"เสนาะ" อภิปรายเตือน "มาร์ค" อำนาจจากการหักดิบไม่จีรัง แนะกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ที่ รธน. 40

ในการการประชุมรัฐสภาเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ เรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง วันที่ 2 เมื่อวันที่ 23 เม.. 52 เวลาประมาณ 20.45 น. นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาราช ได้อภิปรายดังนี้..

เสนาะกล่าวเริ่มต้นว่าตอนเองเป็นผู้สูงในวัยวุฒิและเป็นคนที่มีโอกาสคนหนึ่งที่ได้เข้ามาทำงานให้กับประเทศชาติบ้านเมือง ในนามของ "นักการเมือง" เสนาะเล่าย้อนไปในช่วงที่ตนเองเข้ามาเล่นการเมือง ว่าเป็นช่วงวิกฤตเช่นเดียวกัน แต่เป็นวิกฤตที่ประเทศชาติจะต้องแบกภาระจากเหตุการณ์ในบ้านพี่เมืองน้อง เพราะเป็นช่วงที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชากำลังรบราฆ่าฟันกันกว่า 20 กว่าปี ที่มีการแบ่งแยกกันหลายฝ่าย ในฐานะที่เป็นคนชายแดน และก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เหนื่อยที่สุดคนหนึ่งในบ้านในเมือง ซึ่งต้องไปดูแลศูนย์อพยพ และมีกำลังทหารอยู่ในเขตของตนถึง 4 กองพล

เสนาะกล่าวต่อไปว่ามาวันนี้ตนอยากพูดถึงมูลเหตุที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในบ้านในเมืองของเรานั้น เขาเองก็มีส่วนในการสร้างมันขึ้นมา เขาเองได้มีโอกาสได้เข้าร่วมรัฐบาลในหลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.. 2519 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในขณะนั้นได้เสียง 114 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร โดยตนเองเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคชาติไทย ซึ่งพรรคชาติไทยได้มา 56 เสียง ได้ร่วมรัฐบาล

"ท่าน (ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช) ก็มายืนลาออกกลางสภาแห่งนี้ ตรงที่ท่านนายกนั่งอยู่นี้" เสนาะกล่าว

ในขณะนั้นฝ่ายค้านได้อภิปรายเรื่องที่จอมพลถนอมได้บวชเณรเข้ามา เรียกว่าทรราชย์ ท่านก็นั่งฟังทนได้ แต่ภาพที่ยังติดตาของตนอยู่ก็คือภาพที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ ยืนขึ้นลาออกกลางสภา เนื่องจากนายวีระ มุกสิกพงษ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เอง ได้ลุกขึ้นอภิปราย ทั่งๆ ที่การประชุมใกล้จะจบแล้ว นั่นคือเหตุการณ์วิกฤต จนในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และมีการปฏิรูปการปกครอง

"สิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมอยากจะทบทวนมูลเหตุที่มาของวิกฤตขณะนี้ อันนี้เพียงแต่ย้อนอดีตไปให้เห็น อยากจะให้สมาชิกผู้ทรงเกียรติที่ว่าเป็นเด็กรุ่นใหม่ รุ่นลูก รุ่นหลานผม ก็มานั่งอยู่ในสภาแห่งนี้ อาจจะไม่รู้ว่าอดีตเป็นยังไง"

เสนาะได้กล่าวตัดตอนมา ถึงการอยู่ร่วมทำงานกับนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นนายชวน หลีกภัย หรือคนอื่นๆ โดยเสนาะกล่าวว่าก็ได้อยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ มีอะไรก็พูดจากัน ไม่มีถึงกับเอาเป็นเอาตายกันอย่างในปัจจุบันนี้ ทั้งนี้เสนาะตั้งคำถามว่าตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบันนั้นผู้หลักผู้ใหญ่ได้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับนักการเมืองรุ่นหลังหรือเปล่า? ทำไมถึงได้ลืมสิ่งที่ดีที่งามที่บรรพบุรุษสร้างไว้และพร่ำสอนไว้ โดยเฉพาะจารีตประเพณีที่อยู่เหนือกฎหมาย อยู่เหนือสิ่งอื่นใด แต่ไม่มีการนำมาใช้กัน

"ลืมหมด ไม่รู้ขั้นรู้ตอน ไม่รู้เด็กผู้ใหญ่เดี๋ยวนี้ หัวหลักหัวตอ อยากจะเดินข้ามก็เดินข้ามกันไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ไม่ได้แอบอ้าง หรือว่ายกสถานะความเป็นผู้มีวัยวุฒิมาที่จะให้สมาชิกสภาต้องมาเคารพนับถือผม แต่ต้องการให้มาพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล"

เสนาะเล่าย้อนไปเมื่อปี 2544 หลังจากที่ตนได้ลาออกจากพรรคความหวังใหม่และได้เข้าพรรคไทยรักไทย โดยอยากเอาความจริงในอดีตมาพูดเพื่อให้สภาได้คลายเครียด หลังจากมีการเลือกตั้งในปี 2544 ซึ่งพรรคไทยรักไทยได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ซึ่งก่อนหน้านั้นตนเองได้ทำนายไว้ล่วงหน้าว่าพรรคไทยรักไทยจะได้ ส.. 200 กว่าคน และได้ทำให้นายกทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ามาบริหารประเทศ แต่พอคนเข้ามามีอำนาจมันก็จะมีอะไรมาดลใจให้หลงใหลในอำนาจของตัวเอง และก็ใช้อำนาจนั้นไปในทางที่จะไม่ค่อยโปร่งใส ไม่ถูกไม่ต้อง และไม่ฟังผู้หลักผู้ใหญ่ที่ตักเตือน นี่คือเหตุที่มา

"ถ้าจะพูดถึงทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายก ในช่วงที่ผมขอละวางตัวเอง แต่ยังไม่ละวางความรับผิดชอบเท่านั้น ดังที่ผมได้ประกาศต่อสังคม เพราะได้เป็นมาหมดแล้วอยู่กับนายกมาหลายคน ตั้งแต่ป๋าเปรมเป็นนายก ผมก็ได้อยู่ร่วมคณะรัฐมนตรีด้วย"

เสนาะกล่าวว่าตนเองไม่เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี และก็ไม่เคยถูกอภิปรายในเรื่องที่เป็นความผิดในสภาแห่งนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้อยากเตือนสติทุกคน ว่าคนที่ทำให้ตนเจ็บปวดรวดร้าวที่สุดคนหนึ่งก็คือ "ทักษิณ ชินวัตร" ที่เจ็บปวดนั้นไม่ได้เจ็บปวดเรื่องอะไร แต่เจ็บปวดที่ผิดคำมั่นสัญญาว่ามาร่วมกันใช้หนี้แผ่นดิน

เรามีสถาบันสูงสุด ซึ่งเสนาะกล่าวว่าไม่ต้องพูด ไม่ต้องมาขึ้นป้าย ไม่ต้องมาประกาศว่าจะปกป้องสถาบัน เพราะตนคิดว่าทุกคนนั้นได้ถวายชีวิตให้กับ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราพร้อมที่จะพลีชีพให้ได้ในทุกกรณี ใครจะมาลบหลู่ดูถูกไม่ได้

ทั้งนี้ตนอยากทบทวนถึงมูลเหตุการณ์ได้มาซึ่งอำนาจของอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และเมื่อนายกได้เปิดโอกาสให้มาพูดในวันนี้เพื่อปรึกษาหารือกัน แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นการเอาน้ำมันมาราดกัน เอาไฟมาจุดให้มันลุกขึ้นมาอีก

"เท่านั้นยังไม่พอ มีทั้งแก๊สทั้งอะไรไม่รู้เต็มสภาไปหมด ต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์"

เสนาะกล่าวต่อไปว่า รธน. ปี 2540 เป็น รธน. ที่ดีที่สุด เราได้รัฐบาลที่อยู่ครบเทอม เราได้พรรคการเมืองที่เข้มแข็ง แต่เมื่อพรรคไทยรักไทยได้อำนาจในปี 2544 นั้น ก็มีการยุบควบรวมพรรคการเมืองหลายพรรครวมกับพรรคไทยรักไทย และในการเลือกตั้ง 2548 ไม่ต้องพึ่งพรรคไหนแล้ว พรรคไทยรักไทยก็ได้เสียงมากที่สุด ซึ่งหลังการเลือกตั้ง 2548 ตนเองไม่ได้รับตำแหน่งอะไรเลย และหลังจากที่ตนเองได้เตือนนายกทักษิณ พูดอะไรก็ไม่มีการฟังกัน ตนจึงได้ยืนขึ้นพูดในสภา โดยไม่ได้เรียกร้องเอาอะไรจากทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้าที่หรือเงินทอง

"นายเสนาะ เทียนทองไม่เคยได้รับอะไรจากทักษิณแม้แต่สลึงเดียว ขอพูดต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์แห่งนี้"

เพราะฉะนั้นสมาชิกผู้ทรงเกียรติที่เคยอยู่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มาจนถึงพรรคเพื่อไทย ยืนยันได้เพราะทุกคนส่วนใหญ่ก็อยู่ในแวดวงเดียวกัน  และตนนั้นก็เป็นนักการเมืองที่สามารถไปได้ทุกภาค

จากนั้นเสนาะกล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าอยากขอร้องว่า เมื่อนายกเป็นคนหนุ่ม เป็นอนาคตการเมืองไทย แต่ที่มาของนายก ขอให้ไปไตร่ตรองให้ดี นายกเป็นนักประชาธิปไตย การไปหักดิบมาไม่มีอะไรจีรัง เดี๋ยวนี้กรรมมันไม่ใช่แบบชาติหน้าจะได้เห็น เดี๋ยวนี้กรรมมันออนไลน์ เห็นทันตา มันมีอันเป็นไปได้

ในประเด็นการชุมนุม เสนาะเห็นว่าสิทธิการชุมนุมมีได้ แต่สิทธิต้องมีขอบเขต ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิไร้พรมแดนไร้ขอบเขต กฎหมายความมั่นคงของประเทศไทยรุนแรงมาก เราเคยใช้กันในยุคคอมมิวนิสต์จนนักศึกษาต้องหนีเข้าป่า แล้วเราก็มาออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ออกมาร่วมเป็นผู้พัฒนาชาติไทย ซึ่งแต่ก่อนนั้นใครจะตั้งกลุ่ม หรือสื่อที่ยุยงให้เกิดความแตกแยกนั้นจะมีไม่ได้เพราะกฎหมายรุนแรง ทั้งนี้เสนาะกล่าวต่อไปว่านายกต้องยอมรับว่าได้ขึ้นมาเพราะสิทธิที่เกินขอบเขตของบ้านเมืองนี้

"ผมเคยขึ้นเวทีกับพันธมิตรฯ แต่ว่าพันธมิตรฯ ตอนนั้นก็มีเหตุมีผล ผมเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคไทยรักไทย แต่ก็ได้ขึ้นเวทีโดยไม่ได้คาดคิดด้วยซ้ำไป และก็ได้พูดในสภา ชี้ผิดชี้ถูก และก็พูดว่า 370 เสียงไม่ใช่ว่าจะทำอะไรได้ทุกอย่าง"

ในประเด็นการชนะศึก แพ้สงครามนั้น เสนาะได้อธิบายว่าเป็นการไปหักหาญรบเอาชนะได้บ้านได้เมืองเขา แต่ท้ายสุดก็ไม่สามารถปกครองได้ ซึ่งเสนาะกล่าวว่าเข้าข่ายการกระทำของนายกคนนี้

เสนาะกล่าวถึงนายกว่า ท่านต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการเลือกตั้งที่พิสูจน์กันเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ซึ่งถือว่าเป็นการมอบอำนาจเด็ดขาดให้กับประชาชนหลังการรัฐประหาร รธน. ก็ออกโดย สสร. ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร สิ่งที่สำคัญที่ท่านนายกต้องย้อนไปดูก็คือกลุ่มที่ใส่เสื้อสีเหลือง ซึ่งต้องยอมรับกันว่าหลังการรัฐประหารนั้นเราได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน

โดยตนเองได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนการเลือกตั้งครั้งนั้นว่าถ้าพรรคไหนได้เสียงข้างมาก ก็ต้องให้พรรคนั้นจัดตั้งรัฐบาล แต่หากจัดตั้งไม่ได้ ก็ค่อยมาว่ากัน แต่ในที่สุดพรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมาก ได้คุณสมัคร ซึ่งก็ปากไว เขาขอร้องให้เป็นหัวหน้าพรรค ตอนหาเสียงก็ไปบอกว่าเป็น "นอมินีของทักษิณ" นั่นก็เป็นจุดอับจุดบอดของคนชื่อ "สมัคร สุนทรเวช"

แต่เราได้เปิดโอกาสให้เขาทำงานหรือไม่ เมื่อเสื้อเหลืองกลับมาและรุนแรงกว่าเก่า บอกว่าปราศจากอาวุธ อหิงสา แต่เสนาะกล่าวว่าอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดก็คือสถานีโทรทัศน์ วิทยุ ปลุกคนเป็นเดือนๆ ให้เกิดการแตกแยกกัน ประณามประเทศไทย อ้างสถาบัน ซึ่งการที่จะอ้างพ่ออ้างแม่เอาไปใช้จะต้องทำในสิ่งที่ถูกที่ควร นี่ไปทำผิดกฎหมาย ไปยึดทำเนียบเป็นกองบัญชาการใหญ่ ไปยึดสนามบิน ปลุกเร้าปลุกระดมกัน

"ท่านนายกครับ พรรคประชาธิปัตย์ ท่านเป็นหัวหน้าพรรค แต่ท่านปล่อยให้สมาชิกของพรรคท่านไปเป็นแกนนำ ในการที่สร้างความแตกแยกให้กับบ้านเมือง เห็นชัดเจนไม่ต้องแก้ตัว"

เสนาะกล่าวต่อไปว่า และในที่สุดก็ทำสารพัดอย่างจนทำให้เกิดการใช้อำนาจของสถาบันหลักๆ ของบ้านของเมืองพังพินาศหมดไม่ต้องมาอำพรางกัน พูดกันตรงๆ บ้านเมืองของเราไม่ใช่คนโง่ สังคมนี้เขาก็มองเห็น ทั้งนี้ตนอยากกลับวิงวอน ให้คิดกันเสียใหม่ ว่าการที่หักดิบได้มาซึ่งอำนาจนั้นไม่มีอะไรที่จีรัง ตนเองมีความเป็นห่วงเป็นใย และหากไม่หาทางหันหน้าเข้ามาหากัน ก็อย่าไปหวังว่าความสงบสุขจะเกิดขึ้นได้

"เราอยากเห็นประเทศไทยเป็นแบบ เขมรแดง เขมรขาวหรือครับ? เราอยากจะเห็นลาวขาว ลาวแดงไหมครับ? เราอยากเห็นเวียดนามเหนือ เวียดนามใต้ไหมครับ? เราอยากเห็นเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ไหมครับ? เราอยากเห็นเหมือนพี่น้องทางพม่าไหมครับ"

เสนาะกล่าวว่า ก่อนการตั้งรัฐบาลนี้ ตนเองก็มีบทบาทในการที่จะตั้งรัฐบาลแต่ไม่ใช่เป็นการแข่งกับประชาธิปัตย์ แต่มีคนมาขอให้ตนช่วยหาทางออกให้กับประเทศ โดยคนของพรรคพลังประชาชนเก่า ก็มาบอกกับตนว่ามอบอำนาจให้เต็มที่ในการหาทางออกให้กับประเทศชาติ ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ได้ไปเคลียร์กับญาติโยมของคุณทักษิณ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร ในตอนนั้นท่านนายกต้องยอมรับว่ามันมีวิกฤต ซึ่งเกิดวิกฤตจากการชุมนุมและไปยึดสถานที่ต่างๆ ของกลุ่มเสื้อเหลือง และการตัดสินอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คตส. หรืออะไรก็ตาม ตนก็ไม่อยากไปตอกย้ำว่ามันผิดทั้งนั้น

"เป็น คตส. ก็เหมือนว่า ทำสำนวนเอง ไปจับเอง ตัดสินเอง ที่ไหนมีครับ ไม่มี"

โดยเสนาะกล่าวต่อไปว่า การจะจับหนูตัวเดียวทำไมต้องเผาบ้านเมืองขนาดนี้ ตนเองไม่เห็นด้วย ทั้งๆ ที่มีวิธีการมากมาย ทำไมถึงใช้วิธีงี่เง่าขนาดนี้ เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ฉะนั้นตนอยากขอให้หันหน้ามาคุยกัน ไม่เช่นนั้นนายกคนนี้จะเป็นที่จารึกไว้ว่าได้ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟและหาจุดจบไม่ได้ในทางที่ถูก

ตนเองอยากขอพูดอย่างสร้างสรรค์ พูดอย่างผู้อาวุโส ร่วมกับผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ ขอให้หันหน้าเข้ามาหากัน บ้านเมืองนี้ไม่มีอะไรให้ปฏิรูปอีกแล้ว เลิกพูดได้ ฉะนั้นต้องปฏิรูปตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนที่รับอาสาเข้ามาในสภาแห่งนี้ก็ดี หรืออยู่นอกสภาก็ดี เป็นนักการเมือง เป็นข้าราชการอะไรต่างๆ ซึ่งคิดแตกแยกกันได้ แต่ต้องแตกแยกแบบสร้างสรรค์ ว่าจะทำอะไรให้กับบ้านเมือง

"วันนี้อยากให้ท่านนายกลองไปทบทวนดู หันหน้าเข้าหากัน แล้วให้ท่านเป็นเจ้าภาพ สรรหาคนที่จะมาเป็นนายก เข้ามาปรองดอง เอาบ้านเอาเมืองไว้ ตอนนี้มีหน้าที่ทุกคน เอาประเทศชาติบ้านเมืองไว้ เอาสถาบันไว้เทิดทูน อย่าไปคิดนะครับ อย่างการร้องเพลงเอาประเทศไทยของเราคืนมาๆ ผมอยากจะถามว่าใครมายึดประเทศไทย ก็พวกเราต่างหาก บอกปกป้องสถาบัน ใครล่ะครับไปทำอะไรสถาบัน พวกเรากันเองทั้งนั้นไปดึงลงมา แล้วก็ไปอ้างนั่นอ้างนี่"

เสนาะกล่าวย้อนอดีตว่าก่อนหน้าที่ท่านจะมาเป็นนายก ท่านก็อ้างถึงเรื่องกฎหมาย แต่เมื่อท่านขึ้นมาเป็นนายกนั้น ท่านขึ้นมาเพราะคนทำผิดกฎหมายใช่หรือไม่ ท่านต้องทบทวนตรงนี้

เสนาะกล่าวสรุปต่อทางออกของวิกฤตว่า รธน. ที่ดีๆ มีหลายฉบับ เช่น รธน. 2540 ไม่ต้องมีการแก้ รธน. อะไรเลย เพียงแต่อยากให้มีมติของรัฐสภาแห่งนี้ ให้งดใช้ รธน. 2550 และให้เอา รธน. 2540 กลับมาใช้ แล้วให้เขียนบทเฉพาะกาลว่า การกระทำใดๆ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ถือว่าให้เลิกแล้วต่อกัน ยกเลิกการตั้งองค์กรอิสระต่างๆ ที่ตั้งมาถูกบ้าง ผิดบ้าง แล้วมานับหนึ่งกันใหม่

"ใครคิดล้มล้าง คิดไม่ดีกับสถาบัน คิดล้มล้างประเทศชาติบ้างเมือง แค่คิดก็บรรลัยแล้ว" นายเสนาะกล่าวปิดท้าย

 

ฟังไฟล์เสียงการอภิปรายของ นายเสนาะ เทียนทอง
http://baygon5.no-ip.org/savefiles/2009-04-23-Parliament-Sanoah.mp3

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท