Skip to main content
sharethis

 

การเมือง
 
มาร์คย้ำกองทัพต้องรับสภาพ กรณีถูกปรับลดงบประมาณ
ASTV ผู้จัดการ - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการจัดสรร งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 ระหว่างการดำเนินรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เมื่อ เช้าวานนี้ (10พ.ค.) ว่า จะต้องเอาเข้าครม.อีกครั้งในวันที่ 19 พ.ค.นี้ ซึ่งเรามีหลักในการพิจารณาว่าแต่ละกระทรวง จะปรับลดเท่าไหร่ อย่างไร โดยจะดูเรื่องของรายจ่ายที่ไม่สามารถตัดได้ เช่น เงินเดือน ค่าใช้สอยตามปกติ หรือว่าสิ่งที่มีข้อผูกพันอยู่ ก็ต้องให้ตรงนั้นก่อน
 
“พูด ตามตรง พอเงินลดลงไป 2 แสนล้าน ทำเฉพาะตรงนี้ก็เกือบเต็มแล้ว เพราะฉะนั้น โครงการใหม่ มีค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกันโครงการลงทุนที่เข้าเกณฑ์แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็มาใช้เงินนอกงบประมาณ ก็จะมีปัญหาอยู่บางกระทรวง เมื่อผมเห็นตัวเลขแล้ว ก็ขอให้เขาลองไปช่วยดูให้เป็นพิเศษ เช่น กระทรวงพาณิชย์ อุตสาหกรรม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงเหล่านี้ เดิมได้รับงบประมาณอาจจะไม่เยอะมาก ทีนี้พอมีการปรับลดอะไรไปแล้ว ก็เลยแทบหาโครงการใหม่ได้น้อยมาก แล้วก็บังเอิญงานของเขาอาจจะไม่ใช่งานในลักษณะที่จะไปลงทุนในโครงสร้างพื้น ฐาน เลยไม่เข้าเกณฑ์ที่ จะได้ใช้เงินนอกงบประมาณด้วย เพราะฉะนั้น กระทรวงเหล่านี้ก็ขอให้ทางสำนักงบประมาณลองไปดู ว่าจะมีทางเพิ่มเติมให้เขาได้หรือไม่อย่างไร”
 
ส่วน งบประมาณของกองทัพ มีทีการวิพากษ์วจารณ์กันมากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อันแรกต้องให้ความเป็นธรรมกับกองทัพก่อน ถ้าเราดูงบประมาณในเรื่องของการป้องกันประเทศ และโดยเฉพาะอาวุธยุทโธปกรณ์ ถ้าดูย้อนหลังไปประมาณเกือบ 10 ปี เราจะพบว่าของเราเพิ่มขึ้นน้อยมาก เพิ่งมาได้เพิ่มขึ้น 2 ปีหลังที่ผ่านมา ก็เป็นสมัยรัฐบาลท่าน พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับรัฐบาลของท่านนายกฯสมัคร สุนทรเวช ที่ได้เพิ่มขึ้นมา แต่ถ้าเทียบกับการใช้จ่ายของประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ต้องถือว่าของเรายังน้อย เพราะฉะนั้น ความจำเป็นของเขายังมี ที่ทราบมาว่าการตัดงบประมาณตรงนี้ลงไป มันมีปัญหาอันที่หนึ่งคือว่า มีปัญหาว่า พร้อมจะดำเนินการหรือเปล่า ที่ถามว่าพร้อมจะดำเนินการหรือเปล่า ก็คือว่า การจัดซื้ออาวุธที่ผ่านมา จะทำในลักษณะรัฐต่อรัฐ ขณะนี้การซื้อรัฐต่อรัฐ กระบวนการค่อนข้างที่จะเป็นปัญหา เพราะว่าอาจจะติดขัดมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ จะไปเจรจากับใครต้องเอาเข้าสภา เมื่อต้องเอาเข้าสภา จะไปซื้ออาวุธจากใครเขาก็ไม่อยากให้ เป็นเรื่องที่ระหว่างเจรจามันมีปัญหาเป็นข้อมูลที่ออกมา ตรงนี้ก็เลยเป็นปัญหาอยู่
 
“เรา กำลังหาทางออกกันอยู่ ได้ให้ทางกองทัพลองไปดูว่า ถ้าเขาคิดว่ามีวิธีการในการจัดซื้อจัดหาในสิ่งที่มีความจำเป็นชัดเจน ก็ยังเปิดโอกาสให้เสนอกลับเข้ามา และจะพยายามให้ทางสำนักงบประมาณดูว่า ความจำเป็นตรงนั้นจะสามารถหาเงินจากส่วนไหน อย่างไรมาดูแลได้ แต่สำนักนายกรัฐมนตรี งบกลางเที่ยวนี้ก็มีการตัดลดให้เห็นก่อนว่า ทุกคนต้องยอมรับสภาพอันนี้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
 
นายก รัฐมนตรี กล่าวว่า มีโอกาสได้คุยกับผู้นำเหล่าทัพ คิดว่าท่านก็เข้าใจสถานการณ์ เราก็เคยผ่านปัญหาอย่างนี้มาเมื่อปี 2540 เหมือนกัน แต่ได้เรียนกับทางผู้นำเหล่าทัพว่า ตนเข้าใจดี เหมือนกับที่เล่าให้ประชาชนฟังเมื่อสักครู่ว่า 10 ปีที่ผ่านมา ถูกปรับลดไปเยอะ และมีความจำเป็น แต่ก็ขอการยืนยันในแง่ความพร้อมมา เพราะถ้าเราจัดงบประมาณไป สุดท้ายมีขั้นตอนที่เป็นปัญหา ทำให้โครงการเดินไม่ได้ เงินก็ไม่ได้ใช้ มันก็เป็นการเสียโอกาสของการทำงานของรัฐบาลในส่วนอื่น ตนยังคิดว่าในช่วงที่จะมีการดูรายละเอียดกันเพิ่มเติม ทางกองทัพคงจะมีคำตอบมา และรัฐบาลก็จะพิจารณาให้
 
ส่วน การตัดงบในกระทรวงที่พรรคร่วมรัฐบาลดูแลอยู่ จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เวลาเราพิจารณาว่า ตัด ไม่ตัด ไม่ได้ดูว่าใครเป็นพรรคที่ดูแลกระทรวงไหน แต่เราดูตามงาน และ สิ่งสำคัญก็คือพรรคร่วมรัฐบาล เราทำงานเราร่วมกันรับผิดชอบ งานทุกอย่างของกระทรวงไหนก็คืองานของรัฐบาล งานของรัฐบาลออกมาดี ก็เป็นความชอบทุกพรรค งานรัฐบาลออกมาไม่ดี ทุกพรรคก็ต้องร่วมกันรับอยู่แล้ว ในทางการเมือง เพราะฉะนั้นเราอย่าไปคิดแบบนั้นเลย และได้คุยกันใน ครม. ว่าอย่าไปคิดแบบนั้นเลย ยกตัวอย่างว่า พอเรามีนโยบายของรัฐบาล เราบอกเรียนฟรี ตนว่าเรื่องงบเรียนฟรีก็ต้องจัด แต่ไม่ว่าพรรคไหนจะดูกระทรวงศึกษาธิการ งบเรียนฟรีก็ต้องจัด
 
เพื่อไทยตั้ง5ฉายารัฐบาลหลังแก้วิกฤติเหลว
เว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ - นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะทำงานโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้แถลงว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 1 พ.ค. 2552 ประชาชนส่งข้อความ และข้อร้องเรียนมาที่พรรคจนสามารถตั้งฉายาให้รัฐบาลได้ 5 เรื่อง คือ
 
1. นักสู้กู้สิบทิศ ที่ลงทุนสร้าง 8 แสนล้านบาท โดยนายกฯ เป็นนักแสดงนำ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และ นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย เป็นผู้กำกับ
 
2. รัฐบาลเนียนได้อีก คือ ทำอะไรที่ไหลลื่น ทั้งๆ ที่ปัญหามากมายกลับไม่ได้รับการแก้ไข รวมทั้งไม่มีคำตอบชัดเจนให้ประชาชนเลย แต่รัฐบาลกลับทำเนียน บริหารประเทศแบบซื้อเวลา
 
3. รัฐบาลสายรุ้ง คือ สีเหลืองของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ดูแล สีแดง คือ การปราบปราม นปช.ในช่วงสงกรานต์ สีเขียว คือ ทหาร ที่ปราบสินค้าลิขสิทธิ์ บริเวณพัฒนพงษ์โดยใช้อาวุธครบมือ สีน้ำเงิน คือ กลุ่มกองโจรติดอาวุธ สีกากี คือ ตำรวจบางนายที่เกี่ยวข้อง สีม่วง คือ กรมประชาสัมพันธ์ เตี้ยอุ้มค่อม หอยม่วง และสีดำคือยุคมืดในระบอบประชาธิปไตย
 
4. รัฐบาลเช็คช่วยเชียร์ (2 หมื่นล้านบาทใช้หมดแล้ว) เช็ค 2 พันบาทนั้นมันทำอะไรได้บ้างนอกจากเชียร์รัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์
 
5. ทีมโทรโข่งเน่าเฝ้าแต่สร้างความขัดแย้ง เพราะ นายกฯ ยังบอกว่าทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และโฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคให้เบาๆ หน่อย แต่คนพวกนี้ยังทำต่อไปอีก และควรไปอ่านหนังสือสมบัติผู้ดีหรือไปชมละครดงผู้ดีก็ได้
 
นาย จิรายุ กล่าวว่า ส่วนเรื่องสองมาตรฐานของรัฐบาลชุดนี้นั้น เรื่องนี้อยู่ในความสนใจของประชาชนเช่นกัน แต่เขาไม่ได้นำมารวมไว้ในการตั้งฉายาครั้งนี้ เพราะมันมีมากมายหลายเรื่อง ซึ่งเขาจำแนกได้หลายหัวข้อและจะจัดนิทรรศการ รวมทั้งทำหนังสือรวมเล่มจำหน่ายจ่ายแจก
 
“จตุพร” แฉ “มาร์ค” สร้างหลักฐานเท็จ เสื้อแดงทุบรถ
เว็บไซต์แนวหน้า - นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าว บนเวทีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มคน เสื้อแดง ที่จัข้างวัดไผ่เขียว เขตดอนเมือง ว่า ตนยังยืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สร้างหลักฐานเท็จในกรณีที่ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงทุบรถกระทรวงมหาดไทย ซึ่งในวันนี้จะมีการนำภาพเหตุการณ์จริงมาเปิดเผย พร้อมกันนี้นายจตุพร ยังเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอให้กลุ่มคนเสื้อแดงทำความจริงที่เกิดขึ้นให้ปรากฏต่อสาธารณชนเพื่อให้ ประชาชนเข้าใจในเจตนารมณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วย-
 
มาร์คบอกรู้ตัวดีอยู่ไหนช่วงเสื้อแดงทุบรถ
เว็บไซต์คมชัดลึก - เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 10 พฤษภาคม ที่ห้องรับรองท่าอากาศยานภูเก็ต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ในชุดแต่งกายลำลองก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครหลังจากได้หลบมาพักผ่อนใน ช่วงวันหยุด ว่า ถือว่าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพราะไม่ได้พักผ่อนอย่างนี้มาระยะหนึ่งแล้ว
 
ผู้ สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีที่กลุ่ม นปช. ออกมาบอกว่า ในวันที่เกิดเหตุการณ์ทุบรถในกระทรวงมหาดไทยนั้น นายกฯ ไม่ได้อยู่ในรถ โดยนายอภิสิทธิ์ ตอบสั้นๆ ว่า หากอยู่ในรถคันอื่น ก็อาจจะไม่ได้มายืนอยู่ที่นี่ ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นตนรู้ว่าอยู่ที่ไหน และถือว่าเป็นเรื่องแปลก ซึ่งพยานมีมากมาย โดยเฉพาะสื่อมวลชนซึ่งในวันนั้นได้ไปร่วมแถลงข่าว และในระหว่างขึ้นรถก็มีสื่อมวลชนที่เห็นโดยมีบางช่องที่บันทึกภาพเห็นชัดเจน
 
นอกจาก นี้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคฯ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ให้ฟังความเห็นของประชาชนก่อน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์มาตลอดว่า กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นกระบวนการที่ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วม
 
โดย ในส่วนของตนก็ได้เสนอให้สภาฯ ดำเนินการในเรื่องนี้ และได้แสดงความคิดเห็นชัดเจนว่า ให้สภาฯ เปิดกระบวนการให้กว้าง เพราะหากมีการแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นที่ละเอียดอ่อน โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในลักษณะที่สร้างสรรค์ใช้เหตุใช้ผล จะทำให้จุดประสงค์ที่จะให้มีการแก้ปัญหาเรื่องของความสมานฉันท์สร้างความป ลองดองกจะไม่ได้ผล
 
ดัง นั้น วิธีการที่ดีที่สุด คือจะต้องเปิดกว้าง ลดความขัดแย้งด้วยการมาใช้เหตุและผล เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ส่วนของระยะเวลานั้นคงต้องขึ้นกับคณะกรรมการของสภาฯ โดยรัฐบาลก็เปิดให้สภาฯพิจารณาไปอย่างอิสระ ซึ่งถือเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ เข้าใจว่าในการประชุมกันก็เริ่มที่จะมีการพูดถึงเรื่องของกรอบระยะเวลากัน บ้างแล้ว ซึ่งไม่ทราบว่าในที่สุดจะเป็นอย่างไร เพราะหากมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก็จะใช้เวลาพอสมควร
 
ส่วน ที่ประชาชนมองว่า นักการเมือง หรือพรรคการเมือง ยังคงมีการโต้แย้งกันอยู่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้หากทุกคนเห็นตรงกันตั้งแต่ต้นก็คงไม่มีปัญหาและไม่ต้องมาหาวิธีการ ในการสมานฉันท์ ซึ่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ สิ่งสำคัญคือ อย่าเอาความขัดแย้งไปอยู่บนท้องถนน โดยให้เอาความขัดแย้งทางความคิดทั้งหลายมาหาทางออกกันตามกระบวนการของรัฐสภา
 
เพราะ ฉะนั้นในจุดเริ่มต้นที่มีความเห็นแตกต่างหลากหลายเป็นเรื่องที่ทราบกันอยู่ แล้ว แต่หากสามารถใช้กระบวนการค่อยๆ คลี่คลายความขัดแย้งด้วยวิธีการที่ทุกฝ่ายยอมรับนั่นคือ การแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด ดีกว่าเราพยายามจะไม่ยอมรับว่ามีความขัดแย้งแตกต่างกัน แล้วให้แต่ละฝ่ายไปแสดงออกและมีความรุนแรงเกิดขึ้นบนท้องถนน
 
“ปชป.” ยืนยันพรรคหนุนแนวทาง “นายกฯ”
เว็บไซต์ ไทยรัฐ - วันนี้ (10 พ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเมืองว่า พรรคยืนยันถึงความตั้งใจจริงที่จะสนับสนุนการสร้างความสมานฉันท์ โดยการร่วมมือกับคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเพื่อความปรองดองและ สมานฉันท์ ที่ขณะนี้มีการแสดงความคิดเห็น ถึงแม้จะมีความแตกต่าง แต่ก็ควรจะเคารพสิทธิ์ของทุกมุมมองที่สะท้อนออกมา เพราะช่วงนี้อยู่ในช่วงของการระดมความคิดที่หลากหลาย บนพื้นฐานของความคิดหลายฝ่าย อยากจะให้การประชุมในวันที่12 พ.ค.เป็นรูปธรรมของกระบวนการที่จะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้เห็นถึง ความคืบหน้าในการทำงาน
 
นพ.บุ รณัชย์ กล่าวว่า ไม่อยากให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกล่าวหาถึงความจริงใจ ถือเป็นการทำลายบรรยากาศที่ดี หรืออ้างความคิดเห็นที่แตกต่างเป็นเหตุในการก่อความไม่สงบขึ้นมาอีก พรรคยืนยันว่าได้จัดเตรียมทำแบบสอบถามและทำคู่ขนานกับการทำงานของคณะกรรมการ ไม่ได้ทำให้กระบวนการทำงานของคณะกรรมการช้าลงอย่างแน่นอน ตนไม่เข้าใจว่า ทำไมผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย อย่างนายไพจริต ศรีวรขาน และ นายพีระพันธ์ พาลุสุข ที่กล่าวหาว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคกับ หัวหน้าพรรค ซึ่งไม่เป็นความจริง
 
“สมา ชิกและส.ส.สนับสนุนแนวทางของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มกระบวนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเข้าสู่การพิจารณาร่วมกัน ของรัฐสภา อย่างไรก็ตามพรรคไม่ต้องการให้ความประสงค์ที่จะรีบเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญของคน หนึ่งคนใดใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีกล่าวหากันในเรื่องที่ไม่จริงและไม่เป็น ธรรม หรือขู่ว่าจะนำไปสู่ความไม่สงบในแผ่นดิน” นพ.บุรณัชย์ กล่าว และว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคไม่มีธง หรือคำตอบก่อนกระบวนการรับฟังความคิดเห็นว่าจะต้องแก้ หรือไม่แก้ในมาตราไหน แต่การกระทำการใดๆที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนพรรคมั่นใจว่าคณะกรรมการ จะคำนึงถึงความคาดหวัง และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการสร้างความปรองดอง อย่างแท้จริง
 
ชวนปัด ปชป.แทงกั๊กแก้รธน.
เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ส่วนตัวเป็นเพียงผู้ใช้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ ผู้แก้ไข ดังนั้น เอาไว้ให้ถึงเวลาก่อน ตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะเป็นผู้ให้ความเห็น ส่วนตัวจะไปให้ความเห็นในที่ประชุมพรรค
 
เมื่อ ถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ไม่จริงใจหรือแทงกั๊กในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายชวน กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เล่นการพนันอะไรเลย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ พูดอะไรไปในที่ประชุมพรรค สมาชิกก็มีความเห็นตามหัวหน้าพรรค เมื่อถามอีกว่า ส่วนใหญ่เข้าใจว่า ต้องแก้ไขรัฐธรรมถึงจะแก้วิกฤตการเมืองได้ นายชวน กล่าวว่า ในฐานะผู้ใช้รัฐธรรมนูญมองว่า ปัญหาความแตกแยกขณะนี้ไม่ได้เกี่ยวกับมาตราใดมาตราหนึ่งของรัฐธรรมนูญ ส่วนจะแก้ไขมาตราใดบ้าง ขอให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมา สำหรับพรรคประชาธิปัตย์พร้อมเคารพเสียงส่วนใหญ่อยู่แล้ว
 
เพื่อไทยจ่อร้องศาลรธน.หากรัฐออก พรก.กู้ 4 แสนล.
เว็บไซต์ เดลินิวส์ - วันนี้(10 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมให้ส.ส.จำนวน 1 ใน 5 ของสภาผู้แทนราษฎร เข้าชื่อก่อนยื่นต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตีความ หากรัฐบาลออกพระราชกำหนดกู้เงินจำนวน 4 แสนล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนของรัฐบาล ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 เนื่องจากอาจขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 และ 185
 
นาย พร้อมพงศ์ กล่าวต่ออีกว่า ทางพรรคเพื่อไทย ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดกระทรวงการคลัง จึงไม่เลือกใช้วิธีการออกพระราชบัญญัติการกู้เงินเป็นฉบับเดียวกัน จำนวน 8 แสนล้านบาท เพื่อให้รัฐสภาได้มีโอกาสพิจารณาความเหมาะสมของการกู้เงินจำนวนดังกล่าว
 
นอกจาก นี้ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พิจารณาปรับขึ้นภาษีมรดก ภาษีที่ดิน หลังการปรับขึ้นภาษีสุราและบุหรี่ไปแล้ว และขอให้พิจารณาการออกหวยบนดินอย่างถูกกฎหมายเพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับ รัฐบาล

บช.ภ. 8 ใช้กำลังตำรวจ3พันนาย ดูแลประชุมอาเซียน
มติชนออนไลน์ - เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 10 พ.ค. พล ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ตรวจ เยี่ยมการฝึกทบทวนกองร้อยควบคุมฝูงชน ของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระนอง ที่ท่าอากาศยานระนอง เพื่อเตรียมความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับ ประเทศคู่เจรจา ที่จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 12-14 มิถุนายน 2552 โดยได้สมมุติสถานการณ์มีการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกและต่อต้านการจัดประชุม ใช้กำลังตำรวจควบคุมฝูงชนจากทุกสถานีจำนวน 2 กองร้อย รวม 290 นาย ในการเข้าควบคุมสถานการณ์ ซึ่งมีการปะทะกันเหมือนเกิดเหตุการณ์จริงทุกประการ

ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กล่าวว่า การจัดประชุมยอดยอดผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาที่จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 12-14 มิถุนายน 2552 ทางกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มั่นใจมากว่าจะสามารถรักษาความปลอดภัยในการประชุมในครั้งนี้ ให้ผ่านไปได้ด้วยดี โดยใช้กำลังตำรวจจำนวน 14 กองร้อย รวมกว่า 3,000 นาย ซึ่งขณะนี้ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมติดตามการฝึกซ้อมของตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบมาแล้ว 4 จังหวัด ซึ่งแต่ละจังหวัดมีความมุ่งมั่นในการทำงานเป็นอย่างมาก

ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 คาดว่ารัฐบาลคงจะประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพียง จังหวัดเดียว คือ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุม เพื่อให้ง่ายต่อการทำงานรักษาความปลอดภัย ต้องยอมรับว่าการประชุมครั้งนี้ทางตำรวจพลาดไม่ได้ ยอมไม่ได้ที่จะให้การประชุมล้มเหลว เพราะถ้าล้มเหลวไปก็เท่ากับว่าประเทศล้มเหลวด้วย เศรษฐกิจก็แย่ไปด้วย เชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชนชาวไทยให้ความร่วมมือในการประชุมครั้งนี้มาก โดยเฉพาะชาวภูเก็ต จึงอยากจะวิงวอนทุกฝ่ายที่จะทำอะไรที่มันไม่ชอบมาพากล ขอให้หยุดคิด ประเทศต้องการความสงบ ต้องการให้เศรษฐกิจกลับคืนโดยเร็ว 
 
 
เศรษฐกิจ
 
สศค.หนุนหวยบนดิน รีดภาษีอีกปีละหมื่นล.
ข่าว หุ้น - แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้เสนอนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เร่งดำเนินการออกสลากเลขท้าย2 ตัว 3 ตัว หรือหวยออนไลน์ ซึ่งรัฐบาลจะสามารถเก็บภาษีสรรพสามิต จากการจำหน่ายหวยดังกล่าวได้ปีละเป็นหมื่นล้านบาท
 
สำหรับ การเก็บภาษีหวยออนไลน์ จัดอยู่ในประเภทสลากกินแบ่ง ซึ่งมีพิกัดการจัดเก็บอยู่ในภาษีสรรพสามิต โดยมีเพดานสูงสุดอยู่ที่ 20% แต่คาดว่าในระยะแรกจะทยอยจัดเก็บในอัตรา 10% ของยอดขายสลากไปก่อน
 
“เชื่อ ว่าขณะนี้รัฐบาลไม่มีทางเลือกมากนัก เนื่องจากรายได้ของรัฐบาลต่ำกว่าเป้ามากปีนี้คาดว่าจะต่ำกว่าเป้า 2.5 แสนล้านบาท ดังนั้นการเปิดให้จำหน่ายหวยออนไลน์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะเพิ่มรายได้ เข้ารัฐ” แหล่งข่าวกล่าว
 
แหล่ง ข่าว กล่าวว่าเรื่องนี้ในพรรคประชาธิปัตย์มีความเห็นแบ่งเป็นหลายฝ่าย บางฝ่ายก็อยากให้เปิดจำหน่ายหวยออนไลน์ และบางฝ่ายก็ไม่เห็นด้วยเกรงว่าจะถูกโจมตี แต่ในความเห็นของสศค.มองว่าเรื่องนี้ควรทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากปัจจุบันยังมีหวยเถื่อนระบาดอยู่ทั่วไป รายได้ก็ไม่เข้ารัฐ แต่หากรัฐทำหวยให้ถูกกฎหมายทุกฝ่ายก็ได้รับประโยชน์กันถ้วนหน้า
 
นาย วรวุฒิ กมลวิทยานนท์ ประธานชมรมสลาก 3 ตัว 2 ตัว กล่าวว่าพร้อมจะเข้าหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อให้พิจารณากระชับเวลาในการตัดสินใจเรื่องนี้ แต่หากคลังยืนยันที่จะไม่ดำเนินการต่อก็จะต้องเข้าที่ประชุมแกนนำเพื่อลงมติ ดำเนินการเรียกร้องต่อไป
 
โดย ปัจจุบันตัวแทนจำหน่ายมีภาระจ่ายค่าเช่าสถานที่สำหรับจำหน่ายหวยออนไลน์อยู่ เดือนละเป็นหมื่นบาท บางรายก็ต้องไปกู้เงินมามีหลายรายเป็นหนี้เสียของธนาคารไปแล้วและบางรายก็ ต้องไปรูดบัตรเครดิตมาชำระหนี้ ขณะที่ทางการยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ทางกลุ่มก็ยังไม่กล้าที่จะไปคืน ห้องเช่าหรือคืนเครื่องกับบริษัทล็อกซเล่ย์
 
ดัง นั้นในการหารือครั้งนี้จึงต้องการให้รัฐบาล แสดงความชัดเจนว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป หรือจะยุติเพียงแค่นี้ และหากไม่ดำเนินการต่อก็จะมีมติใดออกมารองรับกับตัวแทนจำหน่ายและคนเดินโพย
 
ขณะที่ก่อนหน้านี้นายกรณ์ กล่าวว่าจะหารือกับตัวแทนผู้ค้าสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัวภายใน 1-2 สัปดาห์นี้
 
นาย ตรีจักร ตัณฑ์ศุภศิริ กรรมการผู้จัดการบริษัท ล็อกซ์เล่ย์ จีเท็ค เทคโนโลยี จำกัดกล่าวว่าบริษัทหมดความอดทนที่จะรอกระทรวงการคลังตัดสินใจเรื่องโครงการ หวยออนไลน์แล้ว ซึ่งภายใน 1-2 สัปดาห์นี้จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการเพื่ออนุมัติให้ฟ้องร้องเรียกค่า เสียหาย 2 พันล้านบาทจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งเป็นคู่สัญญาของบริษัท
 
ด้าน นายวันชัย สุระกุล ผู้อำนวยการสำนักสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่ากองสลากฯพร้อมดำเนินการโครงการหวยออนไลน์ได้ทันทีที่กระทรวงการคลัง ไฟเขียว ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการทดสอบระบบเครื่องจำหน่ายไว้พร้อมหมดแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการเซ็นสัญญากับตัวแทนและธนาคารกรุงไทยเท่านั้น
 
ทุนจีนยกทัพบุกไทยสนผุดนิคมฯแปรรูปยาง-ผลิตเบียร์
เว็บไซต์ แนวหน้า - นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลเตรียมจัดกิจกรรม เพื่อสร้างโอกาสทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของไทยกับคณะนักธุรกิจจากสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสาย จีนทั่วโลก ที่จะเดินทางมาเยือนไทยในช่วงเดือนพฤษภาคม โดยระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม ผู้ประกอบการรายใหญ่ของจีน คือ 1.บริษัทไฮซิ่น ผู้ผลิตสินค้าด้านโทรคมนาคม เครื่องใช้ไฟฟ้า จะนำคณะมาดูสถานที่ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ 2.กลุ่มเบียร์ชิงเต่า จะเข้ามาสำรวจความพร้อมการลงทุนในไทย และ 3.บริษัทในกลุ่มผู้ใช้และผู้ค้าที่ต้องนำเข้ายางพาราจากไทย จะเข้ามาดูลู่ทางการตั้งนิคมอุตสาหกรรมแปรรูปยางขั้นต้น ก่อนนำไปผลิตยางรถยนต์ที่จีน
 
“ปลาย เดือนพฤษภาคมนี้ จะมีผู้แทนจากชมรมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยาง บริษัทเบียร์ชิงเต่า และบริษัทด้านไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์อีกรายหนึ่งของจีน เดินทางมาศึกษาข้อมูลการลงทุนในไทย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ไทยได้เปิดสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ที่ปักกิ่ง เมื่อต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งคณะของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้พบปะหารือกับนักลงทุน และนักธุรกิจกลุ่มดังกล่าว จนฝ่ายจีนสนใจการลงทุนในไทยมาก” นายชาญชัย กล่าว
 
ทั้งนี้ ระหว่างการมาเยือนไทยของคณะนักธุรกิจจีน จะมีการจัดกิจกรรมสำคัญ คือ การสัมมนา การจัดกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ ตลอดจนการเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานในไทย โดยในส่วนของกิจกรรมสัมมนาจะจัดขึ้นที่เมืองพัทยา ส่วนการจัดกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ จะมีการคัดเลือกผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพ เพื่อมาพบปะเจรจารายบริษัทกับนักธุรกิจจีน ครอบคลุมการค้าและการลงทุนในสาขาต่างๆ ซึ่งสาขาที่ไทยต้องการให้นักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุน ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ท่องเที่ยว เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ งานโลหะต่างๆ ยาและเวชภัณฑ์ และพลังงานทางเลือก
 
พาณิชย์รุกเจาะแอฟริกาหวังปั๊มยอดลงทุน-ส่งออกตลาดใหม่
เว็บไซต์ แนวหน้า - นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยเดินทางไปร่วมพิธีรับตำแหน่ง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้คนใหม่ ระหว่างวันที่ 7-10 พฤษภาคม ซึ่งจะใช้โอกาสนี้พบปะหารือข้อราชการกับหน่วยงานภาครัฐและผู้นำเข้าของ แอฟริกา 2 เรื่อง คือ การขยายมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับแอฟริกาใต้ และแนวทางความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน
 
นอกจาก นี้จะได้พบกับประธานสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมแห่งชาติ และบริษัทผู้นำเข้าสินค้าไทยและบริษัทท่องเที่ยวของแอฟริกาด้วย โดยฝ่ายไทยจะได้ชี้แจงให้ทราบว่าไทยมีนโยบายมุ่งส่งเสริมการค้าการลงทุนตลาด ใหม่ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตลาดแอฟริกา รวมทั้งจะมอบนโยบายให้แก่ฑูตพาณิชย์ในเขตทวีปแอฟริกาใต้ ทูตพาณิชย์จากกรุงไคไร สาธารณรัฐอียิปต์ และทูตพาณิชย์ประจำกรุงอักกรา สาธารณรัฐกานา ด้วย
 
“แอฟริกาใต้ มีความสำคัญกับไทยมากที่สุดในทวีปแอฟริกา โดยมีมูลค่าการค้าประมาณ 50% ของการค้าของไทยในทวีปแอฟริกา ในปี 2551 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันประมาณ 2,436 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าการค้าเฉลี่ยปีละ 1,694 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ามาโดยตลอด สำหรับสินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปยังแอฟริกา ได้แก่ รถยนต์และอุปกรณ์ เครื่องรับฟังวิทยุ อาหารทะเลกระป๋อง ผลิตภัณฑ์ยาง มันสำปะหลัง เป็นต้น” นายอลงกรณ์ กล่าว
 
ขณะ ที่ในส่วนของการลงทุน พบว่า ปัจจุบันปริมาณการลงทุนระหว่างไทยและแอฟริกายังมีมูลค่าน้อย โดยภาคธุรกิจที่มีศักยภาพในการร่วมลงทุน ได้แก่ ธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม การก่อสร้าง และอาหารแปรรูป โดยขณะนี้มีบริษัทไทยที่เริ่มเข้าไปลงทุนในแอฟริกาใต้แล้ว ได้แก่ กลุ่มบริษัทในธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจเหมือง เป็นต้น
 
แรงงานอีสานเตะฝุ่น 2.8 แสนคน
ASTV ผู้ จัดการ - วานนี้(10 พ.ค.)นางธนนุช ตรีทิพยบุตร เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสถิติแห่งชาติ (สสช.) เปิดเผยว่า สสช.ได้สำรวจภาวการณ์ทำงานของประชากรล่าสุด ในเดือน ก.พ. 52 พบว่า มีผู้ว่างงาน 7.1 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.5 แสนคน แยกเป็นชาย 4.4 แสนคน และหญิง 2.7 แสนคน คิดเป็นอัตราว่างงาน 1.9% เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือน ม.ค. พบว่ามีผู้ว่างงาน ลดลง 1.7 แสนคน
 
ทั้งนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภาคที่มีผู้ว่างงานมากที่สุดถึง 2.8 แสนคน รองลงมาเป็นภาคกลาง 1.7 แสนคน ภาคเหนือ 1.3 แสนคน ภาคใต้ 70,000 คน และกทม. 60,000 คน
 
เมื่อ เทียบกับปี 51 พบว่า จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นในทุกภาคโดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภาคที่มีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 70,000 คน รองลงมาเป็นภาคกลาง เพิ่มขึ้น 40,0000 คน ส่วนภาคใต้ และภาคเหนือ มีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นเท่ากัน คือ 10,000 คน ขณะที่กทม.มีผู้ว่างงานเท่าเดิมคือ 60,000 คน
 
สำหรับ ผู้ว่างงานทั้ง 7.1 แสนคน พบว่าเป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน หรือผู้ว่างงานที่เข้ามาใหม่ 1.6 แสนคน ที่เหลืออีก 5.5 แสนคน เป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อนโดยเป็นผู้ว่างงานจากภาคการผลิตมากที่สุด 2.8 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1 แสนคน ภาคบริการ และการค้า 1.7 แสนคน เพิ่มขึ้น 60,000 คน และภาคเกษตรกรรม 90,000 คน ลดลง 40,000 คน
 
ส่วน ผู้มีงานทำใน เดือนก.พ.นี้ พบว่า มีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานรวม 37.58 ล้านคน แยกเป็นผู้มีงานทำ 36.67 ล้านคน ผู้ว่างงาน 7.1 แสนคน และผู้รอฤดูกาล 2 แสนคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานมี 14.99 ล้านคน จากจำนวนของผู้มีงานทำ 36.67 ล้านคน เมื่อเทียบกับปีก่อนพบว่า ผู้มีงานทำเพิ่มขึ้น 9 แสนคน (จาก 35.77 ล้านคน เป็น 36.67 ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้น 2.5% โดยผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 10,000 คน (จาก12.35 ล้านคน เป็น 12.36 ล้านคน) และผู้ทำงานนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 8.9 แสนคน (จาก 23.42 ล้านคน เป็น24.31 ล้านคน)
 
นาง ธนนุช กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของผู้มีงานทำ เพิ่มขึ้นในสาขาการขายส่งและขายปลีกฯ มากที่สุด 4.4 แสนคน รองลงมาสาขาการโรงแรม และภัตตาคาร 2.3 แสนคน สาขาการก่อสร้าง และสาขาการขนส่งฯ เพิ่มขึ้นเท่ากัน 1.6 แสนคน ส่วนสาขาที่ลดลงเป็นสาขาการผลิตลดลง 1.3 แสนคน และสาขาบริหารราชการแผ่นดินลดลง 10,000 คน ที่เหลือเพิ่มขึ้นและลดลงเล็กน้อย กระจายอยู่ในสาขาอื่น
 
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีผู้ทำงานลดลงต่อเนื่อง คือการผลิตสิ่งทอลดลง 1.2 แสนคน, ผลิตไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ 1.1 แสนคน , ผลิตยานยนต์ 90,000 คน, ผลิตโลหะขั้นมูลฐาน 50,000 คน, ผลิตกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ และการผลิตเครื่องอุปกรณ์การขนส่ง ลดลงเท่ากัน 40,000 คน
 
ส่วนที่เพิ่มขึ้นคือ การผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่ม 1.1 แสนคน, ผลิตเครื่องจักรและเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า 70,000 คน และผลิตผลิตภัณฑ์จากแร่อโลหะ 40,000 คน
 
 
คุณภาพชีวิต
 
จี้ ทส.เร่งแผนคุมมลพิษเอกชนเผย 3 โปรเจกท์ผวาล้มปักธงมาบตาพุด
เว็บไซต์ แนวหน้า - นายสรยุทธ์ เพ็ชรตระกูล ผู้ช่วย รมว.อุตสาหรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ทำหนังสือถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เกี่ยวกับกรอบระยะเวลาในการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ ตามที่มีการออกประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนดเขตควบคุมมลพิษใน พื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง เพื่อนำไปชี้แจงกับนักลงทุนไทยและต่างประเทศ โดยกำหนดให้ตอบกลับมาภายใน 2 สัปดาห์
 
“กระทรวง อุตสาหกรรมไม่ต้องการให้แผนดังกล่าวส่งผลกระทบให้นักลงทุน ที่อยู่ระหว่างการลงทุน หรือเตรียมลงทุนต้องหยุดการลงทุน รวมทั้งไม่ต้องการให้ส่งผลต่อการลงทุนในระยะยาว ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ รับคำยื่นยันจาก ทส. ว่า ระหว่างที่มีการจัดทำแผนดังกล่าวจะไม่กระทบกับนักลงทุนที่โครงการผ่านการ อนุมัติผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้ว ส่วนโครงการที่ยังไม่ผ่านอีไอเอ มูลค่าลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท คงต้องรอการพิจารณาตามมาตรฐานใหม่” นายสรยุทธ์ กล่าว
 
ด้าน นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า การกำหนดมาตรการใดออกมาควรทำครั้งเดียว ไม่ควรทยอยออกมา เพราะจะส่งผลให้นักลงทุนวางแผนที่ชัดเจนไม่ได้ โดย ส.อ.ท.ต้องการให้แผนดังกล่าวเสร็จเร็ว เพราะขณะนี้ทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติกำลังรอว่าท้องถิ่นจะประกาศแผนออกมา อย่างไร โดยเห็นว่าท้องถิ่นควรประกาศแผนออกมาให้ได้ภายใน 3-6 เดือนนี้ และถ้าแผนที่ออกมาส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องลงทุนจัดการมลพิษมากเกินไป อาจทำให้ต่างชาติหนีไปลงทุนในประเทศอื่นได้
 
“ขณะนี้มีโครงการที่ชะลอการลงทุนหลังมีประกาศเขตควบคุมมลพิษ 3 โครงการ มูลค่าลงทุน 40,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการลงทุนโรงแยกก๊าซแห่งที่ 7 ของ บมจ.ปตท. โครงการลงทุนผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ของบริษัทเอสพีอาร์ซี โรงกลั่นน้ำมันสตาร์ และโครงการลงทุนเพิ่มกำลังผลิตอีพรอกซี เรซินของบริษัทจากอินเดีย” นายสันติ กล่าว
 
ฮือคัดค้านยกระดับป่าพรุชาวแม่รำพึงจวกไร้ส่วนร่วมจ้องฟ้องศาล ปค.สั่งคุ้มครอง
เว็บไซต์ แนวหน้า - ประจวบคีรีขันธุ์: นายสมบูรณ์ ภู่งาม กำนันตำบลแม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเตรียมจะประกาศให้ พื้นที่ป่าพรุแม่รำพึงเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ ว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับได้ส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจความเห็นของ ประชาชนในตำบลแม่รำพึงก่อนว่าเห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าวหรือไม่ และขอให้ดำเนินการพร้อมกันหลายๆ หน่วยงานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นความจริงมากที่สุด ทั้งนี้ตนยืนยันว่าชาวบ้านกว่าร้อยละ 80 คัดค้านและไม่เห็นด้วยกับการยกระดับพื้นที่ดังกล่าว เพราะกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้นประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีส่วนร่วมและมีผลประโยชน์ ทับซ้อนของคนบางกลุ่ม
 
ด้าน นายสุพจน์ ส่งเสียง รองประธานกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง กล่าวว่า ขอให้นายอำเภอบางสะพานเชิญตัวแทนกลุ่มที่คัดค้านการประกาศพื้นที่ป่าพรุมาพบ กับตัวกลุ่มอนุรักษ์ฯเพื่อสอบถามสาเหตุการคัดค้านการยกระดับพื้นที่ชุ่มน้ำ ว่ามีเหตุผลที่แท้จริงอย่างไร ส่วนการประกาศยกระดับพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตอุทยานเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชน ในพื้นที่ร่วมกันบริหารจัดการเพื่อประโยชน์อย่างยั่งยืนซึ่งที่ผ่านมามี กระบวนการรับฟังความเห็นแล้วที่หอประชุม อ.บางสะพาน ซึ่งถือได้ว่าประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแน่นอน
 
ผู้ สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าเมื่อเร็วๆ นี้ นายสักรินทร์ สังข์แดง ตัวแทนชาวบ้านตำบลแม่รำพึง ได้นำชาวบ้านประมาณ 20 คน เข้ายื่นหนังสือต่อนายธวัชชัย วิสมล นายอำเภอบางสะพาน เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมและให้ช่วยติดตามเรื่อง หลังจากก่อนหน้านี้ได้ยื่นหนังสือถึงนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อคัดค้านการประกาศยกระดับพื้นที่แม่รำพึงเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ โดยยืนยันว่าหากยังดื้อดึงที่จะประกาศยกระดับพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติโดยไม่ ผ่านกระบวนการที่ถูกต้องชาวบ้านก็จะคัดค้านจนถึงที่สุดและจะฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้ดำเนินการกับหน่วยงานเกี่ยวข้องด้วย
 
บุหรี่เถื่อนทลักเข้าไทยด้านชายแดนตราด
เว็บไซต์ สยามรัฐ - จากการที่รัฐบาลได้ขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่และสุราภายใน ประเทศทำให้ราคาบุหรี่และสุราภายในประเทศมีราคาสูงขึ้น ส่งผลให้บุหรี่ต่างประเทศและสุราต่างประเทศถูก ลักลอบนำเข้ามากขึ้น
 
แหล่ง ข่าวด้านชายแดนจังหวัดตราด เปิดเผยว่า การนำบุหรี่ ต่างประเทศเข้ามายัง จ.ตราด โดยผ่านจุดผ่านแดนถาวร อ.คลองใหญ่ จ.ตราดวันละหลายร้อยแท่งโดยนัก ท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมักจะใช้สิทธิที่กฎหมายยกเว้นไว้ที่ สามารถนำบุหรี่ต่างประเทศเข้ามาได้ 1 แถว (10 ซอง) ซึ่งบุหรี่ต่างประเทศนักท่องเที่ยวจะซื้อที่ตลาดเกาะกงพลาซ่า ที่อยู่บริเวณหน้าเกาะกงกาสิโน ของโรงแรมเกาะกงอินเตอร์เนชั่นแนล รีสอร์ท คลับ จำกัด โดยในแต่ละวันจะมีมากกว่า 400 แถว ส่วนใหญ่จะเป็น ยี่ห้อมาร์โบโร (สีเขียว,แดง) เป็นหลัก และยังมี L&M (เขียว.แดง) นอกจากนี้ยังมีการจ้างให้ชาวกัมพูชานำเข้ามา ในลักษณะกองทัพมดอีก ขณะเดียวกันตลาดค้าชายแดนบ้านหาดเล็กก็มีการค้าบุหรี่อยู่หลังร้าน และมีพ่อค้าชาว กัมพูชานำมาขายอยู่บ้าง แต่จำนวนไม่มากนัก เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีการเข้มงวดในเรื่องสต๊อคสินค้า
 
“ผม ว่าต้องแก้ไขโดยการแกะซองออกมาเพื่อไม่ให้มีการนำไปขายต่อ ก็จะแก้ไขได้ระดับหนึ่ง ส่วนสุรา ต่างประเทศมีไม่มานักเพราะไม่สะดวกและมีการปลอมแปลงมาก” ส่วนราคาบุหรี่มาร์โบโร 1 แถว ราคา 220 บาท/แท่ง บุหรี่ L&M ราคา 180 บาท/แท่ง
 
ขณะ ที่นายทวีวัฒน์ เมฆธวัชชัยกุล ผู้ช่วยนายด่านศุลกากรคลองใหญ่ จ.ตราด เปิดเผยว่า การนำบุหรี่ต่างประเทศและสุราต่างประเทศเข้ามายัง จ.ตราด โดยผ่านจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก เป็นของ ติดตัวผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยวที่สามารถนำเข้ามาได้ตามจำนวนที่กฎหมาย กำหนด ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวใช้ วิธีการฝากเพื่อนให้ถือบุหรี่คนละ 1 แถว ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมได้เพราะเป็นสิทธิของนักท่องเที่ยว ส่วนรถยนต์ที่ผ่านเข้า-ออกด่านทางศุลกากร จ.ตรวจเข้มเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาอยู่แล้ว ทั้งนี้ ในแต่ละวันมี บุหรี่ต่างประเทศเข้ามาหลายร้อยแถว
 
“ที่ น่าเป็นห่วงก็คือการลักลอบทางน้ำที่เป็นจุดเสี่ยงมากที่สุกเนื่องจากพื้นที่ ทะเลมีพื้นที่กว้างไกลและทางด้านศุลกากรแม่มีเรือตรวจการณ์อยู่แต่ป้องกัน ยาก”
 
ผู้ ช่วยนายด่านศุลกากรคลองใหญ่ กล่าวอีกว่า ปัญหาที่พบในขณะนี้ก็คือการลักลอบนำก๊าซหุงต้ม (ถ้งปตท.) ส่งไปขายใน จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา เนื่องจากราคาก๊าซหุงต้มในกัมพูชามีราคาสูงกว่า จ.ตราด ถึง 40-50% ทำให้เป็นเหตุจูงใจและมีการลักลอยบออกทางเรือประมงทั้ง ต.ไม้รูด ต.แหลมกลัด และท่าเรือส่งออก ของเอกชน 3 แห่ง โดยในแต่ละวันจะมีมากกว่า 300-400 ถัง/วัน หรือมากกว่า 10,000 ถังต่อเดือน
 
ทั้งนี้ ทาง จังหวัดตราด ได้มีการตการควบคุมอยู่แล้ว แต่ผู้ค้าได้ใช้การขนและลักลอบแบบกองทัพมดนำใส่เรือประมงลำละ 3-4 ถัง และใช้จังหวะที่เจ้าหน้าที่ไม่ตรวจสอบลักลอบออกไป ทั้งนี้ มีผู้ประกอบการค้าก๊าซหุงต้มใน อ.คลองใหญ่ 2 รายที่นำก๊าซหุงต้มเข้ามาใน อ.คลองใหญ่ ประมาณ 10,000 -12,000 ถัง/เดือน ทั้งนี้มีความต้องการบริโภค เพียง 3-400 ถัง/วันเท่านั้น
 
 
ต่างประเทศ
 
ฝ่ายค้านห่วงซูจีสุขภาพแย่วอนรัฐบาลดูแล
เว็บไซต์ ไทยโพสต์ - พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของนางอองซาน ซูจี เรียกร้องรัฐบาลทหารพม่ายอมให้นางซูจีได้รับการรักษาทางการแพทย์ ระบุตอนนี้สุขภาพของนางซูจีกำลังน่าเป็นห่วง
 
นาย เนียน วิน โฆษกพรรคเอ็นแอลดี เปิดเผยว่า นางซูจี วัย 63 ปี กินอาหารไม่ได้ มีอาการความดันเลือดต่ำและร่างกายสูญเสียน้ำมาก จนผู้ช่วยแพทย์ต้องให้น้ำเกลือเมื่อวันศุกร์ แต่หลังจากนั้นรัฐบาลทหารพม่ากลับปฏิเสธที่จะให้ผู้ช่วยแพทย์คนเดิมกลับไป เยี่ยมดูอาการเธออีกครั้งที่บ้านพักในวันเสาร์ ส่วนแพทย์ประจำตัวเธอนั้นถูกตำรวจควบคุมตัวไว้โดยไม่ทราบสาเหตุ
 
“เราเป็นห่วงสุขภาพของเธอ พวกเขาไม่ควรกำหนดข้อจำกัดเช่นนี้มาขัดขวางการรักษา” เขากล่าวต่อ
ช่วง บ่ายวัยศุกร์ ผู้ช่วยแพทย์ไพวัน มูไอ ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง ตรวจรักษาอาการป่วยของนางซูจี ขณะที่ ถิ่น เมียว วิน แพทย์ประจำตัวเธอ นั่งรออยู่หลายชั่วโมงเพื่อขอเข้าไปตรวจร่างกายนางซูจีตามปกติ แต่กลับไม่ได้รับอนุญาต
 
ไม่ กี่วันที่ผ่านมา ทางการพม่าเพิ่งรวบตัวนายจอห์น วิลเลียม ยีตทอว์ ชายชาวอเมริกันที่ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบไปยังบ้านพักของนางซูจี และหลบอยู่ที่นั่นนาน 2 วัน โดยขอร้องไม่ให้นางซูจีแจ้งเรื่องนี้แก่ทางการ เบื้องต้นยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของชายอเมริกันรายนี้ แต่แหล่งข่าวผู้หนึ่งบอกว่า เขาเป็นทหารที่เคยร่วมรบในสงครามเวียดนามมาก่อน
 
“ปูติน” เยือนปลาดิบถกปิดดีลนิวเคลียร์
เว็บไซต์ ไทยโพสต์ - นายกรัฐมนตรีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย จะเดินทางเยือนญี่ปุ่นสัปดาห์นี้ พร้อมความหวังที่จะกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับชาติเศรษฐกิจอันดับ 1 ของเอเชีย รวมถึงลงนามข้อตกลงพลังงานนิวเคลียร์ และเยียวยาปัญหากรณีเกาะพิพาท
 
ใน การให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่นในกรุงมอสโก นายกฯ ปูตินกล่าวว่า เขาจะเสนอโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับญี่ปุ่นหลายโครงการ ระหว่างการเดินทางเยือนเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ แม้ผู้นำรัสเซียจะไม่ได้ระบุว่าโครงการที่ว่ามีกี่โครงการ แต่แหล่งข่าวผู้หนึ่งบอกกับหนังสือพิมพ์นิกเกอิว่า มีอยู่ประมาณ 200 โครงการ อาทิ โครงการเกี่ยวกับยานยนต์, พลังงาน, อวกาศ, การ สื่อสาร และการผลิตเหล็กกล้า นอกจากนี้ อดีตประธานาธิบดีรัสเซียผู้ทรงอิทธิพลยังหวังว่า จะได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับญี่ปุ่นในโอกาสนี้ด้วย
 
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นและรัสเซียกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจา ข้อตกลงส่งเสริมการใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ การทหาร เช่น การผลิตกระแสไฟฟ้า ข้อตกลงนี้จะเปิดทางให้ทางการโตเกียวสามารถมอบหมายให้มอสโกรับหน้าที่เสริม สมรรถนะยูเรเนียม ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้ญี่ปุ่นสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานพลังงาน นิวเคลียร์ให้แก่รัสเซียได้
 
ความ สัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศนี้แนบแน่นขึ้นเป็นลำดับ โดยญี่ปุ่นมองว่ารัสเซียเป็นตลาดการบริโภคที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่สำคัญของโลก ขณะที่รัสเซียต้องการให้ญี่ปุ่นเข้าไปลงทุนพัฒนาพื้นที่แถบตะวันออกไกลของ ประเทศ
 
นับ ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา มูลค่าการค้ารวมระหว่างสองฝ่ายดีดตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่า ผู้ลงทุนรายใหญ่จากญี่ปุ่น มีอาทิ โตโยต้ามอเตอร์ ซึ่งเพิ่งเปิดโรงงานแห่งแรกในรัสเซียเมื่อปี 2550
 
นอกจาก ประเด็นเศรษฐกิจแล้ว ปูตินยังบอกว่า เขาพร้อมที่จะหารือกับญี่ปุ่นในประเด็นเกาะพิพาทที่มีมาตั้งแต่ช่วงปลาย สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ดี คาดว่าการพูดคุยครั้งนี้คงไม่อาจนำไปสู่การยุติความขัดแย้งดังกล่าวได้
 
ทาง การมอสโกเรียกหมู่เกาะพิพาท ซึ่งกองทัพรัสเซียยึดมาจากญี่ปุ่นช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ปิดฉากเพียงไม่กี่วันว่า “หมู่เกาะคูริลใต้" ส่วนญี่ปุ่นที่อ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะนี้เช่นกันเรียกว่า "ดินแดนในอาณัติด้านเหนือ” ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่นเพียง 15 กม.
 
“ในอันที่จะแก้ไขปัญหาที่ยากและสำคัญเช่นนี้ เราต่างจำเป็นต้องอดทน และคำนึงถึงผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย” ผู้นำรัสเซียกล่าว
 
เกือบ 300 สังเวยสงครามเลือดศรีลังกา
เว็บไซต์ ไทยโพสต์ - แพทย์ทางการศรีลังกาคนหนึ่งเผย การระดมยิงด้วยปืนใหญ่ของกองทัพรัฐบาลเมื่อคืนวันเสาร์ ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 257 ราย และบาดเจ็บอีก 814 คน นับเป็นการนองเลือดครั้งรุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ทัพรัฐบาลเริ่มเปิดฉากปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มกบฏพยัคฑ์ทมิฬอีแลม
 
วี ชานมูการาชา แพทย์ซึ่งทำงานอยู่ในพื้นที่สู้รบ เล่าว่า กระสุนปืนใหญ่หลายลูกถูกยิงมาตกใกล้โรงพยาบาล ทำให้หลายคนต้องหนีลงไปหลบในที่กำบัง นอกจากนี้ เขายังเกรงว่ายอดผู้เสียชีวิตอาจมีมากกว่าที่เขาทราบ เนื่องจากศพจำนวนหนึ่งไม่ได้ถูกนำมายังโรงพยาบาลชั่วคราว แต่ถูกนำไปฝังเรียบร้อยแล้ว
 
เว็บไซต์ ทมิฬเน็ต ซึ่งให้การหนุนหลังกลุ่มกบฏรายงานว่า การโจมตีครั้งใหญ่ของกองทัพรัฐบาลหนนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันเสาร์และต่อ เนื่องมาจนถึงวันอาทิตย์ คาดว่าอาจมีคนตายมากถึง 2,000 คน
 
ด้านพลจัตวาอุทธยา นานายัคครา โฆษกกองทัพศรีลังกา ปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยระบุว่า กองทัพใช้เพียงอาวุธเล็กในการปราบปรามกลุ่มกบฏ
 
แพทย์ คนเดิมบอกเพิ่มเติมว่า แม้ก่อนหน้านี้รัฐบาลจะส่งเวชภัณฑ์ทางการแพทย์เข้าไปในเขตสู้รบ แต่การรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บยังคงประสบปัญหา เพราะขณะนี้โรงพยาบาลยังคงขาดแคลนแพทย์, พยาบาล และผู้ช่วย "ที่เราทำได้คือการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ขณะที่บางรายจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน เราพยายามทำเท่าที่ทำได้ แต่สถานการณ์มันเกินกว่าที่เราจะรับได้ ทุกอย่างมันเกินควบคุม"
 
สอง สัปดาห์ก่อน รัฐบาลศรีลังกาให้คำมั่นจะไม่ใช้อาวุธหนักโจมตีกลุ่มกบฏพยัคฑ์ทมิฬเพื่อ ป้องกันการสูญเสียชีวิตพลเรือน แต่กระนั้นก็ยังคงมีรายงานจากแพทย์ในพื้นที่ออกมาเป็นระยะว่า กองทัพรัฐบาลยังคงเดินหน้าปฏิบัติการทางอากาศและการยิงถล่มด้วยปืนใหญ่ แม้จะทราบว่ามีชาวทมิฬติดค้างอยู่ในพื้นที่สู้รบมากถึง 50,000 คนก็ตาม
 
ทั้งนี้ ทางการศรีลังกาไม่อนุญาตให้สื่อ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์เข้าไปในเขตสู้รบ ทำให้ยากที่จะพิสูจน์ว่าข่าวต่างๆ ที่ออกมามีความน่าเชื่อถือเพียงใด
 
จาก ข้อมูลขององค์การสหประชาชาติที่เปิดเผยแก่นักการทูตเมื่อเดือนก่อน ระบุว่าชาวทมิฬสังเวยชีวิตในการสู้รบนับตั้งแต่ต้นปีแล้วราว 6,500 คน และบาดเจ็บอีก 14,000 คน
 
รัฐบาล ศรีลังกา ซึ่งต้องเดินหน้ากวาดล้างกลุ่มกบฏเพื่อปิดฉากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมา นาน 25 ปี ปัดข้อเรียกร้องของนานาชาติที่ต้องการให้สองฝ่ายหยุดยิง โดยอ้างว่าพยัคฑ์ทมิฬจะฉวยโอกาสช่วงหยุดยิงในการซ่องสุมกำลังกลับมาต่อสู้ กับรัฐบาลอีก
 
ก่อน หน้านี้ ทางการกล่าวหากลุ่มกบฏว่าใช้พลเรือนผู้บริสุทธิ์เป็นโล่มนุษย์ในการต่อสู้ กับรัฐบาล ขณะที่ล่าสุดโฆษกกองทัพรัฐบาลอ้างว่า กลุ่มกบฏได้สังหารครอบครัวหนึ่งที่พยายามหลบหนีออกจากเขตสู้รบเมื่อวันเสาร์ ส่งผลให้มีคนตายรวม 9 คน
 
กบฏ พยัคฑ์ทมิฬเริ่มต่อสู้กับรัฐบาล เพื่อแยกดินแดนชนกลุ่มน้อยชาวทมิฬเป็นอิสระตั้งแต่ปี 2526 จนถึงปัจจุบัน มีผู้สังเวยชีวิตไปในสงครามสู้รบแล้วกว่า 70,000 คน
 
ปากีสถานยกเลิกเคอร์ฟิว 7 ชั่วโมง เปิดทางประชาชนหนีตาย
เว็บไซต์ คมชัดลึก - ทางการปากีสถานได้ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวในหุบเขาสวาท และมาลากันด์ พื้นที่ชนเผ่าทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเป็นการชั่วคราว 7 ชั่วโมง เมื่อวันอาทิตย์ (10 พ.ค.) เพื่อเปิดทางให้ประชาชนกว่า 1 แสนคนหนีตายออกมาจากพื้นที่ที่เกิดการสู้รบอย่างหนักหน่วงระหว่างทหารฝ่าย รัฐบาลกับนักรบตาลีบัน
 
แถลงการณ์ ของรัฐบาลแจ้งว่าเคอร์ฟิวได้ถูกยกเลิกเป็นเวลา 7 ชั่วโมง ระหว่างเวลา 06.00-13.00 น. พร้อมแนะนำให้ประชาชนรีบเดินทางออกจากเมืองมินโกรา ซึ่งเป็นเมืองหลักของพื้นที่แถบนี้ รวมถึงเมืองคัมบาร์ และเมืองราฮิมาบัดซึ่งนักรบตาลีบันแฝงตัวในหมู่ประชาชนเสีย โดยจะยอมให้ยานพาหนะต่างๆ เดินทางออกเท่านั้น แต่ไม่ยอมให้เดินทางเข้าเมืองมินโกรา
 
ด้าน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคาดว่าจะมีคนเดินทางออกจากบ้านเรือนในหุบเขาสวาทกว่าแสน คนในวันอาทิตย์ ซึ่งทางการไม่ได้จัดเตรียมยานพาหนะเอาไว้ให้ แต่ได้ตั้งค่ายเอาไว้รองรับผู้อพยพเหล่านี้ 5 ค่ายในจังหวัดนอร์ทเวสต์ฟรอนเทียร์ ขณะที่หน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติกล่าวว่ามีคนเดินทางออกจาก พื้นที่นี้แล้ว 2 แสนคน ขณะที่อีก 3 แสนคนกำลังเดินทางออกมาหรือคิดจะออก
 
รายงาน ข่าวแจ้งว่าทันทีที่เคอร์ฟิวถูกยกเลิก ประชาชนในหุบเขาสวาทต่างพากันเดินทางออกทุกวิถีทางที่พวกเขาทำได้ไม่ว่าจะ เป็นขี่มอเตอร์ไซค์ออกมา นั่งรถลากเทียมลาหรือสัตว์อื่นๆ นั่งรถสามล้อ แต่ที่มากที่สุดคือการเดินด้วยเท้า
 
“เรา ออกมาโดยมีเพียงเสื้อผ้าแล้วก็ของเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้กินระหว่างการเดินทางอันยาวไกล” เรห์มัต อาลาม เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์วัย 40 ปีกล่าวขณะเดินเท้าออกจากเมืองมินโกราพร้อมด้วยญาติอีก 18 คน “เราได้แต่ปล่อยชีวิตให้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าเพราะไม่มีใครที่ไหนมาช่วยเรา”
 
ทั้งนี้ ทางการปากีสถานได้ปราบปรามกลุ่มติดอาวุธใน 3 พื้นที่อย่างหนักขึ้นมาตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วภายหลังจากที่กลุ่มตาลีบัน ได้รุกคืบเข้ามาภายในรัศมี 100 กิโลเมตรห่างจากกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวง โดยนายกรัฐมนตรียูซุฟ ราซา กิลานี กล่าวว่ากองทัพปากีสถานต่อสู้กับตาลีบันเพื่อความอยู่รอดของประเทศ ขณะที่ทางกองทัพอ้างว่าได้สังหารกลุ่มติดอาวุธในหุบเขาสวาทไปแล้วเกือบ 200 คน รวมถึงแกนนำคนสำคัญ นับตั้งแต่เมืองวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเปิดฉากปฏิบัติการเต็มรูปแบบเพื่อ “ถอนรากถอนโคนผู้ก่อการร้าย”
 
สำหรับ สถานการณ์การสู้รบในพื้นที่ขณะนี้เต็มไปด้วยความดุเดือด ทหารปากีสถานหลายพันคนที่มีเครื่องบินรบ และเฮลิคอปเตอร์กันชิพเป็นกองหนุนได้บุกเข้าถล่มนักรบตาลีบันในพื้นที่อย่าง หนัก มีการทิ้งระเบิดทางเครื่องบินถล่มที่ซ่อนของฝ่ายกบฏหลายแห่ง
 
ผู้นำใหม่แอฟริกาใต้
เว็บไซต์ เดลินิวส์ - ประชาชนชาวแอฟริกาใต้หลายพันคนได้แห่กันไปยังตึกยูเนียน บิวดิ้ง ซึ่งเป็นที่ทำการของรัฐบาลแอฟริกาใต้เมื่อวันเสาร์ เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานการเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีของนายจา คอบ ซูมา ท่ามกลางฝนตกหนักและลมหนาวก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีผู้นำประเทศต่างๆ เกือบ 30 คนเข้าร่วมในพิธีดังกล่าว เช่น พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี แห่งลิเบีย ประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาเบ ของซิมบับเว และนายคิม ยอง-นัม ผู้นำหมายเลข 2 ของเกาหลีเหนือ

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net