สัมภาษณ์ ‘สมอลล์ บัณฑิต อานียา’: นักเขียนที่เขาว่า "กึ่งบ้า กึ่งอัจฉริยะ"

 
 
“ผมไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อเงิน
ไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อชื่อเสียง
ไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อให้คนมายกย่องผม
แต่ผมกำลังจะบอกความจริงบางอย่างให้สังคมไทยรู้ไว้
 
 
ในแวดวงวรรณกรรมไทยนั้น ไม่ว่าจะถามหาเสรีภาพกันมากเพียงไหน สุดท้ายก็ยังมีระดับเพดานของมันอยู่ดี หากนักเขียนคนใดทำตัวน่ารัก พากเพียรสร้างงานอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ภายใต้เพดานนี้ มักประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเย็น ทั้งด้านชื่อเสียง เงินทอง และการยอมรับ แต่หากนักเขียนคนใดทำตัวไม่น่ารัก อาทิ อวดดีป่ายปีนขึ้นไปทลายเพดานร่ำร้องหาเสรีภาพอันเป็นของบาดใจใครบางคน สิ่งที่เขาต้องแลกนั้น...ราคาแพงนัก
 
“สมอลล์ บัณฑิต อานียา” ก็ดันเป็นหนึ่งในคนเช่นนั้น เขาเป็นนักเขียน นักแปลวัย 68 ปี ซึ่งผลิตหนังสือที่ขึ้นชื่อว่า “ต้องห้าม” อยู่หลายเล่ม และถูก พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ แจ้งความว่ามีพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ด้วยการกล่าวถ้อยคำในการสัมมนาและการโฆษณาผ่านเอกสารในงานเสวนางานเดียวกับที่ พล.ต.อ.วาสนาไป คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้มีความผิดแต่รอลงอาญาเนื่องจากเห็นว่าจำเลยป่วยด้วยโรคจิตเภท ขณะที่ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นศาลฎีกา โดยจำเลยอยู่ในระหว่างประกันตัว (อ่านรายละเอียดได้ที่ กรณีสมอล์ล บัณฑิต อานียา (จือเซ็ง แซ่โค้ว))
 
ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์เรื่องราวชีวิตของนักเขียนเจ้าของฉายา “กึ่งบ้า กึ่งอัจฉริยะ” ที่ยอมแลกทุกสิ่งเพื่อยืนหยัดสร้างงานที่ตน ‘ชอบ’ และ ‘เชื่อ’ อย่างบ้าบิ่น
 
000
 
ถาม: ชีวิตคุณบัณฑิตเริ่มต้นอย่างไร ?
สมอลล์ บัณฑิต อานียา: ผมมาจากเมืองจีนตอนอายุหกขวบ ย่าผมแม่ผมพากันมา ตอนนั้นอยู่เมืองจีนมันอดอยากเพราะไอ้พวกเหี้ยมันปกครองประเทศ กอบโกยเอาแล้วมากดขี่ข่มเหงประชาชนจีน แต่ก่อนจะเดินทางมาเตี่ยผมมาอยู่ที่นครราชสีมาก่อนแล้วนะ เขามีเมียน้อยแล้ว มีลูกแล้ว เขาให้มารับใช้เขา ปู่เป็นคนเดินทางจากโคราชไปรับที่กรุงเทพฯ
 
ใช้ชีวิตในวัยเด็กที่โคราช ?
ใช่ แต่ผมต้องมาเจอสภาพเตี่ยกับแม่เลี้ยงตบตีแม่ผม เตี่ยมันหลงเมียน้อย ทีแรกมันเปิดร้านขายกาแฟ ขายก๋วยเตี๋ยว แม่ผมก็ช่วยทุกอย่าง แต่พอไม่พอใจมันก็ตีด้วยไม้ขัดหม้อข้าว ไม้กวาด รองเท้ายางที่หนา จนแม่ผมเป็นบ้า ซึมเศร้า แม่ผมมาจากเมืองจีนไม่รู้จักใคร ก็ต้องอยู่ในบ้าน ทำงานรับใช้มัน รับใช้เมียน้อย แล้ววันหนึ่งเมียน้อยมันก็ให้ญาติมันมาเอาแม่ผมไปข่มขืน สิ่งที่เกิดขึ้นคือแม่ผมหายไปจากบ้าน แล้วเตี่ยเป็นคนไปรับกลับมา หลังจากนั้นซักเดือนสองเดือนแม่ผมก็ท้อง มันหาว่ามีชู้ ก็ตีอีก แล้วอีนางแม่เลี้ยงก็ไปโพนทะนาว่าแม่ผมมีชู้ จากนั้นเตี่ยเอาแม่ผมไปไว้ที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา หนึ่งปีไม่ส่งเงินให้แม้แต่บาทเดียว โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาเลยส่งแม่ผมไปที่จังหวัดอุบลราชธานี โรงพยาบาลศรีมหาโพธิ์ อยู่ที่นั่นไม่กี่ปีแม่ผมก็ตาย ลูกก็ตายในท้อง ผมมาจากเมืองจีนปี 2490 แม่ผมตายประมาณ 2502 ก็อยู่มาอีก 12 ปี แม่ผมตายอายุยังไม่ถึง 40 เลย
 
 
แล้วด้านการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง ?
ทีแรกเตี่ยมันไม่ให้ผมเรียนหนังสือ ให้ช่วยทำงาน แต่มันเป็นเรื่องของโชคชะตาหรืออะไรไม่รู้ พอดีครูใหญ่โรงเรียนวัดสระแก้ว ชื่อครูกุดั่น พินิจชัย แกอยู่ข้างบ้านผม แกมาขอร้องเตี่ยว่าให้ผมเรียนเถอะ สงสารมัน ขอร้องอยู่หลายปี อ้อนวอนแล้วอ้อนวอนอีก สุดท้ายมันอายเลยยอมให้เรียน ตอนนั้นผมอายุเก้าขวบแล้ว เข้าเรียน ป.1 พอจบ ป.4 เตี่ยมันไม่ให้เรียนต่อ ผมก็ไปซื้อตำราภาษาอังกฤษมาเรียนด้วยตนเอง แต่แม่เลี้ยงมันไม่พอใจ จนผมต้องขายตำราเล่มนั้นทิ้ง จากนั้นก็เริ่มมีความคิดที่จะหนี จำได้ว่าตอนนั้นผมขอเงินจากอาม่าได้หลายสลึง เอาไปซื้อปลาไปปล่อย แล้วอธิษฐานขอให้ผมมีอิสรภาพเหมือนปลา แล้วต่อมาผมก็หนีได้จริงๆ ตอนนั้นมันปี 2499 ปลายปี เดือนธันวาคม ทีแรกผมตั้งใจจะไปตามหาแม่ แต่ยังไม่รู้ว่าแม่ไปอยู่ที่ไหน ก็เลยคิดจะหางานทำ พอหนีออกจากบ้านผมนั่งรถไฟไปลงที่ขอนแก่น แล้วเดินทางต่อไปอุดรฯ เดินหางานทำ แต่ชาวบ้านที่นั่นบอกไม่ต้องทำงานหรอก เขาบอกให้ไปบวชเณร ผมก็เลยไปบวชที่วัดพระมัชฌิมาวาสในจังหวัดอุดรฯ นั่นแหละ
 
เลยได้เรียนทางธรรมะ ?
ใช่ ตอนนั้นพระมหาโอภาสมาจากอินเดีย ผมเลยไปรับใช้ท่าน เรียกว่าเราไม่มีที่พึ่ง ก็อยากจะรับใช้พระที่มีความรู้ แล้วท่านก็สอนภาษาอังกฤษได้ ท่านเรียนจบปริญญามา ได้อ่านหนังสือเยอะ ผมได้ฟังท่านพูด โอ้โห คำพูดคมๆ นี่เยอะเลย ทำให้ผมคิดเป็น พอสฤษดิ์มันรัฐประหาร 2501 พระมหาโอภาสท่านมีหนังสือคอมมิวนิสต์เป็นกล่องๆ เลย ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วันหนึ่งท่านบอกผมว่าเณรๆ ดูไว้นะ แล้วท่านก็รีบออกประเทศลาว พอออกไปปั๊บ ตำรวจมา โอ้โห สวนกัน ดวงชะตา ตำรวจเอาหนังสือคอมมิวนิสต์ไป เอาผมไปสอบสวนด้วย ผมก็เล่าความจริงให้ฟัง เขาก็ไม่เอาความ พาไปเลี้ยงข้าวด้วยมื้อหนึ่ง ซึ่งผมได้กินดีที่สุด หลังจากนั้นผมก็พยายามเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองจากหนังสือ essential English book ที่พระมหาโอภาสสั่งให้ไปซื้อนั่นแหละ แล้วช่วงที่บวชนี่ผมได้อ่านหนังสือเยอะ ส่วนใหญ่เป็นแนวชีวิต อย่าง ดร.ชิวาโกผมก็อ่านในยุคนั้น อย่างเพลตัน เพรส ที่อาษา ขอจิตต์เมต แปลนี่ ผมอ่านหมด ของแดน คาเนกี แต่ที่ชอบที่สุดคืองานของ บี. ทราเวน นักเขียนไทยก็อ่านงานของ ป. อินทรปาลิตบ้างช่วงเด็กๆ แต่ต่อมาผมก็อ่านเฉพาะวรรณกรรมที่มันเข้มข้น ผมอ่านหนังสือเรื่องแรกที่ประทับใจคือเรื่อง “ชีวิต” เป็นของนักเขียนชาวฝรั่งเศส แปลโดย ม.จ.รัชนี
 
อ่านที่วัดมิชฌิมาวาสในจังหวัดอุดรธานีนี่แหละ ห้องสมุดเขาเล็กๆ ผมลุยอ่านแม่งทุกเล่ม ตั้งแต่หนีออกจากบ้านได้อ่านหนังสือมากคราวนั้น ก็เลยมีความคิดอยากเดินทางเข้ากรุงเทพฯ อยากเป็นนักเขียน ผมเข้ามากรุงเทพฯ ปี 2501 ปลายปี มาอยู่ที่วัดบางนาใน แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าหัวแข็งอยู่เหมือนกัน เจ้าอาวาสไม่ยอมให้อยู่ เลยย้ายมาอยู่ที่วัดมหาธาตุ พอดีมีท่านเจ้าคุณที่วัดจังหวัดอุดรฯ ท่านเมตตาผม เลยฝากให้อยู่กับพระพิมลธรรม ช่วงนั้นประมาณปี 2501-2502 พอปี 2503 พระพิมลธรรมก็ถูกจับสึก ตอนอยู่วัดมหาธาตุนี่ผมมีชีวิตที่ลำบาก บวชอยู่แปดปีได้นักธรรมโทแค่นั้น เพราะมัวแต่หาวัด ย้ายวัด คือร้อนน่ะ ดวงชะตามันคับแค้น การเรียนก็ไม่ได้เรียนเลย ช่วงนั้นมันบิณฑบาตลำบาก เงินก็ไม่มี เพราะอีแม่เลี้ยงมันบอกย่าผมว่าไม่ต้องส่งเงินให้ผม มันว่ารัฐบาลเขาส่งเงินให้ภิกษุสามเณรอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงมัน ผมเลยอดอยาก ต้องอาศัยไปกินกับเณรอื่นๆ ที่วัดหัวลำโพง ที่เขาบิณฑบาตได้เยอะๆ อดอยากมากๆ ผมเลยเขียนจดหมายถึงสฤษดิ์ บอกผมไม่มีข้าวจะกิน ขอเงินซัก 50,000 จะเขียนหนังสือเรื่องหน้ากากมนุษย์ แต่ไอ้ห่า ผมเสือกใช้ตราดาวแดงประทับบนจดหมาย รู้สึกมันเก๋ดี มีคำขวัญที่คมด้วยนะว่า “ทำอะไรทำให้เป็น เป็นอะไรเป็นให้จริง” จบเลยทีนี้ เรื่องไปถึงสันติบาล มันเอาผมไปสอบสวน แล้วพอมันอ่านข้อเขียนของผม มันว่า โอ๊ย นี่ขนาดเณรเป็นคนจีนเณรยังเขียนถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นคนไทยเณรจะเขียนถึงขนาดไหน เณรเป็นภัยต่อสถาบันแน่ๆ เสร็จแล้วก็ให้เงินผมมาสิบบาท เพราะผมไม่มีข้าวจะกิน พลเอกประภาสสงสัยข่าวคงถึงด้วย ตอนนั้นยศห่าอะไรผมจำไม่ได้ เขาบอกเขาบริจาคเงิน 2,000 ให้คนฉลาดแต่ไม่มีข้าวจะกินลงในไทยรัฐ ซึ่งผมรู้ว่าหมายถึงผม แต่ว่าผมไม่ได้รับเงินนั้นนะ
 
แล้วคุณเริ่มต้นเขียนหนังสือเมื่อไร ?
ผมเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกชื่อ “บนถนนแห่งชีวิต” ตอนเป็นเณรนั่นแหละ อายุ 18 อยู่วัดมหาธาตุ ส่งไปลงที่หนังสือแสนสุข ได้ 80 บาท ดีใจฉิบหายเลย แต่หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้เขียนอะไรจริงจัง มันลำบากที่อยู่ที่กิน ผมบวชเป็นเณรอยู่ 8 ปีก็สึก จะไปหางานทำ คือตอนเป็นเณรผมอยากไปอยู่รัสเซียนะ ไปติดต่อสถานทูตรัสเซียเลย แต่เขาบอกไปไม่ได้ ตอนนั้นผมถูกสันติบาลตามอยู่ ก็เลยสึก พอสึกแล้วก็ยังลำบาก จะไปทำงาน สันติบาลก็หางานให้ มันบอกถ้าผมไม่ทำงานนี้ จะไม่มีทางได้ทำงานดีกว่านี้อีก แต่มันกดขี่ผม มันให้ผมไปตัดเหล็ก โหย ออกแรง เหนื่อยฉิบหายเลย ผมไปทำอยู่วันหนึ่งก็ออก ผมไม่แคร์นี่ เพราะผมถือว่าผมมีความรู้ แล้วผมรู้ว่ามันแกล้งผม ผมก็เลยเร่ร่อนอยู่อีก 8 ปี อาศัยกินวัดนู้นวัดนี้ คอยดูว่าเขาจะมีการพูดกันที่ไหน ผมก็ขึ้นไปพูด เรียกว่าอยู่แบบเอาตัวรอดไปวันๆ ทำชีตฉบับละ 1 สลึง สมัยนั้น อัดโรเนียวแล้วก็ไปแจกบ้าง ขายบ้าง ได้บาทหนึ่ง 5 บาท 10 บาทบ้าง เอาหมด อย่างวันหนึ่งในยุคถนอม ปี 2508 เขามีการพูดกันที่โรงพยาบาลสงฆ์ เขาพูดกันเรื่องสมาคมสุขภาพจิต แต่ผมไปพูดเรื่องการเมือง ผมพูดว่าไงรู้มั้ย ผมบอกปัจจุบันนี้คนไทยกำลังต่อสู้กับความยากจน ต่อสู้กับความอยุติธรรม ต่อสู้กับเศรษฐีที่มันร่ำรวยมหาศาล ต่อสู้กับการคลอดออกมาอย่างล่าช้าของรัฐธรรมนูญ แล้วต่อมาผมก็เอามุ้งไปกางนอนที่หน้าสถานทูตรัสเซีย แล้วก็เขียนข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่าขอไปตายที่มอสโกว์ดีกว่าอยู่บางกอก ตำรวจจับผมส่งศรีธัญญา มันจะชอร์ตไฟฟ้าผม แต่พอเห็นว่าผมพูดคุยรู้เรื่องเลยปล่อยออกมา
 
เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย ?
ก็สังคมมันไม่ยุติธรรม ปัจจุบันนี้มันก็ไม่ยุติธรรม แต่เราพูดไม่ได้ คุณเป็นคนไทย คุณจ่ายภาษีให้เขา เขากินเงินเดือนจากเรา แต่คุณเสนอระบบการปกครองใหม่ได้มั้ย ไม่ได้ ต้องเอาระบอบการปกครองนี้ ถ้าคุณเสนอเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง คุณจะถูกเอาเข้าคุก มันถูกต้องเหรอ ในเมื่อคุณจ่ายภาษีนะ เขาไม่ได้มาทำงานให้เราโดยไม่กินเงินเดือนนะ เราต้องการความเป็นธรรม ต้องการให้ผู้ปกครองมีคุณธรรม ไม่ใช่มากินเงินเดือนเรา สร้างความร่ำรวยมหาศาลแล้วมาเหยียบย่ำเรา มาทำลายเสรีภาพเรา มันไม่ถูก
 
แล้วทำงานเขียนจริงจังช่วงไหน ?
ก็ทำมาตลอด แต่มันไม่ได้จริงจังอะไรนักหนา มันไม่ประสบความสำเร็จ ก็เขียนอย่างกระท่อนกระแท่น พอรวมเรื่องสั้นได้ประมาณ 10 เรื่อง ผมก็พิมพ์เล่มแรกออกมา ประมาณปี 2503 ชื่อเรื่องสั้นแห่งความสุขใจและไร้กังวล มีเรื่องที่เคยตีพิมพ์แล้วในแสนสุขเรื่องเดียว นอกนั้นเขียนใหม่หมด เนื้อหาเข้มข้น อย่างเรื่องกูไม่ใช่กู เสียดสีมาก เรื่องหมาป่ากับลูกแกะ เรื่องจิตรกรผู้อาภัพมีคนออกเงินพิมพ์ให้ เขาเป็นอาจารย์ แต่เขาขอร้องว่าอย่าเอ่ยชื่อเขา คือเขาอ่านงานของผมแล้วพอใจก็ให้เงินมา 5,000 บาท พิมพ์ได้ 2,000 เล่ม แต่ขายไม่ค่อยดี ผมยังไม่ชำนาญ ตรวจปรู๊ฟผิดเยอะ คือทำเองหมด งานแปลก็มี อย่างนายพลนักล้วง ทหารนิรนาม รวมเรื่องสั้นของบี. ทราเวน คือเรื่องไหนอ่านแล้วเข้าท่าผมก็แปล แปลเสร็จถ้าเพื่อนจะเอาไปพิมพ์ก็พิมพ์ไปเหอะ ไม่สนใจเรื่องลิขสิทธิ์ มันจะมาฟ้องก็ฟ้องผม คือพิมพ์สองพันเล่มมันก็ขายไม่หมดอยู่แล้วจะมาฟ้องอะไร เราเอามาเผยแพร่ให้ เขาควรจะสนับสนุนด้วยซ้ำ
 
ฟังดูเหมือนมีเพื่อนเยอะ ?
ก็ไม่เชิง ส่วนใหญ่ผมได้รู้จักคนนั้นคนนี้ตามเวทีเสวนา เคยได้รู้จักนักพูดชื่อคุณอ่อน บุญยพันธ์ เขาอ่านงานของผมแล้วบอก โอ๊ย คุณบัณฑิตเอ๊ย คุณพูดแบบนี้อันตราย คำพูดนี้มันต้องคึกฤทธิ์พูด ถ้าคุณพูดนี่ต้องเข้าคุก
 
แนวทางการเขียนหรือแปลงานของคุณเป็นอย่างไร?
ผมเขียนและแปลอย่างที่ผมชอบ ไม่ได้สนใจเรื่องเงินทอง คือผมไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อเงิน ไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อชื่อเสียง ไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อให้คนมายกย่องผม แต่ผมกำลังจะบอกความจริงบางอย่างให้สังคมไทยรู้ไว้ นี่รออยู่ อย่าเพิ่งตาย แต่ตอนติดคุกนี่แม่งทรมานฉิบหาย นอนเบียดกัน อาหารก็ไม่ถูกกับโรคเรา ผมเข้าไปปลายปี 47 ไปขังอยู่ 98 วัน ออกมาสิ้นเดือนกุมภาฯ ปี 48 ถึงจะได้ประกัน ขัง 7 ผลัด ผลัดละ 12 วัน มันถามผมตลอดว่านายคนนี้จะรับสารภาพมั้ย ผมบอกผมไม่รับ จะขังต่อคัดค้านมั้ย ผมคัดค้าน ถามอยู่นั่น ผมเลยถามมันว่า ไอ้การที่ผมคัดค้านกับไม่คัดค้านนี่มันต่างกันยังไงครับ ก็คือ จะขังต่อไง จนกระทั่งครบ 7 ผลัด ก็ช่างมันเถอะ ผลงานเรามีอยู่แล้ว พิสูจน์ได้ว่าเราทำเพื่อความถูกต้อง
 
เคยเสนอผลงานไปตีพิมพ์ที่ไหนบ้าง ?
ผมเคยไปจะเอาเรื่องจิตรกรผู้อาภัพไปเสนอที่ฟ้าเมืองไทย ของอาจินต์ ปัญจพรรค์ แต่ตอนนั้นผมไว้ผมยาว เพราะไม่มีเงินตัดผม ใส่รองเท้าแตะ ยามมันไม่ให้ขึ้น ก็มีเรื่องทะเลาะกัน มันตีหัวผมแตก เลือดโชกเลย ไปโรงพยาบาลกลางมันไม่ทำแผลให้ ไปโรงพยาบาลตำรวจ มันก็ไม่ทำแผลให้ เพราะผมไม่มีเงิน ผมเลยนอนมันอยู่หน้าโรงพยาบาลตำรวจนั่นแหละ จนกระทั่งเพื่อนมาเจอ มันเลยพาไปทำแผล หลังจากนั้นก็ไม่ ได้ไปติดต่อที่ไหนอีก ผมมั่นใจว่าผมถูกสกัดไว้แล้ว ยากที่จะเกิดได้ เพราะแบล็กลิสต์อยู่ในสันติบาล เสนอไปก็คงยาก เพราะรู้อยู่แล้ว อิทธิพลของมันเยอะ เหนื่อยเปล่า หนังสือที่ผมเขียนและแปลส่วนใหญ่เพื่อนผมออกเงินพิมพ์ให้ ก็ขาดทุนทุกเล่ม มีนิทานญี่ปุ่นขายดีหน่อย พิมพ์ซ้ำหลายครั้ง
 
เรียกว่าเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก
เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์บอกว่า จงทนทานเข้าไว้ แต่ในที่สุดเออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ ก็ทนไม่ไหว (หัวเราะ) ฆ่าตัวตายโดยปืนกลอส อีกคนคือยาสุนาริ คาวาตะ นักเขียนชาวญี่ปุ่น เขาได้โนเบลแล้วฆ่าตัวตาย นี่ผมจะฆ่าตัวตายประท้วงว่าผมสมควรได้รับรางวัลโนเบลแต่ไม่ได้รับ
 
พูดเล่นนะ
เอาจริง ผมจะฆ่าตัวตายว่านวนิยายของผมเรื่อง เดอะ ดรีม อันเดอร์ เดอะ ซัน (The Dream Under The Sun) ฉบับจริงนะ กำลังเขียนอยู่ ฉบับสำรองตีพิมพ์ไปแล้ว สมควรได้รับรางวัลโนเบลสองสาขา หนึ่งสาขาวรรณกรรม สองสาขาสันติภาพ เพราะตัวละครเอกสู้เพื่อสันติภาพ แต่มันไม่ให้ผมซักรางวัล ใช้ได้เหรอ อีกไม่นานคงจะเสร็จ รีบ เพราะผมไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ เขียนเสร็จประกาศฆ่าตัวตายเลย
 
คุณเคยส่งผลงานเข้าประกวดบ้างไหม ?
ไม่เคย ผมไม่สนใจ
 
อย่างรางวัลซีไรต์ ?
ผมเรียกรางวัลทะเลเขียน ก็ดี ให้มันมีกันไปเถอะ ผมไม่สนใจ ผมไม่เคยได้รางวัล แต่ผมก็ภูมิใจส่วนหนึ่งว่าได้ทำสิ่งที่ดีฝากไว้แล้ว อะไรที่ดี ถูกต้อง มันจะอยู่ได้ อะไรที่ไม่ถูกต้องมันจะถูกทำลายลง
 
แล้วแวดวงวรรณกรรมไทยล่ะ ?
ผมไม่ค่อยสนใจ ผมเข้ากับคนไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยได้ไปสมาคมกับเขา เพราะถือว่าเราไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร เข้าไปเสนอหน้าดีไม่ดีจะถูกเหยียดหยาม ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่อยากจะไปยุ่ง วรรณกรรมไทยก็รับใช้ ประจบสอพลอ พวกฝ่ายซ้ายมันก็แปรเปลี่ยนไปเยอะแล้ว มันไม่กล้าพูดความจริงอะไรซักประโยค เฉียดอยู่นั่น ชกลมอยู่เรื่อย
 
ด้านชีวิตครอบครัวของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ?
ผมได้เมียตอนอายุ 30 กว่า ไม่ได้แต่งหรอก พากันหนี เขาขายกล้วยปิ้งอยู่หน้าวัดราชาฯ เป็นคนมอญ ตอนนั้นผมมาอาศัยกินนอนอยู่วัดนั้น แล้ววันหนึ่งผมไม่สบาย เลยไปขอเงินเขาไปซื้อยา เขาสงสารก็ให้มา จากนั้นก็จีบเขามาเรื่อย จนได้ไปเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน ก็ลำบาก เริ่มต้นจากเงิน 500 บาท ทำขนมขาย มีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ผมเลิกกับเมียมา 10 กว่าปีแล้วนะ ผมออกมาเร่ร่อน ลูกๆ ก็อยู่กับแม่เขา เมียผมเป็นคนดีมาก ดีที่สุดเลย รู้จักทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงผัวมาตลอด เขาขายสาคูไส้หมู ตอนแรกขายกล้วยปิ้ง แต่ไม่ไหว เลยเปลี่ยนมาขายสาคูไส้หมู เมียผมเป็นคนขยัน กวนไส้ทีเป็นกระทะ อยู่อย่างนั้นตลอด บางทีผมก็ขโมยเงินเมียมาลงทุนพิมพ์หนังสือด้วย (หัวเราะ) ลูกสาวคนโตผมเรียนจบกฎหมาย กำลังจะสอบผู้พิพากษา พอมาเกิดคดีนี้ทุกอย่างเลยหยุดชะงัก ก็เลยตรอมใจกันทั้งบ้าน ลูกผมมันบอกป๊ามีคดีอย่างนี้อย่ามาเป็นพ่อเป็นลูกกันดีกว่า ต่างคนต่างอยู่ พูดอย่างนี้ มันกลัวจะโดนออกจากงาน เขาทำงานสำนักงานของรัฐ อย่าพูดถึงเขาดีกว่า
 
ทราบว่าป่วย เป็นอย่างไรบ้าง
ผมป่วยมา 5-6 ปีแล้ว ทีแรกผมฉี่ไม่ออก ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร โทร.ถามเพื่อน เพื่อนบอกรีบไปหาหมอเลย ไม่งั้นเดี๋ยวไตวายตายทันที ผมก็รีบไปโรงพยาบาล หมอบอกเป็นต่อมลูกหมากโต แต่ผมไม่มีเงินรักษา เลยออกมาซื้อยากินมั่งไรมั่ง กระทั่งวันหนึ่งผมหน้าซีดมาก เพื่อนเห็นมันบอก เฮ้ย มึงจะตายห่าแล้วนี่หว่า มันเลยส่งผมเข้าโรงพยาบาลพญาไท ไปอยู่ 4 วัน ตรวจเท่านั้นว่าเป็นโรคอะไร หมดไป 40,000 บาท แต่เพื่อนมันออกให้ มันรวย ก็ยังนับว่ายังมีบุญอยู่ เสร็จแล้วหมอบอกผมเป็นต่อมลูกหมากโต แล้วก็เป็นเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะด้วย ผมก็เออ เป็นก็เป็น ไม่มีเงินรักษาหรอก ก็ออกมาซื้อยากินเองอะไรเอง กระทั่งเป็นมากขึ้น ไปหาหมอที่รามา คราวนี้หมอบอกเป็นมะเร็งที่กระเพาะปัสสาวะ ต้องผ่าตัด ใช้เงินเท่านู้นเท่านี้ ผมไม่มีเงิน ก็ไม่เอาไม่ผ่า แต่ทีนี้มันเป็นหนักขึ้นอีก ฉี่เป็นเลือด ไปหาหมอที่ศิริราช เพื่อนมันไปบอกลูกผมว่าผมลำบาก ลูกเลยบอกให้รักษา จะหาเงินมาให้ ผมสงสารลูก ไม่อยากจะรักษา อยากจะกินยาสมุนไพร แต่ทีนี้มันมากแล้ว อาการหนัก นอนบนเตียงแล้ว จะถอยก็ไม่ได้ ก็เลยต้องผ่ามานี่ ตัดไตออกข้างหนึ่ง (เอามือจับแผลบริเวณเอว ซึ่งหมอต่อสายยางแล้วใส่ถุงพลาสติกติดตัวเพื่อใช้เป็นที่รองปัสสาวะที่ไหลออกมาทางสีข้างตลอดทั้งวัน) ทุกวันนี้ผมยังต้องไปหาหมอเดือนละครั้ง แต่ต้องทำแผลทุกวัน หรือถ้าบางทีถ้าเลือดซึมก็ต้องไปให้หมอดู
 
อยากฝากอะไรทิ้งท้าย ?
ผมมีอยู่สองประโยคที่อยากฝากไว้ หนึ่ง ขอให้ผู้ปกครองทุกระดับชั้น มีความละอายแก่ใจตนเองบ้าง สอง จะชั่วช้าสารเลวสักเพียงไร ขอให้มีความเป็นคนหลงเหลือไว้บ้าง แค่นั้นแหละ
 
 
ปัจจุบัน นายสมอลล์ บัณฑิต อานียา ในวัยใกล้ 70 อาศัยอยู่เพียงลำพังในห้องเช่าเล็กแคบแถบชานเมือง กับทรัพย์สมบัติเพียงไม่กี่ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นกล่องใส่หนังสือเก่าที่เป็นผลงานของเขา ตลอดชีวิตการยืนหยัดสร้างงานเพื่อสื่อสารความจริงบางอย่างกับสังคมไทย สิ่งที่ชายชราผู้เรียกตัวเองว่า “นักเขียนที่ต่ำต้อยที่สุดในประเทศสยาม” ผู้นี้ ได้รับเป็นรางวัลตอบแทน มีเพียงความลำบากยากจน และ “คุก!” ที่อาจกำลังรอเขาอยู่... 
 
 
 
 
เชิงอรรถ
พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) คือพระนักพัฒนาผู้มีแนวทางการทำงานก้าวหน้า เช่น ไม่ออกกฎห้ามคอมมิวนิสต์บวชในพระพุทธศาสนา นำพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย กัมพูชา อังกฤษ อินเดีย และเนเธอร์แลนด์ และทำงานร่วมกับองค์กรฟื้นฟูศีลธรรมจากต่างประเทศโดยไม่ยึดถือศาสนาใดเป็นสำคัญ แนวทางการทำงานดังกล่าวทำให้พระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่บางท่านไม่พอใจ นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง กระทั่งถูกฝ่ายตรงข้ามยืมมือรัฐบาลเผด็จการในยุคนั้นสั่งจับคุมขังด้วยข้อหาว่ามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ (อันเป็นข้อหายอดนิยมที่อุกฉกรรจ์มากในสมัยนั้น) และถูกบีบบังคับให้สึกจากสมณเพศ

หมายเหตุ  แก้ไขความคลาดเคลื่อนเรื่องอายุในวันสัมภาษณ์จาก 63ปี เป็น 68ปี เมื่อ 12.43น./19 สิงหาคม 2556

 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท