Skip to main content
sharethis

การเมือง



ทภ.2แจ้งเอาผิดเสื้อแดงโคราช


มติชน - น.ส.ปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์ นักจัดรายการสถานีวิทยุชุมชน อ.เมืองนครราชสีมา แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงโคราชที่เคลื่อนไหว กล่าวว่า พ.อ.วีระภัทรพล บุญย์เชี่ยว ทหารฝ่ายเสนาธิการ กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี และกลุ่มภาคีมวลชนคนโคราชเพื่อประชาธิปไตย เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษตนและพวก ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีอัตราโทษจำคุก 3-15 ปี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายเรียกหรือหมายจับแต่อย่างใด 



ด้าน พ.ต.อ.บุญเลิศ ว่องวัจนะ ผกก.สภ.เมืองนครราชสีมา กล่าวว่า คดีที่ น.ส.ปภัสชนัญญ์ พร้อมพวก ถูกแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษว่า ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.พิเชษฐ์ อรชุน รอง ผกก.(สส.) สภ.เมืองนครราชสีมา เป็นพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี คดีนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน 
 


 


ตร.-ทหารยังตรึงพื้นที่สำคัญ


มติชน- ตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และกำลังทหารยังคงปิดถนนศรีอยุธยาตั้งแต่บริเวณแยกลานพระบรมรูปทรงม้าถึงแยก พล.1 และถนนพิษณุโลกตั้งแต่บริเวณแยกวังแดงถึงแยกสวนมิสกวัน พร้อมนำรั้วเหล็กและลวดหนามมาวางขวางถนน และไม่อนุญาตให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องผ่านเข้า-ออก และมีการดูแลบริเวณรอบพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 15 เมษายน เพื่อป้องกันผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงและมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ในพื้นที่หลังจากมีการสลายชุมนุมบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลไปแล้วเมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา



ขณะที่บริเวณท้องสนามหลวง เวลา 15.00 น. ยังมีผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 50 คน แต่ส่วนใหญ่ไม่สวมเสื้อสีแดง จับกลุ่มวิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของทหารสลายการชุมนุม รวมทั้งโจมตีรัฐบาล ขณะเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่เทศกิจของสำนักงานเขตพระนคร และตำรวจ สน.ชนะสงคราม เข้ารื้อถอนเต๊นท์และแผงเหล็ก ส่วนด้านฝั่งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีชาวต่างชาติทยอยเยี่ยมชมและท่องเที่ยวตามปกติ ส่วนสถานที่ราชการและสถานที่สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงมหาดไทย กระทวงกลาโหม และกระทรวงสำคัญต่างๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณถนนราชดำเนินยังคงมีกำลังทหารตรึงกำลังดูแลความปลอดภัยอยู่


 



คุมเข้มบ้านป๋า-รอบทำเนียบ


มติชน- ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนบริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล ทหารนำแผงเหล็กไปกั้นบนเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ และปิดถนนพิษณุโลกทั้งเส้นไม่ให้รถยนต์ผ่านเข้า-ออก ขณะที่บริเวณแยกวัดเบญจมบพิตรฯ มีกำลังทหารคุมเข้มเช่นเดียวกันตั้งแต่หน้าวัดเบญฯ ถนนนครปฐม ไปจนถึงกองทัพภาคที่ 1 และตลอดทั้ง 2 ฝั่งถนนนครปฐม นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบวังสวนจิตรลดา บริเวณรัฐสภาถึงแยกอู่ทองใน ใกล้กับสวนสัตว์ดุสิต (เขาดิน) บริเวณแยกสี่เสาเทเวศร์ ตั้งแต่ถนนศรีอยุธยา บริเวณหน้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไปจนถึงตัดถนนราชสีมา มีกำลังทหารและตำรวจดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มเช่นเดียวกัน



ส่วนบริเวณแยกเทวกรรม ถนนนครสวรรค์ ใกล้กับตลาดนางเลิ้ง ซึ่งเกิดเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงและชาวชุมชนตลาดนางเลิ้ง ทำให้คนในชุมชนเสียชีวิต 2 รายนั้น ยังคงมีทหารจำนวน 10 นาย ลาดตระเวนอยู่เพื่อรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง



ก่อนหน้านี้ เวลา 10.45 น. พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. กล่าวว่า ตำรวจจะเปิดเส้นทางจราจรได้เกือบทุกเส้นทาง ไม่ว่าถนนราชดำเนิน ถนนพิษณุโลก ถนนศรีอยุธยา และถนนอู่ทองใน เหลือเพียงเส้นคู่ขนาน ถนนศรีอยุธยา หน้า บช.น. และถนนราชดำเนิน หน้ากองทัพภาคที่ 1 และหน้า บก.ทบ. เนื่องจากอยู่ระหว่างรื้อถอนซุ้มจัดงานกาชาด สำหรับการตรวจสอบพื้นที่ทั้งภายในและนอกทำเนียบรัฐบาล พบเพียงท่อนไม้และเหล็กเท่านั้น ไม่พบอาวุธสงครามแต่อย่างใด ส่วนความเสียหายบริเวณรอบพื้นที่การจราจร พบว่าผู้ชุมนุมดึงสายสัญญาณจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดออกประมาณ 4-5 ตัว เป็นของ บก.จร.


 


 


"สนธิ"ย้ายรักษาตัว รพ.จุฬาฯ


โพสต์ทูเดย์ - เมื่อเวลา 14.00 น. นายจอร์จ วี. ลาร์สัน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมิชชั่น พร้อมด้วยคณะแพทย์ ประกอบด้วย น.พ.อัตถสิทธิ์ ชื่นชอบ พ.ญ.เอลวี วิลลานอย และ น.พ.ฮาปรีต ซิงค์โกเวล ร่วมกันแถลงความคืบหน้าการรักษานายอดุลย์ แดงประดับ อายุ 28 ปี คนขับรถนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


นพ.ฮาปรีต ซิงค์โกเวล ศัลยแพทย์โรงพยาบาลมิชชั่น กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลได้รับผู้บาดเจ็บจากเหตุที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล และคนขับรถ ถูกกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธสงครามลอบยิง โดยได้รับนายอดุลย์ แดงประดับ ผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีดังกล่าวมาเมื่อเวลา 06.15 น.ที่ได้รับบาดเจ็บถูกยิงที่บริเวณศีรษะ ทรวงอกด้านขวา และต้นแขนขวา ทางคณะแพทย์โรงพยาบาลมิชชั่นได้รักษาด้วยการผ่าตัดสมอง ทรวงอก และกระดูกต้นแขนขวา ขณะนี้ผู้ป่วยยังนอนพักรักษาตัวอยู่ในไอซียู เนื่องจากยังอยู่ในภาวะวิกฤต ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด


 



นพ. ฮาปรีต กล่าวต่อไปว่า ได้ผ่าเศษกระสุนทั้ง 3 จุด คือ ที่บริเวณสมอง บริเวณท้ายทอย เนื้อสมองบางส่วนได้รับความเสียหาย จึงต้องรอดูอาการอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังพบเศษกระสุนที่ทรวงอกขวาและแขนขวา ก็ได้ผ่าออกมาทั้งหมดแล้ว ซึ่งเศษกระสุนที่ได้ออกมาทั้งหมด จะประสานส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปเป็นหลักฐานต่อไป


 



 "เบื้องต้น คณะแพทย์ได้รักษาอย่างดีที่สุด ตามมาตรฐานการแพทย์ ส่วนที่สมองต้องดูต่อไปว่าจะบวมหรือไม่ ที่ทรวงอกพบอาการฟกช้ำของเนื้อปอด จุดที่หนักที่สุด คือ บริเวณศีรษะ แพทย์ต้องดูแลใกล้ชิด ส่วนเนื้อสมองเสียหายเท่าใดนั้น ต้องรอให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน จึงจะประเมินได้ ขณะนี้ผู้ป่วยรู้สึกตัว ลืมตาได้ แต่ไม่สามารถพูดได้เนื่องจากใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ ในการผ่าตัดผู้บาดเจ็บรายนี้ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง" นพ.ฮาปรีต กล่าว


 



ด้าน นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิรพยาบาล กล่าวยอมรับว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ย้ายออกไปจาก รพ.วชิรฯ เพื่อไปพักรักษาตัวที่ รพ.อื่นแล้ว ส่วนจะเป็น รพ.ใดนั้นให้สื่อฯ ตรวจสอบเอง ส่วนนายวายุภักดิ์ มัคละสินธุ์ ผู้ติดตามนายสนธิ อาการปลอดภัย มีบาดเล็กน้อย แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว


 


ล่าสุด โรงพยาบาลจุฬา แถลงข่าวว่า ได้รับตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล รวมถึงนายอดุลย์ และนายวายุภักดิ์ คนขับรถและผู้ติดตามนายสนธิ มารักษาต่อ ซึ่งนายสนธิและนายวายุภักดิ์ อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว ยกเว้นคนขับรถที่แพทย์ต้องดูแลใกล้ชิด และจะต้องเอกซเรย์สมองเพิ่มเติม แต่ขณะนี้แพทย์ยังงดเยี่ยม


 


 


ครม.ห่วง"สนธิ"ถูกยิง จ่อสังคายนาระบบรปภ.ผู้นำอาเซียน


มติชน - เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 17 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รู้สึกเป็นกังวลต่อกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถูกลอบทำร้าย แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล แต่ถือเป็นเหตุการณ์ที่อุกอาจ เนื่องจากนำอาวุธสงครามมาใช้ในพื้นที่ควบคุมที่ประกาศพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยหลังจากนี้หน่วยรักษาความปลอดภัยจะจัดระบบใหม่หมด โดยอาจนำกำลังมาจากทหารบางหน่วยที่มีศักยภาพและเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา มาคอยอารักขาความปลอดภัยให้นายกฯ หรือผู้นำต่างประเทศที่จะเดินทางมาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนและประเทศคู่เจรจารอบใหม่ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้วางรูปแบบที่แน่ชัด รวมถึงต้องพิจารณาขยายหน่วยปราบจลาจลเพื่อศักยภาพในการควบคุมฝูงชน เนื่องจากขณะนี้มีทหารปราบจลาจลเพียง 4 กองร้อยเท่านั้น


 


 


ทนายพธม.จี้จนท.รัฐแจงประเด็นยิง"สนธิ"


มติชน- นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความส่วนตัวของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีนายสนธิถูกยิงถล่มเมื่อช่วงเช้าวันที่ 17 เม.ย. ว่า ภายหลังจากทราบข่าว ก็เป็นห่วงนายสนธิ แต่ความรู้สึกเป็นห่วงมีมาตลอด เพราะสถานการณ์บ้านเมืองรุนแรง แต่ประเด็นที่เกิดขึ้นขณะนี้ จะต้องให้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นฝ่ายชี้แจง เพราะคนอย่างนายสนธิ ตำรวจน่าจะทำบันทึกประวัติมามากพอสมควร การเคลื่อนไหวก็ถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นบุคคลที่ตำรวจจะต้องให้ความสำคัญ


 


ทนายความส่วนตัวของนายสนธิ กล่าวต่อไปว่า เราได้ประเมินสถานการณ์มาตลอด เพราะสถานการณ์รุนแรง ถึงขนาดนายกรัฐมนตรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ถูกทำร้ายได้ ก็แสดงว่าความปลอดภัย มั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินมีน้อยมาก รวมทั้งเกิดกรณีที่มีการทำร้ายประชาชนในระหว่างการชุมนุมประท้วงของคนกลุ่มเสื้อแดง ที่ไปทำร้ายตามชุมชนต่าง ๆ


 


"รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการทันทีที่ชัดเจนและสามารถประเมินได้ว่า ใครเป็นผู้อยู่ในข่ายที่ต้องให้ความระมัดระวัง ให้ความคุ้มครองเป็นพิเศษ" นายนิติธร กล่าว


 


 


YoungPAD จี้ รบ.ตรวจสอบเหตุลอบยิง"สนธิ"- เว็บหมิ่นเบื้องสูง


ASTVผู้จัดการออนไลน์ - นายศิริพล เคารพธรรม ตัวแทนเครือข่ายเยาวชนกู้ชาติ หรือ Young PAD ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถูกลอบทำร้ายโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามบานปลาย พร้อมตรวจสอบเว็บไซต์ที่หมิ่นเบื้องสูง เนื่องจากพบว่ามีเว็บไซต์ที่เปิดขึ้นใหม่เพื่อล้มล้างสถาบันกว่า 8,000 เว็บไซต์ รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลหมิ่นเบื้องสูงทาง hi5 ด้วย


           


นอกจากนี้ เครือข่าย Young PAD ยังเรียกร้องให้กลุ่มคนเสื้อแดงแสดงความรับผิดชอบต่อข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลฆ่าประชาชนจากเหตุการณ์ชุมนุม และแสดงความชัดเจนว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยหมายถึงใคร อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นการหมิ่นเบื้องสูงหรือไม่ พร้อมให้กำลังใจรัฐบาลที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว


 


 


ไชยวัฒน์ เชื่อ ฝีมือคนมีสี ไม่ใช่กลุ่มเสื้อแดง


เนชั่นทันข่าว - นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และแกนนำพันธมิตรฯ ภาคอีสาน กล่าวถึงกรณีคนร้ายลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนได้รับบาดเจ็บพร้อมด้วยผู้ติดตามรวม 3 คนว่า จากการประมวลสถานการณ์แล้วตนเองมีความเชื่อมั่นว่า สาเหตุการลอบยิง นายสนธิ ในครั้งนี้ น่าจะมาจากการทำหน้าที่สื่อสารมวลชนของ นายสนธิ ในการตรวจสอบกลไกลของรัฐฯ จนทำให้เกิดการปฏิบัติการอย่างอุกอาจในพื้นที่ที่ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีโทษหนักถึงขึ้นประหารชีวิต ซึ่งแสดงว่ากลุ่มผู้ปฏิบัติการมีความอุกอาจเป็นอย่างมาก


 


"อยากจะเรียกร้องว่าอย่าเรียกผู้ปฏิบัติการในครั้งนี้ว่าเป็นมืออาชีพ เพราะจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าเป็นมือปืนอาชีพที่ลงมือกระทำ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ ต้องเรียกกลุ่มปฏิบัติการในครั้งนี้ว่า เป็นผู้ที่ชำนาญและเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธสงคราม และจากการใช้อาวุธสงครามกระทำการแล้ว ตนเองยังมีความเชื่อมั่นว่าน่าจะเป็นบุคคลในเครื่องแบบ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความชำนาญการในการใช้อาวุธสงคราม"


 


และมีประเด็นต่อไปว่า ผู้ปฏิบัติงานมาด้วยคำสั่งของใครและหากมีการวิเคราะห์ลงในส่วนลึกแล้ว ใครจะมีสิทธิ์ออกคำสั่งให้บุคคลที่อยู่ในเครื่องแบบมาปฏิบัติการในช่วงเวลาที่มีการประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ได้ ซึ่งน่าจะเป็นบุคคลที่อยู่ในแวดวงของรัฐบาลเอง หรือบุคคลที่อยู่ในกองทัพ อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ตนเองไม่เชื่อว่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มบุคคลที่เพิ่งถูกสลายการชุมนุมหรือกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างแน่นอน แต่น่าจะเป็นบุคคลในเครื่องแบบมีสีของรัฐบาล


 


"ทั้งนี้การที่รัฐบาลปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา รัฐบาลจะต้องมีคำตอบ และสิ่งที่สำคัญหากรัฐบาลประกาศยุติ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในขณะนี้แล้วสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาชนจะคิดอย่างไรและประชาชนจะสามารถพึ่งพารัฐบาลได้อีกหรือไม่ เนื่องจากในช่วงเวลาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น กลุ่มบุคคลยังสามารถกระทำการที่อุกอาจได้เช่นนี้ และหากรัฐบาลประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วอะไรจะเกิดขึ้น"


 


 


จงรักนัดประชุมคดีสนธิพรุ่งนี้-สน.ปทุมวันอารักขาแน่น


ไทยรัฐ - พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าววันนี้ (17 เม.ย.) ว่า ในเวลา 10.00 น.วันพรุ่งนี้ (18 เม.ย.) ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบพยานหลักฐาน และพยานบุคคล ในคดียิงถล่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยขณะนี้ ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนได้เร่งหาพยานหลักฐาน ทั้งทางลับ และเรียกสอบพยานบุคคล ขณะที่วัตถุพยานจากกล้องวงจรปิด ตามจุดต่างๆ นั้น ได้ภาพจากกล้องวงจรปิด ของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ในส่วนของกรุงเทพมหานคร พบว่า กล้องวงจรปิดตรงจุดเกิดเหตุเสีย ทั้งนี้ ตำรวจได้ตั้งประเด็นการก่อเหตุที่เรื่องการเมือง และเรื่องส่วนตัว ส่วนอาวุธสงครามที่คนร้ายใช้ก่อเหตุนั้น ยังไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นของคนมีสีหรือไม่


 


อย่างไรก็ตาม ช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา (17 เม.ย.) พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน ได้เดินทางมาตรวจสอบความเรียบร้อย ที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ โดยกล่าวว่า สน.ปทุมวันได้จัดกำลังตำรวจมาดูแล ผลัดละ 4 นาย ประจำผลัดละ 4 ชั่วโมง แต่ขอความร่วมมือทีมงาน หรือผู้ดูแลนายสนธิ ให้แต่งกายเครื่องแบบที่สังกัด เพราะสถานการณ์ด้านการข่าวขณะนี้ ยังสับสนอยู่มาก จึงเกรงว่าจะมีปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายสนธิได้รับการอารักขา อย่างแน่นหนา โดยมีนายตำรวจนอกเครื่องแบบ เฝ้าประกบข้างเตียงนายสนธิ


 


ด้าน รศ.นพ.ธีระพงศ์ เจริญวิทย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฝ่ายบริหาร กล่าวว่า ได้รับตัวนายสนธิ นายวายุภักดิ์ มังคละสินธุ์ ผู้ติดตาม และนายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถแล้ว โดยอาการของนายสนธิ ขณะนี้ปลอดภัย พูดคุยรู้เรื่อง มีเพียงอาการปวดศีรษะเล็กน้อย และแพทย์ได้เฝ้าระวังอาการ 24 ชั่วโมง หากเรียบร้อยดี และไม่มีปัญหาใดๆ สามารถกลับบ้านได้ใน 7 วัน ส่วนร่างกาย มีรอยเหมือนโดยสะเก็ดอะไรบางอย่าง ที่ข้อมือขวาและข้อศอกขวา แต่เป็นบาดแผลเล็กน้อย และมีรอยช้ำที่บริเวณหน้าอกด้านซ้าย เป็นรอยช้ำ และมีรอยถลอกบ้าง แต่ไม่มีรอยกระสุนเข้าไป ส่วนการตรวจร่างกายทั้งหมด อยู่ในเกณฑ์ดี


 


 


'สาทิตย์'ย้ำสั่งปิดวิทยุชุมชนที่ปลุกระดมให้ข้อความเท็จ


เดลินิวส์ - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 เม.ย.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ถึงการปิดวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงว่า ขณะนี้มีวิทยุชุมชนกว่า 4 พันคลื่น ที่อยู่ในการดูแลของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และคณะอนุกรรมการของ กทช. ซึ่งที่ผ่านมาวิทยุชุมชนหลายคลื่นถูกใช้ปลุกระดมให้เกิดการจลาจล ทั้งในการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา และความวุ่นวายในกรุงเทพฯ ฝ่ายความมั่นคงจึงได้แสดงความเป็นห่วงถึงการใช้ข้อมูลเท็จในการปลุกระดมให้มีการกระทำผิดกฎหมาย จึงให้ฝ่ายปกครองเข้าไปดำเนินการ โดยดูจากหลักฐานข้อเท็จจริงเป็นหลัก ซึ่งการดำเนินการจะทำบางคลื่นเท่านั้น ไม่ได้กลั่นแกล้ง


 


นอกจากนี้ นายสาทิตย์ กล่าวว่า บางคลื่นที่มีความเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล ก็ไม่เป็นไร หากไม่มีการปลุกระดมหรือให้ข้อความเท็จในการสร้างความวุ่นวาย เป้าหมายในการปิดจะอยู่ในพื้นที่บังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และนอกพื้นที่บางคลื่น ทั้งนี้ ในการจัดระเบียบของคณะอนุกรรมการ กทช. ได้ออกระเบียบดำเนินการแล้ว ขณะเดียวกันตน กรมประชาสัมพันธ์ และกระทรวงกลาโหม จะใช้เครือข่ายวิทยุความมั่นคง เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งดำเนินการแล้วกว่าพันคลื่น.


 


 


บัวแก้วยอมรับ นิการากัวให้พาสปอร์ตทูตทักษิณ


ไทยรัฐ - เมื่อเวลา 18.45 น. วันนี้ (17 เม.ย.) นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงความชัดเจนกรณีที่ประเทศนิการากัว มอบหนังสือเดินทางการทูต แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า หลังจากกระทรวงการต่างประเทศใช้เวลาตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ได้มีการยืนยันจากหน่วยงาน ที่ขึ้นตรงต่อสำนักประธานาธิบดีนิการากัวว่า มีการให้หนังสือเดินทางทูต แก่พ.ต.ท.ทักษิณจริง ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยมีฐานะเป็นทูตกิจกรรมพิเศษ ที่รัฐบาลมอบอำนาจให้ไปช่วยดึงดูดการลงทุน ไปที่นิการากัว ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณจะสามารถเดินทาง ไปประเทศต่างๆ ได้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับประเทศนั้นๆ แต่โดยทฤษฎี สามารถเดินทางไปได้


 


ส่วนก่อนหน้านี้ สถานเอกอัครราชทูตนิการากัวประจำประเทศเม็กซิโก ยืนยันว่า ไม่เคยให้หนังสือเดินทางทูต แก่พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายธฤต กล่าวว่า ตนไม่อยากวิเคราะห์ระบบของนิการากัว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีทราบเรื่องนี้แล้ว ส่วนการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทยนั้น รัฐบาลได้แจ้งไปยังประเทศต่างๆ ถึงคดีที่พ.ต.ท.ทักษิณมีอยู่ รวมถึงคดีที่ถูกออกหมายจับล่าสุดด้วย ซึ่งสถานทูตไทยที่เม็กซิโกได้ไปพบทูตนิการากัว ที่เม็กซิโก วันนี้ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงคดีที่พ.ต.ท.ทักษิณมีอยู่ว่า ในหลักปฏิบัติ ไม่ควรให้ใช้ประเทศใดเป็นฐานโจมตี หรือสร้างปัญหาความมั่นคงให้ประเทศอื่น จึงขอให้รัฐบาลนิการากัวพิจารณาด้วย แม้จะไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ก็ขอให้ใช้หลักถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ขอให้นิการากัวเข้าใจ และให้ความร่วมมือกับประเทศไทย


 


สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จะมีผลต่อความสัมพันธ์ของไทยกับนิการากัวหรือไม่นั้น นายธฤต กล่าวว่า ต้องดูต่อไปว่า แนวปฏิบัติของนิการากัวเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ขอให้คำนึงถึงหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย ซึ่งท่าทีของไทย อยากให้รัฐบาลนิการากัวให้ความร่วมมือ ซึ่งรัฐบาลจะให้เวลานิการากัวพิจารณานานเท่าใด ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ใจว่านิการากัวทราบเรื่องการถูกดำเนินคดี ของพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ เพราะเป็นประเทศที่อยู่ห่างไกลจากไทย เกือบค่อนโลก จึงอาจไม่ทราบข่าวสารเท่าที่ควร


 


 


รัฐบาลเล็งจัดประชุมอาเซียนรอบใหม่ ปลายเดือนหน้า


ไทยรัฐ - นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ได้เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี วันนี้ (17 เม.ย.) เพื่อรายงานให้ทราบถึงการเป็นเจ้าภาพ ของประเทศไทย ในจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนบวก 3 และ บวก 6 ครั้งใหม่ โดยภายหลังการเข้าพบ นายสุรินทร์กล่าวว่า มารายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ถึงความพร้อมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซียน ของประเทศไทย หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศ ช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 15 ประเทศได้ยืนยันการสนับสนุน ให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซียนอีกครั้ง โดยเร็วที่สุด และไม่มีประเทศใดต้องการเป็นเจ้าภาพแทน


 


นายสุรินทร์ กล่าวต่อว่า เข้าใจถึงสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ของประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่วนตัวมองว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ในการจัดประชุมอีกครั้ง คือ ปลายเดือน พ.ค. ถึง ต้นเดือน มิ.ย. แต่ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละประเทศว่า จะเห็นด้วยหรือไม่ เพราะแต่ละประเทศมีเวลาว่างไม่ตรงกัน ส่วนสถานที่จัดการประชุมอาเซียนนั้น ยังไม่มีการหารือ โดยต้องรอการพิจารณาอีกครั้ง


 


 


โฆษกสตช.ย้ำคดีพันธมิตรบุกสนามบินไม่มีมวยล้ม


สยามรัฐ - พล.ต.อ. วัชรพล ประสานราชกิจ รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า คิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ทำการเร่งรัดในเรื่องนี้ ขั้นตอนการสอบสวนต้องใช้ความรอบคอบในการรวมรวมพยานลักฐานเพื่อดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะคดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่สำคัญต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ซึ่งในการสอบสวนบช.น จบแล้วต้องรอผลการสอบสวนของตำรวจภาค 1 คิดว่าจะทำการเร่งรัดให้สรุปได้ไม่นาน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะแถลงข่าวผู้สื่อข่าวถามว่า คดีปิดล้อมสนามบินมีการแจ้งข้อหาก่อการร้ายด้วยหรือไม่ นายตำรวจที่ร่วมแถลงข่าวนิ่งไม่ได้มีใครตอบคำถามดังกล่าว


 



เศรษฐกิจ


กกร.ยื่น6ข้อคลายความขัดแย้ง เร่งฟื้นฟูภาพลักษณ์ประเทศ


กรุงเทพธุรกิจ - วานนี้ (17 เม.ย.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ สมาคมธนาคารไทย ได้เรียกประชุมนัดพิเศษ เพื่อประเมินสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงสงกรานต์ ก่อนได้ผลสรุป 6 ข้อเสนอให้ทุกฝ่ายปฏิบัติ



 


นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ที่ประชุม กกร. มีการแสดงความคิดเห็นอย่างแพร่หลายและต้องการให้ทุกฝ่ายในสังคม ร่วมช่วยกันสร้างความสงบให้กับประเทศ โดยภาคเอกชนก็มีความเห็นเหมือนประชาชนทั่วไป ที่ต้องการให้ประเทศเข้าสู่สถานการณ์ปกติ รวมทั้งเห็นว่าประชาชนที่เป็นกลางควรออกมาร่วมเรียกร้องให้เหตุการณ์ความวุ่นวายในสังคมสงบโดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยให้ประเทศเป็นอย่างนี้ต่อไป จะเกิดความแตกแยก ซึ่งที่ผ่านมาเริ่มมีผู้เสนอเรื่องการแสดงออก เพื่อให้ประเทศสงบแล้ว เช่น การติดธงชาติหน้าบ้าน


 


กกร. มีข้อเสนอให้กับทุกฝ่าย 6 ข้อ คือ



 1. สนับสนุนกระบวนการปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความสงบสุขภายในประเทศ



 2. ให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและเสมอภาค



 3. เร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม



 4. สนับสนุนให้มีมาตรการเร่งด่วน เพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอาศัยสื่อต่างประเทศและการประชุมนานาชาติ



 5. สนับสนุนให้นำประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองเข้าสู่กระบวนการรัฐสภา



 6. สนับสนุนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยไม่ใช่ความรุนแรง โดยข้อเสนอดังกล่าว กกร.จะนำไปเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน (กรอ.) ในครั้งต่อไป


 



ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่ช่วงแรก จะมีการเคลื่อนไหวใต้ดินของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งปัญหานี้ต้องใช้เวลาในการอธิบายอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนทั้งประเทศเข้าใจ เพราะที่ผ่านมาอาจมีประชาชนบางกลุ่มที่ไม่ได้ฟังคำชี้แจงของรัฐบาล และภาคเอกชนเห็นว่า หากรัฐบาลมั่นใจสถานการณ์ยุติแล้ว ควรรีบยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน


 



ภาคเอกชนมั่นใจว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมีความรอบคอบในการตัดสินใจ เพราะที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศความรับผิดชอบทุกเรื่อง และการนำ พ.ร.ก.มาใช้เป็นเวลานานจะไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลเอง


 


ที่ผ่านมามีการโพสต์ความเห็น ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของ กกร.ตามเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งอ้างว่าภาคเอกชนให้ความเห็นที่เข้าข้างรัฐบาล


 


ภาคเอกชนยืนยันว่าภาคเอกชน พยายามที่จะวางตัวเป็นกลางทางการเมือง และเชื่อว่าเมื่อรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ไทยจะสามารถจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนและประเทศคู่เจรจาได้ ซึ่งเห็นว่ารัฐบาลควรพิจารณาเวลาที่เหมาะสมและหารือกับผู้แทนของแต่ละประเทศ เพื่อกำหนดเวลาการประชุมอีกครั้ง หากจัดขึ้นได้เร็ว ช่วยสร้างความเชื่อมั่นกับต่างประเทศ แต่รัฐบาลจะต้องมั่นใจว่าสถานการณ์เรียบร้อยจึงจัดการประชุมอีกครั้ง


 


ภาคเอกชนเห็นว่ารัฐบาลมีความจำเป็นต้องโรดโชว์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น โดยภาคเอกชนพร้อมที่จะร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ ในการโรดโชว์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติ ซึ่งในส่วนของเอกชนจะมีการชี้แจงประชาสัมพันธ์กับสมาชิกที่เป็นนักธุรกิจต่างประเทศ โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบกับธุรกิจท่องเที่ยวและบริการอย่างชัดเจน ส่วนภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นการลงทุนที่ลดลง



นอกจากนี้ ภาคเอกชนต้องการให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งในต่างประเทศ ทั้งเอกอัครราชทูต ทูตพาณิชย์ ทูตทหาร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกันชี้แจงสถานการณ์ให้ต่างประเทศเข้าใจ โดยอาจจะจัดสัมมนาชี้แจงและภาคเอกชน เชื่อว่าต่างประเทศจะสนใจเข้าร่วมรับฟังคำชี้แจง และภาคเอกชนเห็นด้วย ที่นายกรัฐมนตรีเชิญทูตที่ประจำในไทย มาชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล



นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ กรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพอใจที่เหตุการณ์สงบเร็ว เพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจแย่ลงมาก จำเป็นที่ภาครัฐจะเร่งสร้างความสงบให้เร็วเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจแย่ไปกว่านี้


 


สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประเมินว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2552 จะติดลบ 2% แต่เมื่อเกิดความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นมา เห็นว่าจีดีพีมีโอกาสติดลบ 4.5% โดยภาคการค้า อาหารและสินค้าเกษตรจะได้รับผลกระทบไม่มาก แต่สินค้าฟุ่มเฟือยและเครื่องนุ่งห่ม จะได้รับผลกระทบ เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะส่งผลให้ผู้บริโภคไม่มีความรู้สึกอยากจับจ่าย รวมทั้งผู้บริโภคจะมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่อาจแย่ลง จึงชะลอการจับจ่าย ซึ่งคาดว่าการบริโภคส่วนนี้อาจจะลดลง 30%


 


นายสมเกียรติ กล่าวว่า จีดีพีที่ลดลง 1% จะส่งผลให้การว่างงานเพิ่มขึ้น 400,000 คน และหากจีดีพีติดลบมากขึ้นจากลบ 2% เป็น 4.5% จะส่งผลให้การว่างงานที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เคยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 1 ล้านคน เพิ่มเป็น 2 ล้านคน ซึ่งความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจและส่งผลต่อเนื่องถึงการจ้างงาน จึงเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งดำเนินการสร้างความสงบให้กับประเทศโดยเร็ว


 


การส่งออกในปี 2552 คาดว่าจะติดลบ 15% แต่จะต้องรอประเมินผลกระทบจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองอีกครั้ง เนื่องจากการชุมนุมครั้งนี้ส่งผลให้ผู้นำเข้าเริ่มมีความกังวล ว่า ไทยจะผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบให้ได้หรือไม่ ซึ่งมีผลให้ผู้นำเข้าบางรายเริ่มลังเลการสั่งซื้อสินค้า โดยเฉพาะในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าเป็นช่วงที่เริ่มเจรจาคำสั่งซื้อที่จะส่งมอบในช่วงไตรมาสที่ 4 ที่เป็นช่วงที่ไทยส่งออกมากที่สุดของปี และถ้าผู้นำเข้าไม่เชื่อมั่นว่าผู้ส่งออกไทยจะผลิตสินค้าและส่งมอบให้ได้ก็น่าเป็นห่วงว่าจะไม่เป็นผลดีกับการส่งออกของไทยปีนี้


 


 


ครม.อนุมัติคลังกู้เพิ่ม 94,000 ล้านบ.


เดลินิวส์ - วันนี้(17 เม.ย.) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มอีก 94,000 ล้านบาท ทำให้การกู้เงินในงบประมาณปี 2552 ของรัฐบาลเต็มเพดาน 441,000 ล้านบาท ตามกรอบกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งจะเริ่มทยอยกู้เงินจากแหล่งต่าง ๆ ในช่วงไตรมาสที่ 3 มีทั้งตราสารทางการเงินระยะสั้นและระยะยาว


 


นายพงษ์ภาณุ กล่าวต่อว่า สำหรับการกู้เงินของรัฐบาลยังคงยึดแนวทางการกู้เงินในประเทศเป็นหลัก เพราะสภาพคล่องในประเทศยังมีเพียงพอและไม่น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศปรับสูงขึ้น ส่วนการกู้เงินจากต่างประเทศ ซึ่งมีเพดานอยู่ 183,000 ล้านบาท ได้กู้ไปแล้วส่วนหนึ่งเหลือ 70,000-80,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของไทยในขณะนี้มีพื้นฐานที่เข้มแข็งทั้งเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ และสถาบันการเงินที่มั่นคง ทั้งนี้ หากรัฐบาลสามารถชี้แจงกับต่างประเทศได้ การระดมทุนของไทย ก็น่าจะได้รับความสนใจอยู่


 


 


กลุ่มท่องเที่ยวเอกชนเร่งรัฐ ช่วยเงินกู้เสริมสภาพคล่อง


ไทยรัฐ - นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าววันนี้ (17 เม.ย.) ภายหลังสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟสต้า) ซึ่งประกอบด้วยสมาคมด้านธุรกิจการท่องเที่ยว 8 แห่ง เข้าพบว่า ได้รับฟังปัญหาของภาคธุรกิจท่องเที่ยว โดยส่วนใหญ่เป็นปัญหาเดิมๆ โดยเฉพาะปัญหาขาดสภาพคล่อง อย่างรุนแรง เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเลย ขณะที่วงเงินกู้เสริมสภาพคล่อง ให้ธุรกิจท่องเที่ยว ที่รัฐบาลชุดก่อนจัดให้ สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากการปิดสนามบิน 5,000 ล้านบาท ก็ยังกู้ไม่ได้ เนื่องจากติดปัญหาต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ในขณะที่ทุกคนหลักทรัพย์เต็มหมดแล้ว จึงจะขอใช้แนวทางให้ผู้กู้ 2 คน ค้ำประกันไขว้กัน ซึ่งตนจะรับไปประสานกับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง


 


สำหรับข้อเสนอของภาคเอกชน ที่ต้องการให้รัฐบาลออกพันธบัตร 10,000 ล้านบาท เพื่อได้เม็ดเงินมาปล่อยกู้ เสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจท่องเที่ยวโดยตรงนั้น นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า คงทำไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่ใช่สถาบันการเงิน จึงมองว่าอย่างไรก็ต้องให้สถาบันการเงินเป็นผู้ปล่อยกู้ เพียงแต่รัฐจะต้องหาวิธีให้สถาบันการเงินยอมปล่อยกู้ให้ได้ เพราะจริงๆ แล้วแต่ละธนาคารก็มีเงินอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ตนเสนอให้ธุรกิจท่องเที่ยว เข้าร่วมกับโครงการต้นกล้าอาชีพ ที่มีงบอยู่แล้ว 6,900 ล้านบาท และในส่วนนี้ ได้จัดงบไว้ 400-500 ล้านบาท สำหรับนำมาช่วยภาคธุรกิจชะลอการว่าจ้าง แต่ยังไม่มีธุรกิจท่องเที่ยวมาเข้าร่วม ซึ่งสามารถร่วมได้ทันที โดยไม่ต้องจัดหางบก้อนใหม่ให้ นอกจากนั้น ภาคเอกชนยังเสนอว่า มีโรงแรมหลายแห่งเตรียมเปิดตัว แต่เปิดไม่ได้ และได้เตรียมบุคลากรไว้แล้ว จึงจะขอนำมาร่วมในโครงการนี้ด้วย ซึ่งก็ถือโอกาสประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่สนใจมาร่วมได้เลย


 


ด้านนายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว ในฐานะโฆษกเฟสต้า กล่าวว่า ได้ขอให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอีแบงก์) ไม่ใช่หลักเกณฑ์การกู้เงิน ที่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ขอให้สามารถผู้กู้ค้ำไขว้กันได้ ซึ่งวิธีการนี้เคยทำ สมัยที่โรคซาร์ระบาด และเกิดภัยพิบัติสึนามิ ซึ่งผู้บริหารเอสเอ็มอีแบงก์ได้รับปาก ที่จะไปดำเนินการให้ ขณะที่เฟสต้าได้ย้ำไปว่า นอกจากวงเงินกู้ใหม่แล้ว ต้องการให้วงเงินกู้เดิม 5,000 ล้านบาท ได้ออกมาหล่อเลี้ยงก่อน เพราะจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีเงินออกมา รวมทั้งเห็นว่า ต่อไปภาคเอกชนจะขอติดต่อกับเอสเอ็มอีแบงก์โดยตรง เพราะการทำงานที่ต้องผ่านกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งแม้จะมีความตั้งใจช่วยเหลือภาคเอกชน แต่การที่มีขั้นตอนที่ล่าช้า ไม่สามารถช่วยได้ทันเวลา นอกจากนี้ ได้เสนอว่า ในภาวะเช่นนี้ รัฐบาลควรจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาฉุกเฉิน เนื่องจากต้องร่วมกันแก้ไขปัญหา จากหลายฝ่าย


 


 


ไอเอ็มเอฟ-อีซีบีย้ำ ศก.โลกฟื้นแน่ปีหน้า


ไทยโพสต์ - โตเกียว - แม้เศรษฐกิจโลกจะล้มลุกคลุกคลานหนักในปีนี้ แต่ทั้งบิ๊กไอเอ็มเอฟและอีซีบีต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวแน่ในปีหน้า ขณะที่ข่าวดีผลประกอบการที่สดใสเกินคาดของเจพีมอร์แกนเชสและกูเกิลก็หนุนหุ้นทั่วโลกเคลื่อนไหวแดนบวกคึกคักในช่วงท้ายสัปดาห์


 


ที่กรุงวอชิงตันของสหรัฐ นายโดมินิก สเตราส์-คาห์น กรรมการผู้จัดการใหญ่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวย้ำอีกครั้งว่า เศรษฐกิจโลกน่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในปีหน้า หลังผ่านพ้นจุดติดลบรุนแรงในปีนี้ไปได้ "แน่นอนว่าวิธีการแก้วิกฤติของแต่ละประเทศย่อมไม่เหมือนกัน แต่ในที่สุดประชาคมโลกโดยรวมย่อมได้รับผลนั้นร่วมกัน" เขากล่าว


 


ส่วนที่กรุงโตเกียวของญี่ปุ่น นายฌอง-คลอด ทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) คาดการณ์เช่นกันว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะเริ่มดีขึ้น พร้อมกับเผยว่าเดือนหน้าอีซีบีจะตัดสินใจนำมาตรการพิเศษมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม


 


วันศุกร์ ตลาดหุ้นเอเชียทะยานตามทิศทางการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐจากอานิสงส์หุ้นภาคธนาคารและเทคโนโลยี หลังทั้งเจพีมอร์แกนเชส ธนาคารอันดับ 2 ของสหรัฐ และกูเกิล บริษัทเสิร์ซเอนจินชื่อดังของโลก ทำผลกำไรไตรมาสแรกออกมาดีเกินคาด ท่ามกลางความเห็นของนักวิเคราะห์จำนวนมากที่คาดว่าช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดของวิกฤติการเงินโลกอาจสิ้นสุดลงแล้ว แต่ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของหลายประเทศก็ยังไม่มีทีท่าดีขึ้น


 


แดนนี แบลนช์ฟลาวเออร์ หนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ ระบุในบทความที่ตีพิมพ์วันศุกร์ว่า ขณะนี้อังกฤษกำลังเผชิญวิกฤติด้านแรงงาน "อัตราว่างขงานดูท่าจะยิ่งสูงขึ้นในปีนี้ และอาจกลายเป็นประเด็นใหญ่สุดสำหรับการเลือกตั้งสมัยหน้า" เขากล่าว


 


ด้านนายมาซาอากิ ชิรากาวา ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ประเมินว่าเศรษฐกิจแดนอาทิตย์อุทัยจะยังคงย่ำแย่ในช่วงนี้ แม้ว่าล่าสุดดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค.จะปรับเพิ่มแตะ 28.9 จุด สูงสุดในรอบ 5 เดือนก็ตาม อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นในหมู่ผู้ค้าปลีกพุ่งแตะนิวไฮรอบ 8 เดือน จากอานิสงส์ของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 15.4 ล้านล้านเยน ที่เพิ่งประกาศออกมาใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีมาตรการแจกเงินสดแก่ภาคครัวเรือนรวมอยู่ด้วย


 


ด้านเดนนิส ลอคฮาร์ต ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะหลุดพ้นภาวะถดถอยภายในกลางปีนี้ แต่การฟื้นตัวจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก เตือนว่ายังมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะหดตัวหนักกว่าเดิม แม้ขณะนี้จะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากตัวเลขเศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้นก็ตาม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net