรมแดนและตัดสายโทรศัพท์ฮอตไลน์ทางทหารที่ใช้ในการติดต่อกับเกาหลีใต้ ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม เพื่อแสดงความไม่พอใจที่เกาหลีใต้จัดการซ้อมรบร่วมกับสหรัฐ แต่ต่อมาก็อนุญาตให้ข้ามไปได้และสั่งปิดอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท