Skip to main content
sharethis
 
 
 
 
 
‘สุวิชานนท์ รัตนภิมล’ เขาเป็นคนพื้นเพบริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา จบวิชารัฐศาสตร์ ในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี(มอ.ปัตตานี) ก่อนไปเรียนต่อปริญญาโท สาขาปรัชญา ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่เรียนได้แค่เทอมเดียว เขาตัดสินใจเดินออกมาค้นหาปรัชญาในโลกกว้างอันหลากหลายและซับซ้อน ไม่ว่าการกลับไปกรีดยางที่ใต้ ใช้ชีวิตเร่ร่อนเตร็ดเตร่ในเมืองหลวง ในโรงงานแถบบางพลี ไปอยู่เกาะที่ระยอง ช่วยทำค่ายเด็กรักป่าที่จังหวัดสุรินทร์
 
เขาเรียนมาทางสายการเมืองการปกครอง เหมือนเด็กหนุ่มชนบทใต้ทั่วไป เขาตั้งความหวังอยากไปมีส่วนขจัดความอยุติธรรมในสังคม ตามสายปกครองที่เรียนมา กระทั่งไปพบกับแนวความคิดมหาตมะ คานธี ละลายข้างในเขาออกไป พบปรัชญาชอง ปอล ซาร์ต ทำให้เขาไม่กลับไปสู่เส้นทางที่วาดฝันไว้อีกเลย แต่กลับเลือกอีกทางหนึ่ง
    
กระทั่ง ปี 2533 เขาหวนกลับขึ้นเหนือ ไปอยู่เชียงใหม่อีกครั้ง ทำหนังสือ เป็นบรรณาธิการหนังสือ ‘เสียงภูเขา’ พร้อมออกท่องทางตามไหล่เขา ตามริมตะเข็บชายแดน เรียนรู้ สัมผัสวิถีชนเผ่า ชนกลุ่มน้อย กลุ่มผู้ลี้ภัยจากดงสงคราม ฯลฯ แล้วกลั่นออกมาเป็นงานเขียนสารคดี ความเรียง บทกวี เรื่องสั้น หลายนามปากกา อาทิ หญ้าน้ำ ทุ่งขุนหลวง,คำ พอวา, นายคนุลป์,หญ้ายองไฟ,ชนกลุ่มน้อย ฯลฯ เขามีงานเขียนรวมเล่มพ็อกเก็ตบุคส์มาแล้ว 17 เล่ม และรวมไปถึงบทเพลง ทั้งที่ทำร่วมกับศิลปินเผ่า และนำเสนองานเพลงตัวเอง
 
แน่นอน ต่อกรณีเหตุการณ์สงครามความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับชนกลุ่มน้อย สงครามความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าต่อชนเผ่า ที่กำลังดำเนินอยู่เหมือนไม่รู้จบในขณะนี้ ย่อมทำให้เขาเฝ้ามองและครุ่นคิด มองเห็นความขัดแย้งที่พอกพูน ความรุนแรงที่ไร้พรมแดน ที่แม้กระทั่งความเป็นอาณาเขต ความเป็นรัฐก็ยากจะต้านทานมันไว้ได้ ทั้งสงครามใหญ่ และสงครามภายในใจมนุษย์...เขาพยายามเข้าไปทำความเข้าใจ
 
และนี่คือคำให้สัมภาษณ์ของเขากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ว่าทำไมเขาถึงบอกว่า ในโลกใบนี้ เราต่างเป็นผู้ลี้ภัย และทำไมมองพรมแดนและรัฐเป็นเหมือนขี้!?
 
 
 
 
 
 สุวิชานนท์ รัตนภิมล’
 
 
ในฐานะที่ทำงานเขียนสารคดีคลุกคลีกับชนเผ่าตามตะเข็บชายแดน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ลี้ภัย มองยังไงกับปัญหาผู้อพยพ ผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้ ?
 
ผู้ลี้ภัยในความเห็นของผม ผมมองว่าถ้าเขาอยู่ในที่สงบ เขาคงไม่ลี้ภัยมา แต่เมื่อพูดถึงผู้ลี้ภัย มันหมายถึงว่าพื้นที่อยู่ของเขาตรงนั้นมันมีปัญหา แน่นอนไม่มีอะไรมากไปกว่าการฆ่า การไล่ล่า ที่เรารู้ๆ อยู่ แล้วที่ผมได้เห็นและได้ติดตาม ได้เข้าไปพูดคุยในแค้มป์ผู้อพยพมาประมาณสามสี่ครั้ง เวลาเราเข้าไปแตะ ไปพูดคุย ไม่ว่าจะเป็นคนใดคนหนึ่ง เราก็จะรับรู้ว่า พวกเขาถูกตามล่า ถูกตามฆ่า บ้านถูกเผาทิ้ง ข้าวกำลังเก็บเกี่ยวก็โดนเผาทิ้ง ลูกชายไปรบไม่กลับมา พ่อก็หายไปเลย อารมณ์ก็ซ้ำซากอยู่อย่างนี้ในที่พักผู้ลี้ภัย ซึ่งการหนีของพวกเขา มันไม่ใช่หนีโรคห่า หนีภาวะอากาศจากธรรมชาติ หรือว่าหนีอะไรก็ตามที่เกิดจากธรรมชาติ แต่มันหมายถึงการหนีเพราะมนุษย์เป็นคนทำ และมนุษย์เป็นใคร ก็เป็นมนุษย์ที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือจากความเป็นรัฐใหญ่  พูดง่ายๆคือมนุษย์ที่ติดหัวรบเป็นกระสุน เป็นดินระเบิด เป็นกากอุดมการณ์ทั้งหลาย ความเป็นกลุ่มใหญ่ ความมีอำนาจของกลุ่มใหญ่ที่กระทำได้ทุกอย่างต่อกลุ่มเล็ก ซึ่งมีทั้งกำลังอาวุธและกำลังคน  และกระสุนที่อยู่ในคน อาวุธที่อยู่ในคน พร้อมทำลายล้างได้ทุกเมื่อ อย่างนี้แล้วจะไม่ให้คนหนีพวกกระสุนได้อย่างไร
 
ในขณะที่สายตาของคนฝั่งเรา มันคล้ายๆ กับในหมู่บ้านหนึ่ง เกิดมีอยู่บ้านหนึ่ง ทะเลาะกันทุกวัน ทุบตีกันทุกวัน จนถึงตาย แล้วคนบ้านใกล้เคียงก็เห็นเป็นเรื่องปกติ ก็มันบ้านคนอื่น ไม่ใช่บ้านเรา ทะเลาะกันได้ เดี๋ยวก็จบกันได้ แต่มันก็ตายกันแล้ว คนก็มองดูกันอย่างนั้น
 
แต่นี่หมู่บ้านข้างเคียงเขาทะเลาะ และถึงกับเข่นฆ่ากัน แล้วหนีมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเรา(ประเทศไทย)แล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไป ?
 
ใช่ พอพวกเขาหนีมา เขาก็ต้องหาที่สักแห่งหนึ่งข้างหน้า ซึ่งหลังจากเคยนั่งพูดคุยกับคนกลุ่มนี้ เขาบอกว่า เขาต้องหาที่สักที่หนึ่งที่รับรู้ได้ว่าเป็นที่ที่ปลอดภัย เขาหนีโดยสัญชาตญาณ เหมือนเก้งเหมือนไก่ป่านั่นแหละ ไม่ได้หนีไปหาความอุดมสมบูรณ์ แต่หนีเอาตัวรอด และไม่ได้คิดว่าข้ามเขตแดนไปแล้วจะถูกหรือผิด ข้ามมาฝั่งไทยผิดกฎหมาย ไม่ต้องพูดเลย
 
ในความหมายของผู้ลี้ภัย หรือคนพลัดถิ่น ผมมองเข้าไปในฝั่งโน้นด้วยนะ ในความเห็นผม คือคนที่หนีไม่ได้ ยังถูกยื้อ ถูกกักพื้นที่ไว้ ถูกข่มขู่ เพราะว่าความเป็นรัฐไหนๆมันต้องอาศัยพลเมืองเป็นกำลังหนุน เป็นอะไหล่ของรัฐ ความเป็นคนพลัดถิ่นในสายตาคนทั่วไป มักจะมองว่า คนที่หนีตายออกมา ข้ามมาฝั่งไทยเท่านั้น อยู่ในรั้วลวดหนามเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว ยังมีคนอีกเยอะแยะที่พลัดถิ่นอยู่ภายในประเทศพม่า อยู่ในรั้วที่มองไม่เห็น ถือว่าเป็นคนพลัดถิ่นแบบต้องจำยอมจำนน เพราะมันหนีไม่ได้ โดนขู่ เดี๋ยวโดนฆ่าหากออกไปจากพื้นที่ ลูกอาจหนีรอดมาอยู่ในแค้มป์ฝั่งไทย แม่หนีอยู่ในป่า พ่อไปรบไม่รู้เป็นตาย คนกลุ่มนี้พลัดถิ่นอยู่ในพื้นที่ เหมือนถูกขัง แล้วคนเหล่านี้ก็จะถูกลิดรอน ทารุณกรรม และเข้าใจว่ามันน่าจะมีอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนเผ่าย่อยๆ หรือว่ากลุ่มพวกใหญ่ๆ อย่างเช่น คนกะเหรี่ยง คนกะเรนนี เป็นพวกที่โดนกักเอาไว้ แล้วคนกลุ่มนี้พร้อมจะถูกย่ำยี คือพวกที่มีกำลังทั้งหลายมันต้องการใช้คนกลุ่มนี้มาเป็นกำลังเสริม จะเรียกว่าพลเมืองก็ได้ หรือเรียกว่าเป็นหน่วยการผลิตของมัน ไปสู่เป้าหมายของมันก็ได้ เพราะมันถือปืนอย่างเดียว กระสุนให้คนอื่นแบก ไม่มีคนพลัดถิ่นกลุ่มนี้ไม่ได้หรอก คุณรออาหารรอการหนุนช่วยจากรัฐอย่างเดียวไม่ได้ มันจึงเอาเปรียบคนกลุ่มนี้ทุกทาง
 
ฉะนั้น คำว่าคนพลัดถิ่น มันไม่ได้หมายถึงคนแตกถิ่นออกมา น่าจะหมายถึงคนที่อยู่ในพื้นที่ของเขา แล้วก็พลัดถิ่นจากแผ่นดินของตัวเองรวมอยู่ด้วย กลุ่มคนที่ไม่มีที่อยู่ หนีไปตามป่า แล้วก็เอาตัวรอดกัน อยู่กันอย่างหวาดกลัว ซึ่งผมคิดว่าอารมณ์พลัดถิ่นอย่างนี้รุนแรงกว่าที่คุณเห็นมา ไปตามดูเถอะ คุณจะเห็นเลยว่ายังมีคนกลุ่มนี้อยู่ข้างในอีกเยอะ แต่ยังไม่รู้ชะตากรรม ถามว่าพวกนี้ถือว่าพลัดถิ่นมั้ย หรือว่าเป็นพลเมืองของประเทศพวกนี้มั้ย  หรือเป็นพลเมืองของกลุ่มกำลังที่มีการต่อสู้  มันใช่หรือ เป็นพลเมืองผู้จงรักในการฆ่าจริงหรือ มีโอกาสเขาพร้อมจะหนีตายไปข้างหน้า  
 
แต่เข้าใจว่า สังคมไทยเรายังไม่ค่อยรับรู้ชะตากรรมแบบนี้สักเท่าไหร่หรอก ขนาดคนพลัดถิ่นที่เราเห็นๆ กันอยู่ แล้วทะลักหนีตายเข้ามา เราก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องของเรา ไปให้น้ำให้ข้าวสารทำไม ให้พื้นที่อยู่ทำไม  มันเป็นภาระ สร้างปัญหา
           
มองเจ้าหน้าที่รัฐไทยที่ทำงานตามตะเข็บชายแดนเป็นยังไงบ้าง พวกเขามองผู้ลี้ภัย ผู้อพยพข้ามมาฝั่งไทยเหมือนนักสิทธิมนุษยชนทั่วไปบ้างมั้ย ?
 
ผมเชื่อเรื่องคนปฏิบัติงานตามชายแดน ว่ายังมีบางกลุ่มบางคนที่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์กันอยู่ บางที่หัวหน้าหน่วยของเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน หรือทหารที่เห็นคุณค่ามนุษยธรรม ให้โอกาสกลุ่มหนึ่ง แตกมาแล้ว หนีตายข้ามมา ก็ให้เขาอยู่ ให้ที่พักพิง แค่นี้ก็มีความหมายของการอยู่รอดแล้ว บางหน่วยไม่ได้รับคำสั่งเลย คิดว่ามุมเหล่านี้น่าจะมีประกายอยู่เยอะนะตามชายแดน ที่สังคมไม่มีโอกาสได้รู้ แล้วเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ก็ไม่บอกใครด้วย บอกไปก็มีความผิด เพราะว่าการช่วยเหลือคนหนีตาย มีความผิด เขาก็น่าจะแลก เพราะฉะนั้น ผมยังเชื่อว่าชายแดนยังมีเรื่องเหล่านี้อยู่ มันถึงอยู่กันได้ พอเกิดปัญหา พอข่าวประโคม หน่วยเหนือสั่งการมาต้องดูแล เพราะว่าโดนประเทศใหญ่ติติงบ้าง อยู่ในสายตานานาชาติ หรือสื่อตามติดเสนอข่าว คุณก็ร้อนๆหนาวๆสั่งการเสียทีหนึ่ง หน่วยไหนหรือคนไหนเคยเป็นประกายส่องทางก็กลับมาร่วมมือกับคุณเสียทีหนึ่ง มากบ้างน้อยบ้าง ว่ากันไป
           
แต่ผมมีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง ผมเชื่อว่ามันยังมีประกายบางอย่างของความเป็นมนุษย์อยู่ในฝั่งไทยนะ 
ในตัวเจ้าหน้าที่ คนทำงานตามชายแดน ในแง่ของการเข้าไปยื่นมือช่วย จะมากขนาดไหนไม่รู้ แต่ถือว่าเป็นการให้โอกาสรอดตายแก่คนหนีตายได้  มันไม่ได้ถึงกับต้องปิดพรมแดนขึงลวดหนาม ไม่ให้ใครข้ามมาไม่ได้ อย่างชาวบ้านฝั่งโน้นหนีมา แม่ลูกโดนกระสุนไล่มาจากฝั่งโน้น พอถึงชายแดน ยังไงๆเจ้าหน้าที่ก็ให้เข้ามายืนอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน  
 
ผมยังเห็นในมุมดีอย่างนี้อยู่ ยังเชื่ออยู่ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วเขาไม่เผยตัวแน่ เราไม่นับเฉพาะเจ้าหน้าที่นะ พวกระดับปฏิบัติหน้าที่ถึงเรื่องเฉพาะหน้า แต่จะมากน้อยไม่รู้ ซึ่งผมเชื่อว่าผู้ลี้ภัยอยู่ได้ก็ด้วยแสงวับๆ แวมๆ พวกนี้
 
มองนโยบายของรัฐไทยยังไงบ้างต่อผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย จากที่คุณได้เข้าไปสัมผัสมา ?
             
ในแง่ของคนทำงานในระดับปฏิบัติการ เขาทำไปเพื่อให้เขาอยู่รอดไปวันๆ แล้วก็ไม่ได้มีแผนอะไร หรือส่งเสริมศักยภาพอะไรที่มากกว่าการให้ที่พักพิง การให้ที่พักพิงในความหมายของเขา คือ ให้เขาอยู่แผ่นดินนี้ แล้วคุณจะอยู่ยังไงก็ได้ แต่ว่าถ้าคุณมาแตะปัญหาของฉัน  ฉันก็จะจัดการ หรือไม่ถ้าออกมาสร้างปัญหา แล้วฉันก็จะลุย ให้อยู่ในพื้นที่ควบคุม ไม่มากไปกว่านั้น
 
นโยบายความเป็นรัฐใหญ่มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว  มันไม่ได้นำไปสู่การเจรจาระดับผู้นำที่จะหาทางออกเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ เพราะอะไร ก็เพราะว่ามันก็มีผลประโยชน์ของรัฐใหญ่ ผลประโยชน์ของรัฐใหญ่มันตกลงกันได้ เรื่องของกลุ่มคนเล็กๆ มันก็เลยไม่น่ามองสักเท่าไหร่ ไม่น่าสนใจหรอก หรือถ้ามองมันใส่ใจมัน ก็ทำให้ผลประโยชน์สั่นคลอน มันไม่ราบรื่น ยังไงๆ มันไม่มากกว่าเรื่องอาณาเขตดินแดนอำนาจที่ตัวเองรู้สึกว่าควบคุมได้  
 
แล้วก็คำว่า ‘สิทธิ เสรีภาพ’ ก็คือการทำให้รัฐบาลตัวเองดูดี และอยู่ได้นานถึงที่สุด สร้างภาพความเป็นรัฐใหญ่ พวกมีอำนาจก็อยู่ดี ดูดี ดูได้นาน ไม่เสียภาพพจน์ ทั้งสังคมโลกก็มองว่า ดูดีนำผลประโยชน์มาให้ แค่นี้ก็ดูดี แล้วก็ไปจัดการกับกลุ่มเล็กกว่า กลุ่มชนเผ่า กลุ่มที่เห็นต่างไปจากตัวเอง ในขณะเดียวกัน คุณก็รู้สึกว่าคุณคุมอำนาจอยู่ มือต่อมือของประเทศใหญ่กว่าจับกันแน่นจะตาย แม้จะซ่อนดาบไว้ข้างหลังก็เถอะ 
ยากจะหวังจากรัฐใหญ่ ที่จะหาทางออกให้กลุ่มที่ขัดแย้ง แค่ทำให้พลเมืองตัวเองไม่เป็นศัตรูกันก็แย่แล้ว จะใช้สายตาไหนไปเห็นใจคนอื่นกลุ่มอื่น
 
แต่รัฐไทยก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะถึงยังไงต้องดูแลจัดการกับกลุ่มผู้ลี้ภัยอยู่ดี ?
 
เขาก็แค่คุมให้มันอยู่ในสภาพที่เขาควบคุมได้ ในสถานที่ที่เขาควบคุมได้ ในอาณาบริเวณที่ดูแลได้ เขาก็พอใจแล้ว ไม่น่าจะเป็นความคาดหวังมากกว่านั้นนะ อยู่ในที่ๆพออยู่ได้  องค์กรกุศลเข้าไปช่วยเรื่องข้าวสารข้าวหัก อาทิตย์ละกี่กิโล ต้องกินให้พอ อาจจะได้ของแจกเป็นปลาแห้งบ้าง กินให้พอแล้วกัน แต่ว่าอย่ามาตัดไม้ทำลายป่าในหมู่บ้านตรงนี้ อย่ามาใช้พื้นที่ในพื้นที่ฉันนะ เวลาคนพลัดถิ่นมาอยู่ มีสายตาบางอย่างที่เป็นสายตาที่ที่ทำให้คนรอดได้ ซึ่งทุกครั้งที่ไปสัมผัสพื้นที่ ก็จะเห็นมุมนี้ จะปิดมิดเพียงใดก็เถอะ เวลาผมรู้ ผมจะไม่เขียน หน่วยไหนคนไหนที่มาช่วย เขาพูดไม่ได้เป็นตัวแทนของความเป็นรัฐเลยนะ พูดในนามของความเป็นมนุษย์ แต่พอได้รับคำสั่ง ก็ต้องจัดการตามคำสั่ง แต่ด้วยอารมณ์ของมนุษย์ ผมว่าเขายังมีความเห็นใจ ตรงนี้ต่างหากที่มันทำให้ชายแดนรู้สึกว่ายืดหยุ่นกันได้ แต่พอยืดหยุ่นกันได้ พอมันเกิดปัญหา คุณอาจจะจัดการบางเรื่องสักครั้ง เขาก็จะกร้าวขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง
 
หมายความว่า ถ้าจะแก้ควรต้องดูที่นโยบายรัฐ เพราะว่าความเห็นใจมนุษย์ของคนผู้ปฏิบัติมันมีอยู่แล้ว ?
           
ในแง่ของคนปฏิบัติ คิดว่าแน่นอน อาจจะเป็นความรู้สึกวูบวาบเพียงห้านาที  แต่เป็นห้านาทีที่ทำให้พวกเขามีชีวิตรอด หรือเป็นสิบนาทีที่ทำให้คนมีชีวิตรอดมาได้ เป็นสิบนาทีที่ทำให้คนหนึ่งไม่ทุกข์ทรมานอยู่ในคุก เป็นสิบนาทีที่ทำให้คนนี้กลับไปหาลูกเมียที่ในแค้มป์ต่อก็ได้ เป็นสิบนาทีที่อิ่ม ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น อย่าคาดหวังการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ  
 
ทีนี้ความเป็นรัฐใหญ่ จะมาฉุกคิดเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าพูดกับกลุ่มไหน คนข้างในหรือข้างนอกมันไม่มีเจตจำนง หรือว่ามีแผนรุกที่จะนำไปสู่การจัดการที่มีขั้นตอน มีแต่รออย่างเดียว ถ้าเกิดแรงครั้งหนึ่ง เกิดการหลั่งเลือดครั้งหนึ่ง คุณก็อาจจะประณามครั้งหนึ่ง แล้วยูเอ็นก็บอกว่าอยู่ข้างประเทศคุณ คุณดูอยู่ได้ยังไงคุณก็มีกลุ่มอาเซียนที่จะดูแล ทำไมปล่อยให้เกิดเรื่องพวกนี้ คุณก็มาประชุมที ก็ติติงกันครั้งหนึ่ง มันก็ทำได้แค่นั้น แต่ถ้าถามว่า คุณมีแผนที่จะเบรกไหม มีแผนที่จะจัดการกับรัฐใหญ่โดยเอาประเทศสมาชิกข้างๆตัวคุณ จัดการได้ไหม คุณก็ไม่มีอำนาจที่จะจัดการอย่างเป็นรูปธรรมอย่างนั้นได้ แล้วถึงที่สุดผลประโยชน์ของแต่ละประเทศมาก่อนทุกครั้ง  การเอาตัวไปแลกกับความยุ่งยาก ยากจะตาย เอาตัวรอดง่ายกว่ากันเยอะ นำพาตัวเองไปสู่ปัญหาผู้อื่น รัฐไหนๆในโลกเห็นเป็นเรื่องรองทั้งนั้น 
 
เพราะฉะนั้น เวลาเราคาดหวัง เราจะคาดหวังว่าเขาจะดูแลในแง่ของความเป็นมนุษย์ ในแง่ของการลดการเหยียบย่ำ ลดการทำลายล้าง ยากจะหวังในรัฐใหญ่ ก็นั่งดูกันไป แล้วก็ให้ข่าวสารปกป้องตัวเองกันไป มีสื่ออยู่ในมือก็ปกป้องตัวเองไป
 
มีความเห็นยังไงต่อกรณีความขัดแย้ง การสู้รบกันระหว่างกองทัพกะเหรี่ยงพุทธ(ดีเคบีเอ)กับกะเหรี่ยงคริสต์(เคเอ็นยู)ในขณะนี้ ซึ่งมันดูเหมือนว่าญาติพี่น้องกำลังทำร้ายกันเอง ?
           
ผมเห็นเป็นเรื่องความชิงชัง ความเกลียดชัง มันอยู่ภายในมนุษย์อยู่แล้ว ไม่เฉพาะแต่กะเหรี่ยงคริสต์กับกะเหรี่ยงพุทธหรอก ความเกลียดชังรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันได้เมื่อไหร่เมื่อไหร่ การห้ำหั่นก็เกิดขึ้นอยู่แล้ว ปะทะกันอยู่แล้ว จะเร็วหรือช้าเท่านั้น อะไรก็ตามที่อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง ก็ต้องหาทางกำจัด ฉะนั้น คำว่า ‘อคติ ความเกลียดชัง’ ผมคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องของความเป็นสายเลือด หรือความเป็นกลุ่มก้อนชาติพันธุ์ ในชาติพันธุ์ตัวเองนั่นแหละ ตัวดีนัก แล้วหาทางจบยาก
 
ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่นในหมู่บ้านหนึ่งแถบบ้านผม ที่ภาคใต้ สมมติมีสองตระกูล มีความจงเกลียดจงชังกันมาก ฆ่ากันได้ง่ายๆยิ่งกว่าอะไร มันไม่นึกว่าเกิดบนดินเดียวกัน กินน้ำเดียวกัน โตมาด้วยกัน กินน้ำบ่อที่มาจากใต้ดินเดียวกัน กินข้าวมาจากผืนนาเดียวกัน อยู่ด้วยสิ่งนับถืออย่างเดียวกัน วัฒนธรรมเดียวกันบรรพบุรุษพ่อแม่ของพวกเขานั้นล้วนเคยต่อสู้เคียงไหล่สร้างหมู่บ้านกันมา มันไม่คิดอย่างนั้นนะ คือเมื่อก่อนหมู่บ้านมีคนแค่สองคนมาตั้งหมู่บ้านด้วยกัน ต้องฝ่าฟันมาด้วยกัน ทะเลาะกับเสือ สู้กับหมี สู้กับโจร แล้วก็ปลูกยางพาราขึ้นมา กว่าจะโตกันได้ พอมาถึงคนรุ่นหลัง มีการแบ่งเป็นตระกูลขึ้นมา ฆ่ากัน ห้ำหั่นกัน ฆ่าลูกชายมึง สักวันหนึ่งลูกชายมึงก็โดนฆ่า ฆ่าเสร็จเอาพ่อมาด้วย ไม่พ่อก็เอาหลานอีก เด็ดหัวหมด ถามว่า เรื่องพวกนี้คืออะไร มันเป็นความมืดดำของมนุษย์หรือเปล่า ที่ทุกชาติทุกภาษามันมี
 
เพราะฉะนั้น ก็อย่ามาแบ่งเลยว่า นี่กะเหรี่ยงพุทธ  นี่กะเหรี่ยงคริสต์ ถ้าคุณสร้างความจงเกลียดจงชังให้มันรวมหมู่ในจิตใจได้เมื่อไหร่ มันจะอ้วนพี แข็งแรง แล้วมันจะทำลายล้างกันโดยไม่มีเหตุผล มันเป็นเรื่องของคุณจะทำอะไรให้อีกฝ่ายแย่ลงไป แค่นั้นเอง ยิ่งได้ผลประโยชน์มาเป็นแรงกระตุ้น เป็นตัวเสริมแรง ยิ่งลากกันยาว ไม่มีใครฟังใครหรอก อ้วนพี่ กูแน่กันทั้งนั้น ถึงที่สุดแล้ว คุณจะต้องข้ามผ่านความเป็นรัฐเรื่องของความเป็นกลุ่มพวก คุณจะต้องทะลุทะลวงไปถึงความดีงามในจิตใจคน มันถึงจะเกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง ฉะนั้น อย่าให้การเกลียดชังอวบอ้วนได้รับการส่งเสริม ได้รับการให้อาหาร ให้น้ำ แล้วก็ออกไปทำร้ายทำลายกัน จนไม่อาจควบคุมได้อีกแล้ว ที่สำคัญจะหาใครมาทำให้สงบยาก
 
ระหว่างทหารถือปืนกับชาวบ้านคนหนึ่งในความเป็นมนุษย์ไม่ต่างกันหรอกนะ ทหารก็ลูกหลานชาวบ้านมีพ่อมีลูกเหมือนกัน ตายคนหนึ่ง ลูกเมียก็เสียใจ คุณมาจับปืน หรือคุณหนีมา ข้างหลังคุณไม่ต่างกัน ไม่เห็นต่างกันเลย แต่ตอนนี้มันได้รับการเสริมให้มีการเกลียดชังเรียบร้อยแล้ว แบ่งกลุ่มห้ำหั่นกันเรียบร้อยแล้ว คุณขยันสร้างมันอย่างเป็นระบบด้วย
 
ผมเคยได้ยินคำเล่ามาอย่างนี้ว่า บางครั้ง ความเกลียดชังครอบงำจนกลายเป็นสัตว์ร้าย ถึงขั้นเจาะอกกินตับกันอย่างนี้ก็มี เป็นขนาดนี้เลย แค้นเกลียดชังเอาลิ่มตอกอก ผมได้ยินมาอย่างนั้น ซึ่งนี่มันไม่ใช่มองเพื่อนมนุษย์เป็นมนุษย์แล้ว มันคือสิ่งที่เป็นสิ่งของสักอย่างที่ต้องจัดการให้พ้นไป เพราะฉะนั้น คุณไม่คิดหรอกว่า นี่หนีมามันจะทุกข์ยาก หรืออะไรยังไง เมื่อความเกลียดชังเกิดขึ้นมาโอบคลุมจิตใจคุณไว้หมดแล้ว
 
แล้วพอจะมีทางออกบ้างไหม ?
 
ถามว่า มันจะมีทางออกเรื่องลดความรุนแรงอะไรยังไง โห...คุณต้องกลับมาทางในแล้วล่ะ ตั้งแต่ระดับใหญ่ลงระดับล่าง แล้วทางในไม่ใช่ว่าคุณเมตตาต่อคนอื่นแล้วใสซื่อบริสุทธิ์ ตายตกเป็นเหยื่อ มันจะต้องมีระบบจัดการที่มากกว่านั่งโต๊ะเจรจา และต้องใช้เวลายาวๆ ต้องใช้เวลานาน เยียวยากันนาน เหมือนฮิตเล่อร์ฆ่ายิวเป็นล้าน มันเยียวยาอีกกี่ร้อยปี ยังไม่สำเร็จเลย ทุกวันนี้ คนก็ยังเจ็บช้ำ คนยังพูดด้วยน้ำตาอยู่ คนอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นยังเล่าให้ลูกหลานด้วยน้ำตา ลูกหลานยังเจ็บแค้นอยู่ ไม่อยากให้กลับคืนไม่ใช่ง่ายๆ เลย ความเกลียดชังที่จะลบออกไปจากใจ
 
อย่างเหตุการณ์คนฆ่ากันในแถบหมู่บ้านผม ก็ยังจำติดตาลูกหลานจนถึงเดี๋ยวนี้เลย มันเป็นความเจ็บปวดที่คุกรุ่นอยู่ ซึ่งจะอธิบายด้วยเรื่องเวรกรรมก็ว่าได้ เป็นชะตากรรมก็ได้ ที่คุณเกิดมาแล้วต้องรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือถ้ามันเกิดอย่างนี้เหมือนถูกสาปแน่เลย เหมือนโดนอะไรที่มองไม่เห็นคอยบงการ เอาเข้าจริงผมก็เป็นผู้ลี้ภัยกับเขาเหมือนกัน ถึงถอยร่นมาถึงชายแดนไง 
 
มองเหตุการณ์ตามแนวชายแดนในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?
 
ผมเห็นอะไรไม่รู้ แถวนั้นเหมือนฝูงสัตว์ร้าย บางทีผมไม่มองว่าเหตุการณ์แบบนี้เราควรเห็นใจฝ่ายไหนดี กะเหรี่ยงเคเอ็นยูหรือ ไม่นะ ดีเคบีเอหรือ แต่ในระดับคนห้ำหั่นกันผมเห็นไม่ต่างจากฝูงสัตว์ร้ายห้ำหั่นกัน แล้วก็มีสัตว์ร้ายมากกว่านั้นอีกที่เข้ามาร่วมห้ำหั่นกัน คือเมื่อชายแดนเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย คนที่อยู่ท่ามกลางสัตว์ร้ายไม่ต้องพูดถึง หนีตาย ไม่ก็เป็นเหยื่อ แล้วก็โดนกระทำ บาดเจ็บ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
 
ในฐานะที่จบรัฐศาสตร์มา มองรัฐเป็นยังไง ทำไมรัฐหลายรัฐจึงไม่สามารถทำให้ผู้คนอยู่อย่างสันติสุขได้ ทำไมถึงมีแต่ความรุนแรง?
 
พื้นฐานในความเป็นรัฐ ไม่ใช่นำไปสู่การเป็นมนุษย์ที่ดีหรอก ผมจบมาทางรัฐศาสตร์จนลืมไปแล้วว่ารับเชื้อรัฐศาสตร์มาไว้ในตัว คือเรารู้ว่า การได้มาซึ่งอำนาจนั้น มักเต็มไปด้วยผลประโยชน์ การช่วงชิง ยื้อแย่ง ลูบหน้าปะจมูก หักหลัง เล่ห์เหลี่ยม กลโกง หลอกล่อสารพัด และสร้างภาพทำให้ตัวเองดูดี รักษาอำนาจ และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง ทุกรัฐในโลกเลยเหมือนกัน พอพื้นฐานความเป็นรัฐเป็นอย่างนี้ เราเห็นความเป็นรัฐอย่างนี้ เราเห็นแล้ว พูดง่ายๆ ตรงๆ เห็นเป็นขี้เลย บางทีรัฐเป็นขี้ดีๆนี่เอง เหม็น จะเข้าไปดมมั้ย ผมไม่อยากเข้าไปดม ให้เราไปเลือกตั้งเหมือนให้เราเอานิ้วไปจิ้มในขี้เลยพูดง่ายๆ ผมรู้สึกอย่างนี้ทุกครั้ง บอกว่าคุณกากบาทเลือก ส.ส. ผมรู้สึกว่าเหมือนเอานิ้วจุ่มลงไปในขี้ครั้งหนึ่ง แค่นั้นเอง ไม่เห็นความสำคัญไม่เห็นความสวยงามเลย ไม่เห็นความเป็นมนุษย์ดีงามจะเบ่งบานในรัฐสภา ในคณะรัฐมนตรี เรื่องเก่าๆที่เห็นมาตั้งแต่เรายังเด็กๆ ทั้งนั้น เปลี่ยนหน้าตา เปลี่ยนตระกูลกันไป ผมรู้สึกอย่างนั้นทุกครั้ง มันคล้ายบังคับว่า ถ้าคุณไม่เอามือไปจุ่มในขี้ คุณมีความผิด จุ่มไปซะไม่เห็นจะแปลกอะไร ครั้งเดียวเราก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างนั้นเลยนะ ผมไม่เคยมีความคาดหวังในความเป็นรัฐเลย ถ้าจะถามความรู้สึกภายใน ผมถึงบอกไง เชื้อรัฐศาสตร์ในตัวผมกลายร่างเป็นอะไรไปแล้วไม่รู้
           
มนุษย์เรานั้นมันก่อสงครามกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รบกันมา ทะเลาะกันมา แล้วจะมีคนอีกกลุ่มจะมาเรียกร้องให้อยู่อย่างสงบสันติ ช่างฝืนธรรมชาติ พลเมืองโดนยากล่อมประสาทชนิดแรงมาทั้งนั้น ยากล่อมประสาทที่เรียกว่าอุดมการณ์ สิทธิพลเมือง ดินแดน อาณาเขต สิทธิหน้าที่ ทำให้คนเป็นแคระเสมอกัน คนอย่างมหาตมะคานธีเกิดขึ้น ให้คนได้เข้าถึงสภาวะภายใน มันเรื่องจิตกับกายเลย ลึกล้ำมาก บอกตายเถอะหากต้องทำให้คนอื่นเจ็บหรือล้มตาย โอ นั่นคืออะไร ยอมทุกอย่าง อย่าไปฆ่าเขา เรียกร้องภาวะภายในของคนให้มันตื่น คุณต้องรักผู้อื่น คุณต้องชำระล้างภายใน ไม่ใช่ว่าคุณจะโต้ตอบเขาด้วยกำลังความรุนแรง คุณต้องกลับมาสงบอย่างแท้จริง ด้วยภาวะปัจเจกอย่างแท้จริง ไม่ใช่สงบด้วยหน้าที่ สงบด้วยสิทธิ สงบด้วยอุดมการณ์พรรคพวก อย่ามาเสียสละเพื่อฉัน มหาตมะคานธี ไม่ได้ประกาศให้ใครมาบูชาท่าน แต่บอกให้สงบด้วยหัวใจของคุณ ด้วยตัวคุณเอง ด้วยความเชื่อมั่นในมนุษย์ของคุณ ผมคิดว่ามันยิ่งใหญ่มาก อย่ามาศรัทธามหาตมะคานธี ให้มาศรัทธาในหัวใจของคุณ ถ้าโลกเกิดขึ้นอย่างนี้เมื่อไหร่ ไม่ต้องมีรัฐหรอก ถึงบอกไง รัฐเป็นขี้ไปเลย ไม่ต้องมีรัฐหรอก มีทำไม มีแล้ววุ่นวายจะตาย ทำสงคราม แบ่งฝ่ายกันทำเรื่องรัก เรื่องเกลียด เรื่องชอบไม่ชอบ รวมหมู่แล้วตีกัน แบ่งผลประโยชน์กัน ถ้าหัวใจคนเปิดแล้วเกิดสภาวะเหล่านี้จริงๆ มันจะเกิดสันติสุข
 
ถามว่าใครเรียกร้องบ้างให้เกิดสันติสุข ไม่ต้องใช้หลักรัฐศาสตร์หรอก  เห็นรับรุ่นรับช่วงสืบทอดกันมาอย่างนั้น  พระเยอะแยะเลยที่ออกมาพูด อยู่ในหน้าที่ของฝ่ายพระที่พูดแบบมีช่องทางเล็กนิดเดียว  หรือไม่ก็พวกแหกคอกทั้งหลายที่มาตะโกนปาวๆ ผ่านงานศิลปะ งานเขียน เพลง บทกวี   ผ่านบทธรรม ผ่านชีวิตในธรรมชาติ บ้างผ่านไปในอากาศ แล้วก็ลอยหายไป มันนิดเดียวจริงๆนะ  หรือว่านักสิทธิมนุษยชนที่พยายามจะบอกว่า สิ่งที่คุณฝังอุดมการณ์ไว้ในชีวิตนั้นมันผิด คุณน่าจะกลับมาหาตัวเอง กลับมาหาภายในความสงบ เพื่อจะเป็นความหวังของสิ่งใหญ่ๆ ในที่สุดแล้ว หน้าที่ของรัฐคือขี้ทั้งนั้นเลยขึ้นมาป้ายสีให้เหม็นไปทั่วเมือง แล้วก็รบๆ กันทั้งโลก เดี๋ยวผลิตอาวุธใหม่ เดี๋ยวก็ยุ่งกับนิวเคลียร์
 
แล้วทำไมคนเราถึงไม่ยึดวิถีแบบคานธี ?
ไม่รู้ เวรกรรม ชะตากรรม สัตว์โลกๆ นั่นสิ เรื่องของมหาตมะคานธี ทำไมรัฐไหนในโลกคุณไม่เอาเป็นแบบอย่าง เพราะมันไม่เข้าทางคุณ ถ้าคุณทำอย่างนี้คุณฉวยอำนาจแบบมักง่ายไม่ได้เลย คุณต้องเปลือยตัวเอง ต้องละทิ้งความโลภ คุณก่ออำนาจไม่ได้ง่าย คุณสร้างกลุ่มไม่ได้ง่าย เก็บเกี่ยวไม่ได้ สมาคมกับต่างประเทศได้ไม่ง่าย มหาตมะคานธีมาทอผ้าดิบห่มตัวเอง ให้พลเมืองทำตาม เป็นแบบอย่างให้เห็น มันจะเทียบกับการเลือกตั้งแล้วมีอำนาจควบคุมชีวิตทั้งมวลได้หรือ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
 
ผมมาเจอมนุษย์ท่านนี้ผ่านงานเขียน ทำให้เชื้อรัฐศาสตร์เข้ามาเป็นเจ้าชีวิตผมไม่ได้ เราแสวงหาด้วยเริ่มจากตัวเองก่อน แม้เพียงเล็กน้อย ก็ให้รู้จักของเล็ก อยู่อย่างของเล็ก ดีกว่าไปเป็นฟันเฟืองหามรุ่งหามค่ำให้หลักอุดมการณ์ทั้งหลาย ที่นำไปปักไว้กับของเหม็น ที่นำไปสู่การหันหลังให้ภาวะอิสระในหัวใจตัวเอง
 
ดังนั้น โดยส่วนตัวผมไม่ศรัทธาบูชารัฐ ขอโทษที่ผมยังเห็นคุณรัฐเหมือนขี้ ทุกวันนี้ยังไปจุ่มขี้อยู่ พลเมืองของประเทศยังต้องออกไปยื่นนิ้วมือจุ่มขี้ ปีละหลายครั้งด้วย  นั่นแหละหน้าที่หลักของพลเมืองในโลก ควรเอามือไปจุ่มขี้เพื่อจดจำความเป็นรัฐทั้งหลาย อย่าลืมฉันนะ อย่าลืมความเหม็นของฉันนะ ถ้าลืมฉันเมื่อไหร่แสดงว่าคุณเลิกจุ่มขี้ คุณจะมีความผิด

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net