Skip to main content
sharethis

นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 ว่า ก่อนหน้านี้นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ หนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้พูดถึงเรื่องนี้ว่าหากมีการแก้ไขมาตรา 237 ก็ควรจะเพิ่มเอาไว้ในบทเฉพาะกาล เพื่อเป็นการนิรโทษกรรมผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง โดยไม่ต้องออกพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาเพื่อนิรโทษกรรมขึ้นมาใหม่อีกฉบับ ตนจึงเห็นด้วยกับนายวสันต์ซึ่งเป็นรุ่นพี่ผู้พิพากษาของตนด้วย


"ถ้ารัฐบาลเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะทำให้เกิดความสมานฉันท์ ก็น่าจะทำได้ ถ้าจะบอกว่าไม่ควรแก้ ก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะรัฐบาลและรัฐสภาได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแล้ว ก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนจะทำประชามติหรือไม่ ก็ต้องดูว่ามีเงินหรือเปล่าเพราะเศรษฐกิจแย่ทั่วโลก อีกทั้ง พ.ร.บ.การทำประชามติก็ยังไม่ผ่าน ซึ่งขณะนี้ อยู่ในชั้นกรรมาธิการขอแปรญัตติ ส่วนการทำประชามติคราวที่แล้ว เป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2549 โดยใช้งบประมาณ 1,800 ล้าน หากมีการทำประชามติครั้งต่อไปก็คงใช้งบใกล้เคียงกัน" นางสดศรีกล่าว


นางสดศรี กล่าวด้วยว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเพิ่มเติมในบทเฉพาะกาลให้อดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบจากมาตรา 237 ไม่ต้องรับโทษถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งอีกต่อไปซึ่งจะเป็นผลดีแก่อดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรคนั่นเองเหมือนการนิรโทษกรรมหรือการบัญญัติมาตรา 309 ให้ คมช.ไม่ต้องรับผิด


"แม้มีมาตรา 237 แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า เกิดนอมินีขึ้นมาเยอะแยะ เช่น ญาติพี่น้อง ครอบครัวของผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์ หรือแม้แต่นักการเมืองที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์เอง บางคนก็อยู่เบื้องหลังทางการเมือง ดังนั้น ก็ควรดึงออกมารับบทบาทจริงๆ จะดีกว่า"นางสดศรีกล่าว


เมื่อถามว่า หากอดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบ คิดว่าตนเองเสียหายระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ เพราะมาตรา 237 จะสามารถเรียกร้องต่อใครได้หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้เพราะที่ผ่านมาเป็นไปตามกฎหมายคือรัฐธรรมนูญ เมื่อยกเลิกกฎหมายนั้นแล้วก็ไม่ต้องรับโทษนั้นต่อ


"กกต.ถูกวิพากษ์วิจารณ์ จากผู้ที่ถูกยุบพรรคซึ่งรู้สึกไม่พอใจ แต่อย่าลืมว่ากฎหมายเขียนอย่างนั้นจริงๆ จะมาโทษ กกต. ไม่ได้ เมื่อกฎหมายเขียนว่าการกระทำที่กรรมการบริหารพรรคทำผิด ต้องโดนด้วย ก็เป็นเรื่องกฎหมายปิดปาก ต่อไปหากแก้กฎหมายให้เป็นความผิดเฉพาะตัว พรรคก็ไม่ต้องถูกยุบใครทำผิดก็รับผิดไป" นางสดศรีกล่าว


นางสดศรี กล่าวด้วยว่า หากแนวทางการแก้ไขมาตรา 237 ตัดวรรค 2 ออกไป ก็จะทำให้กรรมการบริหารพรรคที่ไม่มีส่วนรู้เห็นในการทุจริตเลือกตั้ง ไม่ต้องรับผิดและพรรคการเมืองไม่ต้องถูกยุบ อย่างไรก็ตาม ยังมีกฎหมายลูก เช่น พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งมีเหตุแห่งการยุบพรรค จากความผิดอื่นๆ ด้วย เช่น เรื่องเงินบริจาคพรรคการเมือง กองทุนพัฒนาพรรคการเมือง หรือการนำเงินไปใช้ไม่ถูกต้อง อาจเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง เพราะมาตรา 94 พ.ร.บ.พรรคการเมืองกินความหมายกว้างมาก


"ขอเตือนนิดนึงว่า ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ต้องดูรายละเอียดในกฎหมายลูกด้วย  เพราะเหตุแห่งการยุบพรรคไม่ได้มีแค่รัฐธรรมนูญมาตรา 237 เท่านั้น"


 นางสดศรี กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีเงินบริจาคและกรณีกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ฟอกเงินว่า กกต.ได้รวมเอาคำร้องเรียนของพรรคเพื่อไทยและของดีเอสไอ ให้อนุกรรมการวินิจฉัยภายใน 30 วันนับแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา


"ดีเอสไอทำคดีไปแค่ครึ่งเดียวแล้วรีบส่งให้ กกต. โดยยังไม่สอบสวนพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายถูกกล่าวหา อย่างไรก็ตาม กกต.มอบหมายให้อนุกรรมการ ดำเนินการต่อ โดยอาจเรียกพยานที่ดีเอสไอเคยสอบไปแล้ว เพื่อถามว่ายังยืนยันให้การตามที่เคยให้ไว้กับดีเอสไอหรือไม่ ซึ่งดีเอสไอก็บอกว่าจะให้ความร่วมมือกับกกต. ในการติดต่อพยาน


นางสดศรี กล่าวถึงข้อเสนอในการแก้รัฐธรรมนูญว่า ตนเห็นด้วยกับพรรคภูมิใจไทย ที่เสนอว่า กกต.ควรจัดการเลือกตั้งอย่างเดียวโดยไม่ต้องรับเรื่องร้องเรียนกรณีทุจริตเลือกตั้ง และควรมีศาลเลือกตั้งทำหน้าที่ตัดสินคดีเลือกตั้งเป็นการเฉพาะ เพราะในภาวะการเมืองที่แบ่งขั้วชัดเจน กกต.ทำงานยาก หากวินิจฉัยไปในทางใด ฝ่ายที่เสียประโยชน์ก็ไม่พอใจ ซึ่งเรื่องนี้ตนพูดมานานแล้ว ก่อนพรรคภูมิใจไทยจะเสนอ ซึ่งสามารถดูได้จากบันทึกรายงานที่ประชุมเมื่อครั้งตนเป็น สสร. ได้เสนอว่าควรมีศาลเลือกตั้ง เพื่อรับเรื่องคดีทุจริตเลือกตั้ง ไม่ใช่ส่งคดีให้ศาลยุติธรรมเพราะท่านทำคดีอื่นเยอะแล้ว


"เราไม่ต้องการเป็นยักษ์มีกระบอง เพราะกระบองนั้นมักถูกนำกลับมาตีหัว กกต. เอง ดังนั้น เอากระบองให้ศาลดีกว่า เพราะเมื่อท่านตัดสิน ก็ไม่มีใครฟ้องร้องท่าน ขณะที่ กกต.มักถูกกล่าวหา จากฝ่ายที่เสียประโยชน์และไม่พอใจ ดังนั้น การจะพิจารณา ให้ใบเหลือง ใบแดง ใบขาว ควรเป็นดุลพินิจและอำนาจของศาล จึงเห็นด้วยกับพรรคภูมิใจไทย อีกทั้ง นักการเมืองหลายคนก็บอกว่า กกต. มีอำนาจมากเกินไป เราจึงไม่ต้องการถูกวิจารณ์จนนำไปสู่การไม่มีใครเชื่อว่า กกต. เป็นกลาง"นางสดศรีกล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net