Skip to main content
sharethis


* คำชี้แจงสรุปของ ฯพณฯ อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการประชุมร่วม 2 สภา วันที่ 23 เมษายน 2552


 


            ท่านประธานที่เคารพ กระผมนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี  ต้องขออนุญาตท่านประธานนะครับว่า ผมได้รับการร้องขอจากท่านประธานเองว่า ในช่วงที่เพื่อนสมาชิกหลายท่านอภิปรายนั้น ขออย่าเพิ่งชี้แจง แล้วก็ให้มาชี้แจงสรุปในช่วงสุดท้าย


            ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกรัฐสภาทุกท่านที่ได้แสดงความคิดเห็นสะท้อนความรู้สึก หรือนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ในช่วงการอภิปราย 2 วันที่ผ่านมา แม้ว่าหลายครั้งก็ทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งหรือกระทบกระทั่งกัน ก็ต้องเรียนท่านประธานครับว่า ผมก็ถือว่าเป็นการสะท้อนความรู้สึกของคนส่วนหนึ่งซึ่งก็เป็นการสะท้อนสภาพปัญหาของสังคม ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ถ้าหากว่าเราไม่ยอมให้มีการสะท้อนความรู้สึกที่มันดำรงอยู่จริงในสังคมก็คงเป็นเรื่องยากที่เราจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งจะเกิดขึ้น


            ผมขออนุญาตที่จะใช้เวลาของสภาฯ ที่จะชี้แจงส่วนหนึ่ง แล้วก็ปรึกษาหารือในการที่เราจะใช้สถาบันของเราเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศต่อไป โดยได้รวบรวมความคิดหรือเสียงสะท้อนต่าง ๆ ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ประการแรกผมคงต้องใช้เวลาในช่วงต้นอธิบายในเรื่องของการทำงานของรัฐบาลและการตัดสินใจและจุดยืนของผมอีกครั้งหนึ่งครับ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาว่ายังมีความคลางแคลงใจต่อจุดยืนท่าที อุดมการณ์หรือการทำงานของกระผม


            ผมกราบเรียนท่านประธานว่า สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าเราย้อนกลับไปเพียงแค่ในช่วงการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา ก็ขอเรียนครับว่า หลังจากการเลือกตั้งสิ้นสุดลง เมื่อทราบว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้จำนวนส.ส.เป็นอันดับ 2 ผมก็ได้พูดชัดเจนว่า พรรคอันดับหนึ่งก็มีสิทธิ์ในการที่จะจัดตั้งรัฐบาลก่อน ถ้าจัดตั้งไม่ได้ก็เหมือนกับอารยประเทศที่ใช้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็ทางพรรคอันดับหนึ่งในขณะนั้นก็คือพรรคพลังประชาชน ก็ได้จัดตั้งรัฐบาล ที่จริงถ้าพูดถึงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งนั้น วัดด้วยจำนวนคนที่ลงคะแนนที่ลงให้พรรคพลังประชาชนกับพรรคประชาธิปัตย์ แทบไม่แตกต่างกันหรอกครับ ห่างกันก็แสนคะแนนจาก 30 ล้านคะแนน แล้วก็ที่สำคัญก็คือว่า มีพรรคการเมืองซึ่งพูดง่าย ๆ ก็คือว่าประกาศตัวหรือแสดงตนเป็นพันธมิตรกับพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงของการเลือกตั้ง ก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามา แล้วก็พรรคพลังประชาชนก็ไม่ได้เสียงข้างมากเด็ดขาด แต่ผมก็ได้เรียนว่า ด้วยตัวเลขส.ส.หรือความจำเป็นหรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ การที่พรรคการเมืองซึ่งเคยประกาศแนวทางในการทำงานร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์จะไปอยู่ร่วมกับรัฐบาลที่นำโดยพรรคพลังประชาชน กระผมก็ไม่ได้ติดใจ แล้วก็ทำหน้าที่ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรมา


            กระผมกราบเรียนว่า หลังจากที่รัฐบาลของพรรคพลังประชาชนเข้าบริหารประเทศ สภาพความขัดแย้งก็มาเกิดขึ้นในช่วงที่มีความคิดในเรื่องของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะประเด็นที่มีคนบางส่วนในสังคมทักท้วงว่าน่าจะถือได้ว่า เป็นความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ผิดถูกก็อีกเรื่องหนึ่งนะครับ แต่ว่ามีความรู้สึกเช่นนี้จริงกับคนหมู่มากจริง ก็เกิดการชุมนุมการประท้วง ผมก็กราบเรียนท่านประธานเพื่อให้ท่านย้อนกลับไปดูทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดในช่วงที่ผมเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรว่า จุดยืนผมไม่เปลี่ยน


            เมื่อใดที่ผู้ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ อยู่ในกรอบของกฎหมาย กระผมก็บอกว่าเป็นสิทธิของเขา เป็นเสรีภาพของเขา เมื่อใดที่เขาไปดำเนินการอะไรซึ่งผมเห็นว่าไม่เหมาะสม ผมก็ให้สัมภาษณ์ว่าผมไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนเช่น ในช่วงที่มีการไปล้อมสนามบินที่ภาคใต้ นอกจากไม่เห็นด้วยแล้ว สมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไปช่วยในการเจรจา เพื่อที่ไม่ให้มีการดำเนินการเช่นนั้น และผมจำได้ครับ ปรากฎการณ์ในลักษณะที่มีการไปล้อมหรือไปขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรี ก็คือร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงในขณะนั้นที่จังหวัดกระบี่ เป็นครั้งแรก ผมก็ให้สัมภาษณ์ในวันรุ่งขึ้นว่าผมไม่เห็นด้วยกับแนวทางเช่นนี้ เพราะผมถือว่า ทุกคนก็ควรจะสามารถที่ไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้ เหล่านี้ท่านตรวจสอบได้ ว่าผมได้ยืนยัน


            สถานการณ์ก็ลุกลามไปนะครับ ไปถึงเรื่องของการเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ผมก็แสดงความไม่เห็นด้วย แต่ว่าในช่วงนั้นนะครับ การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลก็นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างมวลชน 2 กลุ่ม ถ้าท่านจำได้ก็มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานครนี่แหละครับ จากเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมจากสนามหลวง เดินทางเข้ามาใกล้บริเวณทำเนียบรัฐบาลแล้วก็มีผู้ชุมนุมอีกกลุ่มหนึ่ง ชุมนุมอยู่แล้วก็ปะทะกันเกิดความรุนแรงก็มีการประกาศใช้พ.ร.ก. แล้วก็สภาพที่มวลชนปะทะกันเกิดขึ้นในหลายจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นที่อุดรธานี ไม่ว่าจะเป็นที่เชียงใหม่ หรืออีกหลายต่อหลายพื้นที่ ซึ่งวันนั้นท่านนายกรัฐมนตรีสมัคร ก็มาขอความเห็นจากที่ประชุมรัฐสภา กระผมก็ได้กราบเรียนครับว่า ถ้าถึงจุดหนึ่งรัฐบาลไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์บริหารราชการแผ่นดินได้ แล้วก็มีคนต่อต้านจำนวนมาก และบ้านเมืองเดินไปไม่ได้ การยุบสภา ผมก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง เพราะเชื่อว่าทุกคนจะยอมรับผลของการเลือกตั้งในขณะนั้น และผมก็พูดในสถานะซึ่งขณะนั้นทุกคนก็ประเมินว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ก็เป็นคำพูด คำอภิปรายซึ่งเมื่อวานก็มีการมาฉายและผมจึงได้ยืนยันว่า ผมคิดเช่นนั้นจริง ๆ


            ต่อมาเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ถึงปัญหาของการกระทำของท่านนายกฯ สมัคร ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เป็นเรื่องของมาตรการที่เกี่ยวข้องกับข้อห้ามคือ ข้อห้ามการกระทำบางอย่างของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นเรื่องที่เขาป้องกันในเรื่องของความขัดแย้งในเรื่องของผลประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องว่าท่านไปทำกับข้าว ก็มีการวินิจฉัยท่านก็พ้นจากตำแหน่ง สภาฯ แห่งนี้ก็เลือกท่านนายกฯ สมชายมาเป็นนายกรัฐมนตรี สถานการณ์ในเรื่องการชุมนุมต่าง ๆ ก็ไม่ดีขึ้นครับ และสภาพของความวุ่นวายก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสุดท้ายก็มีปัญหาในเรื่องการชุมนุมที่สนามบินและก็มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเช่นเดียวกัน


            ก็กราบเรียนครับว่า ขณะนั้นบทบาทของผมก็ชัดเจน ท่านประธานรัฐสภาเชิญหัวหน้าพรรคการเมืองต่าง ๆ เข้ามา ผมก็อาสาตัวว่าพร้อมที่จะเป็นคนกลางในการเจรจาไม่มีการกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ก่อนที่จะมีการเจรจา ผมจำได้ครับว่าท่านประธานรัฐสภาก็ได้ติดต่อกลับไปทางรัฐบาล ขณะนั้นท่านรองนายกฯ ชวรัตน์ เป็นผู้รักษาการ ก็มีการพูดคุยกัน


            ที่สุดท่านนายกฯ สมชาย ซึ่งเดินทางไปประชุมเอเปค เดินทางกลับมาทางท่านรองนายกฯ ซึ่งรักษาการ และท่านประธานรัฐสภาก็บอกว่า ขอให้รอเมื่อท่านนายกฯ สมชายกลับมาถึงว่าจะเดินหน้าในเรื่องของการหารือเจรจาหาทางออกอย่างไร สุดท้ายเมื่อท่านนายกฯ สมชายมาถึงท่านประธานรัฐสภาก็แจ้งว่า ท่านนายกฯ สมชายขอบคุณในความปรารถนาดี แต่จะขอแก้ไขปัญหาโดยรัฐบาลเอง


            อันนี้คือบทบาทต่าง ๆ และกระผมกราบเรียนครับว่า ตลอดระยะเวลาดังกล่าวนี้ สิ่งที่ผมระมัดระวังที่สุดไม่ว่าจะเป็นช่วงของนายกฯ สมัคร หรือในช่วงของท่านนายกฯ สมชาย นั้น ผมจะหลีกเลี่ยงการเรียกร้องให้ทั้ง 2 ท่านนั้นลาออก ที่ผมหลีกเลี่ยงตรงนั้นเพราะผมรู้ครับว่า ถ้าผมเรียกร้องให้ท่านลาออก ก็จะมีข้อกล่าวหาว่า ผมพยายามเรียกร้องเพื่อตนเอง และผมกล้าพูดด้วยครับว่า ไม่ใช่เฉพาะในเวทีในสภาฯ หรือการให้สัมภาษณ์ในทางสาธารณะ เวลาที่มีองค์กรต่าง ๆ เขาจะมีบทบาทในการเสนอแนะทางออกของรัฐบาล ถ้าเขามาสอบถามความเห็นผม ผมยังบอกเลยว่า ขอความกรุณาอย่าเรียกร้องให้มีการลาออก เพราะมันจะเป็นปัญหาว่า พรรคการเมืองในสภาฯ ช่วงชิงกัน อำนาจกัน แล้วก็เอาเรื่องของการเมืองนอกสภาฯ มากดดัน นี่คือข้อเท็จจริง ซึ่งผมก็ขอยืนยันและก็มีพยานจำนวนมากซึ่งจะยืนยันเรื่องนี้ได้ แต่ว่าสุดท้ายครับ เหตุที่ท่านนายกฯ สมชายพ้นจากตำแหน่งไป ก็เป็นเหตุมาจากปัญหาการเลือกตั้งที่มีกรรมการบริหารพรรคไปทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และก็ตามรัฐธรรมนูญก็นำไปสู่เรื่องของการยุบพรรค ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้น


            ดังนั้นก็เป็นเรื่องของสภาฯ ที่จะต้องพิจารณาในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในต่างประเทศก็เป็นเรื่องปกติครับ เมื่อพรรคการเมืองอันดับหนึ่งมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล มีโอกาสบริหารบ้านเมืองแล้ว อาจจะเกิดปัญหาขึ้น ทางสมาชิกสภาฯ ก็มีสิทธิ์ในการตัดสินใจใหม่ ผมก็ถือว่า มติของสภาฯ เป็นมติที่มีความสำคัญแล้วก็จะเป็นตัวชี้ตามระบบ ตามรัฐธรรมนูญ ตามวิถีทางซึ่งอารยประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยก็ปฏิบัติกัน


            แน่นอนครับ ถามว่า ผมสบายใจ ผมมีความสุขกับสถานการณ์แล้วก็สถานะของผมที่มาในลักษณะนั้นในท่ามกลางสภาวะแวดล้อมอย่างนั้นหรือไม่ ผมก็เคยให้สัมภาษณ์ตอบอย่างเต็มปากเต็มคำครับว่า ถ้าเลือกได้ ก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นหรอกครับ แต่ว่าเมื่อเป็นมติของสภาฯ ผมก็มีความรับผิดชอบ และสิ่งที่ผมตั้งใจก็คือว่า ผมก็ตั้งใจว่า ผมจะพิสูจน์ว่าผมทำงานให้กับคนทุกคน


            ผมกราบเรียนว่ามีข้อกล่าวหามากมาย ที่พูดถึงรัฐบาลว่า เมื่อมาอย่างนี้ แปลว่าจะรักษาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ผมก็ขอยืนยันว่า 3 เดือน 4 เดือนที่ผ่านมา มีตรงไหนครับที่รัฐบาลนี้เลือกปฏิบัติ ในแง่ของการออกนโยบายที่จะไปคิดว่าจะช่วยเหลือเกื้อกูลเฉพาะกลุ่มคนที่สนับสนุนตัวเอง ไม่มีครับ ผมยืนยันและก็ใช้หลักการนี้ในการทำงานมาโดยตลอด มีความพยายามไปสร้างกระแสทำนองว่า รัฐบาลนี้จะเป็นรัฐบาลที่ไม่ให้ความสำคัญกับคนจน แต่ท่านดูเถอะครับว่า เงินงบประมาณหรือเงินนอกงบประมาณที่รัฐบาลใช้มากที่สุดก็คือเรื่องแก้ไขปัญหาของคนยากจน และคนด้อยโอกาสก่อนสิ่งอื่นใดในการรับมือกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ


            มีการพูดว่ารัฐบาลชุดนี้จะต้องเกรงอกเกรงใจกองทัพเป็นพิเศษ เมื่อวานก็มีการอภิปรายถึงอยู่บ้าง ก็ขอกราบเรียนว่าไม่มีอะไรเลยครับ สิทธิพิเศษของกองทัพไม่มีเหนือหน่วยงานอื่นใด ดูได้จากการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ดูได้จากการที่มีการของบประมาณเข้ามาหลายส่วน ผมก็ปฏิบัติแบบเดียวกันหมด ตรงนี้ครับเป็นสิ่งที่ผมก็หวังว่าอย่างน้อยจะช่วยให้ความรู้สึกที่ไม่ยอมรับหรือความรู้สึกว่ามันมีความไม่เป็นธรรมลดลงได้บ้าง แต่ผมไม่เคยปฏิเสธครับ ว่าผมรู้ว่ามีคนจำนวนมากในสังคม ผมใช้คำว่าจำนวนมากที่อย่างไรก็รู้สึกว่าเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ผมไม่เคยปฏิเสธตรงนั้น และผมก็รู้ว่ามีคนที่ยังมีความคลางแคลงใจต่อการตัดสินต่อการคลี่คลายเหตุการณ์สถานการณ์หลายครั้งหลายช่วง นับเนื่องตั้งแต่การรัฐประหารเป็นต้นมา เหมือนกับที่ผมเชื่อว่าท่านก็คงไม่ปฏิเสธว่าก็มีคนจำนวนมากในสังคมเช่นเดียวกันที่คลางแคลงใจต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลของท่านนายกฯ ทักษิณ 4 - 5 ปี ก่อนหน้านั้นเช่นเดียวกัน ต้องยอมรับอันนี้ครับ คงจะไปตัดตอนที่จุดใดจุดหนึ่งไม่ได้หรอก อันนี้คือข้อเท็จจริงซึ่งผมคิดว่า ถ้าเรารับด้วยกันตรงกัน มันก็จะมองเห็นทางออกในวันข้างหน้า


            ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากจะขอยืนยันว่า 3 - 4 เดือนที่ผ่านมา การชุมนุมการวิพากษ์ วิจารณ์ การต่อต้านตัวกระผม ตราบเท่าที่อยู่ในกรอบของกฎหมาย ผมเปิดโอกาสให้เต็มที่ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในทุกโอกาสที่จะทำได้ และยืนยันมาโดยตลอดว่า แม้ผมไม่เห็นด้วย แม้ผมคิดว่าสิ่งที่บางครั้งกล่าวหาผมอาจจะไม่เป็นจริง ผมเคารพในการใช้สิทธิ เสรีภาพเหล่านั้น


            แต่ว่าเหตุการณ์ก่อนที่จะมีการประกาศใช้พระราชกำหนดนั้น มันเปลี่ยนแปลงไปจากตรงนั้นนะครับ ผมไม่อยากจะไปลงรายละเอียดเพราะว่าเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งอีก แต่ก็ต้องกราบเรียนว่า ถ้าสรุปว่าเหตุการณ์ที่ลุกลามบานปลายที่พัทยา จนเราจัดการประชุมอาเซียนไม่ได้นั้น มันเกิดขึ้นจากการปะทะกันหลังจากที่ผู้ชุมนุมไปที่พัทยาแล้วนั้น มันคงไม่ใช่หรอกครับ ผมเชื่อว่าพี่น้องที่มาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นด้วยกับการที่จะไปล้มการประชุมอาเซียน แต่ปฏิเสธไม่ได้ครับว่ามีแกนนำที่ได้อภิปรายบนเวทีตั้งแต่วันที่ 8 ว่าจะขอให้พี่น้องจำนวนหนึ่งไปล้อมและขัดขวางไม่ให้การประชุมอาเซียนเกิดขึ้น อันนี้ตรวจสอบได้ ยิ่งไปกว่านั้นครับ แกนนำที่พาผู้คนเดินทางไปนอกจากประกาศว่าจะไปขัดขวางการประชุมอาเซียน มีการประกาศบนเวทีชัดเจนครับว่า เขาคือหน่วยที่อาสาที่จะไปจับผมครับ แล้วก็เอาตัวผมกลับมาที่ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อที่จะดำเนินการต่อไป


            ผมกราบเรียนกับท่านประธานอีกครั้ง ผมเชื่อว่าคนจำนวนมากส่วนใหญ่ที่ท่านว่าเป็นแสนคนนั้น เขาคงไม่ได้เห็นด้วยกับแนวทางนี้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริง จึงไม่น่าแปลกใจครับว่า แม้เหตุการณ์ที่พัทยานำไปสู่การที่รัฐบาลประกาศเลื่อนการประชุมแล้ว แต่ผู้ชุมนุมยังถูกนำเข้าไปในโรงแรมที่จัดการประชุม แล้วก็ชัดเจนครับ ที่เข้าไปในโรงแรมที่จัดการประชุม ก็ประกาศว่า หาตัวผม


            ดังนั้นอันนี้คือข้อเท็จจริงที่ผมต้องกราบเรียน ถามว่า ตั้งแต่ก่อนที่จะไปถึงพัทยา เราเห็นปัญหาไม๊ เราเห็น เพราะในวันที่ 9 มันมีการใช้วิธีการในการปิดการจราจรที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ว่าเพื่อจะรักษาบรรยากาศของบ้านเมืองที่สำคัญที่สุด ผมนี้ตอบคำถามผู้สื่อข่าว ผมจำไม่ได้ว่ากี่ครั้งครับ นับไม่ถ้วน ตั้งแต่ประมาณปลายเดือนที่แล้วเป็นต้นมาว่า จะประกาศใช้พ.ร.ก.ไม๊ จะประกาศใช้พ.ร.ก.ไม๊ ผมยืนยันมาโดยตลอดว่า ผมจะพยายามแก้ไขปัญหาทุกวิถีทางโดยไม่ประกาศใช้พระราชกำหนด


            แล้วก็เพื่อความเข้าใจในด้านกฎหมายนะครับ ก็อยากจะเรียนว่าที่มีการอภิปรายว่ากฎหมายนี้ออกมาเพื่อ 3 จังหวัดท่านก็ต้องไม่ลืมครับว่า ปีที่แล้วก็ได้มีการประกาศใช้พระราชกำหนดในลักษณะนี้ 2 ครั้งในเขตกรุงเทพมหานคร และถามว่าการประกาศครั้งนี้ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ผมก็กราบเรียนครับว่า นายกรัฐมนตรีนั้นมีสิทธิ์ประกาศแล้วก็ให้คณะรัฐมนตรีนั้นมีมติเห็นชอบภายใน 3 วัน แต่ว่าการได้มติคณะรัฐมนตรีนั้น มีข้อกฤษฎีกาที่กำหนดเอาไว้ว่า ทำได้ด้วยวิธีใด เป็นพระราชกฤษฎีกาซึ่งก็ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ครับ ออกตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2548 ถ้าท่านบอกพระราชกฤษฎีกานี้ใช้ไม่ได้แล้วเพราะว่า ไปอ้างอิงรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญปี 40 ก็อยากจะกราบเรียนว่า พระราชกฤษฎีกาทุกฉบับที่อ้างอิงรัฐธรรมนูญปี 40 ยังบังคับใช้อยู่ครับ นอกจากฉบับนี้ก็มีเรื่องเบี้ยประชุม และก็เรื่องของการบริหารจัดการที่ดี หรือเรื่องธรรมาภิบาล


            ในมาตรา 8 ของพระราชกฤษฎีกานี้เขียนเอาไว้นะครับว่า ในกรณีจำเป็นเพื่อเป็นการรักษาประโยชน์สำคัญของประเทศหรือมีกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่อประโยชน์ในการรักษาความลับ นายกรัฐมนตรีอาจพิจารณาเรื่องใดกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควร เพื่อมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นได้ครับ เรื่องก็มีเท่านี้ครับ แล้ววันนี้ศาลก็วินิจฉัยตามนี้ครับ ที่มาบอกว่าต้องรักษาความลับนั้นไม่ใช่นะครับ ท่านต้องอ่านกฎหมายให้ชัดว่า เขาใช้คำว่า "หรือ" ซึ่งหมายถึงว่ามีเงื่อนไข 3 เงื่อนไข ที่ใช้มาตรานี้ได้ ฉะนั้นตรงนี้การดำเนินการตามประกาศพระราชกำหนดนั้น เป็นไปด้วยชอบ ด้วยกฎหมาย


คำถามต่อไปครับ ทำไมการใช้พ.ร.ก.ครั้งนี้กับการแก้ไขปัญหาปีที่แล้วซึ่งมีการประกาศใช้พ.ร.ก.ถึง 2 ครั้ง บทบาทของฝ่ายต่าง ๆ นั้นจึงไม่เหมือนกัน ผมคิดเรื่องนี้ก่อนประกาศครับ แล้วก็พยายามสอบถามว่า เหตุใดการประกาศใช้พระราชกำหนด 2 ครั้งในปีที่แล้ว จึงไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาให้เกิดความสงบได้ ก็อยากจะเรียนครับว่าการประกาศพระราชกำหนดนั้น 2 ครั้ง ครั้งแรก เป็นการประกาศโดยท่านนายกฯ สมัคร ตั้งผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้กำกับงานนะครับ ในการปฏิบัติตามพระราชกำหนดผมก็สอบถามท่านผบ.ทบ. ท่านก็บอกว่า


1. เหตุที่ประกาศพ.ร.ก.ในขณะนั้น อ้างอิงกรณีการปะทะกันของ 2 กลุ่มมวลชน เมื่อประกาศแล้ว หรือแม้กระทั่งช่วงก่อนประกาศ ทางทหารซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานได้ ได้เข้ามาในพื้นที่ถนนราชดำเนินเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกันอีก ท่านก็บอกนั่นถือว่าเหตุของการประกาศภาวะฉุกเฉินนั้นได้รับการแก้ไขแล้ว


ประการที่ 2 ท่านบอกว่านอกเหนือจากนั้น ท่านเป็นฝ่ายประจำ จะให้ท่านตัดสินใจในเชิงนโยบายหรือตัดสินใจในการดำเนินการอะไรซึ่งเป็นผลกระทบในทางการเมืองนั้น ท่านก็บอกว่าท่านคงไม่อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรได้


นี่คือการประกาศครั้งที่ 1 การประกาศครั้งที่ 2 ท่านนายกฯ สมชายมอบหมายท่านรองนายกฯ โกวิท ครับ เป็นผู้ดูแล แล้วก็พึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลัก ผมก็ถามทางตำรวจครับ ว่าเหตุใดจึงไม่สามารถเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ฉุกเฉินได้ เขาก็ให้มา 2 เหตุผลชัดเจนนะครับ


เหตุผลแรกก็คือว่า การจะไปปฏิบัติการใด ๆ ในพื้นที่สนามบินนั้น มันมีความเสี่ยงสูงต่อความผิดพลาด


ประการที่ 2 ครับ เขาก็บอกว่าหลังจากเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม แล้วก็มีการเข้ามาตรวจสอบขององค์กรต่าง ๆ เขาบอกเขาก็อยู่ในฐานะที่กังวลเกี่ยวกับการใช้อำนาจว่าจะมีอะไรคุ้มครองหรือไม่ มีพ.ร.ก.ก็ดีกว่าไม่มี อันนี้ตำรวจก็บอกครับ แต่สภาพที่ไม่แน่ใจว่าอะไรคือเรื่องของการชุมนุม ในเรื่องของสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ถ้าไปกีดขวางการจราจร เข้าไปปิดสถานที่สำคัญแค่ไหนถือว่าผิดไม่ผิดนั้น เขาก็บอกว่า มันยังไม่มีความชัดเจน


ดังนั้นผมกราบเรียนครับว่า เมื่อผมตัดสินใจที่ประกาศใช้พระราชกำหนดในครั้งนี้ประการแรก ผมจึงได้มอบท่านรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ เพราะท่านดูแลในเรื่องของความมั่นคงและเป็นฝ่ายการเมือง ที่จะต้องเป็นผู้กำกับงาน เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่ทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นทหารตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นใด ซึ่งจะต้องมาช่วยรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานี้มีความสบายใจว่า เขาเป็นผู้ปฏิบัติตามนโยบาย ผู้รับผิดชอบคือฝ่ายนโยบาย ซึ่งท่านรองฯ สุเทพ คือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นหลัก และแน่นอนผมก็ต้องรับผิดชอบอีกชั้นหนึ่ง


ประการที่ 2 ครับ ผมทราบดีว่าการนำกำลังทหารเข้ามาเพื่อเสริมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วก็มีกลุ่มบุคคลที่ชุมนุมจำนวนมากนั้น มันก็ย่อมมีความเสี่ยงต่อความรุนแรง ผมเรียกประชุมหลายครั้ง ทำความเข้าใจกันครับ หลักการสำคัญ ๆ ที่ผมได้ประชุมและทำความเข้าใจนั้น ประการแรก ผมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นใด เป้าหมายของผมมีเพียงแค่การรักษากฎหมาย หยุดสภาวะที่เป็นการจลาจลเท่านั้น ไม่มีเป้าหมายไปสลายการชุมนุมที่เป็นการชุมนุมโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ประการที่ 2 และเกี่ยวเนื่องกันก็คือว่า ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ใช้กฎหมายนี้ และจะไม่ใช้กฎหมายอื่นใดต่อไป เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ผมย้ำอีกครั้งครับ เหมือนเมื่อวานที่เมื่อเพื่อนสมาชิกบางท่านมีความกังวลว่าเกิดภาวการณ์ไล่ล่าหรืออะไรก็ตาม ผมก็เชิญมาคุยแล้วก็ต่อให้คุยกับทางตำรวจเพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า ไม่มีการไปดำเนินการในลักษณะที่เป็นการไปไล่ล่าทำลายล้างทางการเมือง ผมทำไม่ได้หรอกครับ ผมรู้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ มีผู้สนับสนุนผมว่าก็ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ทั้ง 2 พรรค มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเอากฎหมายพยายามที่จะไปกวาดล้างไล่ล่าอะไร ผมจึงบอกว่าใช้กฎหมายนี้เฉพาะกับผู้ที่ทำผิดกฎหมายเท่านั้น ผิดกฎหมายในลักษณะก็คือทำอะไรนอกความมุ่งหมายของสิทธิเสรีภาพที่ปรากฏอยู่ตามรัฐธรรมนูญ


ประการที่ 3 ครับ ผมทราบดีว่า ความสุ่มเสี่ยงถ้าหากว่ามีใครเสียชีวิต หรือมีการกระทำที่ไม่เหมาะสม มันย้อนกลับมาแน่ ผมก็ได้ซักซ้อมหลายครั้ง และมีการตัดสินใจที่สำคัญหลายหน ที่ผมขอเรียนยืนยันว่าเป็นบทพิสูจน์ถึงความจริงใจว่า ผมไม่คิดทำร้ายประชาชน ตำรวจ ทหารไม่คิดทำร้ายประชาชน ทุกคืนจะต้องมีรายงานว่า ผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลมีจำนวนเท่าไหร่ ทุกคืนประชุมตัดสินใจ ไม่สลาย แม้คืนสุดท้ายครับ มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบางคืน เช่นมีคนที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์แล้วก็ไปยิงทหารในบางจุดในกรุงเทพมหานคร ทางผู้นำทางทหารก็มาสอบถามผมว่า แล้วถ้าคืนนี้มันเกิดอีก เขาจะขอยิงตอบโต้ได้ไม๊ ผมให้นโยบายไปทันทีครับว่า ไม่ได้ให้อดทนถ้าปรากฏว่ามีเหตุการณ์ลักษณะนี้แพร่กระจายไปจริงค่อยมาทบทวน แต่เท่าที่ปรากฏอยู่ ไม่ให้ตอบโต้ครับ ก็โชคดีว่าเหตุการณ์ในลักษณะนั้นมันไม่ได้ลุกลามไปทุกอย่างก็เรียบร้อย อันนี้ผมกราบเรียนทั้งหมดเพื่อที่จะบอกครับว่า เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่ผมจะไปสั่งฆ่าประชาชน ปฏิบัติการทั้งหลายก็ย้ำในเรื่องของความโปร่งใส ในแง่ที่ว่าต้องมีสื่ออยู่ด้วย ไม่มีการกันสื่อออกไปห้ามถ่ายภาพหรืออะไรทั้งสิ้น อันนี้คือสิ่งที่ผมขอยืนยันว่าเป็นแนวทางที่มอบเป็นนโยบายอย่างชัดเจน


ท่านประธานที่เคารพครับ อย่างไรก็ตามเมื่อมีการปฏิบัติการไปก็มีข่าวสารปรากฏมาตลอดเวลาครับ เช่นมีการพูดถึงการเสียชีวิตของคุณไสว ทุกครั้งเราจะตรวจสอบทันที หรืออย่างกรณี 2 ศพ ที่พบในแม่น้ำเราก็ขอให้ตรวจสอบทันที สอบสวนทันที เพราะฉะนั้นสิ่งนี้คือความจริงใจที่เราให้ความสำคัญสูงสุด กับชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม แม้กระทั่งคนที่ทำผิดกฎหมาย การควบคุมตัวการดำเนินการอะไร ผมก็กำชับว่ามีพ.ร.ก.ก็จริงก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายไม่ให้ใช้แนวทางอะไรนอกกฎหมายหรือผิดกฎหมายทั้งสิ้น และผู้นำขององค์กรเหล่านี้ก็ขานรับ แล้วก็ยืนยันว่าถ้ามีกรณีใดที่ออกนอกแนวทางพร้อมที่จะให้มีการตรวจสอบ และถ้าจำเป็นก็ต้องมีการสอบสวน


ท่านประธานที่เคารพครับ 2 วันที่ผ่านมามีเพื่อนสมาชิก จำนวนมาก ที่ได้หยิบยกตั้งข้อสังเกตกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ใครไปทำอะไร ที่ไหน มีคนตายหรือไม่ มีการปฏิบัติที่เกินเลยไม่ชอบของเจ้าหน้าที่หรือไม่ กระผมเองเห็นว่าที่จริงภายใต้ข้อจำกัดในเรื่องเวลา และการขอร้องจากท่านประธานสภาฯ ผมและท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ได้ชี้แจงไปอย่างชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ว่าผมก็ถือว่าสิ่งที่ท่านสะท้อนออกมาเป็นข้อมูล เมื่อเป็นข้อมูล ผมก็เสนออย่างนี้ครับว่า มาตรการหนึ่งซึ่งรัฐสภาควรจะทำต่อไปซึ่งถ้าทางเพื่อนสมาชิกเห็นชอบด้วยก็คือว่า เราให้ท่านประธานรัฐสภา ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสักชุดหนึ่งดีไม๊ครับ ให้ทุกฝ่ายเข้าไปมีส่วนร่วมเอาข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งเป็นข้อสงสัยความคลางแคลงใจมา แล้วก็มาพิสูจน์เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เป็นความจริงออกมาให้ปรากฏต่อสังคมเพื่อความโปร่งใสในการทำงานของทุกฝ่าย แล้วตรงนั้นก็จะเป็นตัวที่พิสูจน์เรื่องราวต่าง ๆ ออกมา ผมว่าอันนี้เป็นธรรมกับผม เป็นธรรมกับรัฐบาลและเป็นธรรมกับท่านเพื่อนสมาชิกฝ่ายค้านที่ได้นำเสนอข้อมูลต่าง ๆ มา ซึ่งถ้าไม่มีข้อขัดข้องตรงนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ผมจะขอความกรุณารบกวนทางวิปของทั้ง 3 ฝ่ายคือวุฒิสภา ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ได้ปรึกษากับท่านประธานต่อไปว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการชุดนี้ควรจะเป็นอย่างไร แล้วก็รัฐบาลก็จะให้ความร่วมมือกับการทำงานของการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ อันนี้คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น


กระผมกราบเรียนครับว่า โดยส่วนตัวก็เสียใจอยู่เล็กน้อยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองนั้น ยังมีความพยายามที่จะตั้งคำถามหรือเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น แม้กระทั่งวันนี้ก็บางจังหวัดก็มีการไปแจกใบปลิว ที่พูดถึงว่า มีการตาย มีอะไรต่อมิอะไร และหนึ่งในนั้นก็บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นที่กระทรวงมหาดไทยนั้น ผมไม่ได้อยู่ในรถ เป็นแผนของท่านรองฯ สุเทพ ที่หลอกแล้วก็สร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้ผู้คนเกลียดชังผู้ชุมนุมหรืออะไรนั้น ไม่น่าเชื่อครับ ผมเองช่วงที่เป็นฝ่ายค้านอย่างที่เรียน เพียงแค่รัฐมนตรีไปปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ถูกผู้ชุมนุมสกัดกั้นผมยังบอกเลยว่าผมไม่เห็นด้วย แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่กระทรวงมหาดไทย ผมยืนยันได้นะครับ เสียงปืนที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นหลังจากที่ผมถูกล้อมรถอยู่ประมาณ 15 - 20 นาทีแล้ว แล้วเท่าที่ผมตรวจสอบ สอบถามก็คือมีการยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อให้รถผมนั้นสามารถถอยออกมาได้เพราะติดอยู่ในมุมอับครับ จังหวะนั้นเท่านั้นเองครับ ที่ทำให้รถผมถอยออกมาจากมุมอับได้ แล้วในที่สุดก็คือตัดสินใจ รถชนประตูรั้วออกมา จึงรอดจากเหตุการณ์นั้นมาได้


ผมกราบเรียนว่า ผมกราบเรียนสิ่งนี้เพื่อที่จะบอกครับว่า ผมไม่เคยคิดทำร้ายใคร และผมก็ไม่อยากให้มีใครคิดทำร้ายใครทั้งสิ้น แล้วถามว่าหลายภาพที่เกิดขึ้นในช่วง 3 - 4 วันในเหตุการณ์นั้น ผมเห็นแล้วผมรู้สึกอย่างไร ผมก็ต้องบอกว่า ผมรู้สึกทุกข์ รู้สึกไม่สบายใจ แต่ผมก็รู้ว่ามันก็เป็นภาระหน้าที่ของผมอย่างสำคัญในการที่จะนำเอาเรื่องของการรักษากฎหมายกลับคืนมาสู่สังคมให้ได้ การตรวจสอบเรื่องนี้ถ้าเพื่อนสมาชิกเห็นด้วยก็จะขอยกให้เป็นภาระของท่านประธานแล้วก็วิปในการที่จะคิดอ่านต่อไปโดยรัฐบาลให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ อันนี้คือข้อเสนอที่เป็นข้อแรกที่เป็นข้อสรุปจากการรับฟังข้อมูลต่าง ๆ จากเพื่อนสมาชิก


ท่านประธานที่เคารพครับ จะอย่างไรก็ตามครับ เราก็มีปัญหาที่จะมาพูดกันเฉพาะเหตุการณ์ในช่วงสงกรานต์ไม่ได้ เปิดสภามาครั้งนี้ก็เพื่อให้ทุกฝ่ายได้แสดงออกหรือระบายถึงความรู้สึกที่มันสะสมมาครับ ข้อกล่าวหาเรื่อง 2 มาตรฐาน ข้อกล่าวหาหรือเรื่องต่าง ๆนั้น ผมเรียนนะครับว่าผมให้ความสำคัญ ไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญ แล้วก็พยายามอธิบายมาโดยตลอดว่าจะแก้ไขจะคิดอ่านกันอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหลายมาตรา ซึ่งทุกพรรคการเมืองเคยพูดเอาไว้ว่ายังไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควร ผมก็พูดมาตลอดว่ายินดีที่จะเดินหน้าในการทำเรื่องนี้ แต่ว่าสิ่งที่ผมคิดก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นนั้น ผมเสนอว่าน่าจะหาคนกลางหรือองค์กรที่เขาไม่ได้มีส่วนได้เสียเป็นคนเริ่มต้นได้ไหม เพราะอะไรครับ เพราะผมเกรงว่าถ้าเราทำกันเอง ก็จะเป็นอย่างที่เพื่อนสมาชิกหลายท่านอภิปรายในช่วง 2 วันที่ผ่านมาว่าเขาก็มองว่าเป็นเรื่องความสามัคคีในหมู่นักการเมืองหรือเปล่าในขณะที่ประชาชนไม่เห็นด้วย ประชาชนในที่นี้ อาจจะไม่ได้หมายความว่าทุกคนหรอกครับ แต่ว่าจำนวนไม่น้อยนอกสภาซึ่งเราก็เห็นปัญหานี้มาแล้วเมื่อปีที่แล้ว แล้วท่านเห็นไม๊ครับ เพียงแค่ผมพูดในช่วง 2 - 3 วันที่ผ่านมาเรื่องนี้ ก็มีปฏิกิริยาจากคนที่ไม่เห็นด้วยคัดค้านการแก้ไขประเด็นนั้น ประเด็นนี้อย่างรุนแรงออกมาแล้ว แล้วส่วนใหญ่คนที่ไม่เห็นด้วยก็จะกล่าวหาว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองไม่ใช่เรื่องของระบบ ผมถึงบอกว่าผมพยายามแสวงหาลู่ทางที่ดีที่สุด สำหรับพวกเราทุกคนและสำหรับพี่น้องประชาชน ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมก็จะเสนอต่อไปว่าจะทำอย่างไร


ข้อเรียกร้องเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ผมให้ความสำคัญมาโดยตลอด ข้อเรียกร้องบางข้อเช่น เรื่องของตัวผม หรือรัฐมนตรีกษิต ผมก็เปิดโอกาสในช่วงของการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้กระบวนการรัฐสภาได้ชำระสะสางตรงนั้น ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผมถือว่าไม่ได้เพิกเฉย หรือปิดกั้นในการเรียกร้องเรื่องเหล่านั้น ส่วนข้อหาเรื่องคดีความ เรื่อง 2 มาตรฐานนั้น ผมกราบเรียนท่านประธานอย่างนี้ครับ ที่จริงการสะท้อนความรู้สึกของเพื่อนสมาชิกหลายท่านมันหลายเรื่องครับ แล้วก็หลายองค์กร คมช.บ้าง ศาลรัฐธรรมนูญบ้าง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองบ้าง ซึ่งหลายองค์กรความจริงมาจากรัฐธรรมนูญปี 40 นะครับ ไม่ใช่ปี 50 ในเชิงหลักการ บางทีก็เป็นเรื่องของอาจจะเกี่ยวข้องกับรัฐบาลของกระผม แต่หลายเรื่องนั้นความจริงไม่ได้เกิดขึ้นสมัยที่พวกกระผมเป็นรัฐบาลเลยครับ


แต่ว่ามารวมประหนึ่งว่าความอยุติธรรมหรือ 2 มาตรฐานนั้นเกิดขึ้นจากการบริหารงานของผม มีเรื่องเดียวซึ่งผมยอมรับว่าเป็นเรื่องที่หนักใจ หนักใจบอกไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกครับว่า ความพอดีที่จะเดินอยู่ตรงไหนอย่างไร ที่จะให้เกิดความมั่นใจว่าให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและความรู้สึกมันแตกต่างกัน ก็คือคดีที่มีการดำเนินการกับผู้ชุมนุมต่าง ๆ ผมก็ได้กราบเรียนในวันแรกว่า บางเรื่องมันไม่ใช่ 2 มาตรฐานหรอกครับ บางทีทำไมเป็นกรณีหมายจับต้องดำเนินคดีต้องมีการดำเนินการในขณะนี้เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องยังประกาศที่จะเดินหน้าทำผิดกฎหมายต่อ ก็เป็นเรื่องที่เป็นเหตุผลว่าทำไมต้องคัดค้านในเรื่องของการประกันหรืออะไร


แต่ว่าถ้าหากว่าบางเรื่องเป็นเรื่องที่เกิดเหตุปีที่แล้ว ขณะนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องเขาไม่ได้แสดงอาการในการที่จะขัดขืน ไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และไม่มีพฤติกรรมที่กระทบต่อความมั่นคง มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คำว่า 2 มาตรฐานนั้นเราจะพูดก็เฉพาะกรณีที่มันเหมือนกัน เปรียบเทียบกันได้ ถ้ามีความคลางแคลงใจสงสัยว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้ชุมนุมปีที่แล้วนั้น ผมไม่ดำเนินการ ผมขอยืนยันเลยนะครับ บางคดีผ่านมาแล้ว 4 เดือนผมถึงเข้ามา ผมเชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้ามาวันแรก คดีแรกเลยที่ผมบอกไม่ซับซ้อน คดีที่ผู้ชุมนุมปีที่แล้วเอาปืนยิงที่วิภาวดีซอย 3 ก็นำไปสู่การออกหมายจับ ผมยอมรับว่า ในความรู้สึกของหลายคนที่ช้าก็คือเรื่องที่ทำเนียบ กับเรื่องที่สนามบิน ซึ่งท่านรองนายกฯ ก็ได้ชี้แจงถึงความคืบหน้าไป พวกผมก็ยืนยันว่า ผมก็จะต้องเดินหน้าเร่งรัดเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคมต่อไป


แต่กระผมกราบเรียนอย่างนี้ครับว่า ตรงนี้ เมื่อท่านบอกว่าจะแก้ได้ต้องนำไปสู่การยุบสภา หรือการลาออก มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่าครับ ความอยุติธรรม หรือ 2 มาตรฐานหลายเรื่องที่ท่านอภิปรายมานั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลผมนะครับ เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลท่านนายกฯ สมัครก็มี รัฐบาลท่านนายกฯ สมชายก็มี เพราะอะไรครับ เพราะมันไม่ใช่อำนาจของฝ่ายบริหาร ยุบสภาวันนี้ใครจะชนะการเลือกตั้งกลับเข้ามาก็ตาม ถ้าท่านมองว่าลักษณะของการวินิจฉัยและการใช้กฎหมายเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่อาจแก้ความอยุติธรรมที่ท่านพูดถึงได้ครับ อันนี้อยากจะทำความเข้าใจ


ขณะเดียวกันถ้าท่านบอกว่า ผมต้องลาออกหรือยุบสภาเพื่อรับผิดชอบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น กระผมก็กราบเรียนว่า ท่านมีข้อมูลของท่าน เราได้ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงไป และเราก็พร้อมที่จะให้ทางรัฐสภา เข้ามาดำเนินการในการประมวลติดตามอีกครั้งหนึ่ง สรุปมาอย่างไร ผมรู้ครับว่า ผมควรจะตัดสินใจอย่างไร เมื่อมีข้อสรุปที่มีความชัดเจนพิสูจน์ออกมา ส่วนการที่บอกว่า ถ้าเรากลับไปเลือกตั้งขณะนี้  แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะแก้ไขได้ ผมก็ขออนุญาตกราบเรียนว่ามันคงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ


ประการแรก ถ้ายุบสภากันวันนี้ ใช้กติกาอะไรกันครับ ก็ใช้กติกาซึ่งหลายท่านบอกว่าท่านไม่ยอมรับ แล้วเกิดยุบสภาไป มีการทุจริตการเลือกตั้งโดยกรรมการบริหารพรรคอีก ยุบพรรคกันอีก ไม่ยิ่งซ้ำเติมวงจรที่เราบอกว่าเป็นวงจรที่เป็นปัญหาของความขัดแย้งในขณะนี้เหรอครับ นั่นประการแรก


ประการที่สองครับ การเลือกตั้งจะเป็นทางออกในความขัดแย้งของสังคม ก็ต่อเมื่อบรรยากาศในทางการเมืองเอื้อให้ทุกพรรคการเมืองสามารถไปรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งได้โดยปราศจากความรุนแรงหรือการข่มขู่ อันนี้สำคัญครับ ทุกประเทศครับ เวลาเป็นข่าวแล้วเราต้องดูว่าประเทศนั้นเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ถ้าเป็นการเลือกตั้งเลือด ถ้าเป็นการเลือกตั้งซึ่งมีแต่การยกพวกตีกัน ไม่มีที่ไหนเขามองว่าที่นั่นเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงครับ กระผมถึงกราบเรียนว่า ผมมองเห็นว่าพวกเรานั้น มีภาระที่จะต้องปรับสภาพการเมืองให้หลุดพ้นจากความขัดแย้งตรงนี้ก่อน จึงจะไปเลือกตั้ง สิ่งที่ผมอยากจะเสนอก็คือว่า  กระผมได้ขอทุกพรรคการเมืองนะครับ และก็ไม่ขัดข้องที่ท่านสมาชิกวุฒิสภาจะมาร่วมด้วย ก็อยากจะเชิญท่านมาร่วมด้วยก็คือว่า ประเด็นข้อคับข้องใจ หรือข้อคิดเห็นต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นใดที่คิดว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นธรรม เอามาวางกันไว้ตรงหน้าให้เห็นทั้งหมดได้ไม๊ครับ 2 อาทิตย์ แล้วผมฟังแล้วผมขอเสนอต่อเลยว่า 2 อาทิตย์วางให้ใครครับ ผมก็เสนอว่าท่านประธานรัฐสภา และวิป 3 ฝ่าย เอาข้อเสนอทั้งหมดมาดูแล้วร่วมกันตัดสินใจว่าจะเดินอย่างไรต่อ จะใช้กลไกไหน จะไปสถาบันพระปกเกล้าฯ ไม๊ หรือจะให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพ หรือสภาฯ จะเป็นเจ้าภาพไปเอง หรือจะไปประชาพิจารณ์ หรือจะไปประชามติ จะตั้งกรรมการพิเศษผมรับได้ทั้งสิ้นครับ แล้วให้กลไกนี้ทำงานไปครับ เมื่อทำงานไปแล้วนำไปสู่การแก้ไขกติกาเป็นที่ยอมรับกับสภาพของการเมืองให้ลดความรุนแรงความขัดแย้งลงไปแล้ว ถ้าวันนั้นบอกว่าเอาหล่ะมีกติกาใหม่แล้วต้องยุบสภา ผมยินดีครับ ไม่มีปัญหาเลยครับ


นี่เป็นข้อเสนอที่ผมอยากจะกราบเรียนเพื่อที่จะบอกว่าเราจะได้เดินหาทางออกกันไงครับตรงนี้ อย่างไรก็ตามครับ 2 ข้อเสนอนี้ซึ่งเป็นการประมวลจากความคิด ความอ่านมาแล้ว ผมก็อยากจะแสดงความจริงใจของทุกฝ่าย ว่าเราจะหันหน้าเข้าหากันอย่างแท้จริง ประการแรก หลังจากที่ได้ฟังความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ ที่กังวลต่อบรรยากาศที่มากับพ.ร.ก. ผมก็ได้ช่วงของการประชุมนั้น เร่งรัดฝ่ายความมั่นคง ก็ได้ข้อสรุปครับว่า จะยกเลิกการประกาศใช้พ.ร.ก.วันนี้ครับ จริง ๆ ตั้งใจจะพูดพรุ่งนี้แต่ว่ามันเลยเที่ยงคืนครับ วันนี้


แล้วก็ขอยืนยันว่าผู้ที่ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ไม่ควรจะมีใครไปดำเนินการในการจับกุมว่าฝ่าฝืนพ.ร.ก. แต่ถ้ามีผู้ใด อย่างที่ผมกราบเรียน ยุยง ให้มีการไปเผา ให้มีการไปฆ่า ให้มีการไปใช้ความรุนแรง อันนี้ก็ว่าไปเพราะเป็นความผิดอาญาอยู่แล้ว ก็ต้องดำเนินการครับ และเมื่อยกเลิกพ.ร.ก.ครับ สภาพของการควบคุมตัวตามพ.ร.ก. ก็ต้องสิ้นสุดลงด้วย กราบเรียนว่า อันนี้เป็นสิ่งแรกที่ผมจะทำในการที่จะเดินไปสู่การลดความขัดแย้งและสลายความรู้สึก


เพื่อยืนยันอีกครั้งว่าผมมีความตั้งใจจริงว่าไม่เอาเรื่องนี้มาเป็นเรื่องที่จะมาเอาชนะคะคาน หรือกวาดล้าง หรือไล่ล่าทางการเมือง แต่ประการใดทั้งสิ้น ในทางกลับกันผมก็ต้องขอครับ ท่านจะเรียกร้องสิ่งที่ท่านบอกว่าเป็นประชาธิปไตย หรือความยุติธรรม หรืออะไรก็แล้วแต่นั้น ก็ดำเนินการต่อไปโดยการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้ แต่ว่าขอสัก 2 เรื่องได้ไหมครับ


เรื่องแรก คือเรื่องของการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมขอความกรุณาครับ ในเมื่อทุกท่านที่นั่งอยู่ในสภาแห่งนี้ ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ต่างก็ยืนยันถึงความจงรักภักดี วันนี้ช่วยกันครับ ไม่ว่าจะเป็นการจาบจ้วง หรือไม่ว่าจะเป็นการแอบอ้าง ต้องยุติ ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย


ขออนุญาตกราบเรียนว่าจำเป็นต้องพูดพาดพิงนิดเดียวครับ เนื่องจากว่าท่านอดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศต่อเนื่องมาหลายวัน ยังมีการพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ให้สัมภาษณ์กับทางไฟแนนเชียลไทม์ ไปไกลเลยครับครั้งนี้ อ้างว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบถึงการวางแผนที่จะรัฐประหาร 19 กันยายน โดยมีการเข้าเฝ้าขององคมนตรี 3 ท่าน เรื่องนี้ผมกราบเรียนครับว่าในฐานะรัฐบาล ผมจำเป็นต้องตรวจสอบ และได้ตรวจสอบแล้ว กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ขอยืนยันว่าสิ่งที่ท่านอดีตนายกฯ พูดไม่เป็นความจริงครับ และก็จะขอความกรุณาว่าเมื่อเราหันหน้าเข้ากัน ในส่วนของพวกเรากันเองที่จะไปพาดพิงหรือร้ายกว่านั้นในลักษณะของการจาบจ้วงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นต้องหยุดและไม่สนับสนุน


กระผมกราบเรียนว่าเช่นเดียวกันครับที่เพื่อนสมาชิกอีกซีกหนึ่งบอกว่ามีการแอบอ้างจากบางฝ่ายเราก็ต้องช่วยกันแก้ไข และโดยเฉพาะเมื่อมีการอภิปรายวันนี้ และสองวันนี้ครับถึงกรณีของการรณรงค์ปกป้องสถาบัน โดยมีเรื่องของเสื้อสีน้ำเงิน ผมก็ขอยืนยันอีกครั้งครับว่าผมได้ทำความเข้าใจกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องแล้วว่า การรณรงค์ในการปกป้องสถาบันต้องไม่มีสี เพราะทุกสีต้องปกป้องสถาบันด้วยกันทั้งสิ้น ขณะเดียวกันปัญหาในเรื่องของการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ต้องมีการทำความเข้าใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าขอบเขตคืออะไรและแนวปฎิบัติคืออะไร เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน กระทบกับความรู้สึกของพี่น้องประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ใครมีข้อคิดเห็นอะไรเราทำร่วมกันได้ครับ ขณะนี้จริงๆแล้วท่านปลัดกระทรวงยุติธรรมก็กำลังดำเนินการในเรื่องนี้อยู่ เพื่อมิให้การดึงสถาบันสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งในทางการเมือง


ประเด็นที่สองครับ ความรุนแรง อย่างที่ผมกราบเรียนนะครับ พี่น้องที่มาชุมนุมส่วนใหญ่ไม่คิดเรื่องนี้ครับ และก็การที่ทุกท่านบอกว่าเหตุการณ์รุนแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพัทยา รถแก๊ส ซอย 5 ซอย 7  หรืออะไรก็แล้วแต่ ท่านพยายามยืนยันว่าไม่ใช่กลุ่มผู้ชุมนุม ผมถือว่านั่นย่อมแสดงว่าท่านไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง ทีนี้ประเด็นต่อไปก็คือว่าไม่ใช่แกนนำทุกคนครับที่ยึดแนวทางนี้ 21 เมษาที่ผ่านมานี้เองครับ หนึ่งในแกนนำคือนายจักรภพ เพ็ญแข ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC ว่าต่อไปนี้การเคลื่อนไหวของผู้ชุมชุมจะอยู่ในลักษณะของการที่อาจจะใช้อาวุธ ผมก็อยากจะขอความกรุณาว่าถ้าเราจะหันหน้าเข้าหากัน ทุกคน ทุกพรรค ต้องบอกว่าแนวทางนี้ไม่ยอมรับ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ผมว่ามันก็ง่ายต่อการที่เราจะทำงานร่วมกัน เราก็จะได้ไม่มีความรู้สึกกังวลต่อไปว่า เรื่องที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุด คือเรื่องสถาบันก็ดี เรื่องความรุนแรงก็ดี ไม่มีอีกแล้วการแสดงออก การชุมนุม การมีความเห็นที่แตกต่าง ทำให้เต็มที่ ทุกฝ่ายก็จะมีความสบายใจ


ท่านประธานที่เคารพครับ ผมต้องกราบเรียนเรื่องนี้เพราะว่า ผมติดตามความเคลื่อนไหวในช่วงก่อนที่จะมีการประกาศใช้ไปจนถึงการบังคับใช้พระราชกำหนด ผมถึงบอกว่าผมไม่อยากให้คนจำนวนมาก ซึ่งมาด้วยใจที่บริสุทธิ์มาต่อต้านความไม่เป็นธรรมที่เขารู้สึก ถูกชี้นำไปโดยคนจำนวนเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพร้อมจะใช้ความรุนแรง ประกาศเป็นแผนเลยครับ ด้านหนึ่งก็คือว่าจะใช้ลักษณะของความรุนแรงให้เกิดความไร้ระเบียบเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ หรือในทางกลับกันให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงตอบโต้ เพื่อนำไปสู่ปัญหาที่จะตามมากับรัฐบาล ทำกันหมดแหละครับ ผมได้เห็นแผนชัด กังวลนะครับก็ขนาดหมอดูยังฟันธงเลยครับ เขาบอกวาสนาหมดแล้ว จึงอยากจะกราบเรียนว่าถ้าเราออกจากกรอบตรงนี้ไปได้นะครับ ผมว่าเราเดินได้ แล้วสองเรื่องที่เราทำงานกันต่อเรื่องของการประมวลพิสูจน์เหตุการณ์ก็ดี เรื่องของการที่จะแก้ไขกฎหมายใดๆที่ไม่เป็นธรรมก็ดีก็ทำไป


ขณะเดียวกันก็ขอโอกาสให้กับประเทศ แก้ตัวจากอาเซียนให้สำเร็จ ถ้าเป็นไปได้เดือนมิถุนายนนี้ครับ กอบกู้ชื่อเสียงของเรา แล้วก็ให้เวลาอีกซักระยะหนึ่ง ในการที่จะออกมาตราการในการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ผมว่านี้คือประโยชน์ของทุกฝ่าย เพราะถ้าเราทำได้อย่างนี้นะครับ ผมว่าสิ่งที่วันนี้ถ้าผมจำไม่ผิดคุณจตุพรบอก มันเป็นจริงได้ครับที่บอกว่าก็อยากจะเห็นทุกคนสามารถไปทำหน้าที่นักการเมืองกันได้ ทำไมผมจะไม่อยากไปเชียงใหม่ครับ ท่องเที่ยวถูกกระทบมหาศาลขนาดนี้ ผมอยากจะไปดูเรื่องศูนย์ประชุม เรื่องแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ แล้วผมว่าอีกไม่นานปัญหาเรื่องลำไยก็ต้องมี ก็อยากไปเหนือครับ ทำไมผมจะไม่อยากไปอีสานละครับในเมื่อผมรู้ว่าเรื่องใหญ่ที่สุดของพี่น้องชาวอีสาน เรื่องน้ำจะต้องเป็นโครงการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะที่จะยั่งยืนและก็ช่วยภาคการเกษตรของเรา ทำไมผมจะไม่อยากไปเยี่ยมภาคกลางภาคใต้ไปทุกแห่งในกรุงเทพมหานคร ทำไมผมจะไม่อยากให้เพื่อนส.ส.ที่อยู่ฝ่ายค้านเกิดเรื่องอะไรที่อยากจะไปตรวจสอบตรงพื้นที่ไหนก็ได้ เอาการเมืองกลับไปเป็นอย่างนั้นซิครับ แล้วเราปูทางไปสู่การเลือกตั้งใหม่ไม่มีปัญหาเลยครับ ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ได้ท่านประธานที่เคารพครับ ผมก็จะถือว่าเราได้ใช้ก้าวสำคัญผ่านกระบวนการของรัฐสภา 2 วันนี้ เพื่อที่จะนำความสงบสุขกลับคืนมา


ผมกราบเรียนท่านประธานอีกครั้งหนึ่งครับว่าผมเข้ามาการเมือง แล้วก็ทำงานการเมือง ผมมีเป้าหมายเพียงเพื่อทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน เพราะผมมีความสุขจากการได้ทำงาน แต่ผมสุขไม่ได้หรอกครับ ถ้าหากว่าบ้านเมืองของเราขัดแย้งกันเอง ถ้าที่ไหนยังมีความรุนแรงอยู่ เพราะผมไม่เคยมีความคาดหวังอื่นใดเลยจากการทำงานทางการเมืองของผม และผมไม่เคยให้ความสำคัญเลยว่าผมจะต้องอยู่ในตำแหน่งนานแค่ไหน ยังไง เพราะผมยึดถือมาโดยตลอด ผมให้สัมภาษณ์มาโดยตลอด และผมก็ยังยืนยันความคิดนี้ว่า เมืองไทยมีคนเก่งคนดีเยอะ เราต้องไม่สำคัญตนว่าต้องเราเท่านั้นจึงจะทำตรงนี้ได้ ทำตรงนั้นได้ สิ่งที่สำคัญสำหรับผมก็คือว่า สิ่งที่สำคัญสำหรับผมก็คือว่าเมื่อผมมีความรับผิดชอบใดผมทำสิ่งเหล่านั้นให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นโดยสรุปท่านประธานครับ 2 วันนี้คงมีกระทบกระทั่งกันพอสมควร หลายคนก็กังวลว่ารัฐสภาก็เลยเป็นสนามความขัดแย้งใหม่ ผมขอยืนยันว่าไม่ใช่หรอกครับ ได้มีการเปิดเผยความในใจ ได้มีการพูดถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมา ก็ขอให้ถือว่าเราได้หยิบสิ่งเหล่านั้นออกมาข้างนอก จัดวางและก็ปล่อยผ่านไปแล้ว ไม่เก็บเรื่องเหล่านี้มาเป็นอารมณ์ ที่จะมีต่อกันและกัน และผมก็เสนอแนวทางนี้เพื่อให้ท่านประธานและท่านประธานวิปของทั้งสามฝ่าย ได้โปรดนำไปพิจารณาเพื่อยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญของสถาบันแห่งนี้ที่จะเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาต่อไป ผมขอขอบพระคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านอีกครั้งหนึ่งที่ให้ความคิดเห็น ขอขอบพระคุณท่านประธานทั้งสองท่านที่ทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อย และก็หวังจะได้รับความร่วมมือตามแนวทางที่ได้กราบเรียนท่านประธานเสนอต่อไปครับ ขอขอบพระคุณครับ



 

ที่มา : เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net