Skip to main content
sharethis

“มาร์ค” ลงใต้ เจอบึ้มห่างจากที่จัดงาน 150 เมตร เผยพอใจความก้าวหน้างานพัฒนาชายแดนภาคใต้ "อนุพงษ์" ระบุแนวร่วมเหลือ 4 หมื่น หัวรุนแรงเหลือ 2 พันกว่าราย ทีมงานหมอพรทิพย์รถคว่ำดับ 1 เจ็บ 4 ที่ปัตตานี

 
7 ม.ค. 53 - นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสุเทพเทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.และคณะ เดินทางถึงจังหวัดนราธิวาสแล้วเพื่อตรวจเยี่ยมการทำงานของเจ้าหน้าที่ใน พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ภายใต้กิจกรรมของรัฐบาลเริ่มจากายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังบ้านซือเลาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาสเพื่อเยี่ยมชมโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินและ โครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินโดยชุมชนท้องถิ่นตามนโยบายไทย เข้มแข็งและพิธีมอบกุญแจบ้านภายใต้โครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้กับ ประชาชน
 
จากนั้นจะเดินทางไปเปิดใช้ทางหลวงหมายเลข 418 ที่จ.ปัตตานีซึ่งทางหลวงสายนี้ใช้ในการเดินทาง และการขนส่งสินค้าในพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้เพราะเป็นถนนมาตรฐานสายหลักจะได้ใช้เป็นเส้นทางลัด เพื่อลดต้นทุนด้านการขนส่ง และรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไปและจะเข้าตรวจเยี่ยมและจากนั้นเดินทางไปชมกิจกรรม ของทหารพราน ณบก.ฉก.ทพ.41 อ.รามัน จ.ยะลา เข้าเยี่ยมชมฟาร์มตัวอย่างวังพญา-ท่าธงก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ
 
บึ้มยะลาใกล้งานนายกฯ เปิดสะพาน ตร.ถูกสะเก็ดเจ็บ 1
 
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 08.10 น. พล.ต.ต.สายันต์ กระแสแสน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ได้รับแจ้งมีเหตุระเบิดบริเวณปากทางเข้าบ้านสาคอ ม.1 ต.ท่าสาป อ.เมืองจ.ยะลา มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย คือ ส.ต.ท.ชัยยุทธ บวรศักดิ์เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กรงปินัง จ.ยะลา ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณคิ้วซ้าย โดยส.ต.ท.ชัยยุทธ ที่มาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย คณะของนายอภิสิทธิ์ ในเวลา 10.30 น. อย่างไรก็ตาม ระเบิดที่เกิดขึ้นห่างจากสถานที่จัดงานเพียง 150 เมตรเท่านั้น
 
จาก การสอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุคนร้ายได้นำระเบิดบรรจุในกล่องเหล็ก มีน้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ นำไปวางใบริเวณพุ่มหญ้าใกล้ศาลาริมทางปากทางเข้าบ้านสาคอในช่วงเช้าอาศัย ช่วงที่มีประชาชนหลายคนมารอรถโดยสารที่ศาลาดังกล่าวเนื่องจากตลอดคืนที่ผ่าน มาได้มีการรปภ.รอบบริเวณอย่างเข้มงวด ทั้งนี้กำหนดการของคณะนายกรัฐมนตรี ยังไม่มีการปเลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
 
ชูทหารพรานสูตรสำเร็จการสร้างความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน
 
เวลา 12.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางมายังกองบัญชาการหน่วยเฉพาะกิจกรมการทหารพรานที่ 41 อำเภอรามัน จังหวัดยะลา เพื่อรับประทานอาหารกลางวันซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองใต้ พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการงานด้านกิจการพลเรือนของทหารพราน จชต.เช่น การช่วยเหลือประชาชนจากโรคชิคุนกุนยา โครงการแสงแห่งความหวัง การดำเนินโครงการเศรษฐกิจพอเพียงของหน่วยพัฒนาสันติ โครงการทหารพรานใจดี เป็นต้น จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้โอวาทแก่กำลังพลทหารพราน ตอนหนึ่งว่า ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อยาวนานและไม่สามารถแก้ไขได้ภายในระยะเวลาอันนั้น แต่หัวใจสำคัญของความสำเร็จในการทำให้นโยบายเป็นไปตามเป้าหมายที่เราทุกคนปรารถนา คือการสร้างความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน
         
“ในส่วนเจ้าหน้าที่ที่สำคัญ คือต้องยึดมั่นแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และเจ้าหน้าที่จะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุด ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ทั้งนี้ ผมทราบดีว่าทหารพรานของกองทัพภาคที่ 4 มีส่วนสำคัญมากในการป้องกันแก้ไขปัญหาการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ และเป็นคนในพื้นที่ ซึ่งเป้าหมายในอนาคตเรามีเป้าหมายที่จะทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ หมายความว่าในอนาคตจะต้องมีการปรับลดกำลังทหารหลักลง แล้วหน่วยทหารพรานจะเป็นกำลังหลักในการดูแลความเรียบร้อยและช่วยเหลือประชาชนต่อไป ผมขอชื่นชมในการปฏิบัติงานอย่างทุ่มเทของทุกคน ที่เสียสละตรากตรำเพื่อความสงบสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ความสำเร็จของงงานนี้อยู่ที่การปฏิบัติงานของทุกคน บางครั้งหรือบางโอกาสเราไม่ทราบว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคนๆ หนึ่ง อาจจะเป็นแบบอย่างความสำเร็จที่สร้างแรงบันดาลใจให้การขยายผลความสำเร็จเกิดขึ้นได้ แต่ถ้ามีใครที่ปฏิบัติงานผิดพลาดออกไปจากแนวที่ควรปฏิบัติ ก็อาจถูกขยายผลให้เป็นผลเสียและผลร้ายได้ จึงอยากให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติหน้าที่ตัวเอง เพราะความสำคัญของการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองจะเป็นหัวใจสำคัญในการนำความสำเร็จและนำสันติสุขกลับมาสู่พื้นที่” นายกรัฐมนตรีกล่าว
         
ต่อมาเวลา 13.15 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางต่อมายังโครงการฟาร์มตัวอย่างวังพญา-ท่าธง อันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตำบลท่าธง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา เพื่อเยี่ยมชมกิจการฟาร์มการคัดแยกพืชผล และเยี่ยมชมการเลี้ยงแพะ ไก่ และพบปะสมาชิกโครงการฟาร์มตัวอย่างฯ พร้อมกล่าวกับประชาชนตอนหนึ่งว่า หากประชาชนมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ยืนยันว่าสามารถร้องเรียนมายังรัฐบาลได้ เราพร้อมให้ความเป็นธรรม จะร้องผ่านมายังตนโดยตรง มาที่รัฐบาล หรือส.ส.ในพื้นที่ก็ได้ และขอยืนยันว่าในอดีตรัฐบาลก่อนมีการให้นโยบายด้านการพัฒนาต่างๆ แต่ไม่เคยดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรม แต่รัฐบาลนี้เราให้นโยบายอย่างไร ก็สามารถดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรมได้แล้ว โดยเฉพาะเป้าหมายการเพิ่มค่าครองชีพประชาชนในพื้นที่ ซึ่งมีการกำหนดเป้าตัวเลขและระยะเวลาที่ชัดเจน
         
เวลา 15.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปยังหมู่บ้านชาวประมงชายฝั่ง บ้านปาตาบาระ ตำบลปะเสยะวอ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เพื่อเยี่ยมชาวประมงชายฝั่ง และประมงพื้นบ้านตามแผนพัฒนาพื้นที่พิเศษ ซึ่งมีประชาชนประมาณ 500 คนมาให้การต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีได้พบปะกับประชาชนในพื้นที่และย้ำการเดินหน้านโยบายการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้และการให้ความเป็นธรรม ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในช่วงเย็นวันเดียวกัน
 
นายกฯ ไม่กลัวบึ้มแค่พวกป่วนสร้างภาพวุ่นวาย ปลื้ม พท.สีแดงลดลง
 
ผู้สื่อข่าวปัตตานีรายงานเมื่อเวลา 14.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเดิน ทางเยี่ยมชมกิจการหมู่บ้านประมงชายฝั่งตามแผนงานโครงการช่วยเหลือประมงพื้น บ้านภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในหมู่บ้านประมงพื้นบ้าน บ้านปาตาบาระ ต.ปะเสยะวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ถือเป็นชุมชนเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนตามแผนการพัฒนา พื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ "ไทยเข้มแข็ง" ของรัฐบาล โดยได้เข้าชมนิทรรศการ กิจกรรมที่เกิดจากการทำประมง ได้แก่กลุ่มผลิตน้ำบูดู กลุ่มอาชีพแม่บ้าน และการจัดระบบการพัฒนาประมงพื้นบ้าน และพบปะกับกลุ่มประมงพื้นบ้าน ชมการจัดทำปะการังเทียมและซั้งบริเวณชายฝั่งบ้านปาตาบาระ ซึ่งชุมชนบ้านปาตาบาระเริ่มก่อตั้งขึ้นราว 200 กว่าปี ปัจจุบันมีประชาชนอาศัยอยู่ราว 180 ครัวเรือน ประชากรรวม 918 คน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 70 ประกอบอาชีพทำการประมงชายฝั่ง โดยมีอาชีพเสริม คือ การเลี้ยงปลากะพงขาว การทำปลากะตักต้มตากแห้ง ค้าขาย ปักผ้าคุมผม นอกจากนั้นมีอุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น การทำปลาแห้ง ปลาเค็ม บูดู ค้าขายและ รับจ้างทั่วไป
 
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ลงมาติดตามนโยบาย มีความก้าวหน้าหลายนโยบาย เริ่มเป็นรูปเป็นร่างโดยการนำเอาการพัฒนาที่ผ่านกระบวนการประชาคมของประชาชน มีการตอบสนองและการเข้าถึงหมู่บ้าน ซึ่งการสร้างความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน น่าจะดีขึ้นตามลำดับ ต้องขยายผล เชื่อว่า สามารถทำให้ความเปลี่ยนเป็นรูปธรรมมากขึ้นในแง่ของเป้าหมายรวมถึงความสงบสุข ก็จะเกิดขึ้น
 
"ส่วนเหตุที่เกิดเมื่อเช้านี้เป็นธรรมดา เมื่อมีการลงพื้นที่ มักจะมีความพยายามที่จะก่อเหตุ เป็นความพยายามของบางฝ่ายที่ต้องการให้เกิดภาพลักษณ์ ความวุ่นวาย แต่ผมคิดว่า ครั้งนี้มาดูงานหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจชุมชน รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ ความสามัคคี ระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน เป็นแนวทางที่ต้องช่วยกันสนับสนุนเห็นผลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น" นายกรัฐมนตรีกล่าว
 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับกำลังหลักในพื้นที่เป็นเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่แล้ว การรักษาความสงบเรียบร้อย หากหวังใช้กำลังทหารมาก โดยเฉพาะกำลังทหารจากภายนอกพื้นที่ ต้องสามารถลดกำลังลงได้ ซึ่งทางกองทัพได้มีแผนที่จะลดกำลัง แต่จริงแล้วขณะนี้ก็พยายามลดกำลังลง แต่ต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง ขณะนี้พื้นที่สีแดงลดลงพอสมควร หลังจากที่เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนใน พื้นที่ได้
 
"อนุพงษ์" เผยแนวร่วมเหลือ 4 หมื่น หัวรุนแรงเหลือ 2 พันกว่าราย
 
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวก่อนเดินทางกลับ ว่า ขณะนี้แนวร่วมในพื้นที่ภาคใต้ถือว่าลดลง ขณะนี้เหลืออยู่ประมาณหมื่นราย แบ่งเป็นพวกปฏิบัติประมาณพันกว่าราย พวกหัวรุนแรงมีประมาณ 2 พันกว่าราย และเป็นแนวร่วมอีกประมาณ 6 พันราย ซึ่งถือว่านโยบายการเข้าไปพัฒนาและสร้างความเข้าใจในพื้นที่นั้นเดินมาถูก ทางแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาบ้าง สำหรับการทำหน้าที่ของพล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาค 4 นั้นถือว่าปฏิบัติหน้าที่ได้ดีมาก โดยเฉพาะเรื่องของการพัฒนาในพื้นที่ ดังนั้นกระแสข่าวที่ระบุว่าจะมีการโยกย้ายในช่วงเดือนเม.ย.นั้น ไม่เป็นความจริง
 
พอใจความก้าวหน้างานพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
เวลา 15.45 น. ที่จังหวัดปัตตานี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า การมาลงพื้นที่ดังกล่าวในครั้งนี้ ได้เห็นความก้าวหน้าในหลายนโยบาย โดยเฉพาะตอนนี้สิ่งที่เป็นรูปธรรม คือ การนำเรื่องการพัฒนาที่ผ่านกระบวนการของประชาคมของประชาชนเอง ตนจึงคิดว่าการตอบสนองและการเข้าถึงหมู่บ้านโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ในการสร้างความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชนนั้น จะดีขึ้นโดยลำดับ และต้องมีการขยายผลต่อไป รวมถึงต้องใช้เวลาอีก ซึ่งจะสามารถทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นในแง่ของเป้าหมายการสร้างความสงบสุข
         
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีการก่อเหตุก่อนการลงพื้นที่ในวันนี้ก็เป็นธรรมดา ซึ่งเราทราบว่าเมื่อมีการลงพื้นที่มักจะมีความพยายามก่อเหตุของบางฝ่ายที่ต้องการสร้างให้เกิดภาพของความวุ่นวาย แต่ตนคิดว่าการได้มาดูหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจชุมชน รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ในพื้นที่ระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนก็เป็นแนวทางที่ตนคิดว่าต้องช่วยกันสนับสนุน และจะทำให้เห็นผลชัดเจน
         
ผู้สื่อข่าวถามถึงการจะลดกำลังทหารในอนาคต นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การรักษาความสงบนั้น ถ้าเราหวังแต่จะใช้กำลังมากๆ โดยเฉพาะกำลังพลจากข้างนอก มันไม่ยั่งยืน ดังนั้น เป้าหมายสุดท้ายคือต้องสามารถลดกำลังพลให้ได้ ซึ่งทางกองทัพเข้าใจดี ทั้งนี้ ในการจัดกำลังของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ในปีนี้ก็เริ่มลดกำลังลงแล้ว และต้องควบคู่กับการใช้อำนาจพิเศษ ทั้งนี้ ต้องมีการประเมินสถานการณ์ต่อไปโดยเฉพาะในเรื่องของกฎหมายพิเศษ อย่างไรก็ตามเรื่องการใช้มาตรา 21 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรนั้น มีการใช้ในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา แต่ตอนนี้ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ไปประชุมทำความเข้าใจกันถึงเงื่อนไขของการใช้ข้อกฎหมายดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องใหม่ และเกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการด้วย ซึ่งจะทำได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมได้ภายในเดือนนี้
 
คณะนิติวิทยาศาสตร์ "พญ.พรทิพย์" ประสบอุบัติเหตุชนต้นไม้เสียชีวิต 1 บาดเจ็บ 4 คน ที่ปัตตานี
         
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 7 มกราคม พ.ต.อ.ตานิตย์ รามดิษฐ์ ผกก.สภ.มายอ ได้รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถชนต้นไม้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย เหตุเกิดบนถนนสายปัตตานี-นราธิวาส บริเวณหมู่ 4 บ้านราวอ ต.กระหวะ อ.มายอ จ.ปัตตานี หลังรับแจ้งจึงรีบประสานรถพยาบาลและรถกู้ภัยรุดไปที่เกิดเหตุ
         
ที่เกิดเหตุพบผู้บาดเจ็บนอนอยู่ริมถนน และติดอยู่ภายในรถอีก 1 คน รวมผู้บาดเจ็บ 5 คน เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวออกจากตัวรถแล้วรีบนำส่ง รพ.ยะหริ่ง ทราบชื่อคือ นายพิทักษ์ สุขพิพัฒน์มงคล อายุ 28 ปี ได้รับบาดเจ็บที่ซี่โครงและต้นคอ อาการสาหัส แพทย์ต้องปั๊มหัวใจช่วยชีวิตก่อนจะส่งต่อไป รพ.ปัตตานี แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา ท่ามกลางความเศร้าโศกของเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่ยืนให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าตกใจ
         
ผู้บาดเจ็บอีก 4 คน ทราบชื่อคือ จ.ส.อ.นิสิต โพโต อายุ 53 ปี ส.อ.ไพฑูรย์ หกสี นายทะนง ฤกษ์อาวรณ์ อายุ 48 ปี และ น.ส.จุฑาภรณ์ บำรุงเพชร อายุ 33 ปี มีบาดแผลที่ศีรษะ แขนและลำตัว แพทย์ช่วยเหลือจนปลอดภัยแล้ว
         
จากการตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ พบรถกระบะ 4 ประตู ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน กค 6432 ยะลา ชนอัดก๊อบปี้กับต้นไม้พังยับเยิน ชิ้นส่วนรถกระจายไปทั่ว และต้นไม้ถูกชนจนหักโค่น 2 ต้น
         
สอบสวนทราบว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ชุดนิติวิทยาศาสตร์ของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ก่อนเกิดเหตุขณะรถยนต์คันดังกล่าววิ่งมาด้วยความเร็ว หลังกลับมาจากปฏิบัติภารกิจที่ จ.นราธิวาส มุ่งหน้ากลับ จ.ปัตตานี โดยมีรถยนต์ที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ นั่งมาด้วย ตามหลังมาอีกคัน ปรากฏว่าเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ รถยนต์คันดังกล่าวเกิดเสียหลักพุ่งตกคูน้ำกลางถนนสี่เลนและชนต้นไม้หัก 2 ต้น และไปอัดก๊อบปี้กับต้นไม้ใหญ่จนรถพังยับเยินและมีผู้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
         
ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าคนขับน่าจะหลับใน หรือรถเกิดเสียหลัก เนื่องจากขับมาด้วยความเร็ว
 
 
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: www.thaigov.go.th, มติชนออนไลน์, เว็บไซต์คมชัดลึก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net