Skip to main content
sharethis

เผยมาร์คเสนอใช้กลไกพิเศษแก้ไขปัญหามลพิษในนิคมฯมาบตาพุด แก้ไขด้วยกลไกปกติไม่ได้ เพราะปัญหาสะสมมานาน โดยเฉพาะการไขผังเมืองโดยพลการ เสนอให้มีองค์กรท้องถิ่นรูปแบบพิเศษบริหารพื้นที่

(18 ก.ย.) เวลา 8.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาะโลกร้อน เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนชาวชุมชนมาบตาพุด-บ้านฉาง รวมทั้งนักวิชาการ นักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกว่า 20 คนเข้าพบหารือเพื่อหาทางออกร่วมกันในการแก้ไขปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด-บ้านฉาง โดยในที่ประชุมนายกรัฐมนตรียอมรับว่าปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่สะสมมานานไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องมานานตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนๆ ที่ผ่านมาจนกลายเป็นปัญหาหมักหมมแทบทุกด้าน รัฐบาลชุดนี้เพิ่งเข้ามาจึงจึงต้องค่อยๆ แก้ไขปัญหาให้เป็นที่ยอมรับกันในทุกๆ ฝ่าย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอ 5 กลไกใหม่ในการแก้ไขปัญหา คือ ประการแรก ต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเข้มงวดขึ้นเพื่อจัดการแหล่งมลพิษต่างๆ ทั้งน้ำเสีย ขยะพิษ สารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่แอบลักลอบปล่อยหรือแพร่ออกมา ประการที่สอง เห็นควรต้องมีการปรับเปลี่ยนองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษขึ้นมาบริหารจัดการ เนื่องจากมีประชากรแฝงอยู่ในพื้นที่มาก และปัญหาใหญ่โตมากเกินกว่าที่ท้องถิ่นปกติจะจัดการได้ซึ่งขณะนี้กำลังให้คณะกรรมการกระจายอำนาจไปพิจารณารูปแบบอยู่

ประการที่สาม ปัญหาการดำเนินการตามมาตรา 67 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ 2550 นั้นรัฐบาลยืนยันว่าจะปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในมาตราดังกล่าว เพียงแต่กฤษฎีกาให้ความเห็นมาว่าในขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายที่บัญญัติรองรับเรื่องดังกล่าวไว้ก็น่าที่จะใช้มาตรการทางกฎหมายเดิมไปก่อนได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าโครงการหรือกิจกรรมประเภทรุนแรงนั้นใครจะเป็นผู้กำหนด ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเร่งออกระเบียบหรือกฎหมายออกมารองรับโดยเร็วก่อน โดยปัจจุบันได้ใช้ EIA เป็นตัวกรองในการจัดการปัญหาในเบื้องต้นก่อนเท่านั้น แต่ถ้าชุมชนไม่เห็นชอบด้วยก็สามารถฟ้องร้องได้ ประการที่สี่ การจัดตั้งองค์กรอิสระตามมาตรา 67 วรรคสองซึ่งเป็นองค์กรที่จะเข้ามาช่วยให้ความเห็นในการจัดทำโครงการขนาดใหญ่นั้น เห็นว่าต้องไม่ทำให้องค์กรที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นองค์กรที่มีอำนาจ เพราะมิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาการแทรกแซงของฝ่ายที่ต้องการเข้ามาเป็นกรรมการในองค์กรดังกล่าวได้

ส่วนประการสุดท้าย เป็นเรื่องของโครงการขนาดใหญ่ 55 โรงงานในพื้นที่มาบตาพุดและนอกพื้นที่มาบตาพุดอีก 21 โรงงานที่ชาวชุมชนต้องการให้ชะลอการอนุมัติอนุญาตไว้ก่อนจนกว่าจะได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษเสร็จสิ้นเสียก่อนนั้น เห็นว่าควรที่จะนำรายละเอียดของโครงการทั้งหมดที่จะเพิ่มขึ้นใหม่มาดูเป็นรายโครงการร่วมกันว่าโครงการไหนเป็นโครงการประเภทรุนแรงหรือไม่ จะได้มีคำตอบที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดว่าโครงการไหนควรอนุญาตโครงการไหนไม่ควรอนุญาต

นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อไปว่าข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้กำหนดแนวทางของการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนว่าจะต้องใช้วันเวลาเนิ่นนานเพียงใดในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมานายกฯ ได้พยายามใช้อำนาจทางปกครองเพื่อสั่งการให้หน่วยงานอนุมัติ/อนุญาตเร่งให้ใบอนุญาตการประกอบการให้กับโรงงานต่างๆ ทั่วประเทศโดยเร็วเพื่อกระตุ้นปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้นแนวทางที่นายกฯ เสนอในที่ประชุมจึงเป็นเพียงความว่างเปล่าที่นักการเมืองชอบใช้กันเท่านั้น หากปัญหาเหล่านี้จะมีข้อยุติที่ชัดเจนนั้นเห็นทีจะต้องใช้คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลมาเป็นหลักในการดำเนินการเท่านั้น เพราะที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้มีความตั้งใจที่จะประกาศให้พื้นที่มาบตาพุด-บ้านฉางเป็นเขตควบคุมมลพิษ แต่ที่ต้องประกาศเพราะเป็นคำพิพากษาของศาลต่างหาก นายศรีสุวรรณกล่าวในที่สุด
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net