เรื่องอันสืบเนื่อง จากกรณีกลุ่มชาวบ้านปิดล้อมเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดที่เข้าตัดฟันต้นยาง 1 วัน 1 คืน เต็มๆ ความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ทำอยู่ทำกินบนผืนแผ่นดินที่ทับซ้อนกับเขตป่าอนุรักษ์ และคำสั่งนายกฯ อภิสิทธิ์ในการตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดิน
การข่มขู่คุกคาม ทำลายทรัพย์สิน รื้อถอนและทำลายพืชผลทางการเกษตร ตลอดจนการจับกุมดำเนินคดีทางอาญาและแพ่งเป็นปัญหาของเกษตรกรที่ทำอยู่ทำกินบนผืนแผ่นดินที่ทับซ้อนกับอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือวนอุทยานที่ได้ชื่อว่ามีรัฐครอบครองเป็นเจ้าของ และมีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ดูแลทรัพย์สมบัติของชาติ
เมื่อความจริงคือมีคนอยู่กับป่าและมีคนใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่า แต่เมื่อผู้กระทำการแสวงหาประโยชน์จากผืนแผ่นดินเหล่านั้นคือชาวบ้านธรรมดา ไม่ใช่นายทุน หรือนักธุรกิจใหญ่โต พวกเขาต้องตกอยู่ในฐานะของผู้กระทำผิด (กฎหมาย) และถูกกระทำเสมอมา
แม้ที่ผ่านมาชาวบ้านจะเรียนรู้การต่อสู้ มีการรวมตัว ต่อรอง แต่เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐยึดถือกฎหมาย ส่วนชาวบ้านยึดถือวิถีชีวิตการแก้ปัญหาจึงยังขัดแย้งและสวนทาง
ล่าสุดในความรับรู้ คือกรณีขององค์กรชุมชนบ้านตระ ต.ปะเหลียน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัด ถูกเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด จำนวนกว่า 50 คนพร้อมอาวุธ เข้าไปตัดฟันต้นยางของชาวบ้านในพื้นที่ โดยอ้างว่าเป็นการ "แผ้วถางบุกรุก" ทำให้ชาวบ้านจำนวนกว่า 200 คนทั้งเด็กและคนแก่ทำการล้อมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทั้งหมดไว้ในพื้นที่กว่า 1 วัน 1 คืน เต็มๆ
00000
ความคืบหน้าเหตุการณ์ล้อมเจ้าหน้าที่อุทยาน จบลงด้วยดี???
บุญ แซ่จุ่ง ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัด ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เมื่อ ช่วงบ่ายของวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา นายคม ชัยภักดี หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยอาวุธปืนครบมือ ขวาน และมีดพร้า เข้าไปในพื้นที่หมู่ 2 บ้านตระ ต.ปะเหลียน อ.ปะเหลียน เมื่อชาวบ้านทราบข่าวก็ได้ตามเข้าไปในพื้นที่และสอบถามถึงจุดประสงค์ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่บอกว่าจะเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ป่าซึ่งอยู่รอบป่าเขาบรรทัด
ต่อมาวันที่ 27 มี.ค.ชาวบ้านได้ทราบภายหลังว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตัดโค่นทำลายต้นยางพาราของชาวบ้าน จำนวน 11 ต้น 1 แปลง ทางชาวบ้านจึงส่งตัวแทนเข้าเจรจา แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับพูดจาดูถูกผู้หญิงในกลุ่มชาวบ้านที่ไปเจรจา ชาวบ้านจึงนำกำลังเข้าปิดล้อมพื้นที่ เพื่อสกัดกั้นการกระทำของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว และไม่ให้เจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่
บุญกล่าวต่อมาว่า ในวันที่ 28 มี.ค.เครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัด และสมาชิกในเครือข่าย 16 องค์กร ได้รวมตัวกัน และนำเต็นท์มากางชุมนุมประท้วงบริเวณที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าโตนเต๊ะ หมู่ 2 บ้านตระ ต.ปะเหลียน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง เพื่อร่วมกับชาวบ้านองค์กรชุมชนบ้านตระ กดดันให้มีการเจรจาหาข้อยุติกับทางจังหวัด
จนกระทั่งในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายสุรพล วิชัยดิษฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง พร้อมด้วยนายพงษ์ศักดิ์ คาราวนนท์ นายอำเภอปะเหลียน นายสนิท องศารา ผู้อำนวยการส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 จ.นครศรีธรรมราช เข้าเจรจากับชาวบ้าน และยอมรับในข้อเสนอที่จะยุติ การข่มขู่ รื้อถอนและทำลายพืชผลทางการเกษตร และการปักปันพื้นที่ตลอดจนให้ราษฎรทำกินได้ตามวิถีปกติ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน แห่งประเทศไทย และได้มีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่การชุมนุมยุติลงในช่วงค่ำ
ด้านล่อง เพชรสุด อายุ 37 ปี แกนนำชุมชนองค์กรบ้านตระ กล่าวให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฅนตรังถึง ความขัดแย้งเกี่ยวกับพื้นที่ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้าตัดโค่นทำลายต้นยางว่า ทางเจ้าหน้าที่อ้างว่าเป็นแปลงที่เคยตรวจยึดมาก่อน แต่ทางชาวบ้านยืนยันว่าเป็นพื้นที่ทำกินดั้งเดิมและที่ผ่านมาไม่เคยถูกตรวจ ยึด และการกระทำของเจ้าหน้าที่แสดงให้เห็นว่า สวนทางกับนโยบายรัฐบาล ทั้งที่ทางรัฐบาลมีความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหาแล้ว และหากเป็นเช่นนี้มติในที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือ ข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ก็ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นเอกภาพ ขาดความน่าเชื่อถือ
00000
คำถามถึงมติคณะกรรมระดับชาติในการแก้ปัญหาที่ดิน ที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สนใจปฏิบัติ
"เหตุการณ์ อย่างนี้ลดความเชื่อมั่นที่จะแก้ไขปัญหา และต่อไปอาจต้องมีการตรวจสอบกลไกของรัฐที่นอกเหนือจากฝ่ายการเมือง คือฝ่ายข้าราชการประจำว่าทำงานอิงประโยชน์ของชาวบ้านไหม" บุญแสดงความคิดเห็น
เขากล่าวด้วยว่า การที่เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการในพื้นที่อ้างว่าไม่รู้ ไม่ทราบถึงมติคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ทำ ให้เกิดความสงสัยถึงการดำเนินการของหน่วยงานที่รับผิดชอบในการส่งข้อมูลและ มติการประชุมไปยังกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนในอีกด้านหนึ่งก็รู้สึกไม่สบายใจที่มติดังกล่าวมาจากการประชุมของคณะ กรรมการฯ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แต่กลับมีการละเลยและ "ไม่ได้รับการปฏิบัติ" จากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
ใน ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหาของคณะอนุกรรมการและคณะกรรมการฯ ให้ผ่อนผันให้ราษฎรได้อยู่อาศัยและทำกินในที่ดินดังกล่าวตามวิถีชีวิตปกติไป พลางก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และแจ้งส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องชะลอ การดำเนินการใดๆ ที่อาจเป็นมูลเหตุให้เกิดความขัดแย้งหรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนในการ ดำเนินชีวิตตามปกติสุข และให้คณะอนุกรรมการที่จะแต่งตั้งขึ้นไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงใน พื้นที่และเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อคณะกรรมการฯ ต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.52 ทางเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัด และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์เรียก ร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังออกหนังสือคำสั่งถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง ว่าจะไม่มีการข่มขู่ คุกคาม ด่าทอและทำลายทรัพย์สินของชาวบ้านอีกต่อไปจนกว่าการดำเนินการแก้ไขปัญหาของ คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ และที่ป่าไม้อื่นๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย จะเสร็จสมบูรณ์
พร้อม เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานอำนวยการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ทำหนังสือเวียนถึงทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความคืบหน้าในการแต่ง ตั้งคณะกรรมการอำนวยการและคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินรวมถึง บทบาทและอำนาจหน้าที่
00000
ปัญหาในพื้นที่แถบเทือกเขาบรรทัด ความเดือดร้อนซ้ำๆ ของชุมชน
"บาง คนอาจคิดว่าต้นยางไม่กี่ต้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับชาวบ้านมันไม่ใช่ มันคือชีวิตของพวกเขา อย่างที่ชาวสวนยางมักพูดกันว่าน้ำยางทุกหยดคืออนาคตของลูก คือข้าวสารที่จะทำให้มีกิน การทำอย่างนี้มันเป็นการละเมิดที่ทำลายชีวิตของเกษตรกร" ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัดบอกเล่าถึงความรู้สึก
เหตุการณ์ ดังกล่าวไม่สมควรจะเกิดขึ้น แต่คนสังคมในสังคมทั่วไปกลับไม่ได้รู้สึกอะไรในสิ่งที่ทำให้เกษตรกรรายย่อย คนยากคนจนต้องเจ็บปวด และเป็นการทำลายคนรวมทั้งองค์ความรู้ที่พวกเขามี อีกทั้งการขยายตัวของระบบเกษตรอุตสาหกรรมในรูปแบบฟาร์มขนาดใหญ่ กำลังทำให้เกษตรกรรายย่อยอยู่ไม่ได้ และอาจต้องกลายเป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรมในที่สุด
บุญเล่าว่า ที่ผ่านมา ชาวบ้านในชุมชนต่างๆ ถูกทำลายทรัพย์สิน มีการโค่นล้มทำลายต้นยาง ต้นทุเรียนและพืชผลต่างๆ และถูกเจ้าหน้าที่ปักป้ายยึดสวนยางโดยอ้างว่าเป็นเขตป่าไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปทำกิน มี การล้อมยิงชาวบ้านที่เข้าไปกรีดยางในพื้นที่เหมือนเป็นพวกผู้ก่อการร้าย และจับกุมดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเป็นระยะ สร้างความเดือดร้อน และความหวาดกลัวที่จะเขาไปทำกินในพื้นที่ ทั้งที่เชื่อว่ามันคือที่ทำกินดั้งเดิมของพวกเขาจริงๆ
เขาเล่าด้วยว่า ยังมีกรณีเผาบ้านชาวบ้าน เมื่อปี 2548 ซึ่งในปี 2551 ศาลได้ตัดสินให้ลงโทษทางอาญากับเจ้าหน้าที่ผู้กระทำการดังกล่าว แต่ชาวบ้านไม่ได้ติดตามความคืบหน้าว่าทางกระทรวงต้นสังกัดได้ดำเนินการอย่าง ไรบ้าง และกรณีแจ้งจับกุม อบต.และพวก ซึ่งเข้าไปในพื้นที่เพื่อติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับชาวบ้านตามนโยบาย ของรัฐบาล ในข้อหาร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์ฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งกรณีไม่อนุญาตให้ชุมชนบ้านตระซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและเส้นทางในหมู่ บ้าน
หรือ กรณีของ "น้ำตกสายรุ้ง" จ.ตรัง ซึ่งเดิมเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ร่วมกันดูแล เนื่องจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจำนวนมากทำให้เกิดผลกระทบกับวิถีชีวิต วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ แต่ต่อมาชาวบ้านกลับถูกจับกุมข้อหาบุกรุก ทำให้ชาวบ้านละทิ้งที่จะเข้าไปดูแลในพื้นที่ จนเมื่อปี 2550 ได้เกิดโศกนาฏกรรม จากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก มีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายเนื่องจากไม่มีคนดูแลคอยเตือนภัย
กรณีต่างๆ เหล่านี้เครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัด ได้มีการบันทึกข้อมูลเอาไว้โดยตลอด
00000
ผลกระทบการจัดการป่าไม้-ที่ดิน และการรวมตัวเพื่อต่อรองของชุมชน
จุดเริ่มต้นความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ภาคใต้ไม่ได้ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่ถูกรัฐประกาศเขตป่าทับที่ทำมาหากินของประชาชนในภาคต่างๆ หลังจากรัฐได้ให้เอกชนและหน่วยราชการบางหน่วยเข้าทำสัมปทานไม้ได้ประโยชน์จากป่ามาเป็นเวลานาน กรมป่าไม้ (ในฐานะหน่วยงานดูแลรักษาป่า) ได้เข้ามาดูแลและจัดการประกาศให้หลายพื้นที่เป็นป่าอนุรักษ์ ขณะเดียวกันก็เร่งอพยพผู้คนที่อยู่ทำกินออกจากพื้นที่ โดยไม่ได้สนใจถึงความเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่าที่มีมาตั้งแต่อดีต สิ่งเหล่านี้ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานรัฐกับชุมชนมาโดยตลอด
จากนโยบายกันป่าออกจากชุมชน ทำให้ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนในหลายพื้นที่ได้รวมตัวกันเพื่อคัดค้านแนวคิดของรัฐ จนกลายเป็นเครือข่ายชุมชนที่กว้างขวางและเข้มแข็งขึ้นเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา และการรวมตัวเป็นกลุ่ม เป็นเครือข่ายได้สร้างพลังให้คนเล็กคนน้อยในการต่อรอง
ในส่วนชุมชนที่อาศัยในเขตเทือกเขาบรรทัด ซึ่งได้รับผลกระทบจาก "การประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด" เมื่อปี พ.ศ.2518 และ "การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า" เมื่อปี พ.ศ.2525 ทับซ้อนพื้นที่ทำกินและที่ตั้งชุมชนครอบคลุมพื้นที่ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง พัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช และสตูล ก็ได้รวมตัวกันเป็น "เครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัด" ต่อสู้เพื่อสิทธิของชุมชนในการอยู่ร่วม รักษา ใช้ประโยชน์จากป่าและผืนแผ่นดินเพื่อการเกษตร
ต่อมา เครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัดได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอของสมัชชาคนจน ในกรณีปัญหาพื้นที่ป่าไม้ภาคใต้ และได้ร่วมกับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มเกษตรกร คนจนไร้ที่ดินทั้งในชนบทและเมือง ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ และภาคกลาง โดยมีเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนโครงสร้างการถือครองที่ดินให้มีความเป็นธรรม และยั่งยืน
00000
ความร่วมมือที่ทำให้การต่อสู้ "ไม่โดดเดี่ยว"
สมจิต คงทน กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน กองเลขาฯ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาคการเมืองมีความก้าวหน้าพอสมควร เห็นได้จากแผนการแก้ไขปัญหาและนโยบายที่ออกมา ในส่วนคณะกรรมการร่วมระดับชาติเพื่อการแก้ปัญหานั้นเป็นเพียงวิธีการหนึ่ง เป็นกลไกหนึ่ง และในระดับพื้นที่เองก็ต้องมีการต่อสู้ในหลายรูปแบบ โดยมีเครือข่ายฯ ช่วยหนุนเสริมกัน
"ไม่ท้อ เรายังมีความหวังอยู่" สมจิต คงทนกล่าวถึงการเคลื่อนไหวร่วมกันของชาวบ้านที่ผ่านมา แม้จะประสบปัญหามากมาย แต่ยังเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทำอยู่มาจากฐานความจริงที่ชาวบ้านไม่ได้ทำลายป่า และการต่อสู้นั้นไม่ได้หวังผลเฉพาะในกลุ่มเครือข่ายฯ แต่ต้องการเชื่อมโยงการแก้ปัญหาในภาคใหญ่ของสังคม
สมจิตกล่าวด้วยว่าปัญหาในพื้นที่ของเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัดที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นการต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นในภาคใต้ เครือข่ายที่อยู่ในภาคอีสาน หรือที่ จ.สุราษฎร์ธานี ก็ได้เข้ามาร่วมกันคิด ร่วมกันหาทางออก เสนอช่องทาง ช่วยกันประสานงานส่วนต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหา
"ต่อไปนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่จุดหนึ่ง เป็นเรื่องละเมิดรุนแรง ต้องมีการหนุนเสริมกำลัง ความคิด และเครื่องมือ" กองเลขาฯ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยกล่าวถึงความร่วมมือที่จะเข้มแข็งขึ้นในอนาคต
00000
การจัดการทรัพยากรโดยชุมชน ทางออกของชุมชน เพื่อชุมชน
เรื่องของ "คนอยู่กับป่า" และ "การจัดการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยชุมชน" เกี่ยวข้องกันอย่างยากจะแยกแยะ และแม้จะมีการพูดถึงกันมานานนับสิบปี แต่ในห้วงเวลาที่ผ่านมาทั้งสองส่วนต่างไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คน สังคม มากนัก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ
และแม้ประเทศไทยจะมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่ได้ชื่อว่าส่งเสริมเรื่องสิทธิชุมชนมากกว่าฉบับใดๆ ที่เคยมีมา ด้วยมาตรา 66 และ 67 ว่าด้วยสิทธิชุมชนในการจัดการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงคือสิ่งที่ระบุไว้ในกฎหมายสูงสุดของประเทศ มีเงื่อนไขในทางปฏิบัติที่อยู่ในกฎหมายลูกอยู่มากมาย
ทั้งอุปสรรคทางความคิด และเงื่อนไขของกฎหมาย คือโจทย์ที่ชุมชนจะต้องช่วยกันหาทางแก้เพื่อสิทธิของชุมชนที่จะร่วมจัดการทรัพยากรอย่างสมดุล ยั่งยืน และสิทธิที่จะทำกินในที่ดินอยู่อาศัยดั้งเดิม ไม่ใช่การรวมศูนย์อำนาจและการจัดการซึ่งสร้างปัญหาเหมือนกับที่เคยๆ เป็นมา
ในวันนี้ ชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นที่เทือกเขาบรรทัด หรือในภูมิภาคต่างๆ มีข้อเสนอซึ่งได้เริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในส่วนของ "ธรรมนูญชุมชน" "ป่าชุมชน" และ "โฉนดชุมชน" เพื่อเป็นการยืนยันว่าคนสามารถอยู่ร่วมกับป่า และมีกติกาของชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต ทรัพย์สิน และจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนให้ยั่งยืนได้
"เราต้องการให้สังคมรับรองวัฒนธรรมชุมชน ถึงรัฐบาลหรือเอกชนจะไม่ยอมรับ แต่หากสังคมยอมรับนั่นล่ะคืออำนาจที่แท้จริง เราจึงอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนทั้งชาติ เป็นเรื่องที่ทุกคนช่วยกัน" ที่ปรึกษาเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัดกล่าว
ทั้งนี้ ทางออกของชุมชนคือสิทธิในการจัดการทรัพยากรโดยชุมชน เพื่อนำไปสู่การสร้าง "อธิปไตยชุมชน" ที่จะทำให้สังคมและระบบนิเวศน์อยู่ได้อย่างปกติสุข สมดุล และมั่นคง หากแต่สิ่งเปล่านี้จะเกิดขึ้นได้สังคมไทยคงต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ ทั้งการปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูประบบการผลิต ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปสังคม รวมทั้งปฏิรูปวัฒนธรรม เพราะทุกส่วนเกี่ยวโยงสัมพันธ์กัน และทั้งหมดไม่อาจกระทำการได้เพียงลำพัง
00000
สรุปภาพรวมสถานการณ์
เครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัด
เวลา
|
เหตุการณ์
|
พ.ศ.2518
|
ราชการได้ประกาศเขตอนุรักษ์ทับที่ดินของชาวบ้าน โดยประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด
|
พ.ศ.2525
|
การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า
|
30 มิ.ย.2541
|
ออกมติ ครม.แนวทางการแก้ไขปัญหาป่าไม้ ตั้งแต่นั้นมาเจ้าหน้าที่รัฐก็ได้ข่มขู่คุกคาม ขัดขวางการพัฒนาทำให้ได้รับความเดือดร้อนมาโดยตลอด
|
พ.ศ.2543
|
มีการเคลื่อนไหวชุมนุมของชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ลงมาแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ทั้งนี้รัฐบาลนายชวนได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุด โดยมีแนวทางในการเดินแนวเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้พ้นจากพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน รวมทั้งได้ทำข้อตกลงและลงนามร่วมกันไว้
|
กลางปี พ.ศ.2543
|
ชุมชนต่างๆ รอบเทือกเขาบรรทัด ได้ชุมนุมกันที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราชเพื่อเรียกร้องสิทธิในที่ทำกิน
|
วันที่ 14 ตุลาคม 2543
|
รวมตัวกันในนาม "เครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัดจังหวัดตรัง พัทลุง และนครศรีธรรมราช" มีจุดยืนของเครือข่าย คือ สร้างความเป็นตัวตนของชุมชน ใช้สิทธิการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และจัดการดูแลฟื้นฟูทรัพยากรและชุมชนในเขตเทือกเขาบรรทัด
หลังจากนั้นมีการรวมตัวกับเครือข่ายต่างๆในภาคใต้ ที่มีสภาพปัญหาคล้ายคลึงกันในนาม "เครือข่ายป่าชุมชนภาคใต้"
|
พ.ศ.2544
|
เข้าร่วมเคลื่อนไหวเรียกร้องร่วมกับสมัชชาคนจน
|
วันที่ 3 เม.ย.2544
|
รัฐบาลได้มีมติเห็นชอบให้ผ่อนผันราษฎรสามารถอยู่อาศัยทำกินได้ตามวิถีชีวิต ปกติ และพัฒนาสาธารณูปโภคในพื้นที่ได้ โดยไม่มีการจับกุมคุกคามหรือโยกย้ายราษฎร รวมทั้งมีการแต่งตั้งกรรมการแก้ไขปัญหาป่าไม้ภาคใต้ เพื่อทำงานพิสูจน์สิทธ์การครอบครองที่ดินโดยมีตัวแทนสมัชชาคนจนและตัวแทนรัฐ ในสัดส่วนที่เท่ากัน
|
พ.ศ.2545
|
มีการปฏิรูประบบราชการ โดยมีการโยกย้ายปัญหาป่าไม้ที่ดินของสมัชชาคนจน ไปอยู่ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ได้ส่งผลให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาป่าไม้ที่ดินถูกยกเลิกไป
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้มีการจับกุมชาวบ้านในพื้นที่
|
พ.ศ.2546
|
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้เริ่มเดินแนวเขตป่าอนุรักษ์อีกครั้ง โดยมีการปักแนวเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์เข้าไปในพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ในบางพื้นที่ได้มีการล้อมรั้วลวดหนาม รวมทั้งมีการข่มขู่ คุกคาม จับกุมชาวบ้านในพื้นที่
|
พ.ศ.2547-2548
|
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ยังคงจับกุม ข่มขู่ คุกคาม และห้ามไม่ให้ชาวบ้านในพื้นที่ตัดโค่นสวนยางและทำกินในพื้นที่ของตนเอง
ชาวบ้านในพื้นที่ได้รวมตัวกันชุมนุมเรียกร้องกันในพื้นที่ต่างๆ หลายครั้ง รวมทั้งมีการร่วมกันผลักดัน พ.ร.บ.ป่าชุมชนฉบับประชาชน แต่ในพื้นที่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด
|
พ.ศ.2549
|
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้คุกคามชาวบ้านในพื้นที่หนักขึ้น โดยในบางพื้นที่ได้มีการทำลายทรัพย์สิน ตัดโค่นสวนยาง และเผาบ้านเรือนของชาวบ้าน รวมทั้งมีการฟ้องร้องคดีแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายจากชาวบ้าน ชาวบ้านจึงได้มีการรวมตัวชุมนุมเรียกร้องระดับจังหวัดและระดับชาติ แต่การข่มขู่คุกคาม จับกุม ในระดับพื้นที่ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป
|
พ.ศ.2550
|
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นโดยการรวมตัวกันของกลุ่มเกษตรกร คนจนไร้ที่ดินทั้งที่อยู่ในชนบทและเมือง ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ และภาคกลางของประเทศไทย มีเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนโครงสร้างการถือครองที่ดินให้มีความเป็นธรรม และยั่งยืน
|
11 ก.พ.2552
|
เข้ายื่นหนังสือต่อรัฐบาล เพื่อให้เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหา และจัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อกำกับดูแล ติดตาม และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยและปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ ร่วมกับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
|
9 มี.ค.2552
|
สำนักนายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือที่ 71/2552 ลงวันที่ แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
|
วันที่ 11 มี.ค.2552
|
ประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยนัดแรกโดยมีนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมเป็นประธาน
|
24 มี.ค.2552
|
นายกรัฐมนตรีได้เซ็นหนังสือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ รวม 6 คณะ
|
คณะอนุกรรมการฯ 6 ชุด เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ
จากการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ
วันที่ 11 มี.ค.52
1) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่สารธารณประโยชน์ ที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้างและเหมืองแร่ มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน และมีอธิบดีกรมที่ดินเป็นกรรมการและเลขานุการ
2) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ และที่ป่าไม้อื่นๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานฯ และมีอธิบดีกรมป่าไม้ เป็นกรรมการและเลขานุการ
3) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาแก้ไขปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.ของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานฯ และมีเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดิน เป็นกรรมาการและเลขานุการ
4) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยและสินเชื่อของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานฯ และมีเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นกรรมการและเลขานุการ
5) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินราชพัสดุของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ และมีอธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ
6) คณะอนุกรรมการศึกษาแนวทาง การปฏิบัติตามนโยบายการกระจายถือครองที่ดิน โดย นายสาทิยต์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ นางสาวพงษ์ทิพย์ สำราญจิตต์ ผู้แทนเครือข่ายฯ เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมี อำนาจหน้าที่ อาทิ ศึกษาแนวทางกฎหมายและมาตรการอื่นๆ เพื่อรองรับนโยบายการกระจายการถือครองที่ดินของรัฐบาล เช่น โฉนดชุมชน ธนาคารที่ดิน มาตรการทางภาษี การคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม ฯลฯ
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการทั้ง 6 ชุด มีอำนาจหน้าที่ อาทิ ตรวจสอบข้อเท็จจริง แก้ไขปัญหาและ/หรือเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาในแต่ละส่วนงาน ตามกรอบนโยบายและแนวทางที่คณะกรรมการกำหนดภายใน 90 วัน โดยให้คณะอนุกรรมการเริ่มประชุมครั้งแรกภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งแต่งตั้ง
รวมถึงเชิญผู้แทนส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐและบุคคล เข้าร่วมประชุมชี้แจงข้อเท็จจริงให้ข้อมูลรวมทั้งจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหา และมีอำนาจแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานตามความเห็นของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ และรายงานผลการดำเนินงาน ตลอดจนปัญหา อุปสรรค ให้คณะกรรมการฯ ทราบ ทุก15 วัน ฯลฯ